กลับสู่หน้าหลัก

ลูกโป่ง

โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 28 สิงหาคม 2543 12:43:10

ผมมีข้อเสียเกี่ยวกับตัวเองประการ ที่เกี่ยวเนื่องกับการปฎิบัติธรรม ก็คือการนิยมชมชอบที่จะเพ่งเข้าใส่จิตผู้รู้โดยตรง

การกระทำเช่นนี้ มีที่มาครับ

เมื่อเริ่มศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์ ผมเห็นคำว่า "จิต" เต็มไปหมดเลยครับ แต่ก็ไม่เคยเห็นคำอธิบายว่าจิตคืออะไร มีที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือ "จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน" แค่นั้นเอง จะกี่ปีๆผมก็ไม่เคยรู้เลยว่าจิตคืออะไรอย่างชัดเจน

เคยได้ยินมาบ้าง จากพระป่า ว่าท่านสอนว่า "จิตคือธาตุรู้"

ผมก็รู้อยู่แค่นั้น

ความสงสัยนี้เป็นตะกอนนอนก้น และจะฟุ้งขึ้นมาทันทีที่มีโอกาสจะควานหาจิตผู้รู้ให้พบ และจับมาตั้งนิ่งๆ ให้เราสามารถพิเคราะห์วิจัยได้ เหมือนกับนักกีฏวิทยาจับแมลงมาสต๊าฟไว้ และค่อยๆดูรายละเอียดไปทีละส่วน

แต่ผมก็ไม่เคยที่จะทำอย่างนั้นได้เลย

โทษภัยที่เกิดขึ้นต่อมา ก็คือการเพ่งไปที่จิต (ซึ่งสิ่งที่ถูกเพ่ง ก็กลับไม่ใช่จิตอีกเช่นกัน) เมื่อเพ่งมากๆก็ถูกขันธมารเล่นงาน กลายเป็นจุกก้อนแข็งๆอยู่กลางอก

เมื่อช่วงก่อนที่ลูกชายจะคลอด ผมก็ป่วยเป็นไข้ และไอ ในช่วงเวลาที่เจ็บป่วยเช่นนี้ ผมมักนิยมพิจารณาความเป็นทุกข์ของกาย แต่การพิจาณาเช่นนี้ มักจะใช้ความคิดนำ และทำให้เกิดความฟุ้งซ่านในธรรมมากมายไปหมด

มากจนกระทั่งว่า ไปตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับจิตผิดๆ

ทั้งๆที่รู้ว่า ตั้งสมมุติฐานเพี้ยนๆเกี่ยวกับจิต ก็ยังอดเอาไปเล่าให้ครูฟังไม่ได้ เพราะอย่างน้อยบางส่วนก็ทำให้เห็นว่า "จิต ก็สักว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น"

ครูจึงได้กรุณาสั่งสอนแก่ผมอีก ตามข้อความข้างล่างนี้

17/8/43 11:09  สันตินันท์

        ตึกสังเกตอะไรอย่างหนึ่งไหมครับ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรารู้ขันธ์ตามความเป็นจริง ไม่เคยสอนให้มองตรงเข้ามาที่จิตเลย เพราะว่าความพยายามมองจิตนั้นเองที่เป็นไปไม่ได้ แต่เพราะรู้อารมณ์ตามความเป็นจริงจนปล่อยวางเข้ามาตามลำดับ จิตจึงปรากฏให้เห็นชัดเจนได้ครับ

17/8/43 11:16 สันตินันท์

        ก็อย่างที่หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนน่ะครับ ว่าอย่าใช้จิตแสวงหาจิต เพราะหาตั้งกัปป์หนึ่งก็ไม่เจอ ท่านจึงสอนให้รู้พฤติ(กรรม)ของจิต จนรู้แจ้งอริยสัจจ์ จิตจึงจะหลุดพ้นครับ

        คล้ายๆ กับจิตเป็น gas อะไรสักอย่างในลูกโป่ง ไม่ต้องไปทางทางทำให้ gas เป็นอิสระหรอก เพียงแต่ทำลายลูกโป่ง gas ก็เป็นอิสระเอง

พอผมได้อ่านถึง "ลูกโป่ง" ก็เกิดผลกระทบต่อทัศนคติของผมอย่างใหญ่หลวง มีการตั้งเหตุการณ์สมมุติขึ้นมาว่า

"หากเรามีหน้าที่พาใครคนหนึ่งแหกคุกออกมา เราจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปศึกษาอะไร ระหว่างตัวคุก หรือคนที่ติดคุกคนนั้น"

คำตอบก็ง่ายดายยิ่ง คือให้ศึกษาคุกที่กักขังไว้ให้มาก ส่วนตัวคนที่ติดอยู่ในคุก ก็ให้ศึกษาเพียงเล็กน้อยก็พอ เราต้องเรียนรู้คุกที่คุมขัง เพราะเราต้องหาจุดอ่อน จุดอันตรายที่เป็นกับดัก อีกทั้งต้องศึกษากลไกต่างๆที่มีอยู่ รวมทั้งระบบเวรยาม และเส้นทางหนีให้มาก เพราะสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จำเป็นต้องใช้ เมื่อต้องพาคนติดคุกหนีออกมา

เหตุการณ์สมมุติตรงนี้ ผมถอดออกมาจากที่ครูบอกว่า จิตเปรียบเหมือนก๊าซ ลูกโป่งก็คือตัวกักขังก๊าซซึ่งก็คือตัวกิเลส ตัณหา อวิชชา นั่นเอง

เมื่อมาถึงตรงนี้ผมก็เข้าใจอย่างชัดเจน ว่าหลักสำคัญของการปฏิบัตินั้นคืออะไร ความลำบากใจใดๆที่เคยเกิดขึ้นจากความวิตกว่า เราไม่รู้ว่าจิตคืออะไร ก็ดับหายไป การเพ่งเข้าใส่จิตผู้รู้ก็น้อยลง และการปฏิบัติก็เป็นธรรมชาติมากขึ้น และสบายขึ้นอย่างมากครับ

โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 28 สิงหาคม 2543 12:43:10

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 28 สิงหาคม 2543 13:42:14
สาธุครับ ตึก
เมื่อวานเจอตึกที่ศาลาลุงชิน อดถามไม่ได้ว่าไปทำอะไรมา
เพราะจิตใจเบิกบาน เบาสบายกว่าเมื่อก่อนมาก
พอถามเสร็จ ตึกก็เริ่มเพ่งจิตขึ้นอีก
ดีที่เมื่อเช้าถามดูแล้ว ตึกก็ทราบว่า เพ่ง
จึงไม่จัดว่าจะมีปัญหาอะไรในการปฏิบัติ

เรื่องของลูกโป่งนั้น เกิดจากผมอ่านพระไตรปิฎก
พบว่าพระศาสดาทรงสอนมากมายเกี่ยวกับเรื่องขันธ์ 5 อายตนะ 6 ธาตุ 18
สติปัฏฐาน 4 กายคตาสติ อานาปานสติ นิวรณ์ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 ฯลฯ
สารพัดธรรมที่ทรงสอนนั้น
ล้วนแต่เป็นธรรมที่มุ่งเพิกถอนสิ่งที่จิตไปติดยึดทั้งนั้น
โดยเน้นถึงสิ่งที่จิตไปติดยึดบ้าง สอนถึงเครื่องมือเพื่อคลายความยึดบ้าง

ไม่ค่อยพบธรรมส่วนใดที่ทรงสอนตรงๆ ถึงเรื่องจิต เรื่องนิพพาน
เช่นท่านไม่เคยสอนเลยว่า จิตมี 89 ดวง หรือ 121 ดวง
ไม่ทรงสอนเรื่องจิตว่าง จิตเดิมแท้ จิตไม่เป็นตัวกูของกู
เมื่อทรงกล่าวถึงนิพพาน ก็กล่าวสั้นๆ ในเชิงปฏิเสธ
ว่านิพพานไม่ใช่อย่างนั้นอย่างนี้

ครั้งหนึ่งหลายปีมาแล้ว ผมได้เรียนถามหลวงปู่เหรียญว่า
จะทำลายหรือไม่ยึดมั่นจิตผู้รู้ได้อย่างไร
แทนที่จะได้คำตอบถึงวิธีทำลายความยึดมั่นจิตผู้รู้ ตามที่ต้องการ
หลวงปู่กลับตอบว่า จะไปทำลายมันทำไม
ให้ทำลายอุปาทานขันธ์เสียดีกว่า

ตอนนั้นฟังแล้วไม่ซาบซึ้งถึงใจเลย
คิดว่าถามอย่างหนึ่ง หลวงปู่กลับตอบอีกอย่างหนึ่ง
ก็เหมือนที่มีคนถามว่า คนตายแล้วเกิดหรือ
แล้วพระท่านกลับตอบเรื่องขันธ์ 5 เป็นไตรลักษณ์ นั่นแหละครับ
ท่านตอบถูกของท่านแล้ว แต่ผมมันโง่เอง

มาหลังๆ นี้แหละครับจึงพิจารณาออกมาได้ว่า
พระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรมต้นทางของการปฏิบัติ
ท่านไม่นิยมสอนถึงปลายทาง
เพราะผู้ฟังจะเที่ยวแสวงหาปลายทาง
โดยมองข้ามต้นทางของการปฏิบัติไปเสีย
เพราะหากผู้ใดสามารถเพิกถอนอุปาทานขันธ์เสียได้
ด้วยปัญญาอันเกิดจากการเจริญสติสัมปชัญญะ
ปลายทางที่ต้องการจะไปไหนเสีย

เราไม่ต้องไปสนใจหรอกว่า จิตมันมีกี่ดวง จิตที่หลุดพ้นเป็นอย่างไร
ให้เจริญสติสัมปชัญญะ รู้ปัจจุบันธรรมอันเป็นสภาวะแท้จริงที่กำลังปรากฏเรื่อยไป
พอรู้จริงในสิ่งที่จิตไปหลงยึดมั่นแล้ว จิตเขาคลายความยึดมั่นเอง

เหมือนกับการพินิจพิจารณาสิ่งบางสิ่งที่กำลังจับไว้ในมือ
จนเข้าใจว่ามันคืองู
ขี้คร้านจะรีบสะบัดมือทิ้งสิ่งที่กำลังจับไว้นั้น แล้วมือก็ว่างเปล่าเอง
โดยไม่ต้องเสียเวลาศึกษาก่อนหรอกว่า
มือที่ว่างเปล่า เป็นอย่างไร


อนึ่ง เรื่องจิตผู้รู้นั้น เป็นอุบายของการปฏิบัติ
เพื่อให้เราจำแนกให้ออกว่า อะไรคือจิต อะไรคืออารมณ์
และจิตกับอารมณ์สัมพันธ์กันอย่างไร
จนเกิดความเข้าใจว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา
ตลอดไปจนถึงความรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจจ์ 4
จิตจึงสลัดทิ้งสิ่งที่ยึดมั่นอยู่คือขันธ์ 5 อันได้แก่รูป เจตสิก และจิตเอง
(สลัดแล้วนิพพานจะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะครับ
คิดล่วงหน้าไปก็เสียเวลาเปล่าๆ เพราะคิดไม่ได้หรอก)
ไม่ใช่ว่าให้ไปรู้จักจิตผู้รู้ แล้วหาทางปล่อยวางหรือทำลายจิตผู้รู้ตรงๆ
สิ่งที่เราต้องการคือการข้ามฝั่ง
ไม่ใช่การไปคิดว่า ข้ามฝั่งแล้วจะทำลายเรืออย่างไร เพื่อจะขึ้นฝั่งได้
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 28 สิงหาคม 2543 13:42:14

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 28 สิงหาคม 2543 13:49:52
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ โยคาวจร วัน จันทร์ ที่ 28 สิงหาคม 2543 14:02:59
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 28 สิงหาคม 2543 14:11:06
สาธุ สาธุ สาธุ

อ่านแล้วจับใจจริงๆครับ

"สิ่งที่เราต้องการคือการข้ามฝั่ง ไม่ใช่การไปคิดว่า ข้ามฝั่งแล้วจะทำลายเรืออย่างไร เพื่อจะขึ้นฝั่งได้"
โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 28 สิงหาคม 2543 14:11:06

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ มะขามป้อม วัน จันทร์ ที่ 28 สิงหาคม 2543 14:58:31
เห็นอารมณ์ ก็เห็นจิตเองครับ
ส่วนที่ไหวๆ ก็คืออารมณ์ ส่วนที่นิ่งๆ อยู่ก็คือจิต
อารมณ์กับจิตเกิดคู่กันเสมอ เหมือนมีแสงก็มีภาพ
ที่เราเพ่งจิตแท้ที่จริงคือจิตหลงไปกับอารมณ์อันหนึ่ง
ที่อยากเพ่งจิต จึงไม่เห็นทั้งจิตทั้งอารมณ์ครับ

ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ควาญหาจิต
เมื่อก่อนงงมากเมื่อได้ยินคนพูดถึงจิต
เคยคิดจะถามท่านอาจารย์พุทธทาสว่าจิตคืออะไรกันแน่
แต่ก็ไม่ได้ถามเพราะคิดว่าถึงได้คำตอบมาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

พอมาปฏิบัติตอนหลังจิตสงบมาขึ้น เป็นสมาธิมากขึ้น
ปัญญามันก็เกิดเองครับ เกิดเองจริงๆ
เพราะตอนนั้นลงจากรถเมล์แล้วก็เดินมาที่ทำงาน
ระหว่างทางก็ภาวนามาด้วย แล้วอยู่ๆ ก็เกิดปัญญา(ความรู้)โพลงออกมา
ว่า "อ๋อ... นี่เองจิต"
จะเห็นว่าปัญญามันเกิดไม่ใช่เพราะการเพ่งหาจิต
แต่เกิดเพราะการเจริญสติปัฏฐานธรรมดานี่เอง

พอรู้แล้วก็ภาวนาง่ายขึ้นครับ เพราะจะรู้ว่าอะไรคือเพ่ง อะไรคือเผลอ
เหมือนเรารู้จักเครื่องมือของเราดีขึ้นนั่นเองครับ
โดยคุณ มะขามป้อม วัน จันทร์ ที่ 28 สิงหาคม 2543 14:58:31

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ มะขามป้อม วัน จันทร์ ที่ 28 สิงหาคม 2543 15:37:51
เขียนผิดอีกแล้ว
ต้องใช้ ควาน ตัวนี้ครับ :)
โดยคุณ มะขามป้อม วัน จันทร์ ที่ 28 สิงหาคม 2543 15:37:51

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ tana วัน จันทร์ ที่ 28 สิงหาคม 2543 18:38:52
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ นิดนึง วัน จันทร์ ที่ 28 สิงหาคม 2543 21:06:20
หมู่นี้พบกับคำว่า "อุปทานขันธ์" บ่อยเหลือเกิน
ขอบพระคุณค่ะ
โดยคุณ นิดนึง วัน จันทร์ ที่ 28 สิงหาคม 2543 21:06:20

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ ธีรชัย วัน อังคาร ที่ 29 สิงหาคม 2543 08:29:03
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ คิดเอาเอง วัน อังคาร ที่ 29 สิงหาคม 2543 13:01:49
ผมก็ชอบประโยคนี้เหมือนกันครับอ่านแล้วเห็นภาพเลยครับ

"เหมือนกับการพินิจพิจารณาสิ่งบางสิ่งที่กำลังจับไว้ในมือ
จนเข้าใจว่ามันคืองู
ขี้คร้านจะรีบสะบัดมือทิ้งสิ่งที่กำลังจับไว้นั้น แล้วมือก็ว่างเปล่าเอง
โดยไม่ต้องเสียเวลาศึกษาก่อนหรอกว่า
มือที่ว่างเปล่า เป็นอย่างไร"

โดยคุณ คิดเอาเอง วัน อังคาร ที่ 29 สิงหาคม 2543 13:01:49

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ ธาตุธรรม วัน พุธ ที่ 30 สิงหาคม 2543 08:21:04
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ นุดี วัน พุธ ที่ 30 สิงหาคม 2543 12:55:05
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ ศุภสิทธิ์ วัน พฤหัสบดี ที่ 31 สิงหาคม 2543 20:27:10
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com