คำว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" นี้ ผมเชื่อว่าคนไทยเกือบจะทุกคนย่อมเคยได้ยินมาทั้งสิ้น และน่าจะเคยได้ยินเป็นคำพูดให้กำลังใจอีกด้วย
ครั้งที่ผมได้ยินหนแรกนั้นก็ยังเด็กอยู่ และเข้าใจไปในความหมายว่า "เราต้องทำอะไรเอง เราต้องต่อสู้ ดิ้นรน ด้วยตัวเราเอง ไม่มีใครมาช่วยเราไปได้ตลอดหรอก" และไม่ได้คิดว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย
แต่เมื่อโตขึ้น ก็ได้ทราบว่า เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า และมีหลายท่านที่เคยถกเถียงกันด้วยเรื่อง อัตตา - อนัตตา ว่านี้แหละที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ใช้ "อัตตา" หรือ ทรงแสดงว่ามี "อัตตา"
เมื่อได้ทราบว่า คำสอนนี้เป็นขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ผมก็มิได้สนใจอะไรต่อมิอะไรไปมากกว่านี้ แต่หลังจากที่อยู่ดูโลกนี้ในชีวิตฆราวาสมานานพอสมควรก็สังเกตเห็นว่า ชีวิตฆราวาสนี้อยู่กันอย่าง อัตคัต เบียดเสียด และหาสุขได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น วันๆหนึ่งหมดไปกับปัญหา หรือ ทุกข์ เกือบทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ก็เครียดด้วยความรับผิดชอบที่มีอยู่ มีเวลาหัวเราะได้น้อย แต่วิตกกังวลกลับมากนัก หาความรู้สึกที่เห็นว่าตัวเองมั่นคงสักน้อยหนึ่งก็แทบไม่มี แต่ที่อยู่กันได้ก็เพราะมีความหวัง ว่าพรุ่งนี้จะดีกว่านี้ พรุ่งนี้จะมั่นคงกว่านี้ กันแทบทั้งนั้น
เมื่อมีครอบครัว ก็ทำให้ได้รับรู้อีกว่า ต่อไปนี้ มิใช่ว่าเราจะต้องเป็นหลักเป็นที่พึ่งเฉพาะตัวเองเท่านั้น แต่เรากลับต้องเป็นหลักให้กับครอบครัวด้วย ทั้งภริยาและลูก ก็ยิ่งทำให้คิดไปอีกว่าเราจะเป็นหลักให้กับลูกแลภริยาได้อย่างไร หากว่าเราเองยังไม่เห็นว่าตัวเราเองเป็นที่พึ่งให้กับตัวเราเองได้ บางวัน บางขณะ เราเองยังรู้สึกหวั่นไหวไปตามเหตุการณ์เรื่องราวที่เข้ามากระทบใจ บ้างก็รู้สึกโกรธ บ้างก็รู้สึกท้อถอย บ้างก็รู้สึกเสียใจ หวั่นไหวไปมาดั่งไม้ที่ปักในเลน หาความมั่นคงอะไรไม่ได้เลย
ก็พิจารณาในคำว่า อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนคือที่พึ่งแห่งตน นี้อยู่ พิจารณาอยู่ว่า อะไรที่จะทำให้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้อย่างแท้จริง
มีข้อสังเกตประการหนึ่งก็คือ หากช่วงใดที่เราสามารถเจริญสติได้อย่างสม่ำเสมอ จะดีขึ้นบ้าง จะเลวลงบ้าง ก็แล้วแต่ แต่หมั่นเจริญสติอยู่เนือง ในช่วงนั้นเราจะไม่รู้สึกถึงความหวั่นไหวอันเกิดจากจิตนี้เลย แต่มีความรู้สึกเบาสบายเป็นที่สุด ภาระหรือความรับผิดชอบใดๆไม่เป็นที่หนักใจเลย แต่หากเมื่อใดที่ไม่หมั่นขยันเจริญสติ แต่หลงไปในความเย้ายวนของกามคุณ(ทั้ง 5)ไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็จะพบว่าจิตใจกลับมีความหวั่นไหว อ่อนแอ และท้อแท้เป็นที่สุด จนบางครั้งก็อยากจะหลบหนีไปให้พ้นจากปัญหาที่มีอยู่ ไม่อยากจะแบกรับภาระใดๆไว้ รู้สึกว่าภาระและปัญหาที่มีอยู่เป็นเรื่องที่เหลือวิสัยที่จะรับผิดชอบได้
จากการพิจารณาเช่นนี้ จึงทำให้เห็นคุณของการเจริญสติเป็นอย่างยิ่งว่า การเจริญสตินี้มีคุณมิใช่เฉพาะผู้ที่มุ่งหวังจะหลุดพ้นในชาตินี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีคุณกับทุกผู้ทุกนามอย่างหาโทษใดๆมิได้เลย ผู้มีอินทรีย์ที่ยังอ่อน ก็ยังสามารถพึ่งพิงการเจริญสติ เพื่อช่วยให้การดำเนินชีวิตของตนเป็นไปอย่างราบรื่น และปกติสุขอยู่ได้ ผู้ปราถนาโพธิญาณก็อาศัยการเจริญสตินี้เป็นเครื่องประคับประคองให้ตนทนอยู่ในสังสารวัฏฏ์อยู่ได้ โดยไม่เดือดร้อนมากนัก และยิ่งเป็นการย่นระยะทางที่ต้องเดินอีกด้วย
ผมนั่งคำนึงอย่างนี้ได้สักประมาณสัปดาห์เดียว ก็ได้ยินข่าวจากครู ว่าคุณสุรวัฒน์อาจจะพ้นจากความเป็นปุถุชนคนหนาด้วยกิเลสมาแล้ว และจากรายละเอียดที่ได้ทราบอย่างคร่าวๆ ก็ทำให้ทราบว่า คุณสุรวัฒน์ไม่ได้มีวิธีที่พิศดารประการใดเลยที่ทำให้บรรลุธรรม นอกเสียจากการ เจริญสติ ตามคำสอนของครูอย่างแท้จริงเท่านั้น เมื่อผมได้รับทราบเรื่องราวของคุณสุรวัฒน์เช่นนี้ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นอย่างใหญ่หลวงว่า การเจริญสตินี้แหละที่ชาวพุทธทั้งหลายควรจะเอาเป็น เครื่องอยู่ หรือเป็น วิหารธรรม
เมื่อวานนี้ผมจึงได้สนทนากับครูดังนี้ ตึก : เป็นปุถุชนนี้ มีสติเป็นวิหารธรรม วิเศษกว่าธรรมอื่นทั้งปวงจริงๆครับ ครู : สติเป็นวิหารธรรมไม่ได้ครับ ต้องมีฐานของสติเป็นวิหารธรรม ตึก : ขอขยายความเรื่อง "สติเป็นวิหารธรรมไม่ได้ครับ ต้องมีฐานของสติเป็นวิหารธรรม" ครับ ครู : สติเป็นเครื่องมือระลึกรู้อารมณ์หรือวิหารธรรมครับ วิหารธรรมเป็นอารมณ์ประจำให้สติระลึกรู้เป็นฐานไว้ เช่นกาย เวทนา จิต เป็นต้น อันนั้นจึงเป็นวิหารธรรม เป็นฐานที่ตั้งของสติ ตึก : จริงสิ ผมไม่เคยได้แยกแยะเรื่อง สติ - ฐานของสติ เลยครับ ครับครู เข้าใจแล้วครับ ผมนี่เข้าใจผิดไปครับ
หลังจากที่ผมนึกทบทวนอยู่ และนึกเปรียบเทียบตนเองในช่วงที่เจริญสติ กับช่วงที่มิได้เจริญสติอยู่ ก็ถึงได้รู้ว่า หากเราจะอยู่อย่างผู้ที่พึ่งตัวเองได้จริงแล้ว จำต้องอยู่อย่าง มีฐานของสติเป็นวิหารธรรม และเมื่อมีฐานของสติเป็นวิหารธรรมได้แท้จริงแล้ว ธรรมอื่นๆก็จะงอกงามได้อย่างแท้จริง เหมือนดั่งดอกไม้ที่ได้งอกงามในที่ที่อุดมสบูรณ์ด้วยแสงแดด, น้ำและปุ๋ย อย่างนั้น
|
|