กลับสู่หน้าหลัก

ตายแล้วเกิด หรือ สูญ กันแน่?

โดยคุณ พัลวัน วัน พฤหัสบดี ที่ 17 สิงหาคม 2543 10:30:48

สำหรับความเชื่อของคนไทยในยุคปัจจุบัน เท่าที่ผมได้ยินได้ฟังมา มีอยู่ 3 ประการใหญ่ๆครับ คือ

1. กรรมไม่มี
2. ตายแล้วเกิดอีก
3. ตายแล้วสูญ

ซึ่งทั้งสามประการนี้ จัดเป็นมิจฉาทิฎฐิ แต่เป็นมิจฉาทิฎฐิที่มีรายละเอียดกำกับครับ

1. กรรมไม่มี ก็ต่อเมื่อ ไม่มีเจตนา (เพราะพุทธองค์ทรงแสดงไว้ชัดเจนว่า เจตนาคือตัวกรรม) ดังนั้น ก้อนหิน ดิน หญ้า ไม่มีเจตนา จึงไม่มีกรรม แต่เราๆท่านๆผู้ที่ยังแบกกิเลสตัณหาไว้บนบ่า มีเจตนาอยู่ทุกขณะ ดังนั้นจึงทำกรรมไว้ทุกขณะเช่นกัน บ้างก็เป็นมโนกรรม บ้างก็เป็นวจีกรรม และบ้างก็เป็นกายกรรม จะมีผู้ที่ไม่มีกรรมก็มี ได้แก่พระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลาย เพราะท่านปราศจากเจตนาเสียแล้ว จึงปราศจากกรรมด้วย แต่การเสวยผลของกรรม คือการเสวยวิบากยังมีอยู่ เพราะจิตมีอยู่ และจิตนั้นก็เป็นวิบาก เป็นสิ่งที่หลงเหลือค้างอยู่จากกิเลสตัณหาอวิชชานั้น (ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจ ว่าทำไมพระโมคคัลลานะ จึงยังมีกรรมเก่าตามทัน เป็นเหตุให้ถูกทุบตาย)

ถึงตรงนี้ก็จะมีผู้สงสัยอีกว่า ทำไมพระอรหันต์จึงไม่มีเจตนา เรื่องนี้หากถกเถียงกัน ก็คงจะไม่จบ ดังนั้นผมจึงไม่ขอถกเถียงในประเด็นนี้ด้วย แต่หากท่านใดอยากทราบ ก็ขอเรียนให้ทราบว่า การเฝ้าดูจิตของตนเอง ตามแนวทางแห่ง จิตตานุปัสสนานี้ จะทำให้เห็นตัวเจตนาได้ เห็นแล้วก็จะรู้ว่าทำไมจึงเป็นตัวกรรม และยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ รู้ด้วยว่า เจตนานี้ เกิดขึ้นมาด้วยมีอะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัย

2. ตายแล้วเกิด ก็ต่อเมื่อยังมีเชื้อแห่งการเกิดเหลืออยู่ คือตัณหา ตราบใดที่ยังมีตัณหาเหลืออยู่ (ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมต้องมีอวิชชา-อาสวะ เหลืออยู่) เมื่อตายแล้วต้องเกิด หากอยากจะทราบว่า ทำไมจึงต้องเกิด การเฝ้าดูจิตใจของตนเอง ด้วยสติ-สัมปัชชัญญะ เป็นสัมมาสติ ก็จะเห็นจิตที่วิ่งเข้าไปเสพอารมณ์ด้วยตัณหา เข้ายึดอารมณ์ด้วยตัณหา มาเป็นตน-ของตน เห็นสิ่งที่ถูกยึดทั้งหลาย ถ่วงให้จิตขาดอิสระ เป็นภาระ เป็นทุกข์

สำหรับเรื่องการเชื่อที่ว่าตายแล้วเกิดนั้น เป็นมิจฉาทิฎฐิก็ตรงที่ เป็นความเชื่อที่สรุปรวบยอดลงไป โดยมิได้พิจารณาให้ถี่ถ้วนต่างหาก เพราะพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลาย เมื่อท่านตายแล้วก็ไม่ได้ไปเกิด ณ.ที่ใดทั้งสิ้นเลย เรื่องนี้มีปรากฎอยู่พระสูตรหลายๆแห่งทีเดียว

3. ตายแล้วสูญ จะสูญสิ้นจริงๆก็ต่อเมื่อ สิ้นเชื้อแห่งการเกิดอีก คือ กิเลส ตัณหา อวิชชา อาสวะ เหล่านี้ ดังนั้นบุคคลทั่วๆไปเช่นเราๆท่านผู้ยังมากด้วยกิเลสตัณหาอวิชชา เมื่อตายแล้วย่อมไม่สูญ จิตเมื่อขณะตายก็ย่อมวิ่งออกไปหาอารมณ์มาเสพ และเข้ายึด มาเป็นตัวเป็นตน ภพใหม่ก็เกิดอีก การเกิดใหม่ก็มีอยู่ เรื่องตรงนี้นั้น ผู้ที่ฝึกเฝ้าดูจิตใจของตนเองจนชำนาญ ตามทางจิตตานุปัสสนาจะรู้ดีว่าเป็นเช่นไร

สำหรับพระอรหันต์ขีณาสพ ท่านได้ปล่อยละวางตัณหาได้สิ้นแล้ว ไม่มีอะไรเป็นแรงผลักดันให้จิตต้องไปเสพอารมณ์ และยึดอารมณ์ใดๆอีก ดังนั้นจึงไม่มีภพใหม่-เกิดใหม่อีก ตรงนี้มีอธิบายไว้ชัดเจนในปฎิจจสมุปบาท และแม้แต่ตัวจิตเอง ซึ่งเป็นวิบากสุดท้าย ก็ดับวับหายไปเช่นกัน

ดังนั้น หากจะไม่ให้ประโยคที่ว่า ตายแล้วสูญ ตายแล้วเกิด เป็นมิจทิฎฐิ ก็ต้องว่า

คนมีกิเลสตายแล้วเกิด คนสิ้นกิเลสตายแล้วสูญ ใครจะมาเถียงว่า ตายแล้วไปอยู่ในเมืองนิพพาน หรือแดนนิพพาน ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะนิพพานคือไม่มี ถ้ามีไม่ใช่นิพพาน ดังคำของหลวงพ่อ ทูลขิปปัญโญ
โดยคุณ พัลวัน วัน พฤหัสบดี ที่ 17 สิงหาคม 2543 10:30:48

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ พัลวัน วัน พฤหัสบดี ที่ 17 สิงหาคม 2543 10:40:02
ตรงนี้ ผมคัดลอกมาจากที่ผม post ไว้ที่ลานธรรมฯ โดยมิได้เขียนขึ้นมาใหม่ ดังนั้นสำนวนอาจจะปร่าแปร่งไปบ้าง และหากมีที่ใดผิด ก็รบกวนช่วยแก้ไขให้ถูกต้องด้วยครับ
โดยคุณ พัลวัน วัน พฤหัสบดี ที่ 17 สิงหาคม 2543 10:40:02

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ listener วัน พฤหัสบดี ที่ 17 สิงหาคม 2543 18:48:05
ขอเรียนถามเพิ่มนะครับ คือเคยอ่าน เจอว่า พระรูปหนึ่งเชื่อว่า ปุถุชนตายแล้วเกิด พระอรหันต์ตายแล้วสูญ ผมคิดตามดูโดย common sense ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่กลายเป็นว่า เป็นทิฐิที่ผิด โดยพระสารีบุตรท่านต้องมาแก้ทิฐิให้
โดยไล่ถาม ว่ามีพระอรหันต์ ใน รูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ.

ความนัยในเรื่องนี้ ผมไม่ทราบกระจ่างนัก ขอฟังผู้รู้ครับ
โดยคุณ listener วัน พฤหัสบดี ที่ 17 สิงหาคม 2543 18:48:05

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 18 สิงหาคม 2543 08:16:57
เรื่องที่คุณ listener ตั้งคำถาม เป็นเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งครับ

ความผิดพลาดของพระภิกษุรูปนั้น อยู่ตรงที่มีความเห็นผิดว่า
ปัจจุบัน มี ปุถุชน และ มี พระอรหันต์
ส่วนในอนาคต ก็ยังมีปุถุชน แต่ไม่มีพระอรหันต์
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งปุถุชนและพระอรหันต์
คือสิ่งที่ประกอบกันขึ้นชั่วคราวของขันธ์ 5
(เหมือนอย่างรถยนต์ ที่ประกอบด้วยตัวถัง ล้อ พวงมาลัย กระจก ที่ปัดน้ำฝน ฯลฯ)

ผู้ไม่มีปัญญา ไปมองปุถุชน พระอรหันต์ และรถยนต์ ด้วยฆนสัญญา
(คือมองรวบยอดอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อน)
เช่นมองขันธ์ 5 ซึ่งจิตที่มีกิเลสบริบูรณ์ครองอยู่ ว่าเป็นปุถุชน
มองขันธ์ 5 ที่จิตปราศจากกิเลสครองอยู่ ว่าเป็นพระอรหันต์
และมองตัวถัง ล้อ พวงมาลัยฯลฯ ที่ประกอบกัน ว่าเป็นรถยนต์
แล้วสำคัญมั่นหมายว่า ปุถุชน พระอรหันต์ และรถยนต์ มีแน่ๆ
ไม่ได้เห็นถึงความมีอยู่ชั่วคราว
ของสิ่งที่มาประกอบกันด้วยเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นชั่วขณะ

ท่านพระสารีบุตร พยายามปลดเปลื้องความเห็นผิดของพระรูปนั้น
เพื่อให้เฉลียวใจหันมารู้จักมองสิ่งต่างๆ ในแง่ของอนัตตา

ทีนี้ปัญญาชนบางท่าน (หาดูจากลานธรรมก็ได้ครับ มีแยะทีเดียว)
ฟังธรรมเรื่องนี้แล้ว ประกอบกับฟังคำสอนของครูบาอาจารย์อย่างไม่รอบคอบ
ก็ประกาศวาทะ เรื่องความไม่มีตัวกูของกู
โดยเห็นว่า ถ้าไม่มองอะไรอย่างเป็นตัวกูของกู ความทุกข์จะไม่เกิดขึ้น
ทั้งที่ความจริงแล้ว จะมองอย่างนั้นได้ ต้องผ่านการปฏิบัติอย่างหนักมาแล้ว
ลำพังคิดๆ เอา ไม่ช่วยให้เกิดประโยชน์ในทางปล่อยวางได้จริงหรอกครับ
เพราะจะเข้าลักษณะที่ว่า กู ไม่มีตัวกูของกู อยู่นั่นเอง
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่นักปฏิบัติจะต้องไปเสียเวลาโต้เถียงด้วยหรอกครับ
เอาเวลามาเจริญสติดีกว่า
ถ้ายังเห็นว่า กูเป็นกู อยู่ ก็พากเพียรกันต่อไป
เพราะยังมีกิจที่ต้องทำอีกมากครับ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 18 สิงหาคม 2543 08:16:57

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ สุรวัฒน์ วัน ศุกร์ ที่ 18 สิงหาคม 2543 08:53:01
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ listener วัน ศุกร์ ที่ 18 สิงหาคม 2543 12:39:30
สาธุ ขอบพระคุณครับครู ขอบคุณครับคุณพัลวัน
โดยคุณ listener วัน ศุกร์ ที่ 18 สิงหาคม 2543 12:39:30

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ พีทีคุง วัน ศุกร์ ที่ 18 สิงหาคม 2543 18:04:26
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ มรกต วัน เสาร์ ที่ 19 สิงหาคม 2543 00:31:14
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ พัลวัน วัน เสาร์ ที่ 19 สิงหาคม 2543 11:28:58
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ บัวใต้น้ำ วัน อาทิตย์ ที่ 20 สิงหาคม 2543 13:10:31
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ kittipan วัน อาทิตย์ ที่ 20 สิงหาคม 2543 13:56:42
สาธุ ๆๆๆ
โดยคุณ kittipan วัน อาทิตย์ ที่ 20 สิงหาคม 2543 13:56:42

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 21 สิงหาคม 2543 08:41:30
ได้มีเวลาอ่านข้อความที่ตนเองpost และคำถามที่คุณ listener ตั้งแล้ว ก็ทำให้ผมเห็นข้อผิดพลาดในข้อความของผมจริงๆ ดังนั้นจึงต้องขอขอบคุณ คุณ listener เป็นอย่างมากครับ

ข้อความที่ผม post ตรงนี้ มีเหตุจูงใจมาจาก ข้อสงสัยที่คุณหนูเจื้อยตั้งข้อสงสัย และเป็นเหตุให้ถกเถียงกันจนเลยเถิดไปถึงเรื่องต่างๆในพระไตรปิฎก ว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งเติมกันทีหลัง พระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงเรื่องตายแล้วเกิดในภพชาติใหม่เลย อะไรทำนองนี้

ตั้งใจจะเอากระทู้นี้มาดับความสงสัยของคุณหนูเท่านั้น และไม่ใช่ข้อความที่ถูกต้องทั้งหมด เพราะหากจะกล่าวถึงอริยบุคคลในระดับปรมัตถธรรม ก็ไม่มีคำกล่าวใดจะกล่าวได้ถูกต้อง แม้สักส่วนเดียว

เพราะ พระอรหันต์ ไม่มีในขันธ์ทั้ง 5 อีกทั้งไม่มีในภพภูมิใดๆ เพราะไม่ข้องแวะเกี่ยวกับภพเสียตั้งแต่เมื่อประหารอวิชชาลงได้แล้วครับ แต่หากจะกล่าวอย่างนี้แล้ว บางคนก็อาจจะทำให้ไปเข้าใจไขว้เขวว่า ดังนั้นผู้บรรลุอรหันต์จะต้องตาย ไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ (ความเชื่อนี้ก็มีอยู่ในสังคมไทยเช่นกัน) ซึ่งก็จะขัดแย้งกับสิ่งที่ปรากฎอยู่อีก เช่นเมื่อพระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้ ท่านก็บรรลุอรหันตผลเช่นกัน แต่ท่านก็ยังอยู่ในโลกเพื่อสั่งสอนพวกเรา

หากสังเกตดู ในคำพูดของย่อหน้าข้างบนนี้ ก็ยังมีบัญญัติในระดับหยาบ และละเอียดปะปนกันไปหมด เพราะไม่รู้จะสื่ออย่างไรดีครับ

ความตั้งใจมีเพียงแค่ ดับความสงสัยในระดับโลกๆของคุณหนูเท่านั้นครับ และรู้ว่ามีช่องว่างที่ผิดพลาดอยู่ จึงเปิดข้อความไว้ให้ช่วยกันเติมเสริมให้ถูกต้องตามธรรมยิ่งขึ้นครับ

ก็หวังเพียงว่า เมื่อคุณหนูหายสงสัยแล้ว ก็คงจะไม่ไปตั้งกระทู้ให้ท่านผู้รู้ทั้งหลายในลานธรรม ต้องถกเถียงในเรื่องที่พ้นความคิดไปแล้วครับ

โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 21 สิงหาคม 2543 08:41:30

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 21 สิงหาคม 2543 08:47:29
สรุปความคือ

1. ถ้าไม่บอกว่า คนปุถุชนตายแล้วเกิด ก็จะเชื่อว่าตายแล้วสูญกันหมด
2. ถ้าไม่บอกว่า ผู้สิ้นกิเลสตายแล้วสูญ ก็จะเชื่อว่ามีเมืองนิพพาน มีแดนพิเศษเฉพาะกันอีก และมีพระอรหันต์ พระพุทธเจ้า เข้าไปอยู่กันให้พรืดไปหมด
3. ถ้าไปบอกว่า พระอรหันต์ไม่มีในขันธ์ 5 ก็จะว่า เมื่อบรรลุอรหันต์แล้วต้องตายไปเสียอีก
4. ถ้าไปบอกว่า พระอรหันต์ไม่มีในโลก คนก็จะสั่นคลอนความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาไปอีก

นี่หมายถึงบุคคลผู้ยังมีอินทรีย์ยังอ่อนอยู่เท่านั้นครับ มิได้เอ่ยถึงบุคคลผู้มีอินทรีย์แก่กล้า และผู้ทรงปัญญาครับ

(โพสต์กระทู้นี้แล้วก็ชักจะหนักใจประเด็นนี้จริงๆครับ เหมือนกับการนอนอยู่ในพงหนาม ที่หากขยับตัวสักเล็กน้อย หนามก็ทิ่มตำเอา หากไม่ขยับตัวก็ไม่พ้นหนามไปได้เช่นกัน)

โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 21 สิงหาคม 2543 08:47:29

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ เจื้อย วัน จันทร์ ที่ 21 สิงหาคม 2543 09:42:00
ขอบพระคุณค่ะ คุณพัลวัน ตอนนี้หายสงสัยแล้วค่ะ : )


โดยคุณ เจื้อย วัน จันทร์ ที่ 21 สิงหาคม 2543 09:42:00

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 22 สิงหาคม 2543 11:59:24
ต้องดูว่าท่านตรัสกับใคร
ถ้าโปรดชาวบ้านท่านมักจะตรัส เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดอย่างที่คุณพัลวันกล่าว
ถ้าตรัสกับพระภิกษุก็จะตรัสในทางวิมุติ ว่าทรงไม่พยากรณ์
อย่างที่พี่ปราโมทย์กล่าวครับ
โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 22 สิงหาคม 2543 11:59:24

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ นุดี วัน ศุกร์ ที่ 25 สิงหาคม 2543 15:37:50
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ ธาตุธรรม วัน จันทร์ ที่ 28 สิงหาคม 2543 16:23:34
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พุธ ที่ 30 สิงหาคม 2543 18:55:42
ผมได้พบพระสูตรที่น่าอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้
จึงขอนำมาลงไว้ที่นี้ ซึ่งก็เป็นเวลาที่กระทู้ใกล้จะตกแล้ว
แต่กระทู้ในวิมุตตินั้น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
คือแม้จะตกไปแล้ว ก็ยังมีผู้เวียนเข้าไปอ่านอยู่เสมอ
เมื่อมีข้อมูลเพิ่มเติม จึงน่าจะเติมไว้เสียหน่อย

************************************************

๑๒. ปรัมมรณสูตร พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๘
สังยุตตนิกาย นิทานวรรค

      [๕๒๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระมหากัสสปและท่านพระสารีบุตร
อยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี
ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรออกจากที่เร้นในเวลาเย็น
เข้าไปหาท่านพระมหากัสสปถึงที่อยู่
ครั้นเข้าไปหาแล้วได้ปราศรัยกะท่านพระมหากัสสป
ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
      [๕๒๙] ครั้นท่านพระสารีบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว
ได้ถามท่านพระมหากัสสปว่า
ดูกรท่านกัสสป สัตว์เมื่อตายไปแล้วเกิดอีกหรือ ฯ
      ท่านพระมหากัสสปตอบว่า ข้อนี้พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงพยากรณ์ไว้ ฯ
      สา. สัตว์เมื่อตายไปแล้วไม่เกิดอีกหรือ ฯ
      ก.  แม้ข้อนี้ พระผู้มีพระภาคก็มิได้ทรงพยากรณ์ไว้ ฯ
      สา. สัตว์เมื่อตายไปแล้ว เกิดก็มี ไม่เกิดก็มี หรือ ฯ
      ก.  ข้อนี้ พระผู้มีพระภาคก็มิได้ทรงพยากรณ์ไว้ ฯ
      สา. สัตว์เมื่อตายไปแล้ว เกิดอีกก็หามิได้ ไม่เกิดอีกก็หามิได้ หรือ ฯ
      ก.  แม้ข้อนี้ พระผู้มีพระภาคก็มิได้ทรงพยากรณ์ไว้ ฯ
      สา. เพราะเหตุไรหรือ ข้อที่กล่าวถึงนั้นๆ พระผู้มีพระภาคจึงมิได้ทรง
พยากรณ์ไว้ ฯ
      ก.  เพราะข้อนั้นไม่มีประโยชน์
ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งการประพฤติพรหมจรรย์
ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับกิเลส
เพื่อเข้าไปสงบ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงมิได้ทรงพยากรณ์ไว้ ฯ

      [๕๓๐] สา. ถ้าเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ไว้อย่างไรเล่า ฯ
      ก. พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ไว้ว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุเกิดแห่งทุกข์
นี้ความดับทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับทุกข์ ฯ
      สา. ก็เพราะเหตุอะไร ข้อนี้พระผู้มีพระภาคจึงทรงพยากรณ์ไว้ ฯ
      ก.  เพราะข้อนั้นมีประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งการประพฤติพรหมจรรย์
เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับกิเลส
เพื่อเข้าไปสงบ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงพยากรณ์ไว้ ฯ

********************************************

จากพระสูตรนี้เราจะเห็นได้ชัดทีเดียวว่า
ธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงนั้น ท่านมุ่งให้เห็นต้นทางของการปฏิบัติ
และเมื่อนำไปปฏิบัติแล้วจะมีประโยชน์ในทางดับทุกข์
ท่านไม่ได้แสดงธรรมเพื่อสนองความอยากรู้เล่นๆ ของใครๆ เลย
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พุธ ที่ 30 สิงหาคม 2543 18:55:42

ความเห็นที่ 18 โดยคุณ หนุ่ย วัน พฤหัสบดี ที่ 31 สิงหาคม 2543 08:11:56
สาธุค่ะ ขอบพระคุณค่ะ _/|\_
โดยคุณ หนุ่ย วัน พฤหัสบดี ที่ 31 สิงหาคม 2543 08:11:56

ความเห็นที่ 19 โดยคุณ พัลวัน วัน พฤหัสบดี ที่ 31 สิงหาคม 2543 08:57:28
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 20 โดยคุณ พัลวัน วัน พฤหัสบดี ที่ 31 สิงหาคม 2543 08:57:42
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com