ความเห็นที่ 7 โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 3 ตุลาคม 2543 09:48:55 |
ลองดูอีกทีนะครับ อธิบายละเอียดขึ้นหน่อย ไม่รู้เข้าเค้าหรือเปล่า :)
สำหรับสัมปชัญญะใครที่ปฏิบัติคล่องแคล้วชำนาญ ก็จะเห็นได้ชัดของอาการที่จิตตื่นเมื่อมีสัมปชัญญะ กับอาการที่จิตหลงเมื่อขาดสัมปชัญญะ จิตนั้นต่างกันเห็นได้ชัดทีเดียว การมีสัมปชัญญะคือการเฝ้ารู้อารมณ์ โดยมองออกจากจิต การมีสัมปชัญญะจึงมีองค์ความรู้เกิดขึ้น ที่เราเรียกว่าปัญญา เห็นธรรมตามที่เป็นจริง เพราะจิตไม่ทะยานออกไปตามอารมณ์
สติในชีวิตประจำวันคือการระลึกได้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ไม่เผลอเช่น จะข้ามถนนก็รู้ว่ากำลังจะข้ามถนน เวลาทำงานก็จดจ่ออยู่กับงาน เวลาคิดก็รู้ว่าคิดเรื่องอะไร
คนมีสติไม่จำเป็นต้องมีสัมปชัญญะ คนมีสัมปชัญญะต้องมีสติควบคู่ไปด้วยเสมอ แต่เวลาเราเผลอนั้นเราขาดทั้งสติทั้งสัมปชัญญะครับ
สติในการภาวนาก็เหมือนกับสติในชีวิตประจำวันครับ คือความระลึกได้ว่าเรากำลังภาวนา เรากำลังดูจิต ดูอารมณ์อยู่ สติในการภาวนาจึงเป็นเหมือนจุด trig ให้เราดูจิต เจริญสัมปชัญญะ เท่าที่สังเกตดู ก็พบว่ามันมีหยาบละเอียดเหมือนกัน
อย่างหยาบคือสติเมื่อเริ่มแรกที่จะเจริญสัมปชัญญะ คือความระลึกได้ว่าเราจะภาวนา โดยใจผัสสะต่างๆ เป็นเครื่องระลึก หรือเป็นฐานของสติ ร่วมทั้งการระลึกได้เป็นช่วงๆ ว่าเราหลงไปกับความคิดแล้ว ในขณะภาวนา ที่เราเรียกกันว่าความเฉลียวใจ เราอาจใช้ฐานเดิมเช่นลมหายใจเป็นเครื่องระลึกเช่น ลมหายใจ หรือผู้ชำนาญแล้ว ก็จะระลึกได้เองโดยอัตโนมัติ
อย่างละเอียด ถ้าใครมีสมาธิดี มีกำลังดี จะพบว่าเราสามารถ ดำรงสติให้ต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา คือระลึกได้อยู่ตลอดเวลาว่าเรากำลังเจริญสัมปชัญญะ เฝ้ารู้จิตรู้อารมณ์อยู่ คล้ายๆ กับเราทำการเฉลียวใจ ตรวจสอบตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้
ละเอียดสูงสุด คือเมื่อจิตผ่านอุปจาระสมาธิ สติและสัมปชัญญะจะทรงตัวอยู่เองโดยไม่ต้องกำหนด
ที่กล่าวมานี่ พูดตามอาการที่เกิดกับตัวเองนะครับ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจับเข้ากับบัญญัติต่างๆ ได้ถูกต้องหรือเปล่า รอฟังพี่ปราโมทย์อีกทีครับ
|
|
โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 3 ตุลาคม 2543 09:48:55 |