ข้อสังเกต ..
1. ทุกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงแจกแจงนั้น มีทั้งทุกข์ตาม บัญญัติ อันได้แก่ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก การประสบสิ่งที่ไม่พอใจ ความไม่สมอยาก ฯลฯ และทุกข์ในมุมมองของ ปรมัตถ คืออุปาทานขันธ์
2. บุคคลจำนวนมากในครั้งพุทธกาลบรรลุพระโสดาบัน ด้วยการฟังธรรมในขั้นบัญญัติ และไม่รู้จักธรรมในขั้นปรมัตถ์จนตลอดชีวิต เช่นท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี เป็นพระโสดาบัน ทั้งที่ท่านไม่เคยฟังธรรมเรื่องขันธ์ 5 เลย เคยฟังแต่เรื่องเกิดแก่เจ็บตายธรรมดาๆ นี่เอง จนตอนที่เจ็บหนัก ใกล้จะอนิจจกรรม ท่านพระสารีบุตรจึงแสดงเรื่องขันธ์ 5 ให้ฟัง ซึ่งท่านเศรษฐีก็ร้องไห้ด้วยความเสียดายโอกาส แล้วบ่นว่าได้ฟังช้าไป
3. ธรรมที่ทรงแสดงต่อหลายท่าน ในขั้นสุดยอดเพื่อการบรรลุพระอรหันต์นั้น (เท่าที่จำได้ตอนนี้) มักจะเป็นธรรมในขั้นปรมัตถ์ เช่นทรงสอนอนัตตลักขณสูตร ว่าด้วยขันธ์ 5 เป็นไตรลักษณ์แก่ท่านพระปัญจวัคคีย์ ทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตร ว่าด้วยอายตนะเป็นของร้อน แก่ชฎิล 1,000 รูป ทรงแสดงเรื่องสักแต่รู้ สักแต่เห็น สักแต่ทราบ แก่ท่านพระพาหิยะ และท่านพระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ เพราะได้ฟังพระศาสดาทรงแสดงธรรมเรื่องเวทนา 3 ไม่เที่ยง เป็นต้น
4. จากข้อ 2 - 3 จะเห็นได้ว่า พระศาสดาทรงแสดงธรรมอย่างมีการจำแนก ผู้ฟังจึงได้ประโยชน์จากธรรมอย่างถึงใจ ส่วนพวกเราชาวพุทธในยุคนี้ ฟังธรรมเฟ้อเกินไปหรือเปล่า เพราะต่างก็พูดถึงปรมัตถธรรมได้คล่องปาก เพราะจำได้ขึ้นใจ แต่กลับไม่รู้ธรรมเหมือนท่านที่ฟังเพียงธรรมในขั้นบัญญัติเมื่อครั้งพุทธกาล เป็นไปได้ไหมครับ ว่าความรู้ที่เต็มสมองนั้น ได้ปิดกั้นจิตใจไม่ให้เปิดขึ้นรับธรรมเสียแล้ว
|
|