กลับสู่หน้าหลัก

อุบายสู้กาม

โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อาทิตย์ ที่ 1 ตุลาคม 2543 07:02:57

เมื่อสัปดาห์ก่อน มีเมล์ถามปัญหาเกี่ยวกับกามราคะ
โดยผู้ถามอยากจะถามในกระทู้ เพื่อให้ผู้ที่มีปัญหาแต่ไม่กล้าถาม ได้อ่านด้วย
ผมจึงรับอาสามาตั้งกระทู้ตอบให้เสียเอง เพราะผู้ถามเป็นผู้หญิง
แต่ที่การเขียนกระทู้ล่าช้าออกมาเพราะผมไปต่างจังหวัดเสียหลายวัน

ประเด็นของเธอก็คือ เธอสังเกตเห็นว่า
เมื่อมีโทสะแล้ว มักจะพบกามราคะตามมาเสมอ
โทสะนั้นเธอคิดว่าพอสู้ได้ แต่กามราคะ ยังเป็นสิ่งที่เธอพ่ายแพ้
จึงอยากทราบวิธีการในการต่อสู้กับกามราคะ

ความจริงแล้ว กามราคะและโทสะนั้น
เหมือนคนละด้านของเหรียญอันเดียวกัน
เช่นในเวลาที่เกิดความต้องการทางเพศ แต่ไม่รู้ว่ามีกามราคะแล้ว
และกดข่มไว้ โดยไม่รู้ทันว่าได้กดข่มไว้
จิตก็จะพลิกไปเป็นโทสจิต เหมือนเด็กโยเยเพราะไม่ได้ของเล่นที่ชอบใจ
ครั้นโทสจิตผ่านไปแล้ว กามราคะก็แสดงตัวชัดขึ้นมาอีกสลับกันไป

หรือแม้ว่า กามราคะได้รับการตอบสนองแล้วก็ตาม
จะพบว่าจิตมีโทสะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ หลังจากที่เสพย์กามไปแล้ว
เพราะการเสพย์กามนั้น ทำให้จิตกระเพื่อมหวั่นไหวได้มาก
ยิ่งไปยุ่งกับคนที่ไม่ใช่คู่สมรสของตน ยิ่งหวั่นไหวมาก
ท่านจึงสอนให้สันโดษในคู่ของตน
เพราะแม้จิตจะเศร้าหมองบ้างก็ไม่มากนัก ไม่เหมือนกับไปยุ่งกับคนอื่นๆ
ดังนั้น ถ้าประพฤติพรหมจรรย์ไม่ได้ ก็อย่าประพฤติผิดในกาม
เพราะกิเลสทั้งราคะและโทสะจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ปฏิบัติที่มองกามราคะซึ่งเกิดขึ้นแต่แรกไม่ออก แล้วกดข่มไว้
จึงคิดว่า ตนเองเกิดโทสะขึ้นมาก่อน แต่สู้โทสะได้
แล้วจึงเกิดราคะตามมาทีหลัง
ความจริงแล้ว โทสะก็อาศัยกามราคะที่ไม่ได้รับการตอบสนองเกิดขึ้นนั่นเอง
ถ้าปราศจากกามราคะ โทสะก็พลอยไม่เกิดไปด้วย

***********************************

ก่อนจะต่อสู้กับกามราคะ ควรทราบเสียก่อนว่า
กามราคะเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง ที่จิตพึงพอใจในกาม
ได้แก่ความพึงพอใจ ติดตรึงใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทางกาย
เป็นคำที่กว้างกว่าความต้องการทางเพศ
แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงว่า
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสของสตรีเป็นที่พึงใจของบุรุษ
และรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสของบุรุษเป็นที่พึงใจของสตรี
ดังนั้น เรื่องของเพศตรงข้ามจึงจัดเป็นกามราคะที่ร้ายแรงมาก
มากกว่ารูปวาดสวยๆ เสียงเพลงเพราะๆ ดอกไม้หอมๆ อาหารรสอร่อยฯลฯ

กามราคะ เกิดขึ้นเพราะจิตไม่รู้เท่าทันความไม่มีสาระของกาย
จิตจึงเพลิดเพลินพึงใจที่จะหาความสุขทางกาย
ด้วยการมองหารูปสวย/หล่อ เสียงเพราะ กลิ่นหอม สัมผัสที่พอใจ ฯลฯ
หากเมื่อใดจิตเห็นจริงว่า กายเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หรือเป็นอสุภะ
กิเลสกามก็จะอ่อนกำลังลงทันที

อุบายภาวนาในการสู้กับกาม ก็มีเป็นขั้นๆ ไป
อย่างอ่อนๆ ก็เช่นการหลีกเลี่ยงผัสสะ
เช่นครูบาอาจารย์บางองค์ ท่านแบกกลดหนีสาวที่ท่านไปหลงรักเข้า
เพราะถ้าสู้ไม่ไหว ก็ต้องหนีเอาไว้ก่อน

อุบายที่เข้มข้นขึ้นไปอีก ได้แก่การพิจารณาเพศตรงข้าม
เช่นการพิจารณาคนที่เราพอใจลงเป็นอสุภะ หรือไตรลักษณ์
ถ้าจิตเห็นจริงแล้ว จะลดความผูกพันกันทางกามลงได้

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เคยเล่าให้ผมฟังว่า
มีพระรูปหนึ่งบริกรรมพุทโธได้ไม่นาน จิตกลับไปบริกรรมชื่อแฟน
หลวงพ่อจึงให้บริกรรมชื่อแฟนต่อไป จนเกิดนิมิตรูปแฟนขึ้นมา
พระท่านก็ดูรูปแล้วบริกรรมต่อไป รูปก็เริ่มเหี่ยวโทรมลง หมดสวยหมดงาม
จิตของท่านก็ถอดถอนจากความผูกพันในกามกับแฟน

ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ สมัยเป็นฆราวาส
ท่านแก้ความรักสาวโดยการไปพิจารณาอุจจาระของสาว
สมัยนั้นพิจารณาได้ เพราะชาวบ้านถ่ายกันตามทุ่งนา
เดี๋ยวนี้จะเอาแบบวิธีนี้คงไม่ได้แล้ว เพราะสาวเขาปกปิดร่องรอยมิดชิด

อุบายถัดมา เป็นการทรมานตนเอง
เช่นพระบางรูปไปหลงรักผู้หญิง ท่านยอมอดข้าวจนกว่าจะตัดรักได้
วันแรกยังตัดไม่ได้ พอหลายวันเข้าก็ตัดได้
เพราะจิตกลัวว่ากายจะตายจึงเลิกรักสาว
เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เรารักที่สุดก็คือตัวเราเอง

อุบายถัดมา เป็นการใช้ปัญญาพิจารณาตนเอง
ซึ่งพระส่วนมากท่านพิจารณาร่างกายของท่านลงเป็นอสุภะบ้าง
พิจารณาความตายบ้าง พิจารณาความเป็นทุกข์ของกายบ้าง
วิธีนี้เป็นวิธีที่ประณีตยิ่งขึ้น เพราะเป็นการพิจารณาตนเอง
ไม่ใช่วิธีพิจารณาเพศตรงข้าม หรือหนีเพศตรงข้าม

อุบายทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงการเอาตัวรอดเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ต่อเมื่อเจริญสติสัมปชัญญะมากเข้า
จนจิตเกิดปัญญาวิปัสสนาอย่างแท้จริงแล้ว
นั่นแหละจึงจะเอาชนะกามได้อย่างเด็ดขาดพร้อมทั้งปฏิฆะด้วย

ที่ผมเคยใช้แล้วได้ผล ในการเอาต่อสู้กับกามโดยไม่ได้เจตนาก็คือ
การเดินจงกรมแล้วเอาสติระลึกรู้ลงในกาย
เห็นกายเดินไปตามสภาพของกาย จิตเป็นคนดูอยู่
ถึงจุดหนึ่งจิตเกิดปัญญาขึ้นว่า กายนี้มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย
แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่เป็นทุกข์อะไร
ความทุกข์มันเกิดจากจิตเข้าไปยึดกาย แล้วอยากอย่างนั้นอย่างนี้
ไม่ยอมรับความจริงว่า กายมันต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
จิตจึงเป็นทุกข์เพราะความอยากของจิตเอง
เมื่อจิตเดินปัญญามาถึงจุดนี้
จิตก็เห็นกายเป็นของธรรมชาติธรรมดาอันหนึ่ง
พอจิตไม่ยึดกายแล้ว กามก็หาที่ตั้งไม่ได้เอง
ไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้เพื่อละกามโดยตรงแต่อย่างใด

***********************************

ปกติกามราคะและปฏิฆะจะขาดไปพร้อมๆ กัน
เพราะเหตุที่ว่า กามและปฏิฆะมันเกิดจากรากเหง้าอันเดียวกัน
คือเกิดจากความโง่ของจิตที่เข้าไปยึดกาย และมันรักความสุขทางกาย
มัน(จิต)อยากให้ตาเห็นแต่รูปที่ดี ไม่อยากให้ตาเห็นรูปที่ไม่ดี
มันอยากให้หูได้ยินเสียงที่ดี ไม่ได้ยินเสียงที่ไม่ดี
มันอยากให้จมูกได้กลิ่นหอม ไม่อยากได้กลิ่นเหม็น
มันอยากให้ลิ้นรู้รสอร่อย ไม่อยากรู้รสที่ไม่อร่อย
มันอยากให้กายสัมผัสความเห็นร้อนอ่อนแข็งที่พอเหมาะ
ไม่อยากสัมผัสสิ่งที่รุนแรงเกินไป
เมื่อมันได้สิ่งที่ชอบใจ มันก็เกิดกามราคะ คือรักใคร่ผูกพันในอารมณ์ที่ดี
เมื่อมันได้สิ่งที่ไม่ชอบใจ มันก็เกิดปฏิฆะ คือความขัดใจ

ความยึดในกายนี้แหละ เป็นที่ตั้งของกามราคะและปฏิฆะ
เหมือนที่ความยึดในจิต เป็นที่ตั้งของสังโยชน์เบื้องสูง
คือรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา

***********************************

อันที่จริง เมื่อเรายังละกามไม่ได้
ก็ควรควบคุมให้มันอยู่ในขอบเขตที่พอเหมาะ คืออย่าทำผิดศีล 5
แล้วเจริญสติสัมปชัญญะเรียนรู้คุณและโทษของมันไป
ความทุกข์ทรมานเพราะกามก็จะค่อยลดน้อยลงเป็นลำดับ

กามนั้นไม่ใช่จะเป็นโทษอย่างเดียว คุณของมันก็มีเรียกว่ากามคุณ
ถ้ารู้จักใช้ประโยชน์จากมันเสียบ้าง ก็จะดีไม่น้อย
แม้พระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้คนทำทานและถือศีล เพื่อไปเสวยกามสุขในสวรรค์
ถัดจากนั้นจึงสอนให้เห็นโทษของกามเป็นลำดับต่อไป
ท่านไม่หักหาญ ห้ามเรื่องกามกับคนที่ยังไม่พร้อม
แต่ใช้กามเป็นเหยื่อล่อจิตที่อินทรีย์ยังอ่อนให้ยอมรับธรรม
แล้วค่อยแนะนำทางเจริญปัญญาในภายหลัง

เหมือนกับครูบาอาจารย์ที่ท่านฉลาด เอากิเลสมาแก้กิเลส เอาหนามบ่งหนาม
คือผมรู้จักพระชาวออสเตรเลียรูปหนึ่ง ท่านเครียดและหงุดหงิดใจอยู่เสมอ
เนื่องจากต้องมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยมากมาย
ครูบาอาจารย์จึงออกอุบายอนุญาตให้ท่านเลี้ยงไก่สวยงามนานาชนิด
(เลี้ยงแบบไก่ป่า คือทำที่อยู่ให้ตามต้นไม้ ไม่ได้กักขัง
ไก่มีความสุขกันมากทีเดียว)
เนื่องจากท่านชอบไก่มาก (คลับคล้ายว่าจะเป็นดอกเตอร์เกี่ยวกับไก่ด้วย)
พอเห็นไก่แล้ว ท่านจะอารมณ์ดี หายหงุดหงิดได้

ครูบาอาจารย์ท่านฉลาดมาก คือท่านแก้ปฏิฆะ ด้วยกามราคะ
เนื่องจากปฏิฆะที่ต่อเนื่องรุนแรงนั้น แทบจะทำให้พระรูปนี้ทิ้งวัดไป
จึงต้องล่อด้วยของที่ชอบใจคือไก่ที่สวยงาม
เมื่อพระท่านดูแลไก่นานเข้า ไม่ไปสนใจกับผู้อื่น
จิตใจของท่านก็ผ่อนคลาย เกิดความนุ่มนวล อ่อนโยน
แล้วจิตใจก็เปลี่ยนจากกาม ไปเป็นความเมตตาต่อไก่อันเป็นกุศลจิต
และทำให้ง่ายที่จะปฏิบัติธรรมต่อไป

ถ้ารู้จักใช้ประโยชน์จากกามราคะเสียบ้าง ก็เข้าทีเหมือนกัน
แต่วิธีนี้ ไม่แนะนำให้พระหนุ่มเณรน้อยนำไปใช้โดยพลการนะครับ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อาทิตย์ ที่ 1 ตุลาคม 2543 07:02:57

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ tana วัน อาทิตย์ ที่ 1 ตุลาคม 2543 21:15:41
เห็นด้วย ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ นกเอี้ยง วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 06:47:24
กราบขอบคุณค่ะ ครู
หนูไม่เคยทราบเลยว่า การที่เราทำในสิ่งพึงใจก็เป็นการกิเลสเหมือนกันแบบพระท่านที่เลี้ยงไก่ งั้นหนูก็ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเวลาหนูง่วนกับต้นไม้หนูถึงสงบแลสบายใจได้อย่างประหลาด
โดยคุณ นกเอี้ยง วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 06:47:24

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ นกเอี้ยง วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 06:54:29
แหะ จนได้ พิมพ์ผิดอีกแล้ว
ขอแก้ "การที่เราทำในสิ่งพึงใจก็เป็นการกิเลส" เป็น "การที่เราทำในสิ่งพึงใจก็เป็นการสู้กิเลส"
โดยคุณ นกเอี้ยง วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 06:54:29

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 08:17:46
การทำงานศิลปะ การปลูกต้นไม้ การเลี้ยงสัตว์เลี้ยง
การเล่นพระเครื่อง การเล่นแสตมป์ การยิงธนู ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ยังเป็นราคะ หรือโลภมูลจิตอยู่ครับ เพราะทำไปด้วยความชอบใจ
แต่โทษของมันเบาบางกว่าโทสะ
เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า โทสะมีโทษมาก แต่แก้ง่าย
ราคะมีโทษน้อย แต่แก้ยาก
ส่วนโมหะมีโทษมาก และแก้ยาก

บางคราว การใช้กิเลสก็เป็นอุบายสู้กิเลส
โดยเปลี่ยนจากกิเลสที่มีโทษมาก ให้เป็นกิเลสที่มีโทษน้อยลง
(แต่ควรอยู่ภายใต้การควบคุมของครูบาอาจารย์)
เช่นแทนที่จะหมกมุ่นกับความน้อยเนื้อต่ำใจ เสียใจ คับแค้นใจ กลุ้มใจ
อันเป็นโทสะซึ่งมีโทษมาก ก็หันมาทำงานอดิเรกที่ชอบใจ
จิตใจก็จะสงบลง หายเร่าร้อนแล้ว กลับมาปฏิบัติธรรมก็ทำได้ง่ายขึ้น

หรือบางคราวโมหะครอบจิตจนมืดตื้อแกะไม่ออก
ยิ่งนั่งดู ก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ซ้ำโทสะก็จะเริ่มเข้าผสมโรง คือหงุดหงิดใจขึ้นมา
โมหะมีโทษมาก โทสะก็มีโทษมาก
ผมจึงเคยแนะพวกเราบางคนว่า ให้หยุดการปฏิบัติไว้ก่อนชั่วคราว
ไปเปลี่ยนอารมณ์เดินดูสิ่งที่สวยๆ งามๆ ให้สบายใจ
แล้วถ้าจิตเกิดราคะ ก็ให้รู้ราคะไป
อันนี้ก็เป็นอุบายเอาตัวรอดจากกิเลสที่มีโทษมาก ไปเป็นกิเลสที่โทษน้อย
แล้วค่อยพลิกกลับมาเป็นกุศลจิตทีหลัง

อันตรายมันอยู่ตรงที่ พลิกกลับไปเป็นกุศลจิตไม่ได้ นี่แหละครับ
เรื่องอย่างนี้ จึงควรอยู่ในสายตาของครูบาอาจารย์ไว้

สำหรับเอี้ยง ปลูกต้นไม้ไปเถอะครับ
จิตใจที่สบายๆ ร่วมกับการที่เราทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นนิจ
เกิดพลาดพลั้งเป็นอะไรไป
ถึงชาตินี้อาจจะไม่รู้ธรรม แต่สุคติก็เป็นที่หวังได้ครับ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 08:17:46

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ ธีรชัย วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 08:24:12
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ โยคาวจร วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 10:59:28
ที่ผมพยายามทำอยู่ตอนนี้ก็คือไม่พยายามไปหาเหตุมาให้มัน
แต่ว่าอยู่ในตัวเมืองแต่ละวันเจอผัสสะเยอะเหลือเกิน
เมื่อรู้ทันมันก็ดับไปบ้าง รู้ไม่ทันก็เข้าไปคลุกวงในอยู่บ้าง
อีกอย่างคือผมสังเกตุได้ว่าผู้หญิงแก่ๆ ทำไมถึงไม่สวยเลย
(สาวๆ ที่อ่านอยู่นี่อาจจะแอบด่าผมในใจก็ได้ อิอิ)
ทำไมเพิ่งมาสังเกตุก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่เห็นคนแก่อยู่ทุกวัน
แล้วทำไมผมถึงชอบแต่คนที่ยังไม่แก่
แล้วทำไมคนไม่แก่แต่ไม่สวยผมก็ไม่ชอบ
วันก่อนครูให้อุบายมารู้สึกถูกจริตเหลือเกิน
คือให้มองผู้หญิง : ) แล้วเรารู้สึกยังไง
มองให้เห็นน้ำหนักของความชอบที่ไม่เท่ากัน
คนนี้ชอบมาก คนนี้ชอบน้อย คนนี้ไม่ชอบเลย
จะเห็นได้ว่าเมื่อตามองเห็นรูปจิตจะไหวขึ้นมา
บางทีก็เห็นจิตไหวขึ้นมาเฉยๆ แต่บางทีก็มีราคะเกิดขึ้นด้วย
ถ้่าต้องตาต้องใจมากๆ ก็อาจจะเก็บเอาไปคิดไปฝันได้อีก
บางครั้งจิตนาการอาจจะมีผลมากกว่าความเป็นจริงก็ได้
เหมือนเราตีค่าสิ่งที่ยังไม่ได้มาเสียเลิศหรู
แต่พอได้มาจริงๆ แล้ว อาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด
บางครั้งกายสนอง แต่จิตไม่อยาก ก็ไม่มีผล
บางครั้งจิตอยาก แต่กายไม่สนอง ก็มีผล
แต่ถ้าจิตอยาก กายสนอง แต่เราไปข่มเอาไว้
ก็กลายเป็นโทสะ ความหงุดหงิด ไม่ได้ดั่งใจ
สรุปแล้ว กามราคะ เล่นกับมันยากครับ(สำหรับผม)
คงต้องพิจารณาสุภะ มองราคะที่เกิดขี้นไปก่อนครับ : )
โดยคุณ โยคาวจร วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 10:59:28

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ มะขามป้อม วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 11:19:26
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 12:06:31
สาธุ....

(แอบดีใจกับน้องโยด้วยครับ ได้อุบายเห็นความยินดียินร้ายในใจจนได้.....)
โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 12:06:31

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ listener วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 12:32:27
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 12:47:24
ที่ต้องแนะนำให้ คุณโย คอยดูสาวๆ นั้น เป็นอุบายเพื่อจะแก้โมหะ
เพราะคุณโยถูกโมหะครอบงำเอาเสมอๆ ยังแก้ได้ไม่หมดเสียที
จะให้ทำกรรมฐานอย่างอื่นก็มักจะเพ่งมากขึ้น
จึงแนะให้คอยดูสาวๆ ไว้ แล้วจะค่อยๆ เรียนรู้ธรรมไปได้อีกมากครับ

อย่างที่พบว่า การเห็นผู้หญิงแต่ละคน เกิดความรู้สึกไม่เหมือนกันบ้าง
เห็นว่าการให้ค่า มันเป็นเรื่องของจิต ไม่ใช่เรื่องของตาที่เห็นรูปบ้าง
เห็นความหลงตามอารมณ์บ้าง ไม่หลงบ้าง
สิ่งเหล่านี้เป็นปัญญาจากการปฏิบัติล้วนๆ ทีเดียว

ในอนาคต ปู่โยจะได้เล่าให้ลูกหลานฟังว่า ปู่ได้ดีเพราะชอบดูสาว
แต่ถึงตอนนั้น สาวๆ ก็คงรู้สึกว่า ปู่โยนี่ หน้าตาไม่น่าดูเลย
เห็นแล้วไม่ประทับใจ เหมือนเห็นหนุ่มๆ
หลวงปู่โยในวันนั้น คงจำได้นะครับว่า
นั่นเป็นผลกรรมที่แอบค่อนผู้หญิงอายุมากไว้ในวันนี้
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 12:47:24

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ พีทีคุง วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 13:23:07
:) สาธุครับ
โดยคุณ พีทีคุง วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 13:23:07

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ นุดี วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 19:53:33
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ Lee วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 21:01:06
อ่านแล้ว อดมาขอแจมไม่ได้

จริงๆ แล้วตอนผมดูจิตเป็นใหม่ เมื่อ 1 ปีก่อน สิ่งที่ผมใช้เป็นจุดกระตุ้นตัวเอง
ให้กลับมาดูจิตตน  ใช้สอนตัวเองให้รู้จักราคะ  ใช้สอนตัวเองให้รู้ว่าจิตที่เผลอส่งออกไปจับรูปเป็นอย่างไร
ก็ใช้ตอนดูสาวๆนี่ละครับ  จังหวะที่ดู และเผลอจิตจะส่งไปอยู่ที่ตัวเขาเลย แหะๆ  

ไม่ค่อยอยากเล่าเท่าไร กลัวถูกค้อนนะ

ผมมี tip& trick อย่างหนึ่ง ไว้คือ ผมจะ set ตัวกระตุ้น  ไว้กับอะไรอย่างหนึ่งเสมอ ให้เตือนตัวเองกลับมาดูจิต
เช่น การดูสาวๆ การขับรถ, การปัสสาวะ  ทุกวันนี้ผมจะการเดินเป็นการกระตุ้นในตัวเองกลับมาดูที่กาย ที่จิต

บางที เราเพลินไปในโลกความคิด  โลกของการทำงาน ถ้าเรา set จุดกระตุ้นเหล่านี้ไว้ เราจะถูกเตือนเรื่อยๆ

ผมยังเสียอย่างคือ ตอนมีปฏิสัมพันธ์ พูด คุย นี่ ยังset ตัวกระตุ้นนี้ไม่สำเร็จ  จะหลงไปโลกของผัสสะ  ตัวตน
ตอนนี้ละครับ ยังรู้ไม่ทันจริงๆ

โดยคุณ Lee วัน จันทร์ ที่ 2 ตุลาคม 2543 21:01:06

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ มรกต วัน อังคาร ที่ 3 ตุลาคม 2543 07:42:31
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 3 ตุลาคม 2543 07:50:45
มิน่าล่ะ คุณหมอลี จึงปฏิบัติดีขึ้น ก็เพราะหาของชอบมาเป็นอารมณ์กรรมฐานนี่เอง
ต่อไปสงสัยจะเป็นข้ออ้างให้หนุ่มๆ นักปฏิบัติพากันมองสาวๆ ด้วยเหตุผลทางการปฏิบัติ
วิธีนี้เป็นฆราวาสก็ไม่เท่าไรหรอก แต่ถ้าพระเณรใช้วิธีนี้จะอันตรายมาก
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้ออกห่างมาตุคามไว้

อันที่จริงการหาอุบายแบบหนามยอกเอาหนามบ่ง
มีได้หลายแบบครับ ไม่ใช่มีแต่เรื่องเที่ยวเดินดูสาว
เช่นการเข้าไปอยู่ในป่าคนเดียว จิตใจเกิดกิเลสคือความกลัว
ตอนนั้นราคะจะกระโจนหนีแบบไม่รู้ทางไปทีเดียว

ครูบาอาจารย์บางองค์ นั่งสมาธิแล้วชอบหลับ ท่านก็ไปนั่งริมเหว
จิตใจกลัวร่างกายจะตาย ก็เลยไม่ยอมหลับใน

ดังนั้น ถ้าจะปฏิบัติด้วยอุบายดูสาว ก็ควรรู้บทเรียนต่อไปที่จะแก้ราคะด้วยนะครับ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 3 ตุลาคม 2543 07:50:45

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 3 ตุลาคม 2543 07:56:24
ลืมไปประเด็นหนึ่งครับ เรื่องการ set จุดกระตุ้นที่คุณหมอลีพูดถึง
อันที่จริงก็คือการตั้งฐานของสติ หรือการทำสติปัฏฐานนั่นเอง
ผมเองใช้เครื่องกระตุ้นสติสัมปชัญญะหลายอย่างเหมือนกัน
เช่นการรู้ความไหวของกาย ซึ่งฝึกเอาจากการเดินจงกรมแล้วรู้การกระทบ
เวลาเผลอตัวขาดสติ ถ้าขยับกายนิดหนึ่ง ก็จะมีความรู้ตัวขึ้นมาทันที
เวลานั่งอยู่คนเดียว ก็เคาะนิ้วมือไปเรื่อยๆ
แต่เคาะแล้วรู้ตัวนะครับ ไม่ใช่นิ้วเคาะ แต่จิตหนีไปเที่ยว

การที่เรามีฐานที่ตั้งของสติยืนพื้นไว้มีประโยชน์มาก
เพราะถ้าจิตคลาดไปจากฐานนิดเดียวก็จะรู้ทันเร็ว
สิ่งที่ต้องระวังคือ อย่าให้ฐานนั้นกลายเป็นเครื่องจองจำจิตนะครับ
คือไม่ได้ทำเพื่อให้จิตหลงจ่อลงที่จุดนั้น จะกลายเป็นสมถะไปทันที
แต่ทำเพื่อให้สิ่งนั้นเป็นวิหารธรรม คือเป็นเครื่องรู้ เครื่องอยู่ที่สบายของจิต
แล้วเวลากิเลสตัณหาผ่านมา จิตจะรู้ทันได้ไวมากขึ้น
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 3 ตุลาคม 2543 07:56:24

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ นกเอี้ยง วัน อังคาร ที่ 3 ตุลาคม 2543 11:09:55
ไหมละ อิอิอิ ครูพูดตรงใจหนูเด๊ะๆ เลยค่ะตรงสิ่งที่ต้องระวังอะค่ะ เพราะหนูสังเกตบ่อยๆ เลยว่า พอเวลาไปจับที่เท้ากระทบพื้นหรือพูดง่ายๆ พอตั้งใจจะมีสติในชีวิตประจำวันน่ะค่ะ มันก็เข้าไปสงบเลย สงบนิ่ง เรียกได้ว่า อะไรมา มันกวาดเป็นนิ่งหมด เหมือนวันนี้ หลังจากที่ร้องไห้โฮในโรงพยาบาลมารอบนึงแล้ว ก็ให้มาเฉลียวใจว่าเออ ใครเสียใจ แบบที่ครูเคยเตือนหนูว่า หนูอะไม่ได้ทุกข์หรอก แล้วก็หันมาจับที่เท้า ตอนเดินกลับจากโรงพยาบาล ปรากฏชัดแจ้งเลยว่า ทุกอย่างที่มันหนักอกมันนิ่งสนิท สงบราบคาบเลยค่ะครู  อิอิอิอิ เลยตอนเดินแหละค่ะ มาคิดว่าสัมปชัญญะพักไปก่อนละกัน ตอนนี้มาเอาสติกับชีวิตประจำวันซะก่อน มันคงจะมีอะไรดีขึ้นมาบ้างละน่า^-^
ครูค่ะอีกเรื่องค่ะ ราคะที่ครูสอนให้เอามาเป็นหนามยอกนี่ มันไม่ก่อให้เกิดโทสะเหรอคะ งงอะค่ะ แบบเมื่อเช้าก่อนไปหาหมอ นั่งเล่นเกมส์ค่าเวลา เลยได้เรื่องเลย  สติหนูแตกไปเลยพอเจอเรื่องจังๆ อะค่ะ
โดยคุณ นกเอี้ยง วัน อังคาร ที่ 3 ตุลาคม 2543 11:09:55

ความเห็นที่ 18 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 3 ตุลาคม 2543 13:16:41
เราเอาการเล่นเกมส์มาเป็นเครื่องหลอกกิเลสไม่ได้หรอกเอี้ยง
เพราะเวลาเล่นนั้นจิตต้องจดจ่อตื่นตัวตลอดเวลา มันส่งออกนอกรุนแรงเกินไป
เล่นแล้วมักจะหงุดหงิด เพราะอยากเอาชนะ
ไม่เหมือนการปลูกต้นไม้ที่ไม่เคร่งเครียดแบบตาไม่กระพริบ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 3 ตุลาคม 2543 13:16:41

ความเห็นที่ 19 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 3 ตุลาคม 2543 13:25:26
อีกอย่างหนึ่งนะเอี้ยง การที่เดินรู้เท้าที่กระทบพื้นนั้น
ถ้าเห็นว่าจิตมันเบาลง ทุกข์มันน้อยลงไป แล้วเอี้ยงรู้เท่าทัน
ก็คือการเจริญสติสัมปชัญญะอยู่แล้ว
เพราะมีปัญญาเห็นความไม่เที่ยงของจิต

แต่ถ้าจิตจดจ่อจมลงในเท้า อันนั้นเป็นสมถะเฉยๆ นะครับ
ให้พยายามรู้เท่าทันจิตใจตนเองไปด้วยจะดีกว่า
เพราะการเจริญสติสัมปชัญญะนั้น ทำได้ในชีวิตประจำวันครับ
ไม่ใช่ว่าในชีวิตประจำวันจะเจริญสติได้อย่างเดียวหรอกครับ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 3 ตุลาคม 2543 13:25:26

ความเห็นที่ 20 โดยคุณ อี๊ด วัน พุธ ที่ 4 ตุลาคม 2543 10:19:57
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 21 โดยคุณ kittipan วัน พุธ ที่ 4 ตุลาคม 2543 10:49:25
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 22 โดยคุณ kittipan วัน พุธ ที่ 4 ตุลาคม 2543 10:58:13
เมื่ออาทิตย์ก่อนลองพิจรณาอสุภะ พิจาณราไป 6 รอบ
ขึ้นรอบที่ 7 เจ้ากรรมนายเวรเพื่อนมาเคาะประตู
แต่วันนั้นทั้งวัน รู้สึกว่าจิตตั้งมั่น สงบ ราบเรียบ
เหมือนยิ้มอยุ่น้อยที่มุมปาก ลืมความรู้สึกกามราคะไปเลยครับ
โดยปกติสังเกตเห็นเวลาหลังจากที่เสพกามราคะ จิตจะกระเพื่อมไหว เหมือนน้ำโดนลมพัก ถ้าคิดจะลุกขึ้นมาภาวนาต้อนนั้นคงไมได้ ต้องปล่อยไปสักพักครับ
พักหลังเเหมือนจิตเค้าไม่ค่อยสาระกับกามราคะ สังเกตเห็นหลังจากที่เสพกามแล้ว จิตเค้าเฉยๆ ชอบเกิดคำถามขึ้นในใจ แค่นี้เองหรอ กาม แบบนี้ มันไม่สาระจริงรึป่าวครับ บางครั้ง เหมือนเป็นความต้องการทางกายมากกว่าความต้องการทางจิต เพราะไม่เห็นว่าจิตต้องการ แต่กายกับมีอาการที่ต้องการ ครับ
โดยคุณ kittipan วัน พุธ ที่ 4 ตุลาคม 2543 10:58:13

ความเห็นที่ 23 โดยคุณ kittipan วัน พุธ ที่ 4 ตุลาคม 2543 11:01:35
แก้หน่อยๆ  เหมือนน้ำโดนลมพัดครับ
ไหนก็ไหน อีกสักเรื่อง ศีลข้อกาเมไม่ผิดลูกเมืยชาวบ้าน
แล้วการที่มีอะไรกับแฟน (ไมได้แต่งงานกัน  ) ผิดรึป่าวครับ   แล้วถ้าเป็นคนที่มีอะไรกันแล้ว ก็เลิกรากันไปไม่พูกมัด แต่เค้าก็ยินยอมด้วย  แบบนี้ผิดข้อกาเมรึป่าวครับ
ก็ไมได้บังคับเค้าอ่ะ  อิอิอิ
โดยคุณ kittipan วัน พุธ ที่ 4 ตุลาคม 2543 11:01:35

ความเห็นที่ 24 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พุธ ที่ 4 ตุลาคม 2543 14:09:07
เรื่องศีลเป็นข้อๆ นี่น่าปวดหัวครับ
เพราะจะต้องมีการตีความกันอยู่เสมอว่า
ทำอย่างนี้ แค่นี้ จะผิดหรือไม่ผิด
สู้มีศีลอีกแบบหนึ่งไม่ได้ครับ
คือจะทำอะไรก็ทำไปเถิด
แต่ทำแล้วเป็นเหตุให้กุศลเจริญขึ้น อกุศลเสื่อมไป
ทั้งจะต้องไม่เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นด้วย


ศีลข้อเดียวชนิดนี้ เป็นศีลสบายสำหรับนักปฏิบัติครับ
และศีลข้ออื่นๆ ก็งอกออกไปจากหลักอันนี้เอง
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พุธ ที่ 4 ตุลาคม 2543 14:09:07

ความเห็นที่ 25 โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 4 ตุลาคม 2543 17:54:30
เห็นด้วยกับครูอย่างยิ่งครับ

การรักษาศีล โดยพยายามว่ากันไปตามตัวอักษร อาจจะไม่ค่อยเหมาะนักสำหรับนักปฎิบัติ ในสมัยเรียนผมเคยเดินแวะไปที่ชมรมพุทธศิลป์ของคณะ ได้พบกับผู้ใฝ่ธรรมนั่งถกเถียงกัน ว่าทำเท่าไหร่ศีลจะขาด ศีลจะทะลุ ผมฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็นึกไม่ออกหรอกครับว่าที่ถูกต้องคืออย่างไร

คำว่าที่ถูกต้องในที่นี้หมายถึง เหมาะสม พอควร กับการปฎิบัติธรรมครับ

ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกครับว่าจิตส่งออกนอกเป็นอย่างไร แต่ก็พอจะรู้ว่าประเด็นที่เขาถกเถียงกันนั้นมันไกลตัวออกไปมากแล้ว แม้ว่าในขณะนั้นผมก็ไม่ทราบเรื่องการปฎิบัติแบบการเฝ้าดูจิตของตนเอง แต่ผมก็คิดว่าการมานั่งถกเถียงกันด้วยบัญญัติ ว่าเท่านั้นเท่านี้ มันเป็นเหมือนกับการปฎิบัติธรรมแบบศรีธนญชัย ไม่ตรงไปตรงมา

ได้อ่านที่ครูพูดว่า "จะทำอะไรก็ทำไปเถิด แต่ทำแล้วเป็นเหตุให้กุศลเจริญขึ้น อกุศลเสื่อมไป ทั้งจะต้องไม่เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นด้วย" ก็ถึงบางอ้อเลยครับ มีความรู้สึกว่า นี่คือหัวใจของการรักษาศีล(ที่เหมาะกับผู้ปฎิบัติธรรม)จริงๆ ครับ ส่วนศีลที่แยกแยะกันเป็นข้อๆ 5 ข้อ นั้น เหมาะสำหรับคนธรรมดาทั่วไปครับ

ที่ว่าเหมาะกับคนธรรมดาทั่วไปนั้น เป็นเพราะศีลสำหรับผู้ปฎิบัติควรจะเรียบง่าย หมดจด ไม่ยุ่งยาก และไม่ซับซ้อน ดังนั้นหากจับเอาประเด็นอย่างที่ครูว่าไว้ ทั้งเรียบง่าย และหมดจด และยังพัฒนาได้ด้วยครับ (หมายถึง เมื่อผู้ปฎิบัติเห็นโทษภัยในการกระทำบางอย่างของตน ก็จะเพิ่มการงดเว้นได้ด้วย ไม่ต้องไปติดขัดอยู่กัแค่ 5 ข้อ เช่นเมื่อเห็นโทษในกามฯมากเข้า ก็จะเว้นการเสพกาม ทั้งเมถุนธรรม และในกามคุณ เช่นเครื่องของหอม การดูละคร ฟังดนตรี เป็นต้น)

แต่ศีลสำหรับคนทั่วไป คงต้องจำแนกไว้อย่างศีล 5 นั้นดีแล้วครับ เพราะคนที่ไม่ปฎิบัติคงไม่ได้มาสนใจว่า "นี้เป็นกุศล นี้ไม่เป็นกุศล" หรอกครับ มีแต่ นี้ฉันพอใจ นี้ฉันไม่พอใจ

โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 4 ตุลาคม 2543 17:54:30

ความเห็นที่ 26 โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 4 ตุลาคม 2543 17:56:37
ขอแก้คำผิดหน่อยครับ

ที่ว่าเหมาะกับคนธรรมดาทั่วไปนั้น ขอแก้เป็น
ที่ว่าเหมาะกับผู้ปฎิบัติธรรมนั้น
โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 4 ตุลาคม 2543 17:56:37

ความเห็นที่ 27 โดยคุณ ศุภสิทธิ์ วัน พุธ ที่ 4 ตุลาคม 2543 18:26:46
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 28 โดยคุณ น้ำ วัน พุธ ที่ 4 ตุลาคม 2543 22:33:15
"เวลานั่งอยู่คนเดียว ก็เคาะนิ้วมือไปเรื่อยๆ" อ่านแล้วดีใจจังเลยครับ ผมเองก็อาศัยถูนิ้วชี้กับนิ้วโป้งช้าๆ เพราะบางทีนั่งประชุม ไม่รู้จะไปหาที่ตรงไหนให้จิตอยู่ ก็เลยต้องอาศัยขยับตัวเล็กๆน้อยๆช่วยให้รู้ตัว เพิ่งมาทราบว่าพี่ก็ทำ อิอิ แสดงว่าผมไม่มั่วไปเองแน่

นั่งสมาธิ บางทีเกิดตามลมไม่ถูก ผมเลยอาศัยดูลมเป็นการเคลื่อนไหวเอาเสียดื้อๆ บางทีก็ใช้เสียงหัวใจเต้น บางทีจิตมันขยับตัวเวียนไปเรื่อยๆ เป็นการเคลื่อนไหวที่ผมอาศัยดูอยู่บ่อยๆครับ
โดยคุณ น้ำ วัน พุธ ที่ 4 ตุลาคม 2543 22:33:15

ความเห็นที่ 29 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 5 ตุลาคม 2543 08:03:46
ครูบาอาจารย์ระดับหลวงปู่เทสก์ เวลาญาติโยมเข้าไปกราบท่านคราวละเป็นร้อยเป็นพัน
ท่านยังเคยขยับนิ้วไปเรื่อยๆ เป็นเครื่องอยู่เลยครับ ทั้งที่สติสัมปชัญญะของท่านบริบูรณ์แล้ว
เราจึงควรมีเครื่องอยู่ เครื่องกระตุ้นสติสัมปชัญญะประจำตัวไว้บ้าง
จะช่วยให้จิตใจไม่ห่างไกลธรรม คลุกคลีอยู่กับธรรม และเจริญในธรรมโดยง่าย
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 5 ตุลาคม 2543 08:03:46

ความเห็นที่ 30 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 5 ตุลาคม 2543 08:55:30
ขอเพิ่มเติมเรื่องการถือศีลสักหน่อยครับ
คือความรู้สึก หรือทัศนะต่อศีลของชาวบ้านกับผู้ปฏิบัติจะต่างกัน

ชาวบ้านเขาถือว่าศีลคือข้อห้าม ถ้าฝ่าฝืนจะบาป
นักปฏิบัติเห็นว่าศีลเป็นเครื่องสบายกายสบายใจ ทำแล้วจิตสงบสบาย

ชาวบ้านจะถือศีล ก็ต้องสมาทานเป็นข้อๆ
นักปฏิบัติตั้งใจละอกุศล เจริญกุศลในจิต แล้วเกิดศีลขึ้นมาเอง

ชาวบ้านเห็นว่าศีลทำให้กายและวาจาเรียบร้อย
นักปฏิบัติเห็นว่า ใจที่เป็นปกติเรียบร้อย ไม่หลงตามกิเลสคือศีล
เมื่อใจเรียบร้อยแล้ว กายวาจาก็เรียบร้อยไปด้วยโดยไม่ต้องควบคุม

ศีลของชาวบ้านจะขาดหรือไม่ ต้องอาศัยการตีความ
เช่นจะปาราชิกเพราะเสพเมถุนนั้น อวัยวะต้องล่วงเข้าไปชั่วเมล็ดงาขึ้นไป ฯลฯ
ศีลที่ต้องตีความเป็นศีลโลกๆ เหมือนรัฐธรรมนูญที่ต้องตีความกันเรื่อยๆ
ส่วนศีลเหนือโลกไม่ต้องตีความ
เพราะผู้ปฏิบัติที่มีสติสัมปชัญญะ ย่อมไม่นำตนเข้าสู่ภาวะล่อแหลมต่อการเสียศีล

ความแตกต่างกันนี้เอง ทำให้ชาวบ้านเขาถือศีลได้อย่างกระพร่องกระแพร่ง
ส่วนผู้ปฏิบัติที่แท้จริงจะมีศีลโดยไม่ต้องสมาทานและรักษา
เพราะสติสัมปชัญญะที่รักษาจิตตนเองนั้นแหละ
คือเครื่องทำศีลให้สะอาดบริสุทธิ์ไปในตัว
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 5 ตุลาคม 2543 08:55:30

ความเห็นที่ 31 โดยคุณ โยคาวจร วัน พฤหัสบดี ที่ 5 ตุลาคม 2543 11:06:36
เคยมีประสบการณ์ส่วนตัว พอจิตไหวขึ้นมาจากผัสสะ
แล้วรู้ทันตอนนั้น ความรู้สึกทางเพศไม่มีเลย
หายไปเสียเฉยๆ เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ไม่มีโอกาสผิดศีลได้เลย
นอกจากจะทำให้จิตผิดปกติเนื่องจากอกุศล
โดยคุณ โยคาวจร วัน พฤหัสบดี ที่ 5 ตุลาคม 2543 11:06:36

ความเห็นที่ 32 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 6 ตุลาคม 2543 10:40:49
จิตที่มีสติสัมปชัญญะอยู่อย่างสมบูรณ์
จนเห็นความปรุงแต่งของจิตเกิดขึ้นอย่างที่ โย กล่าว
จัดเป็นมหากุศลจิตครับ มันจะไม่มีความรู้สึกทางเพศหรอกครับ
เรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว พี่"เจ้าชาติ" เคยเล่าในกระทู้ที่ห้องสมุดว่า
พระวัดสนามใน สอนว่า ขณะเสพย์กามก็ให้ดูจิตไปด้วย
แล้วผมแสดงความเห็นว่า เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะทำอย่างนั้น
จำได้ว่ามีท่านผู้หนึ่งซึ่งถอนตัวไปจากลานธรรมแล้ว แย้งว่า เป็นไปได้
แต่จนป่านนี้ผมก็ยังเห็นว่าเป็นไปไม่ได้อยู่ดี
เว้นแต่ผู้ชายคนนั้น สามารถเสพย์กามได้ทั้งที่จิตปราศจากการย้อมของราคะ
เพราะมหากุศลจิต กับโลภจิต มันเกิดพร้อมกันไม่ได้หรอกครับ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 6 ตุลาคม 2543 10:40:49

ความเห็นที่ 33 โดยคุณ จ้อม วัน ศุกร์ ที่ 6 ตุลาคม 2543 13:06:43
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 34 โดยคุณ ฐิติมา วัน ศุกร์ ที่ 6 ตุลาคม 2543 19:31:11
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 35 โดยคุณ โยคาวจร วัน จันทร์ ที่ 9 ตุลาคม 2543 08:10:55
มีน้องบางคนถามมาว่าผมแต่งงานมีเมียแล้วหรือ
ขอปฏิเสธเสียงเขียวว่ายังไม่เคยคิดเลยครับ
ที่บอกว่าเคยมีประสบการณ์ส่วนตัวนั้น
อยู่ในช่วงที่เฉียดๆ จะต้องมีห่วงมาผูกคอ
ตอนนี้ห่วงก็ไปผูกคอคนอื่นเรียบร้อยแล้ว อิอิ
ผมไม่รู้ว่าตอนที่รู้ตัวจะเป็นมหากุศลจิต
รู้แต่ว่าหลังจากนั้นจิตจะไม่ค่อยสงบเลย
เหมือนมีอะไรสักอย่างที่ผิดปกติติดตัวไปด้วย
จนมีความกังวลฟุ้งซ่านแล้วตามไม่ทัน
ผมก็คิดว่าทีนี้น่าจะเป็นอกุศลจิตแล้ว
โดยคุณ โยคาวจร วัน จันทร์ ที่ 9 ตุลาคม 2543 08:10:55

ความเห็นที่ 36 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 9 ตุลาคม 2543 08:34:48
ความฟุ้งซ่าน เป็นโมหมูลจิตครับ เป็นอกุศลจิต
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 9 ตุลาคม 2543 08:34:48

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com