ผมมีเรื่องเล็กๆที่เกี่ยวกับความผิดพลาดที่เกิดจากผลของการปฏิบัติธรรม มาเล่าให้ฟังเรื่องนึงคือ การบอกเล่าผลของการปฏิบัติธรรมของเราให้ผู้อื่นได้รู้ ในระยะเวลาของการปฏิบัติธรรมของนักปฏิบัติส่วนมากจะมีช่วงที่รู้สึก ดี,ไม่ดี,เฉยๆ กับผลของการปฏิบัติ ในช่วงระยะเวลานั้นๆ ซึ่งถ้าเป็นช่วงที่ ไม่ดี หรือเฉยๆนั้น ก็คงไม่มีอะไรเพราะมันไม่มีอะไร แต่หากช่วงใหนที่เรารู้สึกดี ช่วงนี้แหละจะเริ่มมีปัญหา กล่าวคือแรกสุดนั้น ก็จะเกิดความอยาก ไม่มาก ก็น้อย เช่นอยากที่จะเป็นแบบเดิมอีก เพราะรู้สึกดี และแน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบังคับให้เป็นไปตามความอยากของเรา ซึ่งก็หมายความว่าความทุกข์ในการปฏิบัติได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว ถ้าเห็นและรู้ทัน ก็สบายไปหน่อยตรงที่ เมื่อไรก็ตามความรู้สึกอยากเป็นแบบเก่าเกิดขึ้น เมื่อนั้นเราก็จะรู้ได้ทันทีว่า นี่ ความคิดที่จะก่อทุกข์เกิดขึ้นมาและ ก็จะสามารถดับไฟนั้นได้ทันท่วงที ไม่ก่อปัญหาต่อไป
อีกอย่างที่สำคัญและเก่งกว่าอย่างแรกแรกมากคือ ความอยากที่ จะบอกเล่าประสบการณ์แห่งความสุขนี้ให้ผู้อื่นได้รับรู้ โดยผ่านการ บอกเล่าด้วยวิธีการต่างๆ ในการบอกเล่าเรื่องราวทั้งหลายเหล่านั้น มันเป็นการทำลายวิธีการของจิต ที่กำลังเรียนรู้ภาวะต่างๆ ซึ่งแน่นอน เมื่อไรที่จิตยอมที่จะเรียนรู้ ผ่านแนวทางการปฏิบัติธรรมมันต้องดีแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าการเรียนรู้นั้นมันยังไม่จบครบถ้วน เราก็จะไปทำลาย กระบวนการการเรียนรู้ของจิตนั้นเสียโดยผ่านการบอกเล่าทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเล่าให้คนใกล้ตัวฟัง,เล่าให้ครูฟัง,เล่าผ่านกระทู้,ฯลฯ แรกๆผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ แต่ผมสังเกต เห็นอาการแบบนี้(จิตเสื่อม)ทุกครั้งที่เล่า จนผมเลยเล่นย้อนศรเอาเสียเลย คือ ในเมื่อผลดี เล่า แล้วหาย(เสื่อม) ผมก็คิดว่า หากไม่ดีเมื่อเล่า แล้วก็ต้องหายไปเหมือนกัน ดังนั้นการเขียนกระทู้ในระยะก่อนหน้านี้ของผม จึงมีแต่การบอกเล่าความผิดพลาด ซึ่งได้ผล เรียกได้ว่าแจ๋วเลย เพราะเล่าปุ๊บ หาย เลยใช้วิธีนี้มาระยะนึง แล้วก็เล่าให้ครูฟังและได้ถามว่า ทำไมการบอกเล่าทั้งหลายมันถึงเป็นแบบนี้ พอกำลังดีๆนะเล่าไป พังเลย ไม่เว้นแม้กระทั่งเล่าให้ครูฟัง ครูก็บอกว่า อย่างนั้นแหละ เล่าเมื่อไรพังหมด ผมก็เลยเล่าวิธีที่ผมย้อนศรให้ครูฟัง ครูฟังแล้วก็ตอบในทันทีว่า ก็ใช้ได้ แต่อย่าใช้บ่อย ซึ่งผมก็ถามต่อว่าทำไมล่ะครับ ครูท่านตอบมาอีกทีทีนี้ชัดเจนเลย คือครูบอกว่า "มัวแต่หนีแล้วเมื่อไรจะชนะ" ตอนนั้นงงเหมือนกันครับว่านี่หรือการหนี เพราะเห็นว่าเรากำลังสู้ โดยเอาวิธีประยุกต์มาใช้และต่อมาจึงได้คิดให้ละเอียดดูก็เห็นชัดว่าเรา กำลังหนีภาวะที่ไม่ต้องการอยู่ โดยผ่านวิธีการที่แนบเนียนมากขึ้นกว่าเดิมและ หลังจากนั้น ก็ไม่ได้ใช้วิธีนี้อีกเลย การบอกเล่าทั้งหลาย มันส่งผลที่ค่อนข้างจะไม่คุ้มต่อการปฏิบัติเลย นั่นคือ หากเราเล่นย้อนศรบ่อยเข้า เราก็จะเห็นว่าทุกข์นั้น ง่ายต่อการจัดการ ทำให้ประมาทได้ง่ายและหากเล่าเรื่องดีๆ มันก็ยังดีหน่อยที่ยังมีกุศลเกิดขึ้น แต่หากคำนึงถึงเรื่องการปฏิบัติแล้ว ผมว่ามันไม่คุ้มเท่าไร เพราะกว่าจะเกิดคำว่า "ดี" นั้น มันยากจริงๆ นานๆจึงจะเกิดภาวะอย่างนั้นสักครั้ง แต่เรากลับจะเป็นผู้ทำลายเสียเอง
ดังนั้น ผมจึงเห็นว่า ในการปฏิบัติธรรมไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าดี หรือไม่ดี หากเราสามารถกำหนดจิตให้สงบนิ่ง รู้กลาง วางเฉย ได้ เรื่องทั้งหลายไม่ว่าดี หรือไม่ดี มันก็แค่ภาวะหนึ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็ต้องดับไปในที่สุด และเมื่อเวลาผ่านไป มันก็ไม่เหลืออะไรให้มาติดได้อีกเพราะมันดับไปแล้ว
|
|