ความเห็นที่ 1 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อาทิตย์ ที่ 3 กันยายน 2543 18:48:02 |
คราวนี้ก็มาถึงปัญหาที่ว่า เหตุใดผู้ศึกษาพระปริยัติธรรมมากจึงพลาดได้ เรื่องนี้ผมยังไม่มีเวลาค้นคว้าข้อมูลในครั้งพุทธกาล แต่จากการได้พบปะผู้ปฏิบัติในยุคนี้หลายท่าน ที่เชี่ยวชาญด้านพระปริยัติธรรม ถึงขั้นอธิบายจิต เจตสิก รูป นิพพานได้ละเอียดถี่ยิบ จึงพอจะเข้าใจว่า เหตุใดผู้ที่ฝังใจกับพระปริยัติธรรมมากๆ บางท่านจึงไม่สามารถเจริญสติได้ถูกต้อง และจิตไม่ยอมเจริญปัญญาจริงๆ
จุดแรกก็คือ ผู้เจริญสติ ที่รู้พระปริยัติธรรมมาก มักจะขาดการปรับพื้นฐานให้จิตพร้อมจะเจริญสติเสียก่อน เพราะคิดว่าสมาธิไม่มีความจำเป็นมากนัก จึงมักเจริญสติด้วยจิตที่ยังไม่มีความตั้งมั่น รู้ตัว และเป็นกลางจริง จิตยังไม่ปลอดจากนิวรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความฟุ้งซ่าน ตรงนี้ก็ทำให้หลงผิดได้ง่ายๆ เหมือนกัน
จุดต่อมาก็คือ เมื่อเฝ้ารู้ความเกิดดับของอารมณ์อยู่นั้น มักจะพยายามจำแนกอารมณ์ที่เป็นปรมัตถ์กับอารมณ์ที่เป็นบัญญัติ เมื่อคิดมาก ระวังมาก แทนที่จะรู้ ก็กลายเป็นคิดไป คือจิตกลายสภาพจากการทำหน้าที่ รู้อารมณ์ปรมัตถ์ ไปเป็น คิดและหลงบัญญัติปรมัตถ์ เช่นเมื่อเห็นความโกรธเกิดขึ้น ก็ไม่สนใจจะรู้สภาวะของความโกรธอันเป็นเจตสิกปรมัตถ์จริงๆ แต่กลับไปคิดใส่ชื่อสภาวะที่กำลังเกิดนั้นว่า ความโกรธ หรือเมื่อตาเห็นรูป ถ้าไม่ตั้งสติเน้นและบัญญัติตรง "รูป" ก็ต้องตั้งสติเน้นและบัญญัติตรง "เห็น"
ธรรมชาติของจิตนั้น ถ้าใช้สติกำหนดลงตรงจุดใด สิ่งนั้นก็มักจะดับไป เช่นกำลังมีราคะ พอรู้ว่ามีราคะ ราคะก็มักจะดับไป กำลังฟุ้งซ่าน พอรู้ว่ากำลังฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านก็จะดับไป คราวนี้เมื่อเอาสติมาจ่ออยู่กับ "เห็น" ผ่านไปช่วงหนึ่ง เห็นก็จะดับไป คือจิตดับความรับรู้ลง มันดับด้วยอำนาจของการเอาสติจดจ่อ ซึ่งก็คือการดับด้วยกำลังของสมาธินั่นเอง ตรงจุดนี้จิตจะพลิกเข้าสู่ภพของอสัญญีพรหม แต่ผู้ปฏิบัติอาจจะสำคัญมั่นหมายว่า เป็นการบรรลุมรรคผลนิพพานก็ได้ ตรงนี้ก็เป็นจุดที่อาจพลาดได้อีกจุดหนึ่ง
จุดที่อาจจะพลาดได้อีกจุดหนึ่งก็คือ เมื่อเจริญสติอยู่นั้น พอเห็นความเกิดดับไปเพียงเล็กน้อย จิตยังไม่ทันจะยอมรับความจริง ความรู้หรือความจำที่สั่งสมมานาน ก็จะเข้ามาทำงานแทนปัญญา คือจิตมันเกิดอาการหยุดการเจริญปัญญา มัน lock ตัวเองอยู่เพียงนั้น เพราะรู้สึกว่ารู้แล้ว เข้าใจแล้ว พอแล้ว เห็นจริงแล้ว จิตตรงนี้ จะไม่ยอมเจริญปัญญาต่อไป แม้จะเจริญสติ ก็เป็นสติกระด้างๆ ทื่อๆ ขาดการวิจัยวิจารณ์ธรรม แต่ไม่ว่าจะนึกถึงธรรมบทใด ธรรมนั้นก็ปรากฏแจ่มแจ้งไปหมด เพราะเคยอบรมเล่าเรียนคิดค้นมาแล้วมากนั่นเอง
ขอย้ำกับหมู่เพื่อนว่า ตรงนี้เป็นข้อสังเกตส่วนตัว ไม่ใช่ผลการศึกษาจากพระไตรปิฎก ว่าเหตุใดผู้ที่ศึกษาพระปริยัติธรรมมากจึงพลาดได้ และผมเองก็ไม่ได้ดูหมิ่นผู้ศึกษาพระปริยัติธรรมมากๆ เพราะผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระปริยัติธรรม แล้วลงมือปฏิบัติเลย ก็พลาดหรือหลงผิดว่าตนเป็นพระอรหันต์ได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไปเท่านั้น
ในพระสูตรนี้ อันเป็นคำสอนของท่านพระมหากัสสปเถระ ยังได้แสดงธรรมอีก 10 ประการ ที่เป็นสาเหตุให้ผู้ปฏิบัติ เข้าถึงความเสื่อมในพระธรรมวินัยนี้ คือไม่เจริญในการปฏิบัติธรรม ได้แก่
1 - 5 เป็นผู้ปฏิบัติที่จิตใจถูกกลุ้มรุมด้วยนิวรณ์ 5 ได้แก่กามฉันทะหรืออภิชฌา พยาบาท ถีนมิทธะ ฟุ้งซ่าน และความสงสัย
6 เป็นผู้ชอบการงาน ยินดีในการงาน ประกอบเนืองๆ ซึ่งความเป็นผู้ชอบการงาน เช่นการสร้างวัด การศึกษาพระปริยัติธรรมไม่รู้จบ ฯลฯ (คำสอนนี้เป็นคำสอนพระนะครับ เป็นฆราวาสท่านไม่ให้เกียจคร้านในการงาน)
7 เป็นผู้ชอบในการคุย ใครที่ช่างคุย แล้วถูกครูอาจารย์ห้ามไม่ให้คุยมาก จนคับแค้นใจ ขอให้พิจารณาธรรมตรงนี้ให้มากนะครับ
8 เป็นผู้ชอบการนอนหลับ
9 เป็นผู้ชอบความเป็นผู้คลุกคลีด้วยหมู่คณะ ประเด็นนี้ ชาวลานธรรม/วิมุตติก็พิจารณามากๆ หน่อยนะครับ
10 เป็นผู้มีสติหลงลืม ถึงความทอดธุระในระหว่างในคุณวิเศษเบื้องบน ด้วยการบรรลุคุณวิเศษเบื้องต่ำ เช่นบรรลุพระโสดาบันแล้ว ไม่ขวนขวายปฏิบัติต่อไป เพราะนอนใจว่าถึงจุดปลอดภัยแล้ว เป็นต้น
ท่านพระมหากัสสปเถระกล่าวสรุปว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอไม่ละธรรม 10 ประการนี้แล้ว จักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอละธรรม 10 ประการนี้แล้ว จักถึงความเจริญ งอกงามไพบูลย์ ในธรรมวินัยนี้ ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะที่มีได้ ฯ
การที่ท่านแสดงธรรม 10 ประการนี้ต่อท้ายจากเรื่อง "อรหันต์สำคัญผิด" ก็น่าจะเป็นข้อสังเกตได้แล้วว่า ท่านแสดงธรรมเรื่องนี้ให้พระหนุ่มเณรน้อยฟัง เมื่ออธิบายเหตุผลที่ทำให้ท่านผู้รู้พระปริยัติธรรมมากๆ สำคัญผิดแล้ว ท่านจึงสอนต่อว่า ควรละธรรมอันใด และควรเจริญธรรมอันใด เพื่อจะเจริญยั่งยืนในพระธรรมวินัยเป็นพระอรหันต์ตัวจริงได้ต่อไป มิใช่จะเอาแต่ศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างไม่รู้จบ (แต่จะไม่ศึกษาเลยก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่วิสัยของพระสาวกที่จะรู้หลักการปฏิบัติได้ด้วยตนเอง) โดยสำคัญผิดว่า รู้มาก ฟังมาก คิดมากแล้ว จะทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
*************************************** |
|
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อาทิตย์ ที่ 3 กันยายน 2543 18:48:02 |