เรื่องที่เขียนต่อนี้ ผมจะขอเล่าเฉพาะที่เคยสังเกตเห็น ,เคยเป็น ในสิ่งที่เคยผิดพลาดมาก่อน และบางอย่างก็ยังอยู่ในปัจจุบันนี้(ยังสู้กันอยู่)
ในลำดับแรกที่ผู้ปฏิบัติหลังจากที่ได้พบครู และได้วิธีการปฏิบัติ เกือบจะทั้งหมด รู้สึกมีความสุข,สุขใจที่ได้ปฏิบัติ พร้อมๆกับความสุขนี้มันมีสิ่งแฝงมาอีกอย่างหนึ่งคือ ความอยากก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ดังนั้นนักปฏิบัติมือใหม่จึงพยายามหา ทางที่คิดว่าทำให้ตัวเองก้าวหน้าได้เร็วที่สุด นั่นก็มี 1.อ่าน 2.ฟัง 3.เพียรปฏิบัติ แน่นอนครับ เกินพอดีเกือบทั้งหมด 1. การอ่าน นักปฏิบัติใหม่เมื่อเริ่มเป็นแล้วจะหวังความก้าวหน้าในทางธรรมสูงมากในขั้นนี้ ส่วนมาก ยังไม่ได้สนใจคำว่า นิพพาน เพียงแต่รู้ว่าปฏิบัติแล้วมีความสุข ,อยากเป็นแบบนักปฏิบัติท่านอื่นๆ ที่ได้ปฏิบัติมานานกว่า,อยากคุยกับเขารู้เรื่อง,อยากฯลฯ จึงพยายามหาอ่านหนังสือ, บทความ ธรรมะที่ใหนที่มี ก็ไปหาอ่านตอนที่อ่านน่ะไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร แต่หลังอ่านนี่สิน่าหนักใจ เพราะตอนที่อ่าน ไม่มีสติไปคุมดังนั้น อะไรที่ตรงกับความต้องการของเรา กิเลสก็จะเก็บๆเอาไว้โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป เมื่อไปปรากฏผลอันน่าหนื่อยในภายหน้านั่นแหละถึงจะได้รู้ว่า หากอ่านแบบไม่มีสติคอยคุมแล้ว มันไม่คุ้มเลย
2.การฟัง นักปฏิบัติมือใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นนักฟัง ที่ใหนมีการพูดคุยเกี่ยวกับธรรมะ ก็จะเข้าไปฟัง เรื่องการฟังนี่ไม่ค่อยอันตรายเท่าไรนัก เพราะความทรงจำของคนมันสั้น ไม่นานก็ลืม การเก็บเอาไปมันก็เลยพลอยน้อยไปด้วย แต่ถ้ามีการพูดคุยเช่นการถกธรรม ปุจฉา-วิสัจฉนา ส่วนใหญ่จะโดดเข้าร่วมวงด้วยถ้าโชคดีไม่ได้เป็นผู้ตอบ หรือไม่มีโอกาสตอบ นี่ก็สบายไป เพราะทั้งหมดเราแค่เป็นผู้ดู, ผู้ฟังเท่านั้น แต่หากเข้าไปร่วมด้วยเมื่อไรละก็ มีติดกลับมาแน่นอน แต่ในหัวข้อนี้ ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไร เพราะถ้าไม่เป็นคนช่างจดช่างจำเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็จะไม่หนักหนา แค่ไม่กี่วันก็หายไปแล้ว เพราะอย่างที่บอก ความทรงจำของคน มันสั้น
3.เพียรปฏิบัติ นักปฏิบัติมือใหม่นี่ จะปฏิบัติในแนวที่คิดว่าเป็นการปฏิบัติธรรมแบบเอาเป็นเอาตายเลย เช่นการพยายามมีสติ รู้ แต่ถ้ารู้ตัวแบบธรรมดาๆ คงจะธรรมดาเกินไปไม่เหมือนการปฏิบัติธรรม ก็เลยมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นอีกเช่น ขับรถอยู่ แต่ไปกำหนดรู้ลมหายใจ รถเกือบจะชน(รถ)คนอื่น ก็มี หรือเวลาทำงานอยู่ กลับมานั่งคิดว่า ตอนนี้ข้าพเจ้าอยู่อารมณ์ใหนหว่า ราคะ ,โทสะ หรือโมหะ ,ฯลฯ เพราะมันเป็นเรื่องของการปฏิบัติที่อยู่ในลักษณะ ถูก แต่ผิด คือถูกวิธี แต่ผิดเวลา ผลก็เลยพังหมด ทั้งเรื่องปัจจุบันก็แย่ ภาวนาก็ร่วงเพราะไม่มีโอกาสที่จะทำให้ได้เต็มที่ทั้งสองอย่าง ดังคำโบราณท่านว่าจับปลาสองมือ
ในหัวข้อการอ่าน และการฟังนั้น มีสิ่งที่ควรระวังมากๆอยู่อย่างหนึ่งคือแหล่งที่มาของบทความนั้นๆ ด้วยว่าเราไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เขียน หรือรู้ว่าใครเป็นผู้เขียน,ผู้พูดแต่เราก็ไม่รู้ภูมิธรรมของเขา ดังนั้นจึงต้องระวังมากๆ ผมเคยอ่านคำเทศนาของหลงปู่มั่น ได้คติสั้นๆคอยเตือนใจและได้ใช้มาจนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือหลวงปู่มั่นท่านสอนว่า "ธรรมะหากออกจากปากพระอริยะนั่นแลธรรมแท้ แต่หากออกจากปาก ปุถุชน ทั้งหมดนั่นคือสัทธรรมปฏิรูป" เหตุเพราะธรรมะทั้งหลายหากไม่รู้แจ้งเห็นชัดแล้ว มีอย่างเดียวที่จะ ทำได้ก็คือการคาดเดา และถ้าหากบอกเล่าประสบการณ์แล้วก็ยังไม่จัดว่าเป็นการกล่าวธรรม ดังนั้นนักปฏิบัติพึงระวังให้ดี เพราะทุกวันนี้มีนักตีความธรรมะเยอะมากถ้าไม่อยากมีอกุศลกรรมติดตัวไปด้วย ก็อย่าเผลอไปตีความกับเขาก็แล้วกันครับ หากมีข้อสงสัยวิธีที่ได้ผลเด็ดขาดที่สุด ก็ใช้วิธีที่ครูสอน อยู่เป็นประจำคือดูความสงสัยนั้นซะไม่นานนัก ความสงสัยก็จะคลายตัวไปเองและอย่าเข้าใจว่า เรื่องที่เราสงสัยมันจะหายไปนะครับ เพราะเรายังไม่รู้มันก็ยังไม่รู้อยู่นั่นแหละ แต่เป็นการทำลายตัวที่จะก่อปัญหา นั่นคือความอยากแก้ปัญหา เชื่อเถอะว่า ไม่มีใครที่รู้ไปหมดทุกเรื่อง ดังนั้นถ้าเรารู้เรื่องภายนอก น้อยลงไปหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย หนำซ้ำยังสบายกว่าคนอื่นเสียอีกตรงที่ เราไม่มีวิจิกิจฉาที่ต้องหนักใจ กลับมารู้ตัวเราดีกว่าครับ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้น เมื่อเรารู้แล้ว หมดความสงสัยแล้ว มันก็แค่เรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็จางหายไปเท่านั้นเอง
และหลังจากนักปฏิบัติได้ปฏิบัติผ่านมาในระยะหนึ่ง กิเลสที่หนักอึ้ง ก็ก่อตัวตามมาด้วยเช่นกัน นั่นคือ ความอยากที่จะบรรลุธรรม ทำไมผมถึงกล่าวว่าต้องผ่านมาระยะหนึ่งก่อน นั่นก็เพราะว่า เรื่องของการบรรลุธรรม สำหรับชาวบ้านทั่วๆไปเขายังพูดว่ามันเรื่องไกลตัวนัก และอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็ด้วยเหตุการณ์ข้างบน คือการอ่าน, การฟังอย่างขาดสติควบคุม ก็เลยทำให้นักปฏิบัติ เท่านั้นแหละที่เห็นว่าเป็นเรื่องไม่ไกลตัว ซึ่งก็ถูก แต่มันผิดตรงที่การนำความอยากออกหน้า การปฏิบัติ เลยไม่ค่อยจะไปใหน เพราะพอมีอะไรเปลี่ยนแปลงปุ๊บ ก็จะดีใจ พอดีใจก็เลยเหลว เพราะลงไปที่กิเลสหมด ตรงนี้วิธีแก้ที่ผมเคยใช้คือ ลืมมันซะ มาทำที่เหตุดีกว่า เรื่องของผลมองเสียว่าเป็นเรื่องไกลตัว เอาเฉพาะข้างหน้านี้ เอาเฉพาะปัจจุบันนี้รู้ตัวให้ดีที่สุด ผลจะได้หรือไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ
ในการปฏิบัติธรรมของผมนั้น มีเครื่องหมายคำถามเกิดขึ้นบ่อยมากมีครั้งหนึ่งเกิดคำถามนี้ในใจ "ในสมัยพุทธกาล หนังสือก็ไม่มีให้อ่าน วิทยุก็ไม่มีให้ฟัง อินเตอร์เน็ตก็ไม่มีให้เล่น วัดก็แทบจะไม่มี ชาวพุทธก็มีเพียงแค่หยิบมือเดียว แต่ทำไมเพียงแค่การฟังเทศน์ ท่านจึงปฏิบัติธรรมได้ และได้เป็นอย่างดีด้วย อันนี้ก็ได้คำตอบมาอีกเช่นกันว่า ในสมัยพุทธกาลนั้น ฟังก็หาฟังยาก เพราะ ฉะนั้น หากฟังอะไรจับใจความของการปฏิบัติได้ ก็จะเอาแต่ตรงนั้นไม่ไปหาทางอื่นอีก และข้อธรรมที่ได้ เป็นธรรมแท้ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงว่านี่คำสอนแท้หรือเปล่า การลงหลักปักที่มั่นกับการปฏิบัติในแนวทางเดียวนี่ถือเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติ แต่หากจะแวะเล่นสนุก ตามรายทาง คงไม่ซีเรียสอะไร แต่ก็ต้องทำใจไว้ด้วยว่า วัฏฏะสงสารนี้ ไม่เคยปราณีใคร
หากจับจุดของการปฏิบัติธรรมเพื่อให้ผลกันจริงๆแล้วผมว่าไม่ต้องไปสนใจอะไรอื่นอีก เอาแต่เรื่องตัวเรา ใจเราเท่านั้น ชีวิตปกติเคยมี เคยเป็นอย่างไร ก็คงเป็นอย่างนั้น เคยโหวกเหวกก็โหวกเหวกกันไป(แต่อย่าลืมสติ) เท่านี้ก็คงจะพอแล้ว และยิ่งหากปฏิบัติได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้วเมื่อเหตุดี ผลคงไม่ต้องพูดถึงนะครับ
พูดมาเสียยาวยืด ขอเล่าให้ฟังเกี่ยวกับตอนต่อนี่ให้ฟังว่าทำไมช้านัก เพราะว่าเขียนแล้วลบๆ ด้วยเกรงว่าจะไปกระทบใครเข้า ไม่รู้จะเขียนอย่างไรดี จนครูต้องเข้ามาปลอบนั่นแหละเลยค่อยๆเขียนมาได้น่ะครับ ม่ายงั้น สงสัยอีกนานกว่าจะได้อ่าน : )
ขอบคุณครับ |
|