ความเห็นที่ 11 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2544 09:12:14 |
ตั้งแต่หมอไพตั้งกระทู้มา มีกระทู้นี้แหละครับ ที่น่าสาธุการให้เป็นอย่างยิ่ง เพราะสะท้อนให้เห็นความเข้าใจถึง รู้ ได้อย่างปราณีต การที่ผู้มีความฟุ้งซ่านรุนแรงเป็นนิจ จะเข้าใจ รู้ ได้นั้น ไม่ใช่ง่ายเลย เมื่อพากเพียรจนเข้าใจได้ในเบื้องต้นแล้ว ก็ควรสำรวมระวัง เพื่อให้จิตพัฒนาเข้าถึง รู้ ได้อย่างแท้จริงต่อไป
คำสอนเรื่อง อเหตุกกิริยาจิต 3 ประการของหลวงปู่ดูลย์ คือปัญจทวาราวัชชนจิต มโนทวาราวัชชนจิต และหสิตุปบาทจิต เป็นคำสอนภาคปฏิบัติของการดูจิตที่ละเอียดลึกซึ้งที่สุด โดยท่านได้ขอยืมศัพท์เหล่านี้มาจากตำราอภิธรรม แต่การอธิบายความหมายของท่าน เป็นการอธิบายเชิงปฏิบัติ ซึ่งไม่ตรงกับความหมายดั้งเดิมในตำราอภิธรรม
ผู้ที่จะศึกษาตามจึงควรจำแนกให้ออก ถ้าจะฟังเอาเนื้อความของวิธีการปฏิบัติ ก็ให้เข้าใจอย่างหนึ่ง ถ้าจะฟังในเชิงปริยัติ ก็ขอให้เข้าใจความหมายอีกอย่างหนึ่ง หากนำมาปะปนกัน อาจจะเกิดความยุ่งยากและสับสนขึ้นได้ เช่นจะไปเปิดคำแปลของจิตแต่ละชนิดจากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ เพื่อจะทำความเข้าใจคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ ก็จะไม่สามารถเข้าใจได้จริง หรือจะนำคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ไปพูดกับนักอภิธรรม เขาก็จะไม่รู้เรื่อง เป็นต้น
ผมเคยฟังคำสอนเรื่องอเหตุกจิตจากหลวงปู่ดูลย์ ในการเข้าไปศึกษากับท่านครั้งที่สอง เมื่อราวช่วงพฤษภาคม 2525 ครั้งนั้นฟังแล้วยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะท่านกล่าวถึงสิ่งที่ไม่เคยรู้เห็นสักอย่างเดียว กลับมากรุงเทพแล้วก็ไปเปิดตำราอภิธรรมดู ก็ยังไม่เห็นว่า เกี่ยวข้องอะไรกับการปฏิบัติ
ในตำราอภิธรรมอธิบายถึงอเหตุกกิริยาจิต ไว้ 3 ชนิด ได้แก่ปัญจทวาราวัชชนจิต หรือจิตที่พิจารณาอารมณ์ทางทวารทางกายทั้ง 5 คือตา หู จมูก ลิ้น และกาย ทั้งอารมณ์ที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ จิตดวงนี้ทำหน้าที่แค่เป็นการส่งสัญญาณเตือนให้รู้ว่า มีอารมณ์มากระทบทวารทางกายทวารใด เพื่อที่จะได้เกิดวิญญาณจิตรับรู้อารมณ์ทางทวารนั้นๆ คล้ายๆ กับเดิมเรานอนหลับอยู่ในบ้าน (ภวังค์) พอมีเสียงกุกกักมาทำให้เราตื่นนอน ตอนแรกยังจับไม่ได้ว่าเสียงนั้นดังขึ้นทางใดของบ้าน ปัญจทวาราวัชชนจิตนั่นแหละ จะเป็นผู้จำแนกว่า เสียงมาทางประตูหรือหน้าต่าง หน้าบ้านหรือหลังบ้าน ชั้นบนหรือชั้นล่าง เพื่อวิญญาณคือความรับรู้จะได้หยั่งรู้ได้ถูกทิศทางของเสียงนั้นต่อไป
ส่วน มโนทวาราวัชชนจิต มีความหมายคล้ายกัน แต่เกิดขึ้นทางใจ เพื่อจะจำแนกอารมณ์ทางใจที่มากระทบนั้น ว่าดีหรือไม่ดี แล้วส่งสัญญาณให้จิตเกิดกุศลหรืออกุศล หรือกิริยาจิต ต่อไป
สำหรับ หสิตุปบาทจิต อันเป็นอเหตุกกิริยาจิตดวงสุดท้ายนั้น ตำราอภิธรรมระบุว่าเป็นจิตที่ทำให้เกิดการยิ้ม(ทางกาย)ของพระอรหันต์ เกิดขึ้นพร้อมกับความโสมนัส (สุขเวทนาทางใจ) ผู้ที่อ่านมาถึงตรงนี้จะสรุปว่า พระอรหันต์ยิ้มได้เท่านั้น จะหัวเราะไม่ได้ ถ้าพระรูปใดหัวเราะ แสดงว่าไม่ใช่พระอรหันต์ ทั้งที่ความจริง จิตที่ทำให้พระอรหันต์หัวเราะยังมีอีก 4 ดวง คือมหากิริยาจิตที่พร้อมด้วยความโสมนัส
สำหรับความหมายของ อเหตุกกิริยาจิต ของหลวงปู่ดูลย์นั้น ท่านอธิบายความหมายต่างออกไปจากตำราเดิม เป็นการยืมคำตามตำราเดิมมาใช้โดยอนุโลมเพื่ออธิบายแก่นักปฏิบัติเท่านั้น คือท่านสอนถึงจิตที่ตื่นตัวขึ้นมารับรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง 5 + 1 และสอนว่า เมื่อรับรู้อารมณ์ทางทวารใดแล้ว ให้มีสติรู้เท่าทันจิตของตนทันที อย่าส่งจิตออกนอก คือปล่อยให้จิตเคลื่อนออกทางทวารทั้ง 6 โดยไม่รู้เท่าทัน
คำว่าดูจิตก็ดี คำว่าอย่าส่งจิตออกนอกก็ดี เป็นเรื่องละเอียดอย่างถึงที่สุดทีเดียว ไม่ใช่เรื่องหยาบๆ อย่างที่พวกเราเข้าใจกัน ทั้งนี้เพราะผู้ปฏิบัตินั้น พอคิดที่จะปฏิบัติ จิตก็เคลื่อนออกนอกแล้ว ด้วยความพอใจ/จงใจจะปฏิบัติ และไม่รู้ทันว่ากำลังพอใจ/จงใจอยู่ เช่นพอคิดจะเดินจงกรม ก็ตั้งท่ากำหนดจิตให้สงบสำรวม เพื่อจะรู้การเคลื่อนไหวของกาย ถัดจากนั้นก็เพ่งกายไปเรื่อยๆ อันเป็นการทำสมถะ แต่คิดว่าทำวิปัสสนาอยู่
หรือพอเกิดความดำริที่จะดูจิต ก็เริ่มเพ่งเข้าไปที่จอภาพในใจของตน ดูว่ามีสิ่งใดปรากฏอยู่บ้าง โดยคิดว่านั่นคือการดูจิต ทั้งที่ความจริงแล้ว นั่นคือการส่งจิตออกนอกอย่างหนึ่งเหมือนกัน คือไม่ได้ดูจิต แต่เที่ยวดูสิ่งอื่นๆ ถ้าจอภาพว่างๆ ก็สงสัยว่าควรจะดูอะไรดี แล้วส่งจิตเที่ยวตรวจตราดูว่า จะมีอะไรให้ดูได้บ้าง
หลวงปู่ดูลย์ ท่านสอนไว้อย่างชัดเจนในเรื่องอเหตุกจิตว่า เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง .. ใจคิดนึกปรุงแต่ง ให้รู้อารมณ์ที่มากระทบนั้นตามความเป็นจริงที่จิตจะรู้ได้ การกระทำใดๆ ที่เกินจากแว่บแรกที่รู้นั้น เป็นส่วนเกินทั้งสิ้น อย่าหลงปล่อยให้จิตก่อเกิดพฤติกรรมใดๆ ไปตามความไม่รู้ได้ (หากจิตก่อพฤติกรรมใดๆ เช่นเพ่งเพื่อจะรู้ให้ชัดขึ้น หรือพยายามประคองรักษาความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ฯลฯ ก็ให้รู้เท่าทันพฤติกรรมนั้นของจิต จิตก็จะกลับเข้าสู่ความเป็นกลางเอง) จิตจะทรงสภาพเป็นผู้รู้ ที่สักว่ารู้อารมณ์ ด้วยความเป็นกลางจริงๆ
ในภาวะที่จิตรู้สักว่ารู้ คือไม่ส่งออกนอกไปวุ่นวายกับอารมณ์ต่างๆ นั้น ในขณะนั้นเอง ปรมัตถธรรมของสิ่งที่มากระทบก็จะปรากฏอย่างชัดเจน และปรมัตถธรรมเหล่านั้น ล้วนแต่ว่างเปล่าจากตัวตนและกิเลสตัณหาทั้งสิ้น เช่นเมื่อตาเห็นรูป รูปจะมีสภาพของสีที่ตัดกันเท่านั้น มีสภาพเป็นความว่างเปล่า ปราศจากตัวตนตามอำนาจของสมมุติบัญญัติ และไม่ก่อน้ำหนักใดๆ ขึ้นมาแม้แต่น้อยนิด ถึงจิตที่รู้รูปก็เป็นความว่างเปล่าเช่นกัน ไม่มีตัวตนรูปร่าง น้ำหนัก หรือความเคลื่อนไหวภายในใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่ธรรมชาติที่รู้ ตื่น และเบิกบานอยู่ในตัวเองเท่านั้น
บางคนจิตเห็นปรมัตถธรรมคราวแรก ก็ตัดกระแสเข้ามารู้จิตที่ปราศจากความปรุงแต่งได้แล้ว บางคนเมื่อเห็นปรมัตถธรรมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้ว จิตยังสนใจปรมัตถธรรมนั้นอยู่ ก็ไม่อาจทวนกระแสเข้ามาถึงจิตได้ ต่อเมื่อฝึกมากเข้าจึงทวนกระแสเข้ามาถึงจิต เป็นจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งได้
จิตที่พ้นจากความปรุงแต่ง เป็นธรรมชาติธรรมดา เป็นตัวของตัวเองนี้แหละ มันมีธรรมชาติที่เบิกบานอยู่ในตัวเอง ที่หลวงปู่ดูลย์เรียกว่า หสิตุปบาทจิต หรือจิตยิ้ม (ไม่ใช่การยิ้มทางกาย) ถ้าผู้ใดปฏิบัติจนถึงจุดนี้ก็จะเห็นนิพพาน และเข้าใจชัดทีเดียวถึงพระพุทธวัจจนะที่ว่า นิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง นิพพานเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง
หากเป็นการเข้าถึงจิตที่รู้อารมณ์นิพพานคราวแรก โลกก็สมมุติเรียกว่าพระโสดาบัน พอรู้นิพพานอยู่ 2 - 3 ขณะแล้ว ความปรุงแต่งก็จะกลับเข้ามาปรุงแต่งจิตอีก แต่ธรรมชาติของจิตที่เคยรู้นิพพานแล้ว จะต่างไปจากเดิม เพราะจิตจะพ้นจาก สภาพคนหนา (ปุถุชน) อย่างเด็ดขาดแล้ว กลายเป็นคนบาง คือไม่ถูกความเห็นผิดเข้าแทรกจิต โลภะหยาบๆ ที่ประกอบด้วยความเห็นผิดก็จะหมดไป เช่นความเห็นว่ามีตัวมีตนจะหมดไป
เมื่อรู้อารมณ์ที่มากระทบทางทวารทั้ง 6 ในแบบไม่สร้างภาระเพิ่มเติมมากเข้า สติปัญญาก็จะกล้าแข็ง และรู้เท่าทันพฤติกรรมของจิตมากเข้า การรู้ปรมัตถธรรม อย่างสักว่ารู้ ก็ยิ่งเป็นธรรมชาติมากขึ้นทุกที ในที่สุดจิตก็หลุดพ้นจากการย้อม หรือปรุงแต่งของอารมณ์ทั้ง 6 ได้เด็ดขาด คือเมื่อรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง 6 ก็เห็นความว่างจากตัวตน บุคคล สัตว์ เรา เขา แม้จิตเองก็ว่างจากกิเลสตัณหา และความเป็นตัวตนแม้แต่น้อยหนึ่ง เป็นสภาพจิตที่รู้ความว่างทางทวารทั้ง 6 กับความว่างของจักรวาล เป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วดำรงชีวิตอยู่ด้วยสันติสุขอันรุ่งเรืองจนสิ้นอายุขัย พ้นความลำบากในเรื่องการครองขันธ์แต่เพียงเท่านี้
ธรรมที่หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนแต่ละประโยคนั้น กว่าจะเข้าใจได้แจ่มแจ้ง บางทีต้องใช้เวลาปฏิบัติถึง 10 - 20 ปีก็มี นับว่าท่านเป็นครูที่ไม่เหมือนใคร คือไม่แจกแจงรายละเอียด ไม่ช่วยลูกศิษย์ทำการบ้านหรือแบบฝึกหัด เพียงแต่ชี้ทางเดินไว้ให้เห็นร่องรอยเพื่อเดินตามท่านไปเองเท่านั้น ส่วนใครไม่เดิน ท่านก็ไม่ว่าอะไร พอบอกทางแล้ว ท่านก็หยุด เงียบ อยู่กับความว่างอันเป็นเครื่องอยู่ของท่านต่อไป
|
|
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2544 09:12:14 |