ความเห็นที่ 14 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 08:46:56 |
ไม่ถูกครับ ยังเป็นการใช้ความคิดความสังเกตมากเกินไป นับว่าเป็นความฟุ้งซ่านอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่าความฟุ้งซ่านในธรรม แต่ก็ยังดีกว่าความฟุ้งซ่านไปในทางโลกมากนัก ที่ดีกว่านั้นก็คือ รู้อะไรแล้วก็วางให้มันจบลงตรงนั้นเลย
ในแวบแรกที่รู้นั้น ไม่ใช่ไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันมีตามที่มันมีนั่นแหละ แต่จิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายในทางที่เป็นตัวตน คงรู้สภาวธรรมไปตามที่มันมีมันเป็น ไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ถ้ารู้ทัน ก็จบลงตรงนั้น จิตไม่แส่ส่ายปรุงแต่งต่อไปให้เกิดทุกข์ แต่ถ้ารู้ไม่ทัน จิตก็เข้าไปสำคัญมั่นหมาย ยึดถือเอาเป็นตัวตนของตน แล้วจิตเองก็เกิดทุกข์ขึ้นมา ขันธ์ 5 ก็เป็นก้อนทุกข์ทั้งก้อน
จึงไม่ควรกล่าวว่า ในแวบที่รู้ไม่มีขันธ์ 5 แต่ควรกล่าวว่า ในแวบแรกที่รู้ ไม่มีอุปาทานขันธ์ 5
การรู้ในแวบเดียวนั้น จิตจะไม่ก่อเกิดความเป็นตัวตนขึ้นมา ทุกข์จึงไม่เกิดขึ้น เมื่อทุกข์ไม่เกิดขึ้น ก็ไม่มีภาระในเรื่องของการดับทุกข์ แต่ถ้าสติปัญญาตามไม่ทัน เกิดความยึดถือ เกิดตัวตนขึ้นมา ถึงอย่างไรก็ต้องเกิดทุกข์ จะห้ามไม่ให้เกิดทุกข์ไม่ได้
จึงไม่ควรกล่าวว่าอริยสัจจ์ 4 เกิดขึ้นทั้งหมดในแวบเดียวกันนี้ เพราะทุกข์กับนิโรธจะไม่เกิดร่วมในขณะเดียวกัน
ส่วนเรื่องพระพุทธเจ้าทรงชูดอกไม้ และพระมหากัสสปะยิ้มนั้น เป็นเรื่องของท่านล้วนๆ ไม่ใช่เรื่องของผม ผมไม่นำมาคิดพิจารณาให้เป็นภาระกับจิต เรื่องนี้จึงตอบไม่ได้ว่าหมอไพเข้าใจถูกหรือไม่ครับ |
|
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 08:46:56 |