กลับสู่หน้าหลัก

ของฝากจากพระสัจจธรรม

โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 26 ธันวาคม 2543 13:59:34

พระคุณเจ้าได้เมตตาพิมพ์ธรรมะของท่าน ก.เขาสวนหลวง
แล้วฝากให้ผมโพสต์ให้ชาววิมุตติได้อ่านกัน
(เข้าใจว่าพระคุณเจ้ายังโพสต์กระทู้ไม่ได้)
นับเป็นความกรุณาของท่านอย่างยิ่ง _/\_ _/\_ _/\_

รู้แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่น
โดย.. ก. เขาสวนหลวง
บรรยาย ณ เขาสวนหลวง ราชบุรี ๒๑  มิถุนายน  ๒๕๐๖
*********************************************************************
การปฏิบัติชนิดเพ่งพิจารณาตัวเองมีผลอย่างไรบ้าง
ควรจะสอบสวนของตัวเองอยู่เป็นประจำ
เพราะว่าชีวิตประจำวันที่ได้มีการอ่านตัวเอง พิจารณาตัวเอง
มีการคุ้มครองได้หลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะมีการกระทำชนิดไหนหมด

จิตที่มี สติ มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ฝ่ายเดียว ไม่มีทางเสียหายเลย
แต่ถ้าเป็นการตรงกันข้าม คือ ขาดสติ
หรือทำด้วยความหลงงมงายแล้ว
ก็มีแต่ทุกข์โทษเท่านั้นที่จะเกิดขึ้น

ความเกิดของทุกข์โทษเหล่านี้ ก็เป็นการทรมานจิตใจของตนเอง
ให้ตกอยู่ในความทุกข์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ

เพราะฉะนั้นเมื่อเราพิจารณาดูแล้ว เป็นสิ่งน่าเบื่อหน่าย
เพราะว่าไม่รู้จักตัวของมันนี่เอง
เป็นเหตุให้มีความยึดมั่นถือมั่นสิ่งอื่นเพื่อตัวมัน
ดังนั้น ตัวกู ของกู ก็สำคัญอยู่ที่ ตัวกู นี่
มันเป็นตัวประธาน หรือเป็นตัวหาเรื่อง

เมื่อมี ตัวกู ขึ้นมา ก็ต้องมี ของกู เกิดขึ้น
ทำให้เป็นความรู้สึกรุนแรงอะไรออกไปตามลักษณะของมัน

ถ้าไม่มีการปฏิบัติแล้ว ก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่า
ความรุนแรงของกิเลสตัณหาอุปาทานที่มีอยู่ประจำสันดานมา
มีความพุ่งออกอย่างไร
และมีการสมยอมหรือทำตามกันในลักษณะอย่างไร
นี่เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาดู

และถ้ามีการพิจารณาดูจนเห็นทุกข์โทษของกิเลสตัณหาเหล่านี้ได้
ก็เท่ากับเรามีเครื่องมือสำหรับดับทุกข์ได้อยู่ภายในตัวเอง
ที่อาศัยสติปัญญารู้จักพิจารณาทำให้เอาชนะทุกข์ชนะกิเลสได้เรื่อยๆ แล้ว
ก็ทำให้เห็นผลของความรู้สึกชนิดนี้มากขึ้น
เพราะจะมีอะไรเกิดมาในลักษณะไหน
พอมีความรู้เท่าทัน ก็เป็นอันดับระงับไปได้

ทำให้เหมือนกับเราได้ดื่ม ธรรมโอสถ
หรือทำให้เราระงับโรค ระงับความร้อนรนกระวนกระวายภายในจิตได้
แล้วจะไม่น่าปฏิบัติกันอย่างไรได้

การปฏิบัตินี้มีการพ้นทุกข์เป็นรางวัลพิเศษอยู่ในตัว
และเป็นสิ่งที่ต้องมีการพินิจพิจารณาอยู่รอบข้างไปหมด
เพราะการสัมผัสทางตา หู ฯลฯ เป็นบ่อเกิดของความสงบไม่ชอบ

ในเรื่องตาเห็นรูป หูฟังเสียง ฯลฯ ก็มีประจำอยู่ด้วยกัน
ถ้ามีสติอยู่ก่อน ความรู้สึกอะไรที่เกิดขึ้น
ก็เป็นอันว่าไม่ก่อทุกข์ก่อโทษให้แก่จิตใจ
เป็นปกติ หรือเป็นกลางวางเฉยเป็นพื้นๆ อยู่ได้
ถ้าจะพิจารณาให้แยบคายลึกซึ้งลงไปอีก
ก็จะได้ความรู้พิเศษอะไรขึ้นมา
แล้วแต่ว่าการพิจารณาลงไปให้เป็นการรู้พิเศษอะไรขึ้นมา
ทำให้คลายการยึดมั่นถือมั่นออกไปได้อย่างไร
นี่ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่น่าสนใจกันทั้งนั้น
       
แต่ว่าคุณค่าของความรู้สึกที่มันเป็นความรู้สึกสูง
คือมีการรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่เป็นประจำนี้
มีการคุ้มครองป้องกันอันตรายภายในได้อย่างไร
ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ต้องอบรมและปฏิบัติจึงจะรู้ได้

สำหรับการปฏิบัติที่จะมีการพิจารณา
เป็นต้นว่า พิจารณากายจนเห็นความไม่เที่ยงเป็นปฏิกูลเหล่านี้
ก็ทำให้คลายจากความยึดมั่นถือมั่นออกไปได้เอง
แล้วก็ทำให้จิตมีความปลอดโปร่ง ว่างเปล่าตามลำดับ

ฉะนั้นสำคัญอยู่ที่การพิจารณาเท่านั้น
ถ้าไม่พิจารณาปัญญาก็ไม่เกิด

ถ้าหมั่นพิจารณาอยู่เป็นประจำ
สติปัญญาก็จะงอกงามขึ้นตามกำลังเรื่อยๆ ไป
แล้วก็ทำให้อยู่เหนือทุกข์ เหนือสุข
เหนือดี เหนือชั่ว ได้เรื่อยๆ ไปเอง

เพราะจิตใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ด้วยการมองเห็นความไม่เที่ยงเป็นทุกข์อยู่เป็นประจำ
เป็นยาแก้ทุกข์ได้ทุกชนิด
นอกจากจะสนใจหรือไม่สนใจกันเท่านั้นเอง

ก็ลองมาสนใจดูว่า จะดับทุกข์ได้จริงๆ ไหม
จะทำให้จิตใจสบายได้จริงหรือไม่
ก็เป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง

เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้า
จึงมีการแสดงออกให้พิจารณาและให้พิสูจน์
จนกระทั่งมีการรู้แจ้งด้วยตนเอง
จึงจะได้ที่พึ่งอย่างถูกต้อง
ไม่ได้มีการสอนให้พึ่งสิ่งที่มองไม่เห็น หรือทำไม่ได้
เหมือนอย่างการหลอกเด็กๆ ให้กลัว
ให้มีการยึดถืออะไรเป็นที่พึ่ง
ไม่เหมือนศาสนาอื่น ที่สอนให้พึ่งพระเจ้าที่มองไม่เห็นตัว

พระพุทธเจ้าทรงสอนความจริง  ให้พิจารณาตัวเอง
จนกระทั่งมีความรู้จริงเห็นแจ้งด้วยจิตใจจริง ๆ
ไม่ต้องพึ่งพระเจ้าที่ไหนเลย

เพราะฉะนั้นถ้าหมั่นพิจารณาให้ดีๆ แล้ว
ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าเราจะอยู่ในอิริยาบถไหน
ไม่ว่าจะทำงานอะไร เป็นงานใหญ่หรืองานละเอียดก็แล้วแต่
ทำไปด้วยจิตใจที่เบาสบาย ไม่ต้องหนักอกหนักใจ
ไม่ต้องอยากโน่นอยากนี่วุ่นวาย
       
การทำอย่างนี้เป็นผลกำไรอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่เรื่อย ๆ
แล้วถ้ามีการพิจารณาประกอบอยู่ด้วย
ก็อาจจะได้ความรู้พิเศษขึ้นมาไม่มากก็น้อย
เพราะความรู้พิเศษที่เป็นเครื่องรู้แจ้งแทงตลอดตัวมันเองนี้
ทำให้หยุดลงไป สงบลงไปง่ายที่สุด
พอมีการรู้แจ้งแทงตลอดเข้าไปสู่พื้นลึกของจิตแล้ว
จะรู้เองว่า มันมีความพิเศษอย่างไร
และเป็นสิ่งที่จะต้องมองย้อนเข้าไปให้ถูกวิธีอย่างไร
ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ทั้งนั้น

การที่จะมองเข้าสู่พื้นลึกของจิตนี้
เป็นความลึกซึ้งอยู่ภายในตัวของมันเองทั้งนั้น
แล้วแต่สติปัญญาของเราจะมีการส่องลงไป 
เรียกว่า สอดส่อง
การสอดส่องที่ถูกวิธีดูเหมือนจะเป็นเองเสียมากกว่า
ถ้าเรามีความอยากจะทำอย่างโน้นอย่างนี้ขึ้นมา
มันจะเสียรูป  สู้ความรู้ชนิดที่มันรู้เองอย่างเบาๆ ว่างๆ ไม่ได้

นี่ก็พอจะสอดส่องรู้ลักษณะความก่อเกิดอะไรขึ้นภายในอย่างไร
มีการสัมผัสทางอารมณ์ภายนอก
และมีความยึดถือหรือไม่ยึดถืออย่างไร
ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ต้องพยายามส่องดู
               
เพราะว่าความไหวตัวของจิต
ขณะที่มีอารมณ์เป็นเครื่องยั่วแหย่ นี่ก็ร้ายเหมือนกัน
มันทำพิษสงมากมายอย่างไร
ถ้าเราไม่มีการสังเกตดูให้รู้แยบคายแล้ว ก็เป็นของยาก

การกระทบผัสสะต้องมีเป็นธรรมชาติหรือเป็นธรรมดาอยู่ทั้งนั้น
แต่ว่าทำอย่างไรจึงจะสักแต่ว่าเห็นได้
ให้มัน สักแต่ว่า เท่านั้น ไม่ให้มันเป็นจริง

นี่สิ เป็นสิ่งที่น่าเห็นใจ ว่าจะทำอย่างไร
จึงจะสักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน
แล้วจิตใจก็เป็นปกติวางเฉยได้
อยู่ในระดับที่ไม่ออกไปพอใจไม่พอใจ 
ชอบ  ไม่ชอบ  รักชังอะไร  ล้วนแต่เป็นของคู่
ที่เป็นเครื่องทำให้จิตใจเศร้าหมองเร่าร้อนทั้งนั้น

ถ้าจิตใจมีการทรงตัวได้ก็ถูกปรุงน้อย    
จะมีอะไรก่อเกิดขึ้นมาอย่างใด  ควรจะคิดหรือไม่ควรคิด
ในเรื่องอะไรเหล่านี้ เป็นต้น ก็ยังมีการเลือกได้
ถ้าความคิดที่เป็นไปกับพวก กุศลวิตก เราก็หยุดทันที 
ถ้าหยุดไม่ได้  มีการปรุงต่อไปในเรื่องอกุศลวิตก
จิตใจนั่นแหละก็ทนทุกข์ทรมามานเดือดร้อนอยู่ตลอดเวลาที่ปรุงขึ้น

ทีนี้เราก็สังเกตดูว่ามันคิดนึกอะไร
ที่เป็นการฟุ้งซ่านแส่ส่ายชนิดไหน
มันรบกวนจิตใจเศร้าหมองเร่าร้อนขุ่นมัวไปในลักษณะอย่างไร
ด้วยอำนาจความชัง ความรัก ความโกรธ ความเกลียดชนิดไหน
ก็ดูมัน

พิจารณาดูแล้วจึงจะได้ความรู้ว่า
สิ่งเหล่านี้เองที่แต่ก่อนเราไม่รู้
เราก็หลงทำตามมันตะพึดตะพือไปหมด
จนกระทั่งมีการแสดงออกมาทางกาย ทางวาจา
เป็นทุกข์เป็นโทษเบียดเบียนตัวเองออกมา
แล้วก็เบียดเบียนผู้อื่นติดต่อกันไปเรื่อย

จึงได้มีการเปรียบเทียบกันหลายๆ อย่าง
เป็นการเปรียบเทียบเหมือนกับไฟ
ถ้ามีเชื้อเข้าไปใส่ มันก็ต้องลุกขึ้นเพิ่มความรุนแรง
มีการเร่าร้อนกระวนกระวายเพิ่มปริมาณมากขึ้นมากมายอย่างไร
เราก็สังเกตดู
เพราะเป็นเรื่องในจิตในใจของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น
แล้วแต่มันมีความร้อน หรือความเย็นอยู่ในลักษณะอย่างใด
ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่น่าสนใจทั้งนั้น 

แต่ว่าตามปกติหรือตามธรรมดาไม่มีการสนใจ
เพราะการสนใจที่จะรู้จักจิตใจของตนเองที่แท้
หรือว่าจิตใจที่มันปลอมมันปรุงมีลักษณะอย่างไร
ก็เป็นของที่ต้องสังเกตหลาย ๆ อย่าง

ลักษณะของจิตที่มีการไหวตาม ผัสสะ หรือ อารมณ์กระทบ นั้น
ถ้าพิจารณาดูว่า ความว่างจากเครื่องกระทบมันก็จะต้องมี
เพราะเครื่องกระทบเรียกว่าเป็นธรรมชาติของมันเหมือนกัน
แต่ถ้ามี สติ และมีการพิจารณาดูเครื่องกระทบทุกชนิด
จะมองเห็นความว่างอยู่ในความดับชองเครื่องกระทบทุกชนิดนั้น

ดูในขณะนี้ก็ได้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
ทุกขณะเดี๋ยวนี้ ที่มีการรับฟังอยู่เดี๋ยวนี้
นี่ถ้าเป็นการสืบทราบได้เดี๋ยวนี้แล้ว
จิตใจจะทรงตัวเป็นปกติได้
เป็นการว่างปลอดโปร่ง ว่างจากความพอใจ ไม่พอใจได้
เป็นการปกติหรือวางเฉยอยู่ในขณะนี้ได้
       
นี่ควรจะสืบทราบเสียในขณะนี้
เพราะว่าจะต้องมีการมองย้อนเข้าหาตัวประธานคือ จิต
เรียกว่าเราได้มีการพิจารณาจิตใจของเราเอง
ให้รู้ลักษณะแท้จริงของมัน

ต้องเริ่มสนใจขึ้นมาอย่างนี้ก่อน
แล้วก็พยายามกำหนดเข้าไปรู้ที่จิตในขณะนี้
มันเป็นปกติหรือไม่
เราเรียนกันง่าย ๆ เพราะถ้ามีการสืบในลักษณะจิตได้ในขณะนี้
จะมีประโยชน์มากกว่าที่เราจะไปจดจำ
ไปคิดอะไรขึ้นมาเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้
ไม่ต้องไปคิด  แต่ว่าเป็นความรู้ไป  ดับไปในขณะนี้
แล้วไม่มีอะไร

จิตที่รู้เกิดดับอยู่เฉพาะหน้า  แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นจึงเป็นความว่าง
ว่างจากจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ส่วนอารมณ์ที่เป็นการเกิดดับไปนั้นมันก็ว่างอยู่ในตัวเอง
เพราะมันไม่มีตัวมันเอง
ถ้ามันมีตัวมันเอง
มันก็ไม่ต้องมีการแปรปรวนเปลี่ยนแปลงหรือเกิดดับ
       
เพราะฉะนั้นถ้าเราจะอ่านดูเรื่องนี้
ให้ถูกต้องชัดเจนขึ้นมาได้แล้วจะมีประโยชน์มาก
คือเมื่อมองเห็นความเปลี่ยนแปลง
ก็มองเห็นทุกข์อยู่ในตัวของ ความเปลี่ยนแปลง
       
และเมื่อมองเห็นความทุกข์
ก็มองเห็นความไม่มีตัวเสร็จอยู่ในความเปลี่ยนแปลง อยู่ในความทุกข์นั่น
       
ถ้ารู้จักดูอย่างนี้ได้
เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เรียกว่า เป็นการรู้เสร็จอยู่ในที่เดียวกัน
ไม่ต้องแยกกัน
จะรู้ไม่เที่ยงที่ไหน ก็ต้องรู้ทุกข์ที่นั่น
ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ที่นั่น ก็ไม่ต้องไม่มีตัวตนที่นั่น
มันอยู่จุดเดียวกันนั่นเอง

ถ้าเราจะไปพูดเอาว่ามันไม่เทียง  มันเป็นทุกข์
นี่เราพูดเอาเอง

แต่ถ้าเราดูตัวจริงตามที่มันต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่างนี้แล้ว
ก็มองทะลุไปอย่างเดียวกัน

เพราะลักษณะของความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ก็คือความไม่เทียง
และลักษณะที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ก็เป็นทุกข์อยู่ในนั้น
และเนื้อแท้มันมีแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน

นี่ต้องดูให้ลึกซึ้งจึงจะได้  ถ้าดูลึกดูให้ซึ้งลงไปได้จึงจะรู้ว่า
คำว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ต้องรู้อย่างนี้ ไม่ใช่รู้ตาม สัญญา  ไม่ใช่รู้จากความคิดนึกชั่วคราว
และต้องรู้ด้วยใจจริง
ถ้ารู้ด้วยใจจริงไม่ว่าขณะไหนมันเกลี้ยงเกลาดีวิเศษไปเลย
       
จิตใจที่รู้ความจริงแล้วไม่ยึดมั่นถือมัน
มันเกลี้ยงเกลาอย่างนี้ มันว่างอย่างนี้
จะตรงกันข้ามกับในขณะที่ไม่รู้ 
มันมีอะไรเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป  ไม่รู้
บางทีรู้แต่ความเกิด แต่ความตั้งอยู่ของมันไม่รู้
ตั้งอยู่ในลักษณะไหน และมันดับไปในลักษณะไหนก็ไม่รู้

หรือจะไปรู้ต่อเมื่อมันดับไปเรื่องหนึ่ง
แล้วก็เกิดปรุงเรื่องใหม่ หรือคิดเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก
อย่างนี้ก็รู้ห่างไป

ถ้าจะรู้กันให้ถี่ยิบแล้ว ต้องอาศัยจิตที่สงบ
จึงจะรู้ว่ากำลังเกิดขึ้น ก่อขึ้นมาในลักษณะอย่างไร
มีการตั้งอยู่ในลักษณะไหน  แล้วมีการดับไปอย่างไร
นี่ล้วนแต่เป็นงานประณีตที่จะต้องพิจารณา
       
ในการพิจารณาที่เรียกว่า ปัจจุบันธรรม
ก็คือลักษณะความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
นี้ต้องมองให้ทะลุปัจจุบันธรรม
เพราะความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนี้ จะต้องมองให้ทะลุ
จึงจะไปพบภาวะของสิ่ง  ที่ไม่มีการเกิด-ดับ

แต่ตราบใดที่ยังมองด้านนี้ไม่ทะลุก็ไม่รู้ ไม่รู้จริง ๆ
ถึงจะมีการพูดอธิบาย  แต่ใจจริงไม่รู้
       
ดูสิ  มันจะมีการลึกซึ้งสักเพียงไหน
การที่จะรู้แจ้งแทงตลอด จะแทงตลอดอะไร
ถ้ารู้ขึ้นมาได้ในขณะนี้ก็เป็นความรู้พิเศษไปเลย
เรารู้แจ้งแทงตลอดในลักษณะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกๆ ขณะแล้ว
ก็ไม่มีอื่น 
เผชิญหน้าอยู่กับความว่างนี่ขั้นหนึ่ง
ถ้าดูเป็นก็เห็นได้ขั้นหนึ่ง

ทีนี้ถ้ามีการมองให้ลึกซึ้งลงไปที่จิต
ที่มันไม่มีตัวมันเป็นจิตเป็นใจเป็นอะไรทั้งหมด
เพราะที่ไปสมมติหมายนี้เป็นขั้นเผิน ๆ
เพราะฉะนั้น
ที่รู้จริง ๆ ต้องรู้อย่างเงียบกริบไปจึงจะได้

รู้แล้วหมดคำพูด


ที่เราจะต้องพูดกันฟังกัน  ก็เพื่อจะได้แนวทางเท่านั้นเอง
หรือบางที เมื่อมีการมองซึ้งเข้าไป
ก็อาจจะเป็นการรู้แจ้งในขณะฟังก็ได้ ในขณะพูดก็ได้
ถ้ายังไม่รู้ก็พอจะได้แนวอะไรขึ้นมาบ้างเท่านั้นเอง
ไม่ใช่เป็นการพูดเป็นเรื่องราวอย่างอื่น
พูดถึงเรื่องจิตใจโดยเฉพาะ
แล้วก็ต้องรู้กันอย่างนี้  ให้เป็นการกรุยทางไปก่อนก็ได้
       
ถึงอย่างไรก็สามารถจะรู้ได้ว่า
จิตที่ไม่ถูกปรุงมันสงบ ว่างในลักษณะที่ควรจะสนใจ
ถ้าไม่สนใจเรื่องนี้
ขอให้คิดดู จะไปสนใจเรื่องอะไรกัน ถึงจะดับทุกข์ได้      

สิ่งที่น่าสนใจ  กลับไม่สนใจ
สิ่งที่ไม่น่าสนใจ กลับไปสนใจ
เพราะฉะนั้นทุกข์โทษนานาประการ
จึงได้เกิดท่วมทับจิตใจย่ำแย่ไปด้วยกันทั้งนั้น
       
ความรู้ผิดเห็นผิดของตัวเอง
ที่มันก่อทุกข์ก่อโทษให้อยู่ในตัวมันเองอย่างไร
มันเป็นมายาสาไถยอยู่ในตัวเองอย่างไรนี่ น่าดูนัก
ถ้าใครดูเป็นมีประโยชน์มากกว่าดูอย่างอื่น
เพราะดูเข้าไปทีไร ว่างได้ สงบได้
ถ้าดูเข้าไปถึงต้นขั้วตัวประธาน

แต่ต้องดูให้ถูกวิธี  ถ้าไม่ถูกวิธีมันก็ยากเหมือนกัน

มันกลับกลอกหลอกหลอนอะไรอยู่ เรื่องปรุงทั้งนั้น
ปรุงดี ปรุงชั่วอะไรที่มันโผล่ ๆ ขึ้นมา
แล้วก็ไหลเชี่ยวเป็นเกลี่ยวไปอย่างนั้น
จนกระทั่งบางทีจะอยากหยุดเหมือนกัน
ไม่อยากปรุงอยากคิดมาก แต่ว่าหยุดไม่ลง
มันจับเรื่องปรุงอะไรแล้ว  มันปรุงจนหมดอายุของมัน

เหมือนความที่ยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ในพื้นลึก
แล้วอาศัยมีสัญญาเข้าไปจำหมายอะไรขึ้นมา
แล้วก็มีความปรุงต่อสลับซับซ้อนขึ้นมา
ลองสังเกตดู
ความจำได้หมายรู้ที่เป็นขั้นก่อเรื่อง
มันก่อเรื่องอยู่อย่างลึกลับเหมือนกัน
แต่ว่าพอจะจับเค้ามันได้
ที่มีจำหมายอะไรขึ้นมา แล้วมันก็ปรุงต่อไปทำไม
ถึงเป็นอย่างนั้นอยู่เรื่อย

จะมีแต่การพิจารณาความจำล้วน ๆ ได้ไหม
ว่านี่เป็นลักษณะความจำล้วน ๆ  ไม่เป็นของจริงจังอะไร
แล้วความปรุงมันจะหมดอายุไปได้ไหม
ในเมื่อมีความรู้เท่า สัญญา ว่านี่สักแต่ว่า สัญญา
จะเป็นจำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำสัมผัส
หรือจำ ธรรมารมณ์ ภายในก็ตาม
นี่ก็เป็นลักษณะของสัญญา 
มันจะต้องมีการก่อเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
จะดูเรื่องอะไร ก็ต้องดูให้เป็นการรู้แจ้ง 
ให้เห็นความไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  เป็นอนัตตา
ของสิ่งที่ปรากฏขึ้น ทุก ๆ ขณะ
นี่น่าดูจริง ๆ

ถ้าหมั่นหยุดดู หยุดรู้  มันดีจริง ๆ  มันดับทุกข์ได้ที่ต้นขั้ว
พอรู้เท่าทันเข้าเท่านั้นก็หมดฤทธิ์

เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องน่าสนใจนัก
เพราะทุกข์โทษนานาประการที่จะเกิดขึ้นเพราะความไม่รู้
ความไม่รู้ภายในตัวของมันเอง ภายในจิตหรือวิญญาณเอง ไม่รู้
เที่ยวไปรู้อื่น ๆ หมด  นี่สิ  น่าจะหยุดดูหยุดรู้

ถ้าหยุดดูอย่างนี้ได้ มันระงับดับความปรุง ความแส่ ความอยาก
ความรัก ความชัง ความโกรธ ความเกลียด
มันถูกระงับไปได้  มันดับไปได้อย่างไร
แม้จะเป็นชั่วครั้งชั่วคราวก็ขอให้รู้เอาไว้บ้าง
จะได้รู้ว่าการดับทุกข์ ดับกิเลสจะต้องรู้อย่างนี้

ขณะไหนที่ไปรู้ผิดเห็นผิดขึ้นมาจะได้รู้ว่า
ความรู้ชนิดนี้มันก่อทุกข์โทษให้แก่ตัวมันเองอย่างนี้
แล้วมันก็ไม่มีตัวของมันเองเลย เป็นของหลอก ๆ อยู่ทั้งนั้น
หลอกให้ชั่วคราวเท่านั้นเอง  เสร็จแล้วก็ดับหมด
คงปรากฏอยู่แต่วิญญาณธาตุ  ล้วน ๆ หรือจิตล้วน ๆ ก็ได้

ธรรมชาตินี้มีอยู่  ไม่ใช่สูญหายไปไหน
ไม่ใช่ว่าง ขาดสูญ อย่างของพวก มิจฉาทิฏฐิ
อย่าได้ตกไปเป็นความว่างที่เรียกว่า ขาดสูญ  ไปหมด
ไม่ใช่  นี่มันยังอยู่

เพราะฉะนั้นการดูความเกิด ความดับ
ที่จะให้ทะลุเข้าไปให้ซึ้งถึงความไม่เกิด  ไม่ดับนี้
เป็นสิ่งที่น่าศึกษาน่าอบรม น่าสนใจทั้งนั้น
แม้จะเป็นของลึกซึ้งอย่างไรก็ไม่เหลือวิสัย
ถ้าเราสนใจพิจารณาสอดส่องคงดูเข้าไปรู้ได้


แต่อย่างไรก็ดีเรื่องการมองข้างนอกมันมากอยู่แล้ว
และมันก็ก่อทุกข์ก่อโทษให้แก่จิตใจมาซ้ำ ๆ ซาก ๆ
ฉะนั้นพยายามมองข้างในดีกว่า
เราก็เห็นคุณเห็นประโยชน์อยู่ในตัวเองแล้ว

ถ้ามองอย่างนี้แล้ว กิเลสตัณหามันเกิดยาก
พอมันโผล่ขึ้นก็รู้เท่าทันมันทันที  แล้วก็ดับ
เพียงเท่านี้ก็ยังทำลายความก่อเกิดของกิเลสตัณหา
ในชีวิตประจำวันได้ เป็นผลกำไร
ขอให้พิจารณากันดู จนกระทั่งเป็นความรู้แจ้งชัดเจนแก่ใจจริง ๆ
แล้วก็หมดคำพูด
แล้วทีหลังความรู้สึกอย่างนี้จะมีเป็นพื้น ๆ อยู่มาก

ความเผลอความเพลิน ความหลงใหลจะได้บางลง เบาลงไป
เรียกว่า จิตใจว่างมากกว่าวุ่น มิฉะนั้นแล้วก็แย่
ไม่ว่าคนชนิดไหนหมด  มีกิเลสตัณหาอุปทานด้วยกันทั้งนั้น
ถ้าไม่มีการศึกษาอบรมจิตใจแล้วจะไปเอาอะไรกัน

เกิดมาชาติหนึ่ง ๆ ประเดี๋ยวก็เน่าเข้าโลงไปหมด
จะไปเอาดีที่ไหนกัน  จะอยู่ค้ำฟ้าได้เมื่อไหร่

มันไม่มีเครื่องหมายรับประกันได้เลย  เราว่ากันเอาเองต่างหาก
เหมือนที่ว่าปีนี้จะอยู่อย่างนี้  ปีหน้าจะทำอย่างนั้น
ว่ากันเพ้อ ๆ ทั้งนั้น

ความจริง ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เป็นไปตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้นแล้ว
ใครจะไปอ้อนวอนหยุดยั้งอะไรก็ไม่ได้
จะไปรักก็ไม่ได้ จะไปผลัดก็ไม่ได้

ขอให้พยายามกำหนด พิจารณาลักษณะ เกิด - ดับ ปัจจุบัน
ให้รู้อย่างติดต่อทุก ๆ ขณะเถิด.

***********************************************************
    เห็นเกิดขึ้น - ดับไปได้ปล่อยวาง
จิตใจว่างสงบประสบสันต์
ไม่ยึดถือสิ่งใดไม่พัวพัน
ปล่อยวางขันธ์ทั้งปวงล่วงทุกข์เอย.

    เมื่อรู้ความแจ้งชัดตัดกระแส
มารยอมแพ้ทันทีหายผีสิง
เห็นทุกข์ขัดด้วยญาณหมดการอิง
รู้ทุกสิ่งหายไปไม่ใช่ตัว.

    เห็นพระธรรมตามมองกองสังขาร
ความต้องการดับหมดปลด - ดีชั่ว
มีพระธรรมคุ้มครองไม่หมองมัว
ไม่เกลียดกลัวสิ่งทั้งปวงละห่วงใย.
       
              ก. เขาสวนหลวง
***************************************************
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 26 ธันวาคม 2543 13:59:34

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 26 ธันวาคม 2543 14:03:22
(ลิขิตของพระคุณเจ้าสัจจธรรม)

ขอเจริญพร...คุณโยมปราโมทย์

วันที่ ๑ ถึง ประมาณวันที่ ๑๐ มกราคม นี้ 
อาตมาจะปลีกตัวไปปฏิบัติธรรมแถวอีสาน

อาตมาได้พิมพ์ธรรมะที่ ท่าน ก. เขาสวนหลวง
ได้บรรยายไว้  อาตมาเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์
กับท่านอื่น ๆ ด้วย  อาตมาจึงได้จัดส่งมาให้โยม
เพื่อที่จะได้นำไปโพสเป็นกระทู้ในวิมุตติ

อาตมาขอเจริญพร
สิริสทฺโธ ภิกฺขุ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 26 ธันวาคม 2543 14:03:22

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ นิพ วัน อังคาร ที่ 26 ธันวาคม 2543 14:12:03
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ โยคาวจร วัน อังคาร ที่ 26 ธันวาคม 2543 14:13:55
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 26 ธันวาคม 2543 14:19:53
ท่าน ก.เป็นผู้แสดงธรรมได้เฉียบขาดที่สุดท่านหนึ่ง
นักดูจิตได้ฟังธรรมของท่านแล้ว จะไม่สงสัยเลยว่า ท่านจะไม่ใช่เพชรน้ำหนึ่ง
เช่นการดูจิตนั้น เมื่อถึงจิตจริงๆ จะเงียบกริบ หมดคำพูด
เป็นธรรมชาติรู้ที่ไม่คิด พ้นจากความปรุงแต่งอย่างหมดจดจริงๆ
อันนี้คือ สภาวะว่างในรู้

สภาวะของความว่างนั้น ก็ไม่ใช่ว่างเปล่า
เพราะยังมี สภาวะรู้ในว่าง

ผู้หญิงที่ปฏิบัติจน พระแท้ นับถือ เคยมีมาแล้ว
ปัจจุบันก็พอมีเหลืออยู่บ้าง
แต่ในอนาคต จะมีหรือไม่
มาตุคามชาววิมุตติ ก็มีส่วนที่จะร่วมชี้ขาดอยู่ด้วย
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 26 ธันวาคม 2543 14:19:53

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 26 ธันวาคม 2543 16:28:03
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ ธีรชัย วัน อังคาร ที่ 26 ธันวาคม 2543 17:44:22
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ MrMail วัน พุธ ที่ 27 ธันวาคม 2543 06:11:52
ไม่ออกความเห็น ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ listener วัน พุธ ที่ 27 ธันวาคม 2543 08:19:48
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ สุกิจ วัน พุธ ที่ 27 ธันวาคม 2543 08:34:30
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ โยคาวจร วัน พุธ ที่ 27 ธันวาคม 2543 08:39:19
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ สุรวัฒน์ วัน พุธ ที่ 27 ธันวาคม 2543 10:20:35
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ พีทีคุง วัน พุธ ที่ 27 ธันวาคม 2543 14:58:17
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ ณรงค์ วัน พุธ ที่ 27 ธันวาคม 2543 16:01:45
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ tuli วัน พุธ ที่ 27 ธันวาคม 2543 20:23:11
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ อี๊ด วัน พุธ ที่ 27 ธันวาคม 2543 20:44:37
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ กอบ วัน พฤหัสบดี ที่ 28 ธันวาคม 2543 09:49:30
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ thesky วัน พฤหัสบดี ที่ 4 มกราคม 2544 09:40:44
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 18 โดยคุณ นิดนึง วัน เสาร์ ที่ 6 มกราคม 2544 22:24:34
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 19 โดยคุณ tung วัน พฤหัสบดี ที่ 11 มกราคม 2544 02:33:04
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 20 โดยคุณ Tuledin วัน จันทร์ ที่ 22 มกราคม 2544 13:20:56
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com