ความเห็นที่ 25 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 2 พฤศจิกายน 2543 07:48:58 |
เราคุยกันมีหลายประเด็นแล้ว เริ่มจากการรักษาพระศาสนา ซึ่งผมเห็นว่า จุดสำคัญที่สุดคือการสร้างคนที่เป็นสัมมาทิฎฐิ และคนแรกที่เราจะต้องสร้างก่อนเพื่อน ก็คือตัวเราเอง ซึ่งงานพัฒนาตนเอง เป็นเรื่องจริงจัง จะทำฉาบฉวยตามแฟชั่นไม่ได้ และวิธีการสร้างก็คือการเจริญสติสัมปชัญญะอย่างตรงไปตรงมา
ข้อคิดประการที่ 4 ที่อยากจะฝากไว้ให้พวกเราพิจารณาก็คือ ในระหว่างที่เจริญสติสัมปชัญญะอยู่นั้น อย่าทำสิ่งใดอันเป็นการเพิ่มภาระของจิต
ผู้ปฏิบัติจำนวนมากชอบสร้างภาระให้จิต เพราะให้ปฏิบัติตรงไปตรงมาแล้วอึดอัดใจ กลัวจะไม่มีความรู้บ้าง กลัวว่าถ้าไม่มีอะไรให้ทำมากๆ จะกลายเป็นว่าตนไม่ได้ปฏิบัติธรรมอยู่บ้าง ทั้งนี้เพราะพื้นฐานความเชื่อดั้งเดิม ที่เชื่อว่าการปฏิบัติธรรมคืออะไรบางอย่างที่ลึกลับและยุ่งยาก พอพบกับการเจริญสติสัมปชัญญะที่เรียบง่าย คือ รู้ โดยไม่แต่งเติมอะไร ก็เริ่มกังวลใจกลัวว่าจะไม่ได้ปฏิบัติธรรม ลืมนึกไปว่า ผู้ที่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้ามักจะอุทานว่า แจ่มแจ้งนักพระเจ้าข้า เหมือนเปิดของคว่ำให้หงาย เหมือนให้แสงสว่างแก่คนตาดี ฯลฯ
หลวงปู่ดูลย์นั้น ท่านไม่นิยมสิ่งใดที่เป็นความยืดยาดเยิ่นเย้อโดยสิ้นเชิง ลูกศิษย์คนไหนสนใจการเข้าฌาน ท่านก็ไม่สอนเรื่องฌาน (แต่สอนให้กับศิษย์ที่ไม่สนใจ) ลูกศิษย์เล่าเรื่องนิมิต กระทั่งความรอบรู้ใดๆ ท่านกลับสอนให้ย้อนมาดูจิต ลูกศิษย์กังวลเรื่องการสร้างวัดวาอารามเพราะจะต้องไปเป็นเจ้าอาวาส ท่านกลับสั่งให้ปฏิบัติอย่างเดียว ส่วนวัดวาอารามนั้น ให้ญาติโยมเขาสร้างกันเอง กระทั่งการสวดมนต์ ท่านไม่นิยมให้สวดมากๆ มีพระรูปหนึ่งชอบแอบสวดมนต์อยู่ในกุฏิหลังวัด แบบไม่เลือกเวลา ท่านยังสั่งพระอีกรูปหนึ่งให้ไปเตือนว่า ให้ลดการสวดมนต์ลง แล้วดูจิตให้มากขึ้น
เราปฏิบัติก็เพื่อลดภาระเครื่องรุงรังในจิตใจ ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อเพิ่มการแบกหามสิ่งหนึ่งสิ่งใด จึงควรปฏิบัติจากความมี(สิ่งรกรุงรังในจิต)มาก ไปสู่ความมีน้อย ปฏิบัติจากความมีน้อย ไปสู่ความไม่มีอะไร และปฏิบัติจากความไม่มีอะไร ไปสู่ความไม่ยึดถือสิ่งใดสิ่งหนึ่งสักอย่างเดียว
ความสุขของพระพุทธศาสนา อยู่ตรงที่จิตไม่ยึดถืออะไรเลยนี้แหละ มันสุดขั้วตรงข้ามกับความสุขในทางโลก ที่ต้องมีอะไรๆ ให้มากเข้าไว้
ผู้ใดค้นพบความสุขที่ไม่อิงอาศัยสิ่งใดในโลก ก็คือผู้เข้าถึงแก่นกลางของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ความสุขชนิดนี้มีอยู่ หนทางก็มีอยู่ ผู้ที่เป็นแบบฉบับก็ยังมีอยู่(บ้าง) พวกเราแม้ยังทำได้ไม่ถึงอย่างนี้ ก็ไม่เป็นไร พยายามฝึกฝนตนเองเข้าไว้ ถ้าเห็นว่า จิตไม่ใช่เรา เมื่อใด ก็พอจะเข้าใจถึงความสุขชนิดนี้ สามารถเป็นพยานของพระพุทธศาสนา และเป็นผู้ประกาศพระศาสนาด้วยความมั่นใจได้แล้ว
ขอให้เพื่อนผู้ตั้งใจจะเป็นกองหน้า ที่จะนำพาพระพุทธศาสนาเข้าสู่สังคมยุคใหม่ หมั่นตรวจสอบจิตใจตนเองให้มากๆ นะครับ ว่าแต่ละเดือน แต่ละปีที่ผ่านไป เราได้พัฒนาตนเองให้เข้าใกล้เป้าหมายของพระพุทธศาสนามากขึ้นหรือเปล่า ถ้าเข้าใกล้มากขึ้น เราก็จะเป็นผู้พิทักษ์พระศาสนาได้มากขึ้น เพราะพระสัทธรรมนั้น จะประดิษฐานอย่างไม่ฟั่นเฟือนได้ ก็เฉพาะในจิตของผู้ถึงธรรมเท่านั้น ดังนั้น หากต้องการให้พระศาสนามั่นคง ก็ต้องพัฒนาจิตตนเองให้ถึงธรรมให้ได้
ขอให้พวกเราตระหนักเถิดว่า การปฏิบัติธรรมของเรา ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะตัวเราคนเดียว แต่ยังเชื่อมโยงโดยตรงถึงการรักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ในโลกด้วย นี้เป็นข้อคิดประการที่ 5 ที่ขอฝากไว้ให้พวกเราพิจารณาครับ
จบแล้วครับ
|
|
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 2 พฤศจิกายน 2543 07:48:58 |