ความเห็นที่ 15 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 12 กันยายน 2543 08:31:25 |
1. พระอรหันต์จึงจะมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ครับ แต่ตามความหมายที่ผมว่านักปฏิบัติส่วนมากขาดสัมปชัญญะนั้น หมายถึงนักปฏิบัติส่วนมาก ยังปฏิบัติไปด้วยจิตที่มีโมหะครอบงำโดยไม่รู้ทันครับ มักจะปฏิบัติไปอย่างไม่รู้เหตุผลต้นปลาย ไม่รู้กิจของอริยสัจจ์ ไม่รู้วิธีเจริญสติ เอาแต่เผลอบ้าง เพ่งบ้างไปตามเรื่อง กระทั่งการนั่งคิดถึงเรื่องปรมัตถ์ ซึ่งไม่ใช่การรู้ปรมัตถ์ด้วย
2. ทำนองนั้นครับ ตัวธัมมารมณ์จริงๆ กระทั่งตัวความคิดจริงๆ มันเป็นสภาวธรรมเท่านั้น ไม่มีคำพูดเป็นคำๆ ครับ ที่พูดเป็นคำๆ เป็นบัญญัติซึ่งอาศัยสัญญาขึ้นมาภายหลัง
3. เกือบถูกครับ ผิดนิดเดียวตอนท้ายครับ ตัวโต๊ะเก้าอี้นั้น ถ้ารู้มันโดยความเป็นรูป เป็นธาตุอันนั้นเป็นปรมัตถ์ ถ้าสำคัญว่ามันเป็นโต๊ะเก้าอี้ ก็ยังเป็นสมมุติบัญญัติครับ
ที่ผมกล่าวว่า "รู้ชัดสมมติโดยความเป็นสมมติ รู้ชัดถึงปรมัตถ์โดยความเป็นธรรมชาติธรรมดาอันหนึ่ง" อันนี้เป็นจุดสำคัญอันหนึ่ง คือการรู้ปรมัตถ์นั้น จิตจะรู้แล้วจำแนกเอาสมมุติบัญญัติออก ก็จะเห็นเพียงธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่เรียกกระทั่งชื่อว่าปรมัตถ์ด้วยซ้ำไป ถ้าจิตยังสำคัญว่า นี่ปรมัตถ์ ก็ยังไม่เข้าถึงรู้จริงๆ ครับ เพราะเอาบัญญัติไปใส่ปรมัตถ์เสียอีกแล้ว
4. ไม่ต้องคิดมากครับ รู้สิ่งที่กำลังปรากฏด้วยจิตที่เป็นกลาง ทำต้นทางให้ดี ปลายทางก็เข้าถึงเองครับ อย่าไปคำนึงคำนวณถึงปลายทางเอาล่วงหน้า เจริญสติสัมปชัญญะให้มากๆ ไว้ครับ จะไม่รู้เรื่องปรมัตถ์หรือบัญญัติเลยก็ไม่เป็นไร มันอาจจะไปรู้เอาวับเดียวในภายหลัง ก็เป็นได้ครับ
ส่วนที่เห็นว่าชีวิตมันวนเวียนซ้ำซากน่าเบื่อนั้น เป็นความเห็นผิด ตั้งแต่เห็นว่า "ไพมีชีวิต" แล้วครับ ที่ว่ามันวนเวียนซ้ำซากน่าเบื่อ ก็เพราะมีความขัดใจ แค่ความรู้สึกเท่านี้ ถ้ามีโยนิโสมนสิการ ก็จะเข้าใจกิเลสตนเองได้อีกหลายตัวทีเดียว |
|
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 12 กันยายน 2543 08:31:25 |