กลับสู่หน้าหลัก

ฟุ้งซ่านจนได้เรื่อง

โดยคุณ ไพ วัน ศุกร์ ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2544 17:20:31

หลังจากเมล์ไปเล่าเรื่องขำขันให้พี่ตุ้มฟัง
แล้วก็สงสัยว่าจิตพี่เงียบๆจะขำมั้ย
คำตอบที่ได้รับ...คือ
พี่ไม่ขำหรอกไพ จิตพี่มันไม่ขำ
ไม่มีอะไรทำจิตพี่ให้เบิกบานได้เหมือนธรรมะ
เวลาเห็นไพฟุ้งซ่านจะสลดสังเวชด้วยความสงสารมากเลย
ดังนั้นอย่าทำตัวให้น่าสงสารนัก
การคุยเล่นมันทำให้จิตคะนอง
เมื่อไรจะเข้าถึงรู้แท้


อ่านจบปั๊บ ธาตุขันธ์สั่นสะเทือนอย่างหนัก
จิตดิ้นรน เป็นทุกข์สุดขีด
สังขารทำงานอย่างรุนแรง
โอ้โห..ตัวเราจะน่าสมเพทน่าสังเวชขนาดนั้น
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไส้เดือน กิ้งกือที่น่ารังเกียจ

พอรู้สึกตัว ตัวรู้ทำงานแว้บ มันดับในขณะนั้น
แต่แป๊บเดียว สังขารก็เข้ามาอีก
พอรู้ ก็ดับอีก แล้วสังขารก็เข้ามาอีก
บางครั้งก็กอดรัดกับสังขารอย่างเหนียวแน่น
ตัวรู้ไม่สามารถทำงานได้เลย
จิตเป็นทุกข์ ดิ้นรน
เป็นอย่างงี้อยู่เกือบ 7 ชั่วโมง
ตัวรู้ ต่อสู้กับ สังขาร ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ
ความดิ้นรนของจิตค่อยๆอ่อนตัวลง
เริ่มเห็น..ที่แท้แล้วทุกข์เพราะ "พี่" เป็นคนดุ
ทุกข์เพราะ "ตัวเรา" ถูกดุ
เมื่อไ ม่ยึดถือว่าเป็น "พี่"
ไม่ยึดถือว่าเป็น "ตัวเรา"
ประโยคที่ทำให้เสียใจก็ไม่มีความหมายอะไรเลย
ไม่สามารถเข้าถึงจิตได้ เหมือนมันลอยๆอยู่

นั่งทบทวนอาการต่างๆที่เกิดขึ้น
เพราะไม่รู้ตัวตั้งแต่ตอนเริ่มอ่านเมล์ตอบ
จิตจึงไหวตามสังขารเร็วมาก แบบยั้งไม่อยู่
แรงส่งมีมากจนถึงแม้ตัวรู้ทำงานแล้ว
ก็ไม่สามารถดับได้สนิทอย่างเด็ดขาด
ไม่สามารถรู้อยู่ที่จิตได้จริง
กลับไปรู้อยู่ที่สังขารแทน

พี่..ไพกราบขอขมาและขอบพระคุณพี่มาก
คราวนี้เป็นบททดสอบที่เป็นประโยชน์มากจริงๆ
ไพต่อสู้กับความฟุ้งซ่านของตัวเองมาตลอด
ไม่ถูกกระทุ้งแรงๆ  ก็คงยังบ้าและโง่อยู่

ที่ตั้งเป็นกระทู้ขึ้นมา
เผื่อเป็นประโยชน์ต่อคนที่ฟุ้งซ่านเหมือนๆกัน
เหมือนพี่ดุทีเดียวได้นกหลายตัวเลย
โดยคุณ ไพ วัน ศุกร์ ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2544 17:20:31

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อาทิตย์ ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2544 20:03:30
ผมไม่ได้เจตนาจะดุหมอไพหรอกครับ
ถามความรู้สึกของผมมาว่าอ่านขำขันแล้วรู้สึกอย่างไร
ก็ตอบไปอย่างซื่อๆ ตรงๆ ตามที่รู้สึกจริงๆ

ในโลกนี้จะมีอะไรน่าสนุกสนานนัก
เพราะมันมีแต่ของลวงๆ คือรูปก็ไม่ใช่ตัวตน
เสียง กลิ่น รส สัมผัสก็ไม่ใช่ตัวตน
แล้วจะน่าบันเทิงใจกันที่ตรงไหน ถ้าเราไม่หลงรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสนั้น

พระพุทธเจ้าทรงชี้ในเราดูโลกอันงดงามดุจราชรถทรงของพระราชา
ถ้าไม่หลงเสียอย่างเดียว มันก็ไม่มีอะไร
มีแต่รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่มากระทบแล้วดับไปเป็นคราวๆ เท่านั้น

ไม่อยากให้พวกเราประมาทครับ เราเล่นสนุกมาคนละมากๆ แล้ว
เวลาก็เหลือน้อยลงทุกลมหายใจเข้าออก
จะหมดไปตอนไหนก็ไม่ทราบได้
มาพากเพียรศึกษาตนเอง ให้เข้าถึงจิตถึงใจกันเถิดครับ

ช่วงนี้ผมจะไม่ค่อยได้ไปทำงาน แต่จะเที่ยวไปตามวัดเป็นส่วนมาก
วันจันทร์ - อังคารนี้ก็ไม่อยู่นะครับ จะไม่ได้เข้ามาตอบกระทู้
วันนี้เลยรีบมาตอบไว้เสียก่อน
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อาทิตย์ ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2544 20:03:30

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ นิพ วัน จันทร์ ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2544 09:11:48
น้อมรับคำเตือนจากคุณอา ไประลึกอย่างเนืองๆครับ ^-^
โดยคุณ นิพ วัน จันทร์ ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2544 09:11:48

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ ไพ วัน จันทร์ ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2544 12:43:34
มีความรู้สึกว่า ความจริงแล้วชีวิตมีแค่ขณะจิตเดียว
ปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติแค่ขณะจิตเดียวนี้
เกินเลยกว่านี้กลายเป็นเรื่องของทุกข์ เรื่องของสังขารไปหมด
ตอนนี้เวลาคิดหรือคุยเรื่องขำๆ
มันเหมือนกับอ้าปากค้างบ่อยๆ
นึกถึงแต่คำพี่ว่ามันเป็นเรื่องน่าสลดสังเวช
:-) พี่ไม่ได้ดุไพจริงๆน่ะแหละ
แต่เตือนให้รู้ตัวเท่านั้นเอง (หาเรื่องยุ่งเองแท้ๆเชียว)
โดยคุณ ไพ วัน จันทร์ ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2544 12:43:34

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2544 14:08:20
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ กอบ วัน อังคาร ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2544 08:51:59
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พุธ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2544 08:24:17
ถ้าเราเข้าใจเรื่องการมีชีวิตอยู่เพียงขณะจิตเดียว
ก็จะซาบซึ้งใจใน ภัทเทกรัตตสูตร เป็นอย่างยิ่ง

ภัทเทกรัตตสูตร

      [๕๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลย่อมคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วอย่างไร
 คือ รำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่า
 เราได้มีรูปอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว
 ได้มีเวทนาอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว
 ได้มีสัญญาอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว
 ได้มี สังขารอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว
 ได้มีวิญญาณอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว
 ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่า คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ฯ

      [๕๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึงอย่างไร
 คือ รำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่า
 ขอเราพึงมีรูปอย่างนี้ในกาลอนาคต
 พึงมีเวทนาอย่างนี้ในกาลอนาคต
 พึงมีสัญญาอย่างนี้ในกาลอนาคต
 พึงมีสังขาร อย่างนี้ในกาลอนาคต
 พึงมีวิญญาณอย่างนี้ในกาลอนาคต
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่ามุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง ฯ

      [๕๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลย่อมง่อนแง่นในธรรมปัจจุบันอย่างไร
 คือ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้
 เป็นผู้ไม่ได้เห็นพระอริยะ  ไม่ฉลาดในธรรม ของพระอริยะ
 ไม่ได้ฝึกในธรรมของพระอริยะ
 ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ  ไม่ฉลาดใน ธรรมของสัตบุรุษ
 ไม่ได้ฝึกในธรรมของสัตบุรุษ
 ย่อมเล็งเห็นรูปโดยความเป็น อัตตาบ้าง
 เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้าง
 เล็งเห็นรูปในอัตตาบ้าง
 เล็งเห็นอัตตาในรูป บ้าง
 ย่อมเล็งเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตาบ้าง
 เล็งเห็นอัตตาว่ามีเวทนาบ้าง
 เล็งเห็นเวทนาในอัตตาบ้าง
 เล็งเห็นอัตตาในเวทนาบ้าง
 ย่อมเล็งเห็นสัญญา โดยความเป็นอัตตาบ้าง
 เล็งเห็นอัตตาว่ามีสัญญาบ้าง
 เล็งเห็นสัญญาในอัตตาบ้าง
 เล็งเห็นอัตตาในสัญญาบ้าง
 ย่อมเล็งเห็นสังขารโดยความเป็นอัตตาบ้าง
 เล็งเห็น อัตตาว่ามีสังขารบ้าง
 เล็งเห็นสังขารในอัตตาบ้าง
 เล็งเห็นอัตตาในสังขารบ้าง
 ย่อมเล็งเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตาบ้าง
 เล็งเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณบ้าง
 เล็งเห็น วิญญาณในอัตตาบ้าง
 เล็งเห็นอัตตาในวิญญาณบ้าง
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล  ชื่อว่าง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน ฯ
         
      [๕๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลย่อมไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน อย่างไร
 คือ อริยสาวกผู้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้
 เป็นผู้ได้เห็นพระอริยะ  ฉลาด ในธรรมของพระอริยะ
 ฝึกดีแล้วในธรรมของพระอริยะ
 ได้เห็นสัตบุรุษ  ฉลาด ในธรรมของสัตบุรุษ
 ฝึกดีแล้วในธรรมของสัตบุรุษ
 ย่อมไม่เล็งเห็นรูปโดยความ เป็นอัตตาบ้าง
 ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้าง
 ไม่เล็งเห็นรูปในอัตตาบ้าง
 ไม่เล็งเห็น อัตตาในรูปบ้าง
 ย่อมไม่เล็งเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตาบ้าง
 ไม่เล็งเห็นอัตตาว่า มีเวทนาบ้าง
 ไม่เล็งเห็นเวทนาในอัตตาบ้าง
 ไม่เล็งเห็นอัตตาในเวทนาบ้าง
 ย่อม ไม่เล็งเห็นสัญญาโดยความเป็นอัตตาบ้าง
 ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีสัญญาบ้าง
 ไม่เล็ง เห็นสัญญาในอัตตาบ้าง
 ไม่เล็งเห็นอัตตาในสัญญาบ้าง
 ย่อมไม่เล็งเห็นสังขารโดย ความเป็นอัตตาบ้าง
 ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีสังขารบ้าง
 ไม่เล็งเห็นสังขารในอัตตาบ้าง
 ไม่เล็งเห็นอัตตาในสังขารบ้าง
 ย่อมไม่เล็งเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตาบ้าง
 ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณบ้าง
 ไม่เล็งเห็นวิญญาณในอัตตาบ้าง
 ไม่เล็งเห็นอัตตา ในวิญญาณบ้าง
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่าไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน ฯ

      [๕๓๔] บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว
 ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่            ยังไม่มาถึง
 สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไป            แล้ว
 และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง
 ก็บุคคล            ใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน
ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน            ในธรรมนั้นๆ ได้
 บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ             ให้ปรุโปร่งเถิด
 พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ
            ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง
 เพราะว่าความผัดเพี้ยน            กับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น
 ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย
            พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ 
มีความ            เพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่า
          ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ

*********************************

สรุปแล้ว ถ้ารู้ปัจจุบันธรรมไปทีละขณะ
ก็จะไม่เห็นขันธ์ 5 เป็นตัวตน ของตน ขึ้นมาเลยครับ
หัดกันไปด้วยความไม่ประมาทเถิดครับ
ส่วนความตลกคะนองนั้น
เป็นเรื่องของเด็กที่เล่นไฟ เพราะความไร้เดียงสาเท่านั้นเอง
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พุธ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2544 08:24:17

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ นุดี วัน พุธ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2544 09:19:48
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ นิพ วัน พุธ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2544 09:45:01
คุณอายกพระสูตรนี้ ถึงใจกระผมเป็นอย่างยิ่งครับ _/I\_
โดยคุณ นิพ วัน พุธ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2544 09:45:01

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2544 11:41:53
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ ณรงค์ วัน พุธ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2544 12:40:30
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ สัจจธรรมภิกขุ วัน พุธ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2544 13:01:45
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ ไพ วัน พุธ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2544 16:00:49
พี่...เพราะว่า ในหนึี่งขณะจิตนั้น
มันไม่ได้สำคัญมั่นหมายว่าเป็นอัตตา
ไม่ได้สำคัญมั่นหมายว่าเป็นรูป
ไม่ได้สำคัญมั่นหมายว่าเป็นเวทนา
..........สัญญา สังขาร วิญญาณ
ในชั่วขณะจิตนั้นมันไม่มีอะไรเลย
แว่บเดียวเท่านั้นก่อนที่จะเกิดรูป
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณตามมา
แต่เราไม่ทันสังเกตเห็นภาวะแว่บเดียวนี้
ปล่อยให้มันเลยไปจากจุดนี้แล้วถึงจะรู้สึก
กลายเป็นทุกข์เป็นเรื่องราวขึ้นมา
อย่างอริยสัจจ์ 4 ก็เหมือนกัน
ความจริงแล้วมันเกิดขึ้นทั้งหมดในแค่แว่บเดียวนี้เอง
พี่..ไพเข้าใจถูกมั้ย
หรืออย่างตอนที่พระพุทธเจ้าชูดอกไม้
แล้วพระมหากัสสปะท่านยิ้มรับ
แล้วพระพุทธเจ้าบอกว่าพระมหากัสสปะเข้าใจแล้ว
ก็คือเข้าใจภาวะขณะจิตเดียวนี้เอง
ใช่มั้ยจ๊ะพี่
ทั้งหมดนี้ไพอ่านจากจิตขณะแว่บแรกที่รู้
ไม่ทราบว่าถูกต้องรึเปล่า
โดยคุณ ไพ วัน พุธ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2544 16:00:49

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ tuli วัน พุธ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2544 19:29:37
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 08:46:56
ไม่ถูกครับ ยังเป็นการใช้ความคิดความสังเกตมากเกินไป
นับว่าเป็นความฟุ้งซ่านอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่าความฟุ้งซ่านในธรรม
แต่ก็ยังดีกว่าความฟุ้งซ่านไปในทางโลกมากนัก
ที่ดีกว่านั้นก็คือ รู้อะไรแล้วก็วางให้มันจบลงตรงนั้นเลย

ในแวบแรกที่รู้นั้น ไม่ใช่ไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
มันมีตามที่มันมีนั่นแหละ แต่จิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายในทางที่เป็นตัวตน
คงรู้สภาวธรรมไปตามที่มันมีมันเป็น ไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น
ถ้ารู้ทัน ก็จบลงตรงนั้น จิตไม่แส่ส่ายปรุงแต่งต่อไปให้เกิดทุกข์
แต่ถ้ารู้ไม่ทัน จิตก็เข้าไปสำคัญมั่นหมาย ยึดถือเอาเป็นตัวตนของตน
แล้วจิตเองก็เกิดทุกข์ขึ้นมา ขันธ์ 5 ก็เป็นก้อนทุกข์ทั้งก้อน

จึงไม่ควรกล่าวว่า ในแวบที่รู้ไม่มีขันธ์ 5
แต่ควรกล่าวว่า ในแวบแรกที่รู้ ไม่มีอุปาทานขันธ์ 5

การรู้ในแวบเดียวนั้น จิตจะไม่ก่อเกิดความเป็นตัวตนขึ้นมา ทุกข์จึงไม่เกิดขึ้น
เมื่อทุกข์ไม่เกิดขึ้น ก็ไม่มีภาระในเรื่องของการดับทุกข์
แต่ถ้าสติปัญญาตามไม่ทัน เกิดความยึดถือ เกิดตัวตนขึ้นมา
ถึงอย่างไรก็ต้องเกิดทุกข์ จะห้ามไม่ให้เกิดทุกข์ไม่ได้

จึงไม่ควรกล่าวว่าอริยสัจจ์ 4 เกิดขึ้นทั้งหมดในแวบเดียวกันนี้
เพราะทุกข์กับนิโรธจะไม่เกิดร่วมในขณะเดียวกัน

ส่วนเรื่องพระพุทธเจ้าทรงชูดอกไม้ และพระมหากัสสปะยิ้มนั้น
เป็นเรื่องของท่านล้วนๆ ไม่ใช่เรื่องของผม
ผมไม่นำมาคิดพิจารณาให้เป็นภาระกับจิต
เรื่องนี้จึงตอบไม่ได้ว่าหมอไพเข้าใจถูกหรือไม่ครับ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 08:46:56

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ นิพ วัน พฤหัสบดี ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 09:43:18
อ่าความเห็นคุณอาเหมือนโดนสอนทางอ้อม
เมื่อเช้ารบกวนคุณอาไปตั้ง 5 message ทาง ICQ
พอมาเจอประโยคนี้ "..รู้อะไรแล้วก็วางให้มันจบลงตรงนั้นเลย.." แหะๆถึงรู้ว่าผมยังฟุ้งมากจริงๆเหมือนเด็กที่พอเจออะไรใหม่ๆนิดหน่อยก็ดีใจไปคุยอวดให้ผู้ใหญ่ฟังครับ
แหะๆ ^-^!
โดยคุณ นิพ วัน พฤหัสบดี ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 09:43:18

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ ไพ วัน พฤหัสบดี ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 13:44:15
ขอบพระคุณมากค่ะพี่
ความจริงเข้าใจตรงกับที่พี่อธิบาย
แต่สื่อภาษาออกมาได้ไม่ตรงกับที่ใจรู้สึกจริงๆ

รู้แล้วให้วางทั้งหมด
ตรงนี้ยังแก้ไม่ได้ซักที
มันอด "เอ๊ะ" ไม่ได้ แล้วก็หลุดไปกับเอ๊ะทุกที:-)
โดยคุณ ไพ วัน พฤหัสบดี ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 13:44:15

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ ธีรชัย วัน พฤหัสบดี ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 14:01:24
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 18 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 14:37:08
เรื่องการใช้ภาษาอธิบายธรรมของนักปฏิบัติเป็นปัญหาใหญ่ครับ
บางทีทั้งที่รู้ ก็อธิบายจนเหมือนคนไม่รู้
และทำให้นักปริยัติเขากลุ้มใจ ว่าพวกเราเผยแผ่สัทธรรมปฏิรูปกัน
ดังนั้นเวลาที่พวกเราเขียนอะไร พรรคพวกควรช่วยกันดูด้วยนะครับ
ว่าสื่อออกมาผิดกับสมมุติบัญญัติของโลกเขาหรือเปล่า
ถ้าผิดก็ควรช่วยกันแก้ไขเสีย มิฉะนั้นระยะยาวจะสับสนได้ครับ

ผมทราบแต่แรกแล้วครับ ว่าหมอไพเข้าใจแต่สื่อผิด
แต่ต้องท้วงไว้เพราะคนอื่นเขามาอ่าน อาจจะจำไปผิดๆ ได้
ว่าทุกข์กับนิโรธเกิดพร้อมกันได้
หรือในแวบแรกที่รู้ไม่มีขันธ์ 5 เป็นต้น

ส่วนเรื่องความฟุ้งซ่านในธรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องคอยบอกกัน
(เช่นเมื่อสักเดือนก่อนก็เตือนคุณพัลวันอย่างนี้เหมือนกันครับ)
เพราะถ้าผมพลั้งไปอนุโมทนาสาธุเข้าให้
หมอไพก็จะยิ่งขยันคิดพิจารณามากขึ้นไปอีก
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 14:37:08

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com