ความเห็นที่ 10 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 30 ตุลาคม 2543 09:37:29 |
ขออนุญาตฝากข้อความจากลานธรรมไว้ด้วยครับ ************************************************** ความคิดเห็นที่ 37 : (สันตินันท์)
ที่คุณสุภะตั้งประเด็นเรื่องปรมัตถ์นั้น ขอเรียนสั้นๆ ว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมโดยสมมุติ แก่ผู้ควรฟังธรรมโดยสมมุติ ทรงสอนปรมัติ แก่ผู้ควรฟังปรมัติ เพื่อประโยชน์ของผู้ฟังเป็นหลัก ไม่ใช่เพื่ออวดว่าพระองค์รอบรู้
พระอริยสาวกชั้นต้นๆ ไม่เคยฟังเรื่องปรมัตถ์เลยก็มี แต่ก็รู้ธรรมได้ อันนี้ผมเห็นว่า (ขอย้ำว่าเป็นความเห็นนะครับ) เพราะคุณภาพในการฟังของท่านดี เช่นพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ จิตที่อบรมมาดีแล้ว ได้รับธรรมอย่างนี้ ก็ทราบว่า ความแก่เป็นทุกข์ ฯลฯ ไม่ไปติดอยู่แค่ว่า "คนแก่เป็นทุกข์" คือท่านสามารถมองทะลุสมมุติบัญญัติเข้าถึงสภาวะของความแก่ได้เลย
อย่างไรก็ตาม ในมหาสติปัฏฐานนั้น ท่านสอนทั้งโดยสมมุติและปรมัตถ์ ที่สอนโดยสมมุติ ก็เพราะทรงสอนธรรมต้นทางของการปฏิบัติก่อน คือสอนให้ปรับจิตให้มีคุณภาพด้วยการรู้อารมณ์อย่างเป็นวิหารธรรม มีตปธรรม มีสัมปชัญญะ มีสติ นำความยินดียินร้ายในโลกออกจากจิต ผู้ใดปรับจิตให้มีคุณภาพแล้ว ก็ย่อมสามารถ (1) เห็นอารมณ์โดยความเป็นสภาวะ และ (2) เห็นสมมุติโดยความเป็นสมมุติ ส่วนท่านที่อินทรีย์แก่กล้าแล้ว ก็จะก้าวกระโดดด้วยปรมัตถ์ทีเดียว
ลองสังเกตเถิดครับว่า ธรรมที่พระองค์แสดงแม้ในขั้นสมมุติ บางทีก็แฝงปรมัตถ์อย่างนึกไม่ถึง อย่างเช่นลองอ่านอริยสัจจ์ 4 ดูเถิดครับ เช่นทรงสอนว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากของรัก พบสิ่งที่ไม่รัก เป็นทุกข์ แต่ลงท้ายท่านก็มักจะขมวดว่า "ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นทุกข์" และถ้าสังเกตธรรมที่ท่านทรงสอนผู้ที่จะบรรลุพระอรหันต์จริงๆ จะเป็นธรรมขั้นปรมัตถ์ เช่นพระสารีบุตรได้ฟังเรื่องเวทนา พระพาหิยะฟังเรื่อง รูปกระทบตาฯลฯ พระมหากัสสปะและพระอานนท์ สำเร็จด้วยกายคตาสติ (กายคตาสติสูตร มีเนื้อหาอันเดียวกับกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนะครับ อันนี้จะไม่ตรงกับวิสุทธิมรรค ที่จัดกายคตาสติเป็นสมถะเท่านั้น)
อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานชั้นพระไตรปิฎกว่า พระองค์เคยทรงสอนว่า จะต้องรู้อารมณ์ปรมัตถ์จึงเห็นไตรลักษณ์ คำว่าปรมัตถ์ 400 กว่าแห่งในพระไตรปิฎก เกือบทั้งหมดอยู่ในกถาวัตถุ ซึ่งแต่ขึ้นหลังพุทธกาลราว 230 ปีเศษ ที่ผมเรียนอย่างนี้ เพราะเห็นว่าเราต้องซื่อตรงต่อการศึกษา แม้ผมจะเชื่อโดยส่วนตัวเรื่องปรมัตถ์ ก็ต้องยอมรับว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนไว้ แต่ผมพบว่า ถ้าดำเนินจิตให้ถูกต้อง จะเห็นปรมัตถ์ แล้วพระองค์ทรงสอนถึงการดำเนินจิตที่ถูกต้องไว้ ซึ่งเพียงพอแล้ว หากทรงสอนเรื่องปรมัตถ์มากเกินไป พระศาสนาคงไม่ตั้งมั่นลงได้แน่ๆ เพราะหาคนฟังรู้เรื่องและเข้าใจ และปฏิบัติได้ ยากเต็มที
เรื่องจิตผู้รู้นั้น ขอเรียนว่าจะไม่ใช่การสร้างมโนภาพ เพราะการสร้างมโนภาพ เอาไปเจริญวิปัสสนาไม่ได้ครับ แต่ไม่ว่าเราจะชอบคำว่าจิตผู้รู้หรือไม่ ถ้าเราเจริญสติสัมปชัญญะจริงๆ ก็จะรู้จักจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งตั้งมั่น เป็นกลาง รู้อารมณ์ด้วยความมีสติสัมปชัญญะ อันนี้เป็นธรรมชาติที่มีอยู่จริงครับ แต่นักปฏิบัติไปบัญญัติเรียกกันเองว่าจิตผู้รู้
เมื่อจิตเป็นของจริง เหมือนที่เจตสิกและรูปเป็นของจริง มันจึงไม่ใช่มโนภาพ แต่ถ้าใครไปสร้างสโนภาพของจิตผู้รู้ ไม่ได้รู้เองด้วยปัญญา อันนั้นผิดครับ
แล้วก็ไม่ใช่การสร้างสิ่งหนึ่งขึ้นก่อน แล้วปล่อยวางความยึดมั่นทีหลัง เพราะจะรู้จักจิตผู้รู้หรือไม่ ปุถุชนทุกคนย่อมเห็นว่าจิตเป็นเราทั้งนั้น และผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ย่อมยึดว่า จิตเป็นเรา จะรู้ตัวหรือไม่ ก็เป็นอย่างนี้แหละครับ
เรื่องจิตส่งออกนอก ไม่เกี่ยวกับการรู้อารมณ์ภายนอกและภายใน เป็นคนละเรื่องกันเลยครับ เพราะเราต้องรู้อารมณ์ตามความเป็นจริง คือตามที่วิญญาณหยั่งลงรู้ลงไปทางใด คำว่าจิตส่งออกนอกเป็นคำบัญญัติของนักปฏิบัติบางกลุ่ม ที่สอนว่า เมื่อรู้อารมณ์แล้ว อย่างหลง อย่าเผลอ อย่าขาดสติคิดนึกปรุงแต่งตามอารมณ์ไป
สำหรับที่คุณรูปนามหนึ่งถามนั้น ผมมีความหมายดังที่คุณวิชชากรุณากล่าวไว้ครับ คือพระอริยบุคคล 7 ประเภท เว้นแต่พระโสดาปัตติมรรค หากไปปฏิสนธิในเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ ก็ไปดูจิตต่อได้ที่นั่น เพราะจิตที่อบรมสติสัมปชัญญะไว้ดีแล้ว มันทำงานได้โดยอัตโนมัติครับ พอรู้อารมณ์อันใด มันก็เจริญปัญญาตรงนั้นเลย เรื่องนี้เดิมผมไม่กล้าพูดหรอกครับ คิดว่าเป็นความรู้ที่แปลกเกินไป แต่ไปเห็นในภูมิจตุกกะและปฏิสนธิจตุกกะ สอดคล้องกัน ก็เลยกล้านำมาเขียนไว้ |
|
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 30 ตุลาคม 2543 09:37:29 |