กลับสู่หน้าหลัก

ทางสายเอก: ศาสตร์และศิลป์แห่งชีวิต

โดยคุณ มะขามป้อม วัน จันทร์ ที่ 4 กันยายน 2543 15:23:07

การเจริญสติสัมปชัญญะนับว่าเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
ความเป็นศาสตร์นั้นอยู่ที่ความเป็นเห็นเป็นผล
มีกฏเกฏณ์ทางธรรมชาติที่แน่นอน
มีเจตนา มีกรรม มีวิบาก
หากเรามีทิฏฐิที่ถูกต้อง มีเจตนาในการกำหนดจิตเจริญสติที่ถูกต้อง
หรือเรียกว่า วางจิตได้เป็นกลาง ไม่เผลอ ไม่เพ่ง
จิตย่อมสงัดจาก อารมณ์ทั้งปวง เห็นจิต เห็นธรรมตามที่เป็นจริง
มรรคผล นิพพาน ย่อมเกิด ตามเหตุตามปัจจัย ในส่วนที่เราทำได้
เหมือนดั่ง ปลูกพืช และบำรุงตามที่มันควรจะได้รับ
พืชย่อมให้ผลในกาลต่อมาฉันใดก็ฉันนั้น
เราไม่สามารถเจตนาที่จะละเจตนาได้
แต่เราเจตนาที่จะสร้างภาวะที่เหมาะสมที่เจตนาจะถูกละได้

ศิลปะในการเจริญสติปัฏฐานจึงอยู่ที่ว่า
ว่าเราจะหาจุดสมดุลย์ระหว่างเผลอกับเพ่งได้อย่างไร
เราจะวางจิตให้อยู่บนทางสายกลางได้อย่างไร
การเผลอมักจะเกิดจากการที่เราไม่ได้โยนิโสมนสิการในธรรม
ส่วนการเพ่งมักเกิดจาก การที่เราใส่ใจ เก็บธรรมมาฟุ้งซ่าน เป็นอารมณ์โดยไม่รู้ตัว
ทางสายกลางก็จะอยู่ตรงกลางคือ เป็นกลางๆ
คือเรารู้ว่าเราปฏิบัติธรรม แต่เราไม่เก็บธรรมมาคิดมาปรุงแต่งเป็นอารมณ์
วางใจเป็นกลางๆ สบายๆ ไม่เครียดเกินไป
หรือบางคนอาจโยนิโสมนสิการอยู่ในใจถึงความเป็นเช่นนั้นเอง
ก็ช่วยไม่ให้จิตปรารภในธรรม จนฟุ้งซ่านไปได้เหมือนกัน
ตรงนี้จึงนับเป็นศิลปะ

คำว่าศิลปะนั้น แสดงความหมายอยู่อย่างหนึ่งคือ
มันไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นหนึ่งหรือสอง
เอาไม่บรรทัดมาวาง มาทาบวัดไม่ได้
เอาสมมุติมาอธิบายวิมุติ ก็ได้แต่นึกเอาคิดเอา
ธรรมจึงเป็นเรื่องเฉพาะตน เป็นความชำนาญในการดูจิตดูใจ ของแต่ละคนไป
ถึงแม้ทางสายกลายมีหนึ่งเดียว
แต่ในรายละเอียดปลีกย่อยของการปฏิบัติกลับขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของแต่ละคน
เหมือนดังสายน้ำ แม้จะมีหลายร้อยสายย่อมไหลลงสู่มหาสมุทรเดียวกัน
ด้วยความรู้สึกอย่างเดียวกันคือ องอาจและร่าเริงในธรรม

ขอดวงตาเห็นธรรมจงบังเกิดมีแด่ทุกท่าน
          ดังที่มุ่งหวัง สร้างเหตุและปัจจัยกันมา
          สาธุ...ในธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า _/\_
โดยคุณ มะขามป้อม วัน จันทร์ ที่ 4 กันยายน 2543 15:23:07

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ มะขามป้อม วัน จันทร์ ที่ 4 กันยายน 2543 15:27:26
พิมพ์ผิดครับ
ความเป็นศาสตร์นั้นอยู่ที่ความเป็นเหตุเป็นผล
โดยคุณ มะขามป้อม วัน จันทร์ ที่ 4 กันยายน 2543 15:27:26

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ มะขามป้อม วัน จันทร์ ที่ 4 กันยายน 2543 15:29:09
มีกฏเกณฑ์ทางธรรมชาติที่แน่นอน
โดยคุณ มะขามป้อม วัน จันทร์ ที่ 4 กันยายน 2543 15:29:09

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ listener วัน จันทร์ ที่ 4 กันยายน 2543 17:50:52
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 5 กันยายน 2543 07:45:28
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 5 กันยายน 2543 07:47:07
(ขอแซวครับ : พักนี้คุณมะขามป้อมขยันจริงๆครับ ทำให้วิมุตติไม่เงียบ มีความคึกคักขึ้นบ้าง หลังจากที่พักก่อนสมาชิกเอาแต่หลบมุมภาวนากันตามสะดวก สงสัยว่าเจ้าตัวเล็กๆคงไม่ค่อยกวนแล้วกระมัง?)
โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 5 กันยายน 2543 07:47:07

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 5 กันยายน 2543 08:11:51
สาธุ คุณมะขามป้อม กล่าวเป็นธรรมครับ

คำสอนทางพระพุทธศาสนาจัดเป็นศาสตร์ เพราะมีเหตุมีผลที่พิสูจน์ได้
เช่นถ้าผู้ใดเจริญสติสัมปชัญญะถูกต้อง จิตใจก็พัฒนาไปสู่ภาวะอันเดียวกัน
คือสงบ สะอาด สว่าง รู้ ตื่น และเบิกบาน
ปฏิบัติถูกต้อง ก็เห็นผลทันที จนผู้ปฏิบัติต้องอุทานด้วยความอัศจรรย์ใจ
ว่าธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งอัศจรรย์โดยแท้

จากจิตที่ปฏิบัติสมาธิเท่าไรก็ไม่สงบ พอรู้ตัวจิตก็สงบทันที
จากจิตที่เที่ยวแบกรับภาระและขยะ กลายเป็นจิตที่หมดภาระและสะอาด
จากจิตที่มัวซัวซึมเซา กลายเป็นจิตที่ผ่องใส
จากจิตที่หลับฝัน กลายเป็นจิตที่ตื่นจากฝัน
จากจิตที่ต้องหาความสุขด้วยอามิสหรือสิ่งเร้าภายนอก
กลายเป็นจิตที่เบิกบานอยู่ในตัวเอง
โดยไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากการเจริญสติสัมปชัญญะ
ใครปฏิบัติถูกต้อง ก็พัฒนาไปสู่ผลอันเดียวกัน

พระพุทธศาสนาเป็นศิลปะบริสุทธิ์งดงาม
แต่ละคนจะมีทางเฉพาะตัวที่จะดำเนินจิต
เช่นทำอย่างไรเราจะหลอมรวมการปฏิบัติธรรมกับการดำรงชีวิตเข้าเป็นหนึ่งเดียวได้
ทำอย่างไรจะเข้าถึงความเป็นกลาง ไม่เผลอและไม่เพ่ง
ทำอย่างไรจะรู้เท่าทันความปรุงแต่งที่ละเอียดซับซ้อนในจิตของตน
ทำอย่างไรจะรู้ ได้โดยไม่เจตนาจะรู้
ควรจะอบรมสมาธิเมื่อไร เพียงใด ควรจะเจริญปัญญาเมื่อใด เพียงใด
ควรเจริญปัญญาไปตรงๆ หรือควรมีอุบายพลิกแพลงอย่างใด เมื่อใด ฯลฯ

เรื่อง ศาสตร์ นั้นพอจะสอนกันได้ครับ
แต่เรื่อง ศิลปะ เป็นเรื่องที่ควรพัฒนาทักษะของตนกันเอาเอง
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 5 กันยายน 2543 08:11:51

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ สุรวัฒน์ วัน อังคาร ที่ 5 กันยายน 2543 10:43:40
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 5 กันยายน 2543 10:57:46
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 5 กันยายน 2543 12:06:46
คุณพัลวัน

มีเรื่องให้เขียนก็เขียนหน่ะครับ
ไม่มีเรื่องให้เขียนก็ไม่รู้จะเขียนอะไร
ไม่รู้ตอบกำปั้นทุบดินหรือเปล่า แต่เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ :)

โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 5 กันยายน 2543 12:06:46

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ พีทีคุง วัน พุธ ที่ 6 กันยายน 2543 01:25:26
สาธุครับ คุณมะขามป้อม
โดยคุณ พีทีคุง วัน พุธ ที่ 6 กันยายน 2543 01:25:26

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 6 กันยายน 2543 08:58:32
^----^
โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 6 กันยายน 2543 08:58:32

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ คิดเอาเอง วัน พุธ ที่ 6 กันยายน 2543 09:01:00
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ นุดี วัน พุธ ที่ 6 กันยายน 2543 17:06:31
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ อี๊ด วัน พฤหัสบดี ที่ 7 กันยายน 2543 15:05:15
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ ศุภสิทธิ์ วัน ศุกร์ ที่ 8 กันยายน 2543 10:43:44
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ จ้อม วัน ศุกร์ ที่ 8 กันยายน 2543 18:44:18
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ Lee วัน ศุกร์ ที่ 8 กันยายน 2543 21:22:09
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 18 โดยคุณ ธาตุธรรม วัน อังคาร ที่ 12 กันยายน 2543 08:08:04
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 19 โดยคุณ Tuledin วัน อังคาร ที่ 19 กันยายน 2543 13:07:21
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com