กลับสู่หน้าหลัก

คำถามเรื่อง ความเหมาะสมในการเข้ากลุ่มสนทนา,ปฏิบัติธรรม

โดยคุณ ธีรชัย วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 09:12:48

ด้วยปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเข้ากลุ่ม เข้าสังคมเท่าใดนัก
ทั้งเรื่องเข้าสังคมในกลุ่มนักปฏิบัติ หรือแม้กระทั่งการออกงานสังคม
ทีนี้ได้เห็นเพื่อนๆ มาเล่าถึงการรวมกลุ่มไปทำบุญ,
การรวมกลุ่มไปปฏิบัติฯนอกสถานที่
ยอมรับว่าบางทีก็รู้สึกหวั่นไหวเหมือนกัน ว่ามันจะถูกผิดอย่างไร
ในการทำตัว"ค่อนข้างโดดเดี่ยว" ดังนั้นจึงขอเรียนถามว่า
การเข้ากลุ่มนั้น มีข้อดี,ข้อเสียอย่างไรครับ

ขอบพระคุณครับ
โดยคุณ ธีรชัย วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 09:12:48

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ นิพ วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 09:48:13
อิ อิ เข้ามาตอบให้พี่เก๋ตามประสบการณ์ผมนะครับ
ถ้าเข้ากลุ่มล่ะก็พังแน่ๆๆครับ เพราะเข้าทีไรเผลอตลอด
เผลอยาว เผลอได้เผลอดี เผลอๆๆๆๆ ไม่ว่าจะเข้ากลุ่มทำอะไรก็ตาม จะทำบุญ ไปเที่ยว ฟังธรรม ไปดูหนัง กินข้าว ทำงาน ฯลฯ ผมจะเผลอได้อย่างง่ายๆและยาวมากๆๆ
แต่ก็มีข้อยกเว้นนะครับ เช่นการเข้ากลุ่มที่มีครูอาจารย์คอยเตือนว่าเผลอครับ ^-^! ไม่ค่อยเผลอยาว

แรกๆผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องสันโดษครับ นึกว่าต้องหนีไปอยู่ป่าตัวคนเดียวซะอีก ^-^ แต่แท้จริงแล้วอยู่ไหนก็ตาม เพียงแต่ไม่รวมกลุ่มเป็นหมู่คณะเพราะถ้ารวมแล้วยากที่จะอดใจไม่คุยกัน ^-^

ซึ่งผมสังเกตุได้ว่าอยู่+ไปคนเดียวคนเดียวจะรู้ตัวว่าเผลอได้เร็วและบ่อยมาก แม้เราจะเดินห้าง เดินสยาม (อันนี้จากประสบการณ์จริงครับ ^-^)

ดังนั้นผมขอฟันธงว่าอยู่โดดเดี่ยวลำพังถ้าทำได้ แต่อาจจะเข้าหาครูอาจารย์บ้างจะดีมากๆ 1000% ครับ ^-^




โดยคุณ นิพ วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 09:48:13

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 10:39:14
หลวงพ่อสีทนท่านกรุณาเล่าให้ผมฟังว่า หลังจากเลิกจากทำวัตรเย็นแล้ว ท่านไม่เข้ากลุ่มเพื่อนเลย ท่านตรงดิ่งไปภาวนาแต่เพียงผู้เดียว ในขณะที่หมู่เพื่อนเอาแต่จับกลุ่มคุยกัน วิพากษ์วิจารณ์วิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ
โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 10:39:14

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 11:36:17
พระพุทธเจ้าทรงสอนพวกเรา ทั้งเรื่องชีวิตการรวมกลุ่ม (สงฆ์)
และเรื่องการอยู่ตามลำพังโดยไม่คลุกคลี
ท่านไม่ได้ทรงสอนให้สุดโต่งด้านใดด้านหนึ่งครับ

ชีวิตของชาวพุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตนักบวช
เป็นชีวิตของการรวมกลุ่ม ในชุมชนของผู้เจริญ
หรือจะกล่าวว่าเป็นสังคมในอุดมคติก็ได้
เพราะผู้ที่จะเข้าสู่กลุ่ม จะต้องมีคุณสมบัติที่ดีพอ
และผ่านการรับรองอย่างเป็นเอกฉันท์จากสมาชิกเดิมของกลุ่ม
สมาชิกในกลุ่มจะดูแลซึ่งกันและกัน แนะนำสั่งสอนและตักเตือนกัน
และแบ่งปันวัตถุสิ่งของที่ได้มาเพื่อให้ทุกคนอยู่ได้ตามควรแก่อัตภาพ

สำหรับฆราวาสชาวพุทธนั้น ผมไม่พบในพระไตรปิฎกว่า
ท่านสอนให้สร้างสังคมฆราวาสชาวพุทธ ในลักษณะที่เป็นองค์กร
มีแต่สอนว่า ให้ทุกคนทำหน้าที่ต่อผู้อื่นให้ถูกต้องเหมาะสม
ทั้งหน้าที่ต่อสมณะ หน้าที่ต่อบุพการี หน้าที่ต่อภรรยาและบุตรธิดา
หน้าที่ต่อเพื่อน หน้าที่ต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ฯลฯ
อันเป็นเรื่องการปฏิบัติในฐานะปัจเจกบุคคลเท่านั้น
ไม่เคยพบว่า ท่านสอนว่าชาวพุทธ จงสมาคมกันเฉพาะในหมู่ชาวพุทธ
หรือจงรวมกลุ่มกันไว้ แล้วแขวนป้ายว่า นี่คือชมรมผู้ปฏิบัติธรรม
เช่นนางวิสาขา กับท่านอนาถปิณฑิกะ อยู่เมืองเดียวกันแท้ๆ
ก็ไม่พบว่าท่านมารวมกลุ่มสนทนาธรรม หรือตั้งสมาคมกัน
มีแต่ต่างคนต่างเข้าวัด ฟังธรรม ทำบุญทำทาน
และปฏิบัติต่อผู้แวดล้อมด้วยความเมตตากรุณาเท่านั้นเอง

แต่ในพระไตรปิฎก มีเรื่องที่พระท่านประชุมสนทนาธรรมกันบ่อยๆ
(ฆราวาสก็มีการสนทนาธรรม หรือแสดงธรรมกันเหมือนกัน)
บางครั้ง พระพุทธเจ้าก็เสด็จเข้าร่วมวงสนทนาธรรมด้วย
ทั้งยังทรงแสดงมงคลสูตรว่า การสนทนาธรรมตามกาลเป็นมงคลสูงสุดอย่างหนึ่ง

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้ามการรวมกลุ่มสนทนาธรรม
แต่ท่านเน้นให้รู้จักสนทนาธรรมตามกาล คือเป็นครั้งคราว
และเรื่องที่สนทนา ขอให้เป็นธรรมกถา อย่าเป็นติรัจฉานกถา
เมื่อผู้ใดศึกษา สนทนาธรรมจนได้แนวทางปฏิบัติแล้ว
ท่านก็ให้แยกย้ายกันไปปฏิบัติธรรม ไม่ให้คลุกคลีรวมกลุ่มกันไม่เลิก

กรณีของชาวลานธรรม/วิมุตติ ที่ชอบรวมกลุ่มกันนั้น
ผมก็เห็นประโยชน์ หากเป็นการรวมกลุ่มเป็นครั้งคราวเพื่อศึกษาแนวทางปฏิบัติ
เมื่อรู้แนวทางแล้ว ก็ชอบที่จะแยกย้ายกันไปทำความเพียร
หรือจะรวมกลุ่มย่อยๆ ไปปฏิบัติตามวัดป่าก็ได้
แต่ไม่เห็นประโยชน์ หากรวมกลุ่มเพื่อหาเพื่อนคุยที่ถูกคอ
หรือเพื่อเป็นจุดตั้งต้นไปทำกิจกรรมบันเทิงต่างๆ
(ถ้าเป็นเรื่องปรึกษาหรือช่วยเหลือกันทำมาหากิน ก็ไม่ว่ากันหรอกครับ)
กระทั่งรวมกันกลุ่มใหญ่ๆ แล้วเที่ยวไปปฏิบัติที่นั่นที่นี่
เพราะส่วนมากจะเป็นการรวมกลุ่มที่พาให้ฟุ้งซ่านมากกว่าเพื่อความมีสติ
เช่นหลังจากมีกิจกรรมที่ศาลาลุงชิน ก็รวมกันกลุ่มโตๆ 
ไปทานข้าว แล้วแทนที่จะแยกย้ายกันไปเจริญสติ
กลับรวมกันกลุ่มใหญ่ไปทัศนศึกษาที่นั่นที่นี่
เช่นไปนั่งปฏิบัติธรรมแป๊บเดียว 
แต่ใช้เวลาเดินทางและพูดคุยมากกว่าเวลาเจริญสติหลายเท่า

ผมเห็นว่า ชีวิตเป็นของน้อยนัก เวลาที่จะเจริญสติก็มีไม่มาก
ถ้าไม่ขวนขวาย เอาแต่สังสรรค์ ก็เห็นจะลำบากครับ
ที่พร่ำเตือนอยู่บ่อยๆ ในเรื่องการรวมกลุ่ม ก็เพราะเรื่องนี้แหละครับ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 11:36:17

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ ไพ วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 13:05:36
เท่าที่สังเกต
เวลาจับกลุ่มคุยเรื่องการปฏิบัติทีไร
จะเกิดการเปรียบเทียบการปฏิบัติ
ทำไมเค้าปฏิบัติอย่างนี้ ทำไมของเราเป็นอย่างโน้น
เราปฏิบัติเพี้ยน หรือเขาเพี้ยน
มันน่าจะอย่างงี้ๆ มันน่าจะอย่างโน้นๆ
ไปๆมาๆกลายเป็นได้ความมันในการคุย
กับความสับสนอีกชุดใหญ่ว่าของใครถูก
กับมานะตัวใหญ่ว่าตัวเองปฏิบัติดีหรือแย่กว่า
สรุปว่าเสียเวลารู้ตัว
ถูกกิเลสหลอกเอาไปกินทั้งกลุ่มเลย:-)
ตรงนี้เป็นความเห็นส่วนตัว
สังเกตจากความฟุ้งซ่านของตัวเองเวลาเข้ากลุ่มทุกที
โดยคุณ ไพ วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 13:05:36

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 14:25:20
ถ้าจะว่าไปแล้ว การรวมกลุ่มอาจจะจำเป็นอยู่บ้างสำหรับผู้เริ่มต้น
และผู้ที่ศรัทธายังอ่อน ซึ่งต้องการกำลังใจของกลุ่มกระตุ้นให้สนใจการปฏิบัติ
แต่เป็นศัตรูสำคัญของผู้ที่ (1) สนใจจะปรารภความเพียร
(2) สนใจจะเจริญสติให้ต่อเนื่อง (3) สนใจจะทำสมาธิ
และ (4) สนใจจะเจริญวิปัสสนาปัญญา
ดังนั้นผู้ที่อินทรีย์กล้าแข็งขึ้นบ้างแล้วจะไม่ค่อยอยากรวมกลุ่ม
เพราะรู้สึกว่าเสียเวลา และมีโทษต่อการเจริญสติซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัว
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 14:25:20

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ นิพ วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 15:11:52
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 16:25:45
ผมเองก็ไม่ค่อยได้สุงสิงกับใครนักครับ เป็นนิสัยที่มีมาแต่เด็กแล้วครับ เป็นคนที่มีเพื่อนไม่มากครับ และถึงแม้จะมีก็ไม่ค่อยผูกพันสักเท่าไหร่ครับ หากแต่เมื่อใดที่มีภาระหน้าที่ที่ต้องปฎิบัติ ก็มักจะทำอย่างเต็มที่เสมอ

กับกลุ่มที่พบบ่อยๆที่ศาลาลุงชินฯก็เช่นกันครับ มิใช่ว่าผมเองทำตัวแปลกแยก หรือไม่อยากจะเข้ารวมกลุ่มนะครับ แต่นิสัยจริตเป็นเช่นนี้มาแต่เด็กแล้ว และเป็นคนชอบฟังไม่ค่อยชอบพูดนัก ก็เลยมักจะไม่ค่อยได้พูดอะไรกับใครสักเท่าไหร่ และภูมิความรู้ตนเองก็น้อยมาก ก็ไม่มีอะไรจะไปสอนใคร ก็ยิ่งไม่มีเรื่องที่จะพูดอะไรกับใครครับ

ไม่ว่าจะพูดกับใคร หรือแม้แต่โพสต์กระทู้ ผมเองก็มีความรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เป็นภาระอยู่มากครับ ไม่ว่าทำไปครั้งใด ก็มักรู้สึกได้ถึงทุกข์ที่ปรากฎเป็นภาระของจิตครับ แต่ในบางครั้งเป็นเพราะมีเจตนาที่เห็นว่าเป็นภาระที่จะทำ ก็ทำไปทั้งๆที่ไม่อยากทำ และเมื่อทำเสร็จสิ้นไปแล้วก็ไม่อยากจะไปสืบสาวเรื่องราวต่อไป

ผมไปศาลาลุงชินฯ ก็เพราะชอบฟังธรรมครับ หากใครเห็นว่าผมไม่ค่อยสุงสิงกับใคร มิใช่ว่าผมหยิ่งหรืออย่างไร แต่นิสัยเป็นเช่นนั้นเองครับ

โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 16:25:45

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ เจื้อย วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 16:34:46
สาธุค่ะคุณอา
ของหนูนี่ จริงๆไม่ค่อยชอบสังคม เข้ากลุ่มอะไรซักเท่าไหร่ แต่สำหรับกลุ่มลานธรรม/วิมุตตินี่ ต้องบังคับตัวเองให้มาเข้าเลย เพราะต้องการกำลังใจของกลุ่มกระตุ้นให้สนใจการปฏิบัติไว้ เพราะถ้าไม่งั๊น ก็จะหลงเพลิดเพลินอยู่ในกระแสโลกอยู่เรื่อย จึงต้องพยายามบังคับตัวเองให้มาเข้าร่มเงากระแสธรรมบ้าง
โดยคุณ เจื้อย วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 16:34:46

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ ธีรชัย วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 19:38:38
_/\_
สาธุครับ

แล้วจะตรวจสอบตนเองได้อย่างไรว่า
การเข้าสังคมของเรานั้นมากเกินไปหรือน้อยเกินไปน่ะครับ

การเข้าสังคมสำหรับตัวผมเห็นว่า ไม่ไช่เรื่องจำเป็นอะไร
แรกๆ พ่อ-แม่ถึงกับยุให้ออกไปเที่ยวเลย
แต่ตอนนี้ท่านคงคร้านที่จะพูดแล้วมั๊งครับ เลยเฉยไป
: )

เขียนมาถึงตรงนี้ นึกถึงท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิตย์
ในความเห็นผม ท่านเป็นผู้สุดยอดของการปฏิบัติแบบ
"ที่ใหนก็ได้" เพราะตามประวัติที่เคยได้อ่าน ท่านปฏิบัติ
เงียบๆอยู่แต่ในกุฏิเท่านั้น ซึ่งผมเห็นว่า ทรมาณจิตใจ
น่าดู ถ้าใจไม่เข้มแข็งพอแล้ว ทำไม่ได้แน่ๆครับ
โดยคุณ ธีรชัย วัน พุธ ที่ 31 มกราคม 2544 19:38:38

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 08:02:07
คุณเก๋ ถามว่า "จะตรวจสอบตนเองได้อย่างไรว่า
การเข้าสังคมของเรานั้นมากเกินไปหรือน้อยเกินไป"

เรื่องนี้ผมว่าต้องพิจารณา 2 ส่วนครับ
คือส่วนทางโลกและทางธรรม
ในทางโลกนั้น เรามีหน้าที่ต่อตนเองและผู้อื่น
ก็จำเป็นจะต้องเข้าสังคมไปตามหน้าที่ที่จำเป็น
เช่นต้องไปนัดเลี้ยงกับลูกค้า ต้องไปหาหมอ
ต้องพาลูกไปเที่ยว พาภรรยาไปช้อปปิ้ง ฯลฯ
แต่อย่างการไปกินเหล้ากับเพื่อน เพื่อซ้อมเอาไว้เข้าสังคมนั้น
ออกจะเป็นข้ออ้างของกิเลสไปสักหน่อย

เมื่อไม่มีภารกิจในทางโลกแล้ว ก็ให้พิจารณาถึงเหตุผลในทางธรรม
คือให้พิจารณาดูว่า การเข้าสังคมนั้น
เป็นเหตุให้อกุศลเสื่อมไป หรือทำให้กุศลเจริญขึ้นหรือไม่
ถ้าใช่ การเข้าสังคมนั้นก็จำเป็น
(อย่างที่หนูเจื้อยกล่าวไว้ว่าช่วยกระตุ้นตนเองในทางธรรมได้)
แต่ถ้ากลับข้างกัน การเข้าสังคมนั้นก็เป็นส่วนเกินครับ

หลักเกณฑ์ดังกล่าวนี้ใช้กับชาวโลกนะครับ
ถ้าเป็นนักบวช จุดสำคัญอยู่ที่ทางธรรม
เหตุผลทางโลกเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น
เช่นถ้าอยู่วัดไหนแล้วพระหรือโยมมาชวนทำความวุ่นวาย
ถ้าเห็นว่าจะเสียโอกาสปฏิบัติธรรม ก็จำเป็นต้องหนีครับ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 08:02:07

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 08:06:42
กรณีท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต นั้น เป็นเรื่องของยอดคนครับ
คือท่านมีความเด็ดเดี่ยวในปณิธานของท่านที่ไม่คิดจะออกจากวัดไปไหนอีก
ยอดคนอีกชนิดหนึ่งเช่นท่านพระอาจารย์มั่น ท่านไปไหนๆ อยู่เรื่อย
แต่ท่านก็ไม่ได้ไปด้วยความอยากหรือความหิว
พฤติกรรมของยอดคนเหล่านี้
แตกต่างกันตามเหตุปัจจัยที่พอเหมาะของท่านครับ
จะไม่เหมือนอย่างคุณเก๋ ที่ไม่ไปไหนเพราะ "อยากไม่ไป"
หรือต่างจากคนส่วนใหญ่ที่ไปไหนๆ เพราะ "อยากไป"
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 08:06:42

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 08:17:01
เรื่องการเข้าสังคมเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ต้องเดินทางไปคุยกันนะครับ
แค่ใช้โทรศัพท์ ใช้ net ก็เข้าสังคมได้แล้ว
และก็ทำให้กุศล/อกุศล เกิดขึ้นหรือดับไปก็ได้แล้วครับ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 08:17:01

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ สุกิจ วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 08:18:54
เห็นด้วย ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ นิพ วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 08:46:48
แหะๆ คราวนี้คำพูดคุณอาโดนใจผมอย่าง
จังเลยครับ ^-^!
โดยคุณ นิพ วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 08:46:48

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ ธีรชัย วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 09:03:06
_/\_
สาธุครับ

( โดนไปอีก1ดอก จุกอีก1รอบ : ) )
ก็คุยกับครูทั้งทางโทรศัพท์ หรือทางอินเตอร์เน็ตนี่
"เป็นเหตุให้อกุศลเสื่อมไป และทำให้กุศลเจริญขึ้นนี่ครับ"
: )
โดยคุณ ธีรชัย วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 09:03:06

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ ณรงค์ วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 10:54:53
เห็นด้วย ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 13:30:06
คุณเก๋ คงลืมว่า การเข้าสังคมเป็นการติดต่อระหว่าง 2 คนขึ้นไป
ที่คุณเก๋ มาชวนผมคุยนั้น แม้ว่าอกุศล(ของเก๋) จะเสื่อมไป และกุศลจะเจริญขึ้น
แต่ก็อาจจะทำให้กุศล(ของผม)เสื่อมไป และอกุศลเจริญขึ้น ก็ได้นะครับ
เรื่องอย่างนี้เราจะเอาตนเองเป็นศูนย์กลางฝ่ายเดียวไม่ได้
แต่ต้องมองให้กว้างออกจากตนเองบ้าง เป็นการฝึกความเมตตาครับ
เป็นชาวพุทธ ต้องหัดมองโลกแบบไม่สุดโต่งด้านใดด้านหนึ่งครับ :)
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 13:30:06

ความเห็นที่ 18 โดยคุณ ธีรชัย วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 13:58:47
สาธุ

อีกดอกนึง ใกล้โดนนับแล้ว
(อีกทีคงนับ8)

ไม่ได้โดนครูดุมานาน แหย่ให้ถูกดุสักหน่อยสนุกดีครับ
: )
โดยคุณ ธีรชัย วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 13:58:47

ความเห็นที่ 19 โดยคุณ นิพ วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 15:06:32
อะจ๊ากส์ งั้นที่ผมถามคุณอาทาง ICQ บ่อยๆก็เข้าข่ายด้วยน่ะสิ แหะๆ ^-^!
โดยคุณ นิพ วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 15:06:32

ความเห็นที่ 20 โดยคุณ ไพ วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 15:27:07
ถ้าคุณเก๋โดนนับ 8 เมื่อไหร่ จะช่วยซ้ำ เอ๊ย ไม่ใช่
จะหาน้ำใบบัวบกให้ทานนะ:-)
แล้วถ้าแอบรู้เบอร์โทรศัพท์ใหม่ของพี่ตุ้ม
ช่วยบอกๆกันบ้างเน้อ
(จะเอาไปแทงหวย ไม่ได้ไว้โทรหรอก แหะแหะ)
โดยคุณ ไพ วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 15:27:07

ความเห็นที่ 21 โดยคุณ พัลวัน วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 15:34:17
ว่าจะสาธุสักหน่อย มาช้าไป ตอนหลังเลยกลายเป็นการกระเซ้าเย้าแหย่ เลยขอสาธุแค่ท่อนบนก็แล้วกันครับ

โดยคุณ พัลวัน วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 15:34:17

ความเห็นที่ 22 โดยคุณ ธีรชัย วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 19:38:36
ชอบนะ น้ำใบบัวบก อร่อยดี
คุณหมอไพก็เหมือนกันแหละ ถ้ารู้ก็แอบๆบอกกันมั่งนะ
อิอิ
: )
โดยคุณ ธีรชัย วัน พฤหัสบดี ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 19:38:36

ความเห็นที่ 23 โดยคุณ กอบ วัน อาทิตย์ ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2544 22:52:03
สาธุครับ ครู ในความเห็นของครูครับ

บางครั้ง ผมไม่ค่อยอยากไปข้างนอกบ้านเท่าไหร่ครับ
ช่วงหยุดเสาร์อาทิตย์ ก็นั่งปลูกต้นไม้ใ1นบ้านไปตามเรื่องตามราวครับ
จนบางทีไม่ได้เจอเพื่อนที่เรียนๆ ด้วยกันมาเป็นเดือน ๆ ก็มี ฮิฮิ

บางทีเพื่อนเลยโทรมาดึงออกจากบ้าน เลยก็มี ครับ ฮิฮิ
จะมีก็ไม่กี่คนที่ผมไปด้วย เพราะคบกันมานานมากครับ
จะไม่ไปก็กระไรอยู่ครับ
(เป็นข้ออ้างของกิเลสแล้ว)

บางทีก็เผลอสติไปมากเหมือนกันครับ เพราะคุยกันทุกเรื่อง ไม่ได้หยุดได้หย่อนเลย สรรหาเรื่องต่าง ๆ มาคุยกันได้มากมาย

จะพยายามมีสติให้มากขึ้นครับ แม้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ ก็ตาม
โดยคุณ กอบ วัน อาทิตย์ ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2544 22:52:03

ความเห็นที่ 24 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2544 07:47:45
สาธุครับกอบ ดีแล้วครับที่พยายามเจริญสติไว้

ธรรมชาติของจิตนั้น ย่อมคะนองไปด้วยอำนาจของกิเลสได้ง่ายอยู่แล้ว
หากปล่อยให้ความคะนองระบาดไปถึงกายและวาจาด้วย
จิตใจก็จะยิ่งคะนองหนักขึ้นกว่าเก่า
พระพุทธเจ้าท่านจึงไม่สรรเสริญการพูดมาก และความคลุกคลี
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2544 07:47:45

ความเห็นที่ 25 โดยคุณ ป๋อง วัน จันทร์ ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2544 22:02:27
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 26 โดยคุณ กอบ วัน อังคาร ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 12:17:06
ยังไม่กล้ารับคำสาธุของครูครับ

ฮิฮิ
ตอนนี้ผมยังไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเท่าไหร่ครับ
ยังมีความเผลอ อยู่มากครับ
แต่ก็พยายามฝึกเคาะนิ้วตามพี่ศรันย์สอนอยู่ตลอดครับ

โดยคุณ กอบ วัน อังคาร ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 12:17:06

ความเห็นที่ 27 โดยคุณ นิดนึง วัน อาทิตย์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2544 22:28:10
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 28 โดยคุณ tung วัน จันทร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2544 03:04:38
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 29 โดยคุณ กอบ วัน จันทร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2544 13:11:22
ช่วงนี้ผมเข้าไปตอบกระทู้ที่ลานธรรมบ่อยขึ้นครับ
เนื่องจากว่างขึ้น และได้อ่านหนังสือมากขึ้น

พอเห็นความเห็นใดผิด(จากที่รู้มา) หรือแน่ใจว่าเขาผิดแน่ ๆ แล้ว ก็มักแย้งไป ครับ

ใจนึงก็คิดว่าจะช่วยทำให้ความเห็นนั้นถูกต้องมากขึ้น ให้มีสิ่งที่ถูกอยู่ในลานธรรมมากขึ้น หรือช่วยเหลือลานธรรมให้มากขึ้น

แม้ใจที่กระทำมันเป็นกุศลคืออยากทำดี ตรงนั้น แต่บางทีมันก็ทำให้กิเลสเราฟุ้งขึ้นมาเหมือนกันครับ

โทสะบางทีก็เกิดขึ้นมา เนื่องจากไม่พอใจในคำตอบความเห็นต่าง ๆ ก็มี

อย่างนี้ควรทำอย่างไรครับ
ขอครูและพี่ ๆ น้อง ๆ ช่วยแนะนำด้วยครับ
โดยคุณ กอบ วัน จันทร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2544 13:11:22

ความเห็นที่ 30 โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2544 15:56:04
"ดู" ครับ

ด "ูอารมณ์" ที่เกิดขึ้น
ดู "อารมณ์" ที่ดับลง
ดู "อหังการ์" ที่ครอบงำจิต
ดู"จิต"ของตนที่แปรปรวนไป
โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2544 15:56:04

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com