เราเคยพูดกันถึงเรื่อง ความเห็นว่าจิตเป็นเราหรือสักกายทิฏฐิ และเรื่อง ความยึดว่าจิตเป็นเรา หรือจิตเป็นตัวกู ไปคราวหนึ่งแล้ว วันนี้จะขอคุยกันต่อให้หมดเปลือกของพระพุทธศาสนากันเสียที เพราะถ้าไม่ผิดแผน .. ปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า ผมก็คงไม่มีโอกาสมาคุยกับพวกเราอีกแล้ว
จิตที่เป็นตัวเรา หรือตัวกู ยังไม่ใช่จิตอวิชชา แต่เป็นจิตที่ประกอบด้วยสังโยชน์ที่เรียกว่า มานะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัสมิมานะ (การถือตัวว่านี่ฉัน นี่กู กูเป็นนั่นเป็นนี่, การถือเราถือเขา - พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของพระธรรมปิฎก) หากสามารถผ่านด่านของ จิตที่เป็นตัวเรา หรือตัวกู แล้ว จึงจะถึงจุดสุดท้ายของการปฏิบัติ คือจิตอวิชชา
ก่อนที่จะกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างจิตที่เป็นตัวเรา หรือตัวกู กับจิตอวิชชา ผมขอทบทวนแนวทางการปฏิบัติ ก่อนจะพบความยึดมั่นว่าจิตเป็นตัวเรา สักเล็กน้อย
ในบื้องต้น ให้ผู้ปฏิบัติจำแนกให้ออก ระหว่างจิตผู้รู้ กับอารมณ์หรือสิ่งที่ถูกรู้ แล้วรู้อารมณ์ทั้งปวงที่กำลังปรากฏ โดยจิตที่ไม่หลงเข้าไปแทรกแซง ยินดี ยินร้ายต่อสิ่งที่ถูกรู้นั้น
การจะจำแนกผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ได้ทำด้วยการเอากำลังเข้าหักหาญฉุดดึงจิตออกจากอารมณ์ แต่อาจจะเริ่มจากการทำสมถะ จนจิตเป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นหนึ่ง(สงบ) แล้วรู้ขึ้นว่า ความสงบเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ และจิตก็เป็นเพียงผู้รู้ความสงบ
ถ้าเริ่มต้นจากการทำสมถะไม่ได้ ก็ให้ใช้ปัญญา คือเฝ้าสังเกตกิเลสสักตัวหนึ่ง ที่เกิดขึ้นกับจิตใจ เช่นความสงสัย ความโกรธ ฯลฯ แล้วเฝ้ารู้อย่างใจเย็นๆ จนมันดับไป ก็จะพบว่า กิเลสเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ เกิดแล้วก็ดับไป ส่วนจิตเป็นผู้รู้ ผู้ดูกิเลสที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ถ้าทำคราวเดียวยังจำแนกผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ไม่ออก ก็อย่าตกอกตกใจ ให้เฝ้ารู้กิเลสที่กำลังเกิดไปเรื่อยๆ ด้วยความใจเย็น ไม่นานนักก็จะจำแนกได้ว่า อันนี้อารมณ์ที่ถูกรู้ อันนี้จิตผู้รู้อารมณ์
จากนั้น ก็เพียรมีสติ รู้อารมณ์ทั้งปวงที่กำลังปรากฏเรื่อยไป ด้วยจิตที่รู้ตัว ไม่เผลอ จะเห็นว่าบางคราว จิตก็อยู่คนละส่วนกับอารมณ์ บางคราว จิตก็จมอยู่กับอารมณ์ แยกกันไม่ออก หลักปฏิบัติในขั้นนี้มีอันเดียว คือให้รู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่เป็นกลาง ก็จะเห็นความเกิดดับของอารมณ์ทั้งปวงเรื่อยไป
ด้วยวิธีนี้ สติ สมาธิ ปัญญา ก็จะแก่กล้าไปตามลำดับ ถึงจุดหนึ่ง ความคิดนึกปรุงแต่งก็จะดับไป ผู้ปฏิบัติจะเกิดความรู้รวบยอด ถึงความเป็นไตรลักษณ์ของสิ่งปรุงแต่งทั้งปวง และรู้จักกับธรรมชาติที่ไม่เกิดไม่ตายเป็นครั้งแรก ถึงตรงนี้ ผู้ปฏิบัติจะไม่มีความเห็นผิดอีกแล้ว ว่าจิตเป็นเรา เพราะความเห็นผิดว่าจิตเป็นเรา เกิดจากความคิดนึกปรุงแต่งทั้งสิ้น
หลังจากนั้น สติปัญญาก็จะละเอียดยิ่งขึ้น ทำให้รู้เท่าทันกิเลสตัณหาที่ละเอียดยิ่งขึ้นไปด้วย จะเห็นว่า ก่อนที่กิเลสจะเกิดขึ้น มันจะต้องมีผัสสะ คือการกระทบอารมณ์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หากกระทบแล้ว สติปัญญาตามทัน มันก็จบอยู่เพียงเท่านั้น ถ้าตามไม่ทัน จะพบว่า เมื่อมีผัสสะ ก็จะมีการปรุงสัญญาคือความจำได้หมายรู้ และเวทนา ขึ้นมาในจิต หากรู้ทันตรงนี้ กระบวนการปรุงแต่งของจิตก็จบอีก แต่ถ้ายังรู้ไม่ทัน สัญญาและเวทนาจะปรุงเป็นความคิดขึ้นมา ถ้ารู้ทันตรงนี้ กระบวนการปรุงแต่งของจิตก็จบอีก แต่ถ้ารู้ไม่ทัน ตะกอนกิเลสที่อยู่ในภวังคจิตก็จะเริ่มฟุ้งขึ้นมา กิเลสจะผุดขึ้นมากลางอก ถ้ารู้ทันตรงนี้ กระบวนการปรุงแต่งของจิตก็จบได้เหมือนกัน แต่ถ้าไม่รู้ทัน กิเลสจะหลอกล่อให้จิตเกิดตัณหา เป็นแรงทะยานออกไปยึดอารมณ์ ตรงนี้ถ้ารู้ทัน กระบวนการปรุงแต่งของจิตก็จบลงอีก แต่หลังจากนั้น ถ้าจิตหลงส่งทะยานออกไปยึดอารมณ์แล้ว จิตจะเกิดความเป็นตัวกู ของกู ขึ้นมากระโดดโลดเต้นทันที ตรงนี้สายเสียแล้ว ที่จะพ้นจากความทุกข์เพราะความเป็นตัวตนของจิต
ผู้ปฏิบัติในขั้นนี้ ยังคงเห็นความเกิดดับของอารมณ์ ดังที่เคยเห็นมาแล้ว แต่สติปัญญาจะว่องไว และเข้าใจกลไกของจิตมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดความรู้รวบยอดครั้งที่สอง คราวนี้กิเลสราคะ โทสะ และโมหะ จะเบาบางลงมาก เพราะสติปัญญาว่องไว พอที่จะไม่ปรุงแต่งเติมเชื้อไฟให้กิเลส พอประกายกิเลสเกิดวาบขึ้น สติปัญญาจะทำงานเป็นอัตโนมัติ แล้วกิเลสก็จะดับไป ก่อนที่จะลุกลามเป็นไฟกองใหญ่
|
|