กลับสู่หน้าหลัก

ในโลกนี้ มีหรือ คือสิ่งสวยงาม

โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 20 ธันวาคม 2543 18:13:02

ในกิริยา ยืน เดิน นั่ง นอน ของมนุษย์เรา เจ้าตัวสามารถนำมาใช้เป็นอารมณ์กับจิตได้ทั้งนั้น ทั้งนี้หากทำไปเพื่อเจริญ สติ - สัมปชัญญะ ก็จักมีประโยชน์มาก หากเจริญ กิเลส - ตัณหา เสียแล้ว ก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

ในการฝึกหัด ดูจิต ของผมนั้น เมื่อแรกเริ่มเดิมทีแล้วก็ต้องอาศัยการระลึกรู้ไปใน กิริยาอาการ ของร่างกายไปทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถที่จะ ดูจิต ได้โดยตรง แต่ต่อๆมาก็สามารถที่จะเฝ้ามอง เวทนา และ อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ที่ปรากฎให้เห็นเป็นระยะในยามที่ไม่เผลอ หรือเกือบไม่เผลอได้บ้าง

เมื่อเห็น กายบ้าง เวทนาบ้าง อาการของจิตบ้าง แปรเปลี่ยนไปต่างๆนานา ก็เห็นว่ามีจิตผู้รู้ดูอยู่อย่างนิ่งเฉยและสงบ เหมือนไม่สนใจใยดีแต่อย่างใดต่อสิ่งที่กำลังดูอยู่นั้น

สงสัยอยู่ครามครัน ว่ามีอะไรไม่ถูกสักอย่าง คือเมื่อเห็นกายเคลื่อนไหว ก็นึกสงสัยอยู่ ว่าทำไมมันเคลื่อนไหว ก็ต้องจิตนี้เป็นตัวสั่งการแน่นอน แต่เราไม่เคยเห็นการสั่งการของจิตเลย ว่าเขาสั่งการไปอย่างไร

ในบางครั้ง บางขณะ ที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ด้วยความปวดเมื่อยขบอันเนื่องมาจากการนั่งนิ่งๆอย่างนั้นนานๆ ก็พบว่าบางครั้งมีปรากฎการณ์แปลกๆบางประการ เป็นลักษณะอาการเหมือนกับว่าตัวเราดีดตัวลุกออกจากที่นั่งนั้นอย่างทันที

ในขณะที่รู้ทัน ก็มีความรู้สึกว่า สิ่งนี้คือตัวปรุงแต่งจิต อันเกิดมาจาก เวทนา ที่กำลังปวดเมื่อยอยู่ แต่ไม่ได้สนใจอะไร เพราะหลังจากที่มันพลุ่งออกมาแล้ว มันก็สงบระงับไป

แม้ในบางขณะที่ไม่เห็นสิ่งที่เป็นตัวปรุงแต่งจิตตัวนี้ก็ตาม แต่การได้เจริญสติอยู่โดยเอากายเป็นอารมณ์ของจิต ก็ได้เห็นความเป็น ก้อนธาตุ ของกาย ที่ไร้ความหมายใดๆกับจิตผู้รู้ (ที่กำลังรู้ในขณะนั้น) แม้แต่น้อย จิตผู้รู้วางเฉยอยู่ เมื่อพิจารณาความเป็นก้อนธาตุของกายอยู่อย่างนั้น ก็ทำให้นึกแปลกใจว่า ก้อนธาตุก้อนนี้น่ะหรือ???.... (ที่เราต้องทำมาหากิน เลี้ยงปาก เลี้ยงท้อง เลี้ยงธาตุขันธ์ ต่อไปเรื่อยๆล่ะหรือ???)

แต่เมื่อใดที่ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ก็จักมีความปั่นป่วนเกิดขึ้นที่จิตด้วยเสมอไป หากรู้ไม่ทันในขณะนั้น ความพลุ่งพล่านก็จะเกิดขึ้น และปรุงแต่งจิต ให้ลุกขึ้นเพื่อไล่ความเมื่อยขบนั้น

เมื่อสัก 2 - 3 สัปดาห์ที่แล้ว ก็นึกถึงเรื่องราวของตัณหาอยู่ในใจว่า ตัณหานี้ หากว่ากันตามที่ได้ยินได้ฟังมา ก็ต้องบอกว่าเป็นตัวที่สร้างปัญหาให้ทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะของหยาบๆเช่น การคบชู้สู่สมกันเท่านั้น แต่แม้ของละเอียดเช่นความอยากเสพ ฌาณ ก็ทำให้เกิดภพ เกิดชาติ ไม่สิ้นสุด ทั้งๆที่เริ่มประจักษ์กับตนเองแล้วว่า ความเกิดนั้นเป็นทุกข์ การต้องดิ้นรนชีวิตเลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็เป็นทุกข์ ดังนั้นจึงตั้งใจไว้ว่า เห็นที่จะต้องรู้จักกับตัณหาให้มากแล้ว

มีอยู่เช้าวันหนึ่ง ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่นั่งอยู่ ก็เห็นอาการที่พลุ่งขึ้นอย่างนั้นอีก เมื่อจิตเห็นดังนั้นแล้วก็รู้ขึ้นมาทันทีว่า นี่ล่ะตัณหา และตัณหาก็แสดงตัวให้เห็นอีกที แต่คราวนี้สงบเงียบเรียบร้อยกว่า และแปรเปลี่ยนกลายมาเป็น ความดำริ หรือ เจตนา จากการที่พิจารณาทบทวนในความรู้ที่เห็นตรงนั้นก็ทำให้เข้าใจว่า ตัณหานี่ล่ะที่ทำให้เกิดเจตนา อันเป็นตัวกรรมที่จะพาเราไปที่ไหนต่อไหน ไม่ว่าจะนรกหรือสวรรค์

เมื่อมาถึงที่ทำงาน ก็ได้คุยกับครูในประเด็นนี้ และในขณะที่คุยอยู่นั้น ก็มีความรู้สึกว่า ผู้คนทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนกระทำการ หรือ กระทำกรรม ไปตามแรงของตัณหานี้

ตอนสายๆของวันนั้น ก็ได้มีโอกาสเห็นตัณหานี้อีกครั้งหนึ่ง เป็นเพียงสั้นๆแต่รวบรัดยิ่ง คือในขณะก่อนที่จะเอาแขนซ้ายยกขึ้นพาดบนศีรษะของตน ก็เห็นว่า ร่างกายนี้ซึ่งมีความเมื่อยขบอยู่ จิตนั้นออกไปรับรู้ความเมื่อยขบนั้น เกิดเป็นความรู้สึกเมื่อยขบ แล้วจึงเกิดเป็นแรงผลักดันออกจากจิตไปทำให้เกิดความเคลื่อนไหวของแขนนั้น ยกขึ้นพาดศีรษะ

การเห็นในครั้งนี้เกิดผลกระทบต่อจิตใจมากมายครับ เพราะรู้อยู่ว่าแรงผลักดันที่เป็นการกระตุ้นให้เกิดการยกแขนนี้ก็คือ ตัณหา

เมื่อเห็นดังนี้ก็ให้รู้สึกว่า โลกนี้ อะไรๆก็ขับเคลื่อนด้วยตัณหาทั้งนั้น ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำ หรือแม้แต่เจตนา ก็ล้วนทำไปด้วยแรงของตัณหานี้ทั้งสิ้น หาอะไรเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์ไม่ได้เลย ตัวเราเองแม้ในขณะนี้ ก็เป็นที่พึ่งให้กับตัวเองยังไม่ได้เลย และรู้สึกได้ว่า เราเองจะลงนรกได้ทุกเมื่อเพราะแรงขับดันของตัณหานั้น แหละแม้ว่าจะทำสิ่งใดที่เป็นกุศล เราก็ทำด้วยตัณหานั้นอยู่เช่นกัน จึงเห็นว่าเป็นความอดสูใจอย่างยิ่ง ที่เราทำตามตัณหาไปเท่านั้น ไม่ว่าการกระทำนั้นจะเป็น กุศล หรือ อกุศล ก็ตาม เรา เหมือนเป็นหุ่น ตัณหาก็คือสายระโยงระยางที่เชิดหุ่น ผูกมัด ชักจูง ให้หุ่นนั้นเคลื่อนไหว มีกิจกรรม หากแต่หุ่นนั้นไม่รู้ตัว หลงไปคิดว่า ฉันเคลื่อนไหวเองได้ ฉันคิดเองได้ ฉันทำเองได้ อยู่ตลอดเวลา หารู้ไม่ว่า ที่หุ่นเคลื่อนไหวได้อยู่นั้น เป็นเพราะเชือกที่โยงอยู่คือตัณหานั้นเท่านั้น แล้ว โลกนี้จะมีหรือ คือสิ่งสวยงาม หากมีอยู่ ก็แค่สิ่งที่สมมุติเรียกกันว่าสวยงาม ที่แท้ก็ทุกข์ทั้งนั้น เมื่อพิจารณาเห็นดั่งนี้แล้ว อหังการ์ที่เคยมี ปณิธานที่เคยตั้งเอาไว้มานาน ก็ล้มครืนลงในบัดดล!

ในโลกนี้ จะมีหรือ คือสิ่งที่สวยงาม......
โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 20 ธันวาคม 2543 18:13:02

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 21 ธันวาคม 2543 08:12:48
หลวงปู่ดูลย์ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า
"พระโพธิสัตว์(ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ) มีมากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า"
ถ้าดาวจะดับลงสักดวงหนึ่ง โลกก็คงไม่มืดลงหรอกครับ
และสัตว์ที่มีธุลีในดวงตาน้อย ก็ย่อมเห็นแสงสว่างเข้าจนได้
ส่วนสัตว์ตาบอด หรือสัตว์ที่ไม่มีตา
ต่อให้ดวงอาทิตย์สว่างอยู่ตรงหน้า ก็มองไม่เห็นอยู่ดี
อย่าไปอาลัยอาวรณ์อะไรเลยครับ

เพียรรู้กิเลสตัณหาในจิตใจไปเรื่อยๆ
เมื่อรู้แล้วและจิตวางแล้ว
ก็ควรปล่อยวางความรู้ความเห็นที่ใช้เป็นเครื่องมือทิ้งไปเสีย
อย่าเก็บไว้เป็นความจำที่รุงรังในจิตใจก็แล้วกันครับ

มีสติสัมปชัญญะ เบิกบานอยู่กับธรรมเป็นขณะๆ ไป
เท่านี้ก็พอแล้วครับ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 21 ธันวาคม 2543 08:12:48

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ listener วัน พฤหัสบดี ที่ 21 ธันวาคม 2543 08:19:41
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ listener วัน พฤหัสบดี ที่ 21 ธันวาคม 2543 08:21:04
ผมอ่านระหว่างบรรทัด จากย่อหน้าแรกของครู กับย่อหน้าสุดท้ายของคุณพัลวัน
ขอ สาธุอีกครั้งครับ
โดยคุณ listener วัน พฤหัสบดี ที่ 21 ธันวาคม 2543 08:21:04

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ นุดี วัน พฤหัสบดี ที่ 21 ธันวาคม 2543 08:52:30
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ ดังตฤณ วัน พฤหัสบดี ที่ 21 ธันวาคม 2543 08:58:02
เส้นทางวิบากของโพธิสัตว์ไม่ได้พาคนไปสวรรค์นิพพานเท่านั้น
พาไปนรกก็มากครับ คิดเสียอย่างนี้ก็เลิกอาลัยได้เหมือนกัน
โดยคุณ ดังตฤณ วัน พฤหัสบดี ที่ 21 ธันวาคม 2543 08:58:02

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ ธีรชัย วัน พฤหัสบดี ที่ 21 ธันวาคม 2543 09:03:52
"เมื่อเห็นดังนี้ก็ให้รู้สึกว่า โลกนี้ อะไรๆก็ขับเคลื่อนด้วยตัณหาทั้งนั้น
ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำ หรือแม้แต่เจตนา ก็ล้วนทำไปด้วยแรงของตัณหานี้ทั้งสิ้น
หาอะไรเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์ไม่ได้เลย ตัวเราเองแม้ในขณะนี้ ก็เป็นที่พึ่งให้กับตัวเองยังไม่ได้เลย"

ใจเย็นๆเฮีย อย่าเพิ่งรีบสรุปว่าโลกนี้ไม่อภิรมย์ เดี๋ยวมันจะยุ่ง
^_^
โดยคุณ ธีรชัย วัน พฤหัสบดี ที่ 21 ธันวาคม 2543 09:03:52

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ นิพ วัน พฤหัสบดี ที่ 21 ธันวาคม 2543 10:09:42
สาธุในความก้าวหน้าของพี่ตึกครับ

ผมเองก็เคยมีปณิธานเช่นนั้นมาก่อนแต่ตอนนี้ไม่เอาแล้วครับ กลัววัฏฎะจนหัวหดแล้วครับ
โดยคุณ นิพ วัน พฤหัสบดี ที่ 21 ธันวาคม 2543 10:09:42

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ ณรงค์ วัน พฤหัสบดี ที่ 21 ธันวาคม 2543 10:15:00
เห็นด้วย ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ พัลวัน วัน ศุกร์ ที่ 22 ธันวาคม 2543 09:27:52
คุณเก๋ ที่ผมสรุปว่าโลกนี้ไม่น่าอภิรมย์ เป็นเพราะผมเห็นว่า สังสารวัฏฏ์นี้เป็นเหมือนทะเลน้ำครำน่ะครับ มีแต่ของเน่าเหม็น สกปรกไปเสียทั้งนั้นครับ จึงรู้สึกว่า ถึงเวลาที่เราเองต้องเร่งรัดตัวเองแล้วล่ะครับ
โดยคุณ พัลวัน วัน ศุกร์ ที่ 22 ธันวาคม 2543 09:27:52

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ ธีรชัย วัน เสาร์ ที่ 23 ธันวาคม 2543 07:57:24
ตอนนี้จำปีที่บ้านผมกำลังออกดอกเยอะเลย
บางทีผมก็บอกว่า มันสวยและก็หอมดี
แต่บางทีก็ไม่เห็นมันจะรู้สึกอะไรเลย
แต่ดอกจำปีมันก็ยังคงอยู่ที่เดิม ส่งกลิ่นเดิมๆน่ะครับ
: )
โดยคุณ ธีรชัย วัน เสาร์ ที่ 23 ธันวาคม 2543 07:57:24

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ กอบ วัน อาทิตย์ ที่ 24 ธันวาคม 2543 22:50:43
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 25 ธันวาคม 2543 09:10:21
ดอกจำปี ก็แสดงตัวของดอกจำปี อย่างที่ธรรมชาติของดอกจำปีจะแสดงได้

แต่จิตของมนุษย์ อันประกอบไปด้วยความหลง ไปทำให้ดอกจำปี ไม่ใช่ดอกจำปี แต่ให้เป็นไปตามความอยากของตน

สิ่งนี้แหละคือการเอาน้ำครำในใจตน ไปชุบให้ดอกจำปี ซึ่งไม่สามารถทำให้ดอกจำปี ไม่ใช่ดอกจำปีไปได้ แต่บุคคลผู้เอาน้ำครำไปชุบดอกจำปี ก็หลงคิดว่าตนทำให้ดอกจำปีเป็นไปอย่างที่ตนเองอยากให้เป็น



โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 25 ธันวาคม 2543 09:10:21

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ Tuledin วัน จันทร์ ที่ 25 ธันวาคม 2543 10:11:54
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ ธีรชัย วัน จันทร์ ที่ 25 ธันวาคม 2543 15:12:17
: )
โดยคุณ ธีรชัย วัน จันทร์ ที่ 25 ธันวาคม 2543 15:12:17

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ สุกิจ วัน อังคาร ที่ 26 ธันวาคม 2543 10:00:37
เห็นด้วย ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ MrMail วัน พุธ ที่ 27 ธันวาคม 2543 05:56:05
เห็นด้วยบางส่วน ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com