กลับสู่หน้าหลัก

เรื่องเล็กๆเรื่องหนึ่งที่ทำให้จิตเสื่อมได้ง่าย

โดยคุณ ธีรชัย วัน จันทร์ ที่ 14 สิงหาคม 2543 19:50:06

ผมมีเรื่องเล็กๆที่เกี่ยวกับความผิดพลาดที่เกิดจากผลของการปฏิบัติธรรม
มาเล่าให้ฟังเรื่องนึงคือ การบอกเล่าผลของการปฏิบัติธรรมของเราให้ผู้อื่นได้รู้
ในระยะเวลาของการปฏิบัติธรรมของนักปฏิบัติส่วนมากจะมีช่วงที่รู้สึก
ดี,ไม่ดี,เฉยๆ กับผลของการปฏิบัติ ในช่วงระยะเวลานั้นๆ
ซึ่งถ้าเป็นช่วงที่ ไม่ดี หรือเฉยๆนั้น ก็คงไม่มีอะไรเพราะมันไม่มีอะไร
แต่หากช่วงใหนที่เรารู้สึกดี ช่วงนี้แหละจะเริ่มมีปัญหา กล่าวคือแรกสุดนั้น
ก็จะเกิดความอยาก ไม่มาก ก็น้อย เช่นอยากที่จะเป็นแบบเดิมอีก
เพราะรู้สึกดี และแน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบังคับให้เป็นไปตามความอยากของเรา
ซึ่งก็หมายความว่าความทุกข์ในการปฏิบัติได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว ถ้าเห็นและรู้ทัน
ก็สบายไปหน่อยตรงที่ เมื่อไรก็ตามความรู้สึกอยากเป็นแบบเก่าเกิดขึ้น
เมื่อนั้นเราก็จะรู้ได้ทันทีว่า นี่ ความคิดที่จะก่อทุกข์เกิดขึ้นมาและ
ก็จะสามารถดับไฟนั้นได้ทันท่วงที ไม่ก่อปัญหาต่อไป

อีกอย่างที่สำคัญและเก่งกว่าอย่างแรกแรกมากคือ ความอยากที่
จะบอกเล่าประสบการณ์แห่งความสุขนี้ให้ผู้อื่นได้รับรู้ โดยผ่านการ
บอกเล่าด้วยวิธีการต่างๆ 
ในการบอกเล่าเรื่องราวทั้งหลายเหล่านั้น มันเป็นการทำลายวิธีการของจิต
ที่กำลังเรียนรู้ภาวะต่างๆ ซึ่งแน่นอน เมื่อไรที่จิตยอมที่จะเรียนรู้
ผ่านแนวทางการปฏิบัติธรรมมันต้องดีแน่นอนอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าการเรียนรู้นั้นมันยังไม่จบครบถ้วน เราก็จะไปทำลาย
กระบวนการการเรียนรู้ของจิตนั้นเสียโดยผ่านการบอกเล่าทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็นการเล่าให้คนใกล้ตัวฟัง,เล่าให้ครูฟัง,เล่าผ่านกระทู้,ฯลฯ
แรกๆผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ แต่ผมสังเกต
เห็นอาการแบบนี้(จิตเสื่อม)ทุกครั้งที่เล่า จนผมเลยเล่นย้อนศรเอาเสียเลย
คือ ในเมื่อผลดี เล่า แล้วหาย(เสื่อม) ผมก็คิดว่า หากไม่ดีเมื่อเล่า
แล้วก็ต้องหายไปเหมือนกัน ดังนั้นการเขียนกระทู้ในระยะก่อนหน้านี้ของผม
จึงมีแต่การบอกเล่าความผิดพลาด ซึ่งได้ผล เรียกได้ว่าแจ๋วเลย
เพราะเล่าปุ๊บ หาย  เลยใช้วิธีนี้มาระยะนึง
แล้วก็เล่าให้ครูฟังและได้ถามว่า
ทำไมการบอกเล่าทั้งหลายมันถึงเป็นแบบนี้ พอกำลังดีๆนะเล่าไป พังเลย
ไม่เว้นแม้กระทั่งเล่าให้ครูฟัง
ครูก็บอกว่า อย่างนั้นแหละ เล่าเมื่อไรพังหมด
ผมก็เลยเล่าวิธีที่ผมย้อนศรให้ครูฟัง ครูฟังแล้วก็ตอบในทันทีว่า
ก็ใช้ได้ แต่อย่าใช้บ่อย
ซึ่งผมก็ถามต่อว่าทำไมล่ะครับ ครูท่านตอบมาอีกทีทีนี้ชัดเจนเลย คือครูบอกว่า
"มัวแต่หนีแล้วเมื่อไรจะชนะ"
ตอนนั้นงงเหมือนกันครับว่านี่หรือการหนี เพราะเห็นว่าเรากำลังสู้
โดยเอาวิธีประยุกต์มาใช้และต่อมาจึงได้คิดให้ละเอียดดูก็เห็นชัดว่าเรา
กำลังหนีภาวะที่ไม่ต้องการอยู่ โดยผ่านวิธีการที่แนบเนียนมากขึ้นกว่าเดิมและ
หลังจากนั้น ก็ไม่ได้ใช้วิธีนี้อีกเลย
การบอกเล่าทั้งหลาย มันส่งผลที่ค่อนข้างจะไม่คุ้มต่อการปฏิบัติเลย นั่นคือ
หากเราเล่นย้อนศรบ่อยเข้า เราก็จะเห็นว่าทุกข์นั้น ง่ายต่อการจัดการ
ทำให้ประมาทได้ง่ายและหากเล่าเรื่องดีๆ มันก็ยังดีหน่อยที่ยังมีกุศลเกิดขึ้น
แต่หากคำนึงถึงเรื่องการปฏิบัติแล้ว ผมว่ามันไม่คุ้มเท่าไร
เพราะกว่าจะเกิดคำว่า "ดี" นั้น มันยากจริงๆ นานๆจึงจะเกิดภาวะอย่างนั้นสักครั้ง
แต่เรากลับจะเป็นผู้ทำลายเสียเอง

ดังนั้น ผมจึงเห็นว่า ในการปฏิบัติธรรมไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าดี หรือไม่ดี
หากเราสามารถกำหนดจิตให้สงบนิ่ง รู้กลาง วางเฉย ได้ เรื่องทั้งหลายไม่ว่าดี
หรือไม่ดี มันก็แค่ภาวะหนึ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็ต้องดับไปในที่สุด
และเมื่อเวลาผ่านไป มันก็ไม่เหลืออะไรให้มาติดได้อีกเพราะมันดับไปแล้ว

โดยคุณ ธีรชัย วัน จันทร์ ที่ 14 สิงหาคม 2543 19:50:06

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ tana วัน จันทร์ ที่ 14 สิงหาคม 2543 20:20:28
อุบายอีกแล้วหรือครับ เท็ด
โดยคุณ tana วัน จันทร์ ที่ 14 สิงหาคม 2543 20:20:28

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 15 สิงหาคม 2543 06:48:21
เองการเล่าประสการณ์ธรรมของตนเองแล้วจิตเสื่อม ผมเองก็เป็นอยู่เหมือนกันครับ บางช่วงผมจึงไม่สามารถที่จะมาเล่าเรื่องใน วิมุตติได้เลยครับ และในความรู้บางเรื่อง ก็อยู่ในข่าย ไม่เล่าดีกว่า เพราะหากเล่าไปแล้ว หากใครผ่านไปผ่านมา มาอ่านเข้า ก็คงจะเกิดวิวาทะกันได้ง่ายๆ เหตุเพราะมีความขัดแย้งกับที่ปรากฎในคัมภีร์เชียวครับ

จากการสังเกตของผมเอง ผมพบว่า หากเราเล่าเรื่องโดยใช้จิตที่เป็นเมตตากรุณา แทนที่จะตั้งจิตไปในทางเพื่ออวดธรรมที่ตนมี ก็มักจะไม่เกิดการเสื่อมของจิตหรอกครับ เพราะมิได้ทำไปเพื่อตนเอง ดังนั้นกิเลสจะไม่กำเริบ เพราะการทำไปด้วยปราถนาดีต่อผู้อื่นแต่ถ่ายเดียว ไม่เป็นอาหารให้กับกิเลสหยาบๆหรอกครับ

ลองนำไปใช้ดูนะครับ


โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 15 สิงหาคม 2543 06:48:21

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 15 สิงหาคม 2543 07:07:44
คุณเท็ด เป็นมนุษย์เจ้าอุบายมานานแล้วครับคุณธนา
ที่ปฏิบัติลำบากมากกว่าใครๆ ก็ตรงที่เจ้าอุบายนี่แหละ
จนตอนหลัง คุณเท็ด จึงจับเคล็ดได้ว่า
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้รู้ทัน อย่าเผลอไปตามความยินดียินร้าย
พอเข้าใจถึงตรงนี้แล้ว การปฏิบัติจึงราบรื่นขึ้น

เรื่องปฏิบัติดีแล้วเอามาเล่าให้เพื่อนฟัง และเกิดผลเสียนั้น
ส่วนมากไม่ใช่เสียตอนที่เริ่มเล่าหรอกครับ
แต่เริ่มเสียตั้งแต่หลงกลกิเลสที่เรียกว่ามานะ คือ กูเก่ง เสียก่อนแล้ว
(คุณมะขามป้อม ผู้ฉลาด จึงวัดใจตนเองเสียก่อนหลายรอบ ก่อนจะเขียนกระทู้)
จากนั้นพอเล่าแล้วเพื่อนฝูงก็ฮือฮา อนุโมทนากันใหญ่ตามมารยาทของชาวเน็ต
เจ้าของก็ยิ่งเคลิ้มว่า กูเก่ง มากขึ้นไปอีก

การที่กิเลสเกิดแล้วไม่รู้ทันนั้น เป็นจุดตั้งต้นที่ทำให้กรรมฐานเสื่อม
แต่ชั้นแรกเจ้าตัวยังไม่ทราบว่ามันเสื่อมแล้ว ยังคิดว่ามันยังดีอยู่
ครั้นหลายวันเข้า ความเสื่อมโทรมก็เริ่มปรากฏร่องรอยหยาบๆ ให้เห็น
คราวนี้ก็เริ่มเดือดร้อนใจ เพราะจะต้องพยายามรักษามาตรฐานของคนเก่งเอาไว้
เนื่องจากไปคุยอวดเพื่อนไว้มากแล้ว
ตรงที่อยากจะให้ของเสื่อมมันคงทนถาวรนี่แหละครับ
ที่ยิ่งพาให้วุ่นวายหนักกว่าเก่า
พยายามนึกว่า ตอนที่มันเจริญนั้น เกิดขึ้นจากการปฏิบัติอย่างไร
แล้วก็ปฏิบัติไปตามนั้น โดยหวังผลว่าจะได้อย่างเดิม
การปฏิบัติด้วยความอยากได้ผลนั้นเอง ยิ่งทำให้ไม่ได้ผลอย่างที่อยาก
เรียกว่าทำผิดซ้ำซ้อน หลายครั้งหลายหนต่อกัน

พวกเราหลายท่านคงเคยเจอประสบการณ์ทำนองนี้มาแล้ว
และผู้ปฏิบัติหลายท่านที่ปฏิบัติดี จะได้รับคำแนะนำจากผมว่า อย่าพูด อย่าเล่า
ให้เร่งปฏิบัติของเราไป เพื่อให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
(แต่ถ้าปรารถนาจะเดินแนวทางมหายาน คือทางของพระโพธิสัตว์
จะเล่าเพื่อให้ผู้อื่นเกิดกำลังใจ โดยยอมสละตนเอง ก็ไม่ว่ากันครับ)

มีข้อสังเกตหน่อยหนึ่งครับ ว่าผมไม่ได้ห้ามว่าผู้ปฏิบัติดีอย่าเล่าให้ครูอาจารย์ฟัง
เพียงแต่ไม่อยากให้โฆษณาเพื่อความเด่นเหนือเพื่อนเท่านั้น
เพราะจะทำให้การปฏิบัติเสียหาย
แต่ถ้าวัดใจตนเองให้ดี แบบคุณมะขามป้อม แล้วเขียน
อย่างนั้นเป็นประโยชน์กับผู้อื่น โดยตนเองไม่เสียหายครับ

ส่วนที่ปฏิบัติผิดพลาด หรือมีกิเลสมากไม่ทราบจะสู้อย่างไร
แล้วมาเล่าให้ครูอาจารย์ฟังนั้น ก็ไม่ใช่เล่าไม่ได้นะครับ
ถ้าเล่าหรือปรึกษาเพื่อหาอุบายสู้กิเลส
แต่กรณีที่ผมไม่อยากให้คุณเท็ดเล่าให้ผมฟังนั้น
เพราะคุณเท็ดเล่า เพื่อเป็นอุบาย แก้อาการของกิเลสโดยไม่เห็นไตรลักษณ์
เช่นกำลังโกรธจัด ก็มาเล่าให้ผมฟังเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากกิเลส
ขึืนใช้ความเจ้าเล่ห์เจ้าอุบายอย่างนี้
นอกจากจะไม่เห็นอนัตตาแล้ว อัตตายังจะโตขึ้นเสียอีก
เพราะคิดว่าเราเก่ง มีอุบายปราบกิเลสได้อย่างง่ายดาย

สรุปแล้ว คุณเท็ด หรือคุณเก๋ หรือคุณใบลานเปล่า หรือคุณมวยวัด หรือคุณธีรชัย
(มีหลายชื่อเหมือนผู้ร้ายในหนังสือพิมพ์เลยครับ)
เป็นผู้ผ่านความยากลำบากในการปฏิบัติมามาก กว่าจะปฏิบัติเข้าร่องเข้ารอย
จึงเป็นทรัพยากรบุคคลที่ดีของวิมุตติ
เพราะนักปฏิบัติแบบนี้ ถ้าปฏิบัติจนถึงจิตถึงใจแล้ว
จะช่วยเหลือหมู่เพื่อนได้มากทีเดียวครับ

ขออนุโมทนาสาธุกับกระทู้นี้ครับ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 15 สิงหาคม 2543 07:07:44

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 15 สิงหาคม 2543 07:25:04
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ บัวใต้น้ำ วัน อังคาร ที่ 15 สิงหาคม 2543 09:00:35
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ listener วัน อังคาร ที่ 15 สิงหาคม 2543 09:52:16
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ วิทวัส วัน อังคาร ที่ 15 สิงหาคม 2543 10:22:46
สาธุกับพี่ธีรชัยครับ
โดยคุณ วิทวัส วัน อังคาร ที่ 15 สิงหาคม 2543 10:22:46

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ ศุภสิทธิ์ วัน อังคาร ที่ 15 สิงหาคม 2543 10:25:54
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ สุรวัฒน์ วัน อังคาร ที่ 15 สิงหาคม 2543 11:50:52
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ จ้อม วัน อังคาร ที่ 15 สิงหาคม 2543 12:46:27
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ พีทีคุง วัน อังคาร ที่ 15 สิงหาคม 2543 14:25:12
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ ธีรชัย วัน อังคาร ที่ 15 สิงหาคม 2543 17:58:30
: )
แหมครูเล่นเปรียบผมยังกับ18มงกุฏเชียว
แต่ถ้าดู มันก็เหมือนจริงๆแหละ ฮ่ะๆ
เรื่องชื่อของผมที่มีหลายชื่อนี่ถ้าสังเกตจะเห็นได้ว่า
ผมไม่เคยพอใจอะไรง่ายๆเลย(เรื่องมาก : ) )
แรกสุดตอนที่เล่นเน็ต เข้า irc เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าจะใช้ชื่ออะไรดี เฉพาะชื่อ ted นี่
เล่นเอาวุ่นวายไปพักใหญ่เหมือนกัน คือเริ่มจากไม่รู้ว่าจะใช้ชื่ออะไรดี
ทีแรกก็จะใช้ชื่อจริง แต่คิดไปคิดมา ไม่เหมาะเท่าไร
ก็เลยเอาชื่อจริง 2 ตัวอักษร แล้วไล่ abcจนถึง d นั่นแหละครับ
จึงเป็นชื่อtedและก็ใช้ชื่อนี้ใน irc มาตลอด แล้วก็เล่นมันอยู่แต่ใน irc
แทบจะไม่ได้เข้าเว็บใหนเลยเพราะช่วงนั้น เว็บไซด์ส่วนมากเป็นภาษาอังกฤษ
ซึ่งผมเป็นโรคภาษาอังกฤษอ่อนแอ ก็เลยไม่เข้าดีกว่า จนวันนึงมีเพื่อนใน irc
แนะนำให้รู้จักเว็บ sawasdeeซึ่งเป็นเว็บบอร์ดขนาดเล็ก
ก็เลยเข้าไปแจม เล่นอยู่พักนึง บอร์ดนี้ก็เลิกไป (เห็นเจ้าของบอร์ดบอกว่า
กระทู้ครบ 1200 กระทู้ก็เลิก) พอเลิกจากเว็บนั้น ความมันส์ในอารมณ์ยังไม่จางไป
ก็เลยตระเวณหาเว็บบอร์ด อื่นจนกระทั่งเพื่อนใน irc อีกนั่นแหละ บอกว่ามี
บอร์ดพันทิพย์ ก็เลยเข้าไปแจมแรกๆตอนที่เข้าไปในห้องสมุดเห็นกระทู้
ก็นึกในใจว่า โห มีกระทู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเยอะแยะเลย อย่างงี้ก็สนุกสิ
(เดิมผมตั้งห้องใน irc ชื่อ สายธารแห่งสัจจธรรม คุยแต่เรื่องศาสนา)
ก็เลยเข้าร่วมการตอบกระทู้มาตั้งแต่นั้น และครั้งที่เริ่มการตอบกระทู้ในพันทิพย์
นั้นเอง ผมรู้ตัวดีว่ายังไม่มีอะไรในทางธรรม จะมีก็แค่สิ่งที่จำได้จากการ
อ่านหรือสัญญานั่นแหละ มาตอบๆๆ เปรียบเทียบตัวเองเหมือนว่า
มีแต่ตัวหนังสือ ก็เลยใช้ชื่อว่า "ใบลานเปล่า"มาตั้งแต่นั้น
จนกระทั่งได้พบครู และได้ครูเป็นครูสอนธรรม และจากวันที่ได้ครู
สอนธรรม (29/11/2541)วันนั้นก็เลิกเล่น ircไปเลย เพราะเราได้ตาม
จุดประสงค์ของเราแล้ว เร่งหาทางให้มันรู้เรื่องรู้ราวจริงๆเสียทีก็เลย
เลิกircไป สายธารแห่งสัจจธรรมเลยหายไปจาก irc
ตั้งแต่วันนั้นแหละครับ แต่กระทู้ก็ยังแจมอยู่ แต่คิดว่าตอนนี้เราได้ครูแล้ว
จะใช้ชื่อแบบเก่าไม่ได้แล้วหากใครเห็นเข้า จะตำนิครูบาอาจารย์ได้
ก็เลยคิดเปลี่ยนชื่ออีกครั้ง ทีนี้ยากแล้ว เพราะไม่รู้จะใช้ชื่ออะไรดี
จนวันนึงได้คุยกับครู ครูบอกว่า "นิสัยเดิมเราเป็นอย่างนี้แหละเหมือนนักมวย"
ผมเลยบอกครูว่า "เหมือนมวยวัดสิครับ" ก็เลยเอาชื่อนี้มาใช้เพราะมันสื่อถึง
นิสัยชอบลุย ไม่เกี่ยงรูปแบบ มาจนถึงทุกวันนี้แหละครับ
ส่วนที่ใช้ ธีรชัยนั้นเพราะเห็นว่านี่เป็นสังคมเล็กๆเฉพาะกลุ่ม
ควรที่จะใช้ชื่อจริง ก็เลยใช้ชื่อจริง(อันที่จริงเห็นครูใช้ก่อนนั่นแหละ)
มาตั้งแต่เริ่มบอร์ดนี้

ฮ่ะๆ นี่เฉพาะเรื่องชื่อนะเนี่ยะ ยังเรื่องมากปานนี้ แล้วคิดดูแล้วกันครับว่าเรื่องอื่นๆ
มันจะขนาดใหนโดยเฉพาะเรื่องการปฏิบัติธรรม
ที่พี่ธนาพูดถึงว่าผมอุบายเยอะ และผมก็มารู้ว่าตัวเองอุบายเยอะตอนที่ครูบอกนั่นแหละครับ
คืออย่างที่ผมบอก ผมลุยไม่เกี่ยงวิธี ดังนั้น อะไรก็ตามถ้าผมเห็นว่าดีละก็ผมลองหมด
ไม่ว่าแบบใหนใครว่าดี ลอง ใครว่าเยี่ยม ลอง มันก็ดีจริงๆนั่นแหละเพียงแต่มันดี
ไม่กี่ครั้ง เพราะลืมตัวสำคัญไปตัวนึงคือ"ความอยากหนีวัฏฏะ" ก็เลยโดน
ตัวนี้หลอกให้ไม่รู้ตัวมานานเหมือนกระสอบที่เจ้าของโยนของใหม่ใส่ลงไปทุกวัน
วันนึงมันก็เริ่มหนักขึ้นๆจนกระทั่งได้ครูช่วยแก้อันนี้ให้
ผมก็เลิกหาอุบายภาวนาอีก และทุกวันนี้ผมใช้อยู่แค่
กำหนดรู้ลมหายใจ,อิริยาบท, กับมีสติ รู้ตัว,อารมณ์
(แล้วแต่สถานการณ์)เพียงเท่านี้ นอกนั้นทิ้งไปตั้งแต่กระทู้อุบายฯนั่นแหละครับ

ตั้งแต่เขียนกระทู้นี้ก็เห็นแล้วว่าจะต้องมีข้อสงสัยว่า อ้าว แล้วอย่างนี้จะให้ทำอย่างไรกันล่ะ
คุยก็ไม่ได้ ติดปัญหาก็เล่าไม่ได้ แต่ผมไม่เขียนต่อลงไปเพราะต้องการให้ครูตอบปัญหานี้
ในฐานะของครู ปัญหานี้มีทางออก และก็ได้เห็ทางออกที่ดีตามที่ครูเขียนข้างต้น
อยู่แล้ว  _/\_ อนุโมทนาสาธุกับคำตอบของครูครับ : )
โดยคุณ ธีรชัย วัน อังคาร ที่ 15 สิงหาคม 2543 17:58:30

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ มรกต วัน เสาร์ ที่ 19 สิงหาคม 2543 00:42:40
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 22 สิงหาคม 2543 11:13:31
ไม่ได้ฉลาดหรอกครับ มีแต่ รู้ หรือ ไม่รู้
(ขอยืมมาจากคุณไตรภพหน่ะครับ :) )

เรื่องจิตเสื่อมนั้นเป็นธรรมดาครับ
ส่วนใหญ่แล้วนักปฏิบัติที่รู้สึกว่าจิตเสื่อม ก็มักจะมีปฏิกริยาอยู่ไม่กี่อย่างครับ

1. รู้สึกตกอกตกใจ อยากมีจิตที่ดีเหมือนเดิม
ก็ยิ่งเร่งปฏิบัติแบบตึงเครียดเกินไป จนลืมดูความอยาก
แบบนี้ยิ่งปฏิบัติ ก็ยิ่งเครียด ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งเสื่อม

2. พอรู้ตัวว่าจิตเสื่อม ก็คิดไปว่ามันเป็นธรรมดาของจิต
เดียวมันก็ดีเอง ก็ปล่อยเลยตามเลย คิดว่าเดี๋ยวพอมีเวลาว่าง
ค่อยปฏิบัติ อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เมื่อไหรจะว่าง :)

3. เสื่อมก็ให้รู้ว่าเสื่อม ตามดูจิตไปเรื่อยๆ ไม่วิพากษ์
วิจารณ์ ไม่น้อมเอาสัญญาในอดีตมาคิด ทำให้จิต
หลุดจากสภาพรู้ ที่เป็นกลางในปัจจุบัน

เรื่องการเขียน/ตอบ กระทู้นั้น ต้องฝึกวางอุเบกขาครับ
ส่วนใหญ่เราจะกังวลว่า คนอื่นจะคิดกับเราอย่างไร
ภาพของเรา อย่างไร
เรา คำเดียวนี้แหละครับ สำคัญนัก
ชอบสร้างภาพเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่อยากเป็นนั่นไม่อยากเป็นนี่
แล้วความคิดแบบนี้ก็มากคอยกวนใจอยู่เสมอ
เพราะเรายังต้องอยู่ในสังคมร่วม กับคนอื่น

ต้องละความคิดแบบนี้ครับ เสนอความเป็นจริงที่ออกมาจากใจ
เราคิดอย่างไร เราเห็นอย่างไรก็เขียนออกมา
จะผิดหรือจะถูก ก็เป็นเพียงความคิดหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง
เท่านั้นเองครับ
โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 22 สิงหาคม 2543 11:13:31

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ ธาตุธรรม วัน จันทร์ ที่ 28 สิงหาคม 2543 12:59:12
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com