ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา
พระธรรมเจดีย์ ( จูม พันธุโล ) ถาม พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร ตอบ
ถาม วิธีสังเกตอาการขันธ์ที่สิ้นไปเสื่อมไปนั้น หมายเอาหรือคิดเอา
ตอบ หมายเอาก็เป็นสัญญา คิดเอาก็เป็นเจตนา เพราะฉะนั้นไม่ใช่หมายไม่ใช่คิด ต้องเข้าไปเห็นความจริงที่ปรากฏเฉพาะหน้า จึงจะเป็นปัญญาได้
ถาม ถ้าเช่นนั้นจะดูความสิ้นไปเสื่อมไปของ ขันธ์ทั้ง 5 มิต้องตั้งพิธีทำใจให้เป็นสมาธิ ทุกคราวไปหรือ
ตอบ ถ้ายังไม่เคยเห็นความจริงก็ต้องตั้งพิธี เช่นนี้ร่ำไป ถ้าเคยเห็นความจริงเสียแล้ว ก็ไม่ต้องตั้งพิธีทำใจให้เป็นสมาธิทุกคราว ก็ได้ แต่พอมีสติขึ้นความจริงก็ปรากฏ เพราะเคยเห็นแลรู้จักความจริงเสียแล้ว เมื่อมีสติรู้ตัวขึ้นมาเวลาใด ก็เป็นสมถวิปัสสนา กำกับกันไปทุกคราว
ถาม ที่ว่าชีวิตแลอายุขันธ์สิ้นไปเสื่อมไปนั้น คือสิ้นไปเสื่อมไปอย่างไร
ตอบ เช่นเราจะมีลมหายใจอยู่ได้สัก 100 หน ก็จะตาย ถ้าหายใจเสียหนหนึ่งแล้วก็คงเหลือ 99 หน หรือเราจะคิดจะนึกอะไรได้สัก 100 หน เมื่อคิดนึกเสียหนหนึ่งแล้วก็คงเหลือ 99 หน ถ้าเป็นคนอายุยืนก็หายใจอยู่ได้มากหน หรือคิดนึกอะไรๆอยู่ได้มากหน ถ้าเป็นคนอายุ สั้นก็มีลมหายใจและคิดนึกอะไรๆอยู่ได้น้อยหน ที่สุดก็หมดลงวันหนึ่งเพราะจะต้องตายเป็น ธรรมดา
ถาม ถ้าเราจะหมายจะคิดอยู่ในเรื่องความจริง ของขันธ์อย่างนี้ จะเป็นปัญญาไม่
ตอบ ถ้าคิดเอาหมายเอาก็เป็นสมถะ ที่เรียกว่า มรณัสสติ เพราะปัญญานั้นไม่ใช่เรื่องหมาย หรือเรื่องคิด เป็นเรื่องของความเห็น อารมณ์ปัจจุบันที่ปรากฏเฉพาะหน้าราวกับ ตาเห็นรูปจึงจะเป็นปัญญา
ถาม เมื่อจิตสงบแล้วก็คอยสังเกตดูอาการขันธ์ ที่เป็นอารมณ์ปัจจุบัน เพื่อจะให้เห็นความจริง นั่นเป็นเจตนาใช่ไหม
ตอบ เวลานั้นเป็นเจตนาจริงอยู่ แต่ความเป็นจริง ก็ยังไม่ปรากฏ เวลาที่ความเป็นจริงปรากฏ ขึ้นนั้นพ้นเจตนาทีเดียว ไม่มีเจตนาเลย เป็นความเห็นที่เกิดขึ้นเป็นพิเศษ ต่อจากจิตที่สงบแล้ว
|
|