ความเห็นที่ 15 โดยคุณ น้ำ วัน พฤหัสบดี ที่ 14 กันยายน 2543 21:59:35 |
พี่กล่าวถึงเรื่องนี้พอดีกับที่ผมกำลังสนใจดูความเห็นของตัวเองทีเดียวครับ ผมเองสังเกต (จากคนอื่นก่อน เห็นวิจารณ์สิ่งรอบข้าง ก็เลยวิจารณ์เขาไปแล้วจึงมามองตัวเองเอาบ้าง ก็ไม่ดีไปกว่าเขา) ว่าเรามักจะแสดงความเห็น หรือวิพากษ์วิจารณ์สิ่งรอบข้างเสมอ แม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม เป็นอาการที่ชัดเจนอย่างหนึ่งของจิตที่ได้เที่ยววุ่นวายไม่รู้จักหยุดหย่อน เมื่อไปตัดสินสิ่งนั้นสิ่งนี้เข้าก็จะเผลอยึดเอาความเห็นนั้น แล้วก่อเกิดความคิด ความเปรียบเทียบ ความทุกข์บานปลายไปใหญ่โตครับ
ผมเข้าใจเหลื่อมออกไปนิดหนึ่งว่า เราพูดถึงคำว่าทิฐิ นอกจากจะกล่าวถึงมิจฉาทิฐิ (เรามักจะวิจารณ์ความเห็นของคนอื่นในเชิงลบ) แล้ว เรามักจะใช้คำนี้ในความหมายของ ทิฐิมานะด้วย คือเลยเถิดไปถึงเอามาเปรียบเทียบกับทิฐิของเราเข้าไปด้วย เกิดเป็นความทุกข์ขึ้นทวีคูณ ถึงกับต้องออกแรงถกเถียงกันจนเกิดโทสะตามมาอีก และกิเลสอย่างอื่นตามมาโกลาหล
ผมขอเสริมคุณมะเหมี่ยวอีกนิดหนึ่งครับ ผมเองก็มักจะมีเหตุให้ถกเถียงกับเพื่อนฝูงหรือผู้ร่วมงานอยู่บ้าง แม้จะไม่ยินดีนักแต่หากเป็นหน้าที่ก็ต้องทำครับ จะนั่งเฉยๆคงไม่ได้ เพราะเรายังอาศัยและแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับผู้อื่นอยู่ และความคิดอ่านของเรา (ซึ่งหลายครั้งจำเป็นต้องมีอคติด้วยเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ที่เราทำงานแลกเปลี่ยนมา) ก็ต้องใช้เพื่อผลประโยชน์นั้น
เมื่อต้องคลุกกับกิเลสมากขนาดนี้ บ่อยครั้งที่สติตามไปไม่ทัน ผมก็จะเลยเถิดไปจนมารู้ตัวเอาเมื่อมันพัวพันกันจนเป็นโทสะวิ่งพุ่งจากอกมาที่หน้าแล้ว ดีที่แรงพอจะกระตุ้นสติได้ทุกครั้ง จึงแก้ไขมาได้อย่างปลอดภัย แต่ก็ไว้ใจไม่ได้เลย หากไม่รักษาสติไว้ก็คงถอยกลับไปมีชีวิตที่โกลาหลเหมือนที่เคยพบมาจนเบื่อหน่าย
แต่จะให้พ้นไปนั้นคงไม่ง่ายนักครับ เรายังอยู่ในสังคม และความจริงแล้ว การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันนั้น ก็เป็นการใช้ชีวิตในสังคมร่วมกันคนอื่นนี่ เองครับ
จุดที่ผมวางไว้ก็คือ อย่าคลุกคลีกับผลประโยชน์มากไปกว่าที่จะดำรงชีวิตของเราไว้เท่านั้น และพยายามพิจารณาความต้องการปัจจัยซับซ้อนต่างๆในชีวิตลงเรื่อย เพื่อให้เรียบง่ายเข้า และเป็นอิสระต่อผลประโยชน์ที่หล่อเลี้ยงปัจจัยเหล่านั้นในที่สุดครับ
|
|
โดยคุณ น้ำ วัน พฤหัสบดี ที่ 14 กันยายน 2543 21:59:35 |