เมื่อไม่นานมานี้บังเอิญผมได้อ่านพระวินัยจากหนังสือเรื่อง "ท่านพ่อของชาวบ้าน พระอาจารย์ลี ธัมมธโร" เนื้อหาช่วงต้นได้กล่าวถึงพระวินัย ซึ่งเป็นเหมือน กฏ ระเบียบเมื่อบวชพระ เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ให้เกิดความมีระเบียบ เรียบร้อย และที่สำคัญที่สุด "เพื่อความดับทุกข์อย่างแท้จริง"
ในส่วนของพระวินัยที่ได้อ่านพบนั้น เมื่ออ่าน และคิดไตร่ตรองแล้ว เห็นว่า พระพุทธเจ้านั้น ท่านทรงเป็นบรมครู เป็นเนื้อนาบุญที่สำคัญที่สุดของโลก ถ้าพูดเป็นคำพูดของคนสมัยนี้ ก็คงจะกล่าวได้ว่า สุดยอดของปรมาจารย์
ที่จริงผมอยากจะกล่าวคำเทิดทูนพระองค์ท่านให้มากกว่านี้ เพราะเท่าที่เขียนมานี้ เมื่อย้อนกลับไปอ่านดู ก็ยังไม่ถึงครึ่งที่คิดเทิดทูนท่าน _/\_ _/\_ _/\_
เหตุที่คิดอย่างนั้น เพราะนอกจากคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงสอนเอาไว้นั้น ทันสมัยตลอดเวลา, เป็นไปเพื่อความดับทุกข์อย่างแท้จริง และในหลายๆพระสูตร ก็เห็นสิ่งที่เรียกว่า เป็นอนุสาสนีย์ปาฏิหารย์ ดังเช่นในพาหิยสูตรและในอีกหลายๆพระสูตร
ย้อนกลับมาที่พระวินัยที่ผมเห็นว่ามีความน่าทึ่ง,น่าตื่นตาตื่นใจนั้นก็เนื่องมาจาก ในทุกข้อของพระวินัยนั้น หากไล่ย้อนมาถึงจุดประสงค์ของการออกพระวินัยนั้น ทุกข้อ โยงมาที่จุดประสงค์ๆเดียวคือ มีสติ-สัมปชัญญะที่พร้อมบริบูรณ์ และยังมีบางข้อ ที่นอกจากจะเน้นเรื่องสติสัมปชัญญะแล้วก็ยังเป็นการปกป้องตนเอง ให้รอดพ้นจากการนินทา-ว่าร้ายจากผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
หากอ่านตามการจัดหมวดหมู่นั้น พระองค์ท่านก็แยกออกเป็นหลายหมวด ตั้งแต่หยาบที่สุดจนถึงละเอียดที่สุดคือ 1. ปาราชิก 4 2. สังฆาทิเสส 13 3. อนิตย 2 4. นิสสัคคิยปาจิตตีย์ 30 5. ปาจิตตีย์ 92 6. ปาติเทศนียะ 4 7. เสขิยะ 75 8. อธิกรณสมถะ 7 รวม 227 ข้อพอดี
ในส่วนของหมวด-หมู่นี้นั้นหากอ่านไล่เริ่มมาตั้งแต่ปาราชิกจนถึงเสขิยนั้น หากเปรียบเทียบกับการปฏิบัตินั้น ก็มาสอดคล้องกันอีก คือจะค่อยๆ ไล่มาตั้งแต่กิเลสชั้นหยาบ มาจนถึงชั้นละเอียดตามลำดับดังเช่น ในข้อ ปาราชิกนั้นประกอบไปด้วย
ข้อ1 ภิกษุเสพเมถุน ต้องปาราชิก ข้อ2 ภิกษุถือเอาของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ราคา 5 มาสก ต้องปาราชิก ข้อ3 ภิกษุแกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย ต้องปาราชิก ข้อ4 ภิกษุอวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน ต้องปาราชิก
จะเห็นได้ว่าทั้ง 4 ข้อนี้จัดการ กิเลส-ตัณหาที่หยาบที่สุดและเป็นภัยต่อสังคมโดยตรง ถัดไปก็จะค่อยๆละเอียดขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งถึงเสขิยะ
ในเสขิยะ 75 นี้ถ้าดูกันลงในรายละเอียดแล้วก็จะเห็นว่า เป็นเรื่องของการเน้นในเรื่องของการมีสติ-สัมปชัญญะ และครอบคลุมถึงกิจวัตรประจำวันของภิกษุสงฆ์ได้เกือบทั้งหมด โดยในหัวข้อ เสขิย75 นี้ แยกย่อยออกเป็น 1. สารูป 2. โภชนปฏิสังยุต 3. ธัมมเทศนาปฏิสังยุต และ 4. ปกิณณกะ
ตัวอย่างเช่น ในหมวด สารูป ก็กำหนดให้ภิกษุต้องนุ่ง,ห่มให้เรียบร้อย เมื่อเข้าไปในบ้านของฆราวาส ต้องระวังตัวทุกลมหายใจเลย นับตั้งแต่ การยืน, การเดิน, การนั่ง, อิริยาบทเมื่ออยู่ในบ้าน ควรทำอย่างไร แม้ในพระวินัยข้อนี้ ก็เห็นได้ว่าตรงกันกับการปฏิบัติฯคือ การมีสติ สัมปชัญญะ คือรู้ตัวตลอด ห้ามเผลอ เพราะเผลอเมื่อไรก็เป็นอันว่ามีโอกาสสูงมากที่จะผิดวินัย เช่น ไม่ไกวแขนเมื่อไปในบ้าน, ไม่สั่นศรีษะเมื่อไปในบ้าน, ไม่พูดเสียงดังเมื่อไปในบ้าน, ไม่โคลงกายเมื่อไปในบ้าน, ฯลฯ ทุกข้อ เมื่อเทียบกับการปฏฺบัติธรรมแล้ว โดยส่วนตัวเห็นว่า นี่คือการปฏิบัติธรรมแบบทุกลมหายใจเลยทีเดียว และเมื่อเผลอ ก็ต้องได้รับการลงโทษและแม้การลงโทษนี้ก็ยังเจาะลึก เข้ามาที่ตัว(ของภิกษุ)เอง เช่นการปรับอาบัติ ก็จะทำให้เกิดความละอาย และเกิดความระมัดระวังสติกันต่อไป
พระวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติขึ้นนี้ ดูเหมือนจะเป็นรายละเอียดที่ค่อนข้างยุ่งยาก ในการปฏิบัติตามอย่างเป็นธรรมชาติ แต่หากรู้ถึงจุดประสงค์แล้ว ในทุกๆข้อของพระวินัย นี้ปฏิบัติตามได้ไม่ยากนักหากมีจุดประสงค์ในการบวชเป็นจุดประสงค์เดียวกับ พระพุทธศาสนาคือ"ถึงความดับทุกข์" คือทุกหัวข้อของพระวินัยจะมาลงตรงที่ "มีสติ-สัมปชัญญะ" ซึ่งก็เป็นหัวใจ ในการปฏิบัติธรรม และในทุกข้อ ก็ยังจัดได้ว่าเป็นการจัดการกับกิเลสไปในตัว จึงถือได้ว่าพระวินัย เป็นอาวุธที่จะใช้จัดการกับกิเลสได้อีกอย่างหนึ่งเช่นกัน
จุดประสงค์ที่เขียนนี้ก็เพราะทึ่งในพระปรีชาญาณและการมีพระเนตรยาวไกล ของพระพุทธองค์ จึงได้เขียนเรื่องนี้ขึ้นเป็นการแสดงความเคารพและเทิดทูนพระพุทธองค์ หากมีข้อบกพร่องประการใดในการนำเสนอต่อสาธารณแล้ว ผมขอรับผิดไว้ทั้งหมดแต่ผู้เดียว
|
|