ความเห็นที่ 10 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 4 พฤศจิกายน 2543 08:15:53 |
คือจะบอกกับเก๋ว่า ที่เห็นว่าจิตมีโมหะนั้นดีมากแล้วครับ เพราะจิตเก๋มีโมหะมากกว่าคนอื่นเขา สู้มาได้ถึงขนาดนี้นับว่าไม่ง่ายเลย
เห็นคุณดังตฤณพูดถึงพระแล้ว ก็นึกขึ้นไว้ว่า การที่พระกรรมฐานอ่อนแอลงนั้น ถ้าจะมองว่าเป็นธรรมดา ก็เป็นธรรมดา เพราะก่อนหน้าที่บูรพาจารย์พระป่าจะประกาศธรรมขึ้นทางภาคอีสานนั้น การปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ได้เสื่อมโทรมถึงขีดสุดมานานแล้ว พระกรรมฐานแม้จะมี แต่ที่จะเข้าถึงธรรม แล้วประกาศธรรม มีน้อยนัก ส่วนมากก็เพียงทรงอภิญญา แล้วอบรมญาติโยมไปตามประเพณีเท่านั้น ถ้าเทียบกับยุคนี้ ก็ยังนับว่ายุคนี้ยังมีพระกรรมฐานดีๆ เหลืออยู่พอสมควร เพียงแต่อ่อนแอลงมาก เมื่อเทียบกับเมื่อ 20 - 30 ปีก่อน
สำหรับพระสงฆ์สามเณรอื่นๆ ที่เล่าเรียนปริยัติธรรม ก็ยังมีการเล่าเรียนกันอยู่ แต่ที่น่ากลัวก็คือ พระเณรเหล่านี้ท่านมักจะบวชไม่นาน เพราะเวลานี้กระแสโลกมันแรงกว่ากระแสธรรม
ผมจึงกล่าวว่า เราจะปล่อยภาระในการรักษาพระศาสนาไว้กับพระฝ่ายเดียวไม่ได้ ปัญญาชน จะต้องศึกษาปฏิบัติ และประกาศธรรมให้มากด้วย
แต่การเพิ่มบทบาทของปัญญาชน ก็ไม่ได้หมายความว่าให้ทอดทิ้งพระ เราจำเป็นต้องอุปถัมภ์บำรุงพระเณรเถรชีเองไว้ เพราะฆราวาสนั้น แม้จะมีความรู้ดี แต่ที่จะทรงพระสัทธรรมไว้ได้จริงก็มีน้อย ยิ่งพระสัทธรรมในขั้นละเอียดจริงๆ แล้ว ยากนักที่ฆราวาสจะเข้าถึงได้
ปัญญาชนผู้ใดศึกษาปฏิบัติธรรม จนถึงจุดที่พัฒนาต่อไปได้ยากในเพศฆราวาส ถ้ามีความพร้อม ก็อาจจะไปบวชเพื่อศึกษาธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้น แล้วทำประโยชน์ให้พระศาสนาให้มากขึ้น
การสนับสนุนพระทำได้หลายทางไม่เพียงการอุปถัมภ์ด้วยปัจจัย 4 (ปัจจัย 4 ก็สำคัญนะครับ อย่างพระในเมืองใหญ่ๆ เวลาถึงวันอาทิตย์ จะบิณฑบาตยากมาก เพราะโยมไม่ตื่น) เช่นการช่วยกันสอดส่องพฤติกรรมของเหลือบศาสนา แล้วอารักขาช่วยสงฆ์ขจัดมารพวกนี้ออกไป และการไม่เข้าไปทำความวุ่นวายให้เสียเวลาของพระปฏิบัติ เป็นต้น
ญาติโยมเข้าไปหาพระ ควรเข้าไปเพื่อศึกษาแนวทางปฏิบัติธรรม จากนั้นก็รับไปปฏิบัติเอาเอง มีปัญหาช่วยตนเองไม่ได้จริงๆ จึงค่อยเข้าไปถามท่านใหม่ ไม่ใช่คอยไปห้อมล้อมซักถามธรรมะไม่เลิก ซึ่งผมสังเกตเห็นมานานแล้วว่า คนที่เอาจริง จะไม่ค่อยไปกวนครูบาอาจารย์ และไม่ชอบรวมกลุ่มปฏิบัติธรรม แต่พยายามช่วยตนเองเป็นลำดับแรก ส่วนคนที่คอยแห่แหนห้อมล้อมครูบาอาจารย์นั้น น้อยรายนักที่จะปฏิบัติจริงจัง
การไม่เข้าไปกวนเวลาของพระ ก็เพื่อว่า พระที่ท่านยังไม่ถึงที่สุด จะได้มีเวลาเร่งความเพียรของท่าน ส่วนพระที่ท่านปฏิบัติพอแล้ว ท่านจะได้มีเวลาทำประโยชน์ตามปณิธานของท่าน
ถ้าญาติโยมนิยมปฏิบัติธรรมด้วยการคุยธรรมะ รวมกลุ่มคุยกันเองยังไม่พอ เที่ยวไปชวนพระคุยเสียอีก อันนั้นเป็นการทำลายโอกาสพัฒนาทั้งตนเอง และของพระเณรเถรชีด้วย นั่นไม่ใช่หนทางจรรโลงพระพุทธศาสนาหรอกครับ
ดูตัวอย่างคุณธนา คุณสุรวัฒน์ คุณพัลวัน คุณหมอลี หนุ่ย อ๊า ฯลฯ ไว้ก็ดีครับ คือต่างคนต่างศึกษาแล้วก็ไปตั้งใจทำเอาเอง ไม่คอยถามซอกแซกไปเรื่อยๆ เป็นแบบอย่างเหมือนพระสมัยพุทธกาลที่เมื่อฟังธรรมแล้ว ก็แยกย้ายกันไปตามลำพังเพื่อทำกิจของตนเอง |
|
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 4 พฤศจิกายน 2543 08:15:53 |