กลับสู่หน้าหลัก

อกรรมกิริยา - สยัมภู - อู่หวุย โดย ท่านเขมานันทะ

โดยคุณ ไพ วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 19:15:48

ข้อเขียนชิ้นนี้คัดลอกจากหนังสือ ช่วงชีวิตช่วงภาวนา
โดย ท่านเขมานันทะ (ความจริงหนังสือเล่มนี้ซื้อไว้อ่าน
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538  แต่เข้าใจได้แค่ระดับหนึ่ง ต้องกราบ
ขอบพระคุณพี่ตุ้ม (พี่ปราโมทย์)ที่พร่ำปากเปียกปากแฉะ
สอนเบสิกของความรู้ตัวให้ จนเมื่อกลับเอามาอ่านอีกครั้งหนึ่ง
ถึงค่อยเข้าใจขึ้นอีกว่าผู้เขียนท่านพูดถึงอะไร)

ประวัติบางส่วนของผู้เขียน:
"...ปรกติผมเอง(ท่านเขมานันทะ)เนื่องจากเรียกว่าเป็นนักอ่าน
คนหนึ่ง ผมอ่านพระไตรปิฎกจบไปสามเที่ยว นี่ไม่ใช่คุยโวนะ
แต่กำลังจะเล่าถึงความน่าสงสารของตัวเอง ที่เข้าใจว่าต้องหาเค้า
ความจริงในนั้น สำหรับการเดินทางไกลในชีวิต..........
ตอนนั้นผมค่อนข้างติดยึดในพระสูตรในหลักตามที่เรียนมา
ผมเข้าใจว่าหลวงพ่อเทียนท่านคงสังเกตออก เพราะเวลาท่าน
ให้ผมแสดงธรรม หรือพูดอะไรนี่ ผมต้องอ้างบาลีบ้าง
อ้างทฤษฎีบ้าง.....
      วันหนึ่งนั่งกินข้าวด้วยกัน ผมเป็นโยม ผมกินของผม
ในจานของผม หลวงพ่อท่านก็ฉันไป ปรกติท่านไม่ค่อยพูด
เวลาฉันอาหาร ต่วันนี้มาแปลก ชวนผมสนทนาว่า ปีนี้อายุ
เท่าไรแล้ว ผมก็บอกว่าอายุประมาณ 42-43 ท่านถามต่อว่า
จำคำสอนประโยคแรกของแม่ได้ไหมว่าแม่สอนว่าอะไร
ผมบอกจำไม่ได้มันนานมาแล้ว ทันใดนั้นท่านลุกขึ้นยืน
ผลักเก้าอี้ไปข้างหลัง ทิ้งช้อนส้อมลงบนจานดังเปรี้ยงปร้าง
แล้วท่านพูดทำนองเหมือนกับดุแดกดันว่า เรื่องเกิดกับตัวเองแท้ๆ
40 ปีเพิ่งผ่านยังจำไม่ได้ ทีเรื่องเกิดกับคนอื่นตั้งสองพันกว่าปี
เอามาพูดอยู่ทำไม ผมตกตะลึง ตกใจต่อบทบาทอันคาดไม่ถึง
ของครู.........
ต่อจากวันนั้นเป็นต้นมาผมเริ่มสนใจในความรู้แจ้งประจักษ์
ความรู้แบบสัมผัสดังเช่น มือเราจับสิ่งเย็นๆเรารู้ว่าเย็น
มันไม่มีในพระไตรปิฎกแต่มันปรากฏจริงๆกับเราที่มีชีวิตอยู่จริง
ในขณะนี้ ทีนี้ความทุกข์ที่เข้ามานาบจิตใจเรา ความกดดัน
ความหนัก ความเบา มันเป็นสิ่งจริงทั้งนั้น......"

...............................................................................................................

       อกรรมกิริยา-สยัมภู-อู่หวุย

   เมื่อกายของเราตื่น จิตของเราตื่น เกิดอาการสัมผัส
ทุกสิ่งทุกอย่างว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในห้วงจินตภาพ
ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งที่สัมผัสได้โดยตรงเช่น เมฆ ท้องฟ้า
ต้นไม้ เมื่อจิตสำนึกของมนุษย์ตื่นขึ้น เขาก็สัมผัสความจริงของ
ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยจิตใจอันใหญ่กว้าง ความคิดแคบๆหรือจิต
เล็กๆภายใต้ความคิด "ตัวของฉัน" "ของข้าพเจ้า" แตกสลาย
เมื่อจิตสำนึกเล็กๆแตกสลายก็กลายเป็นจิตสากล จิตซึ่งกว้างใหญ่
ไพศาล ความคิดความอ่านไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ภายใต้แวดวงของ
ชาติ ศาสนา ที่จำกัดอีกแล้ว จิตสำนึกที่แผ่ออกไปไม่มีของเขตนั้น
เองเป็นรากฐานดั้งเดิมซึ่งได้กลายเป็นสภาพใหม่ จิตสำนึกเล็กๆ
ยังอยู่เพียงเป็นร่องรอยของความจำ

    ในการปฏิบัติเพื่อการตื่นทั้งกายและจิตนั้นจำเป็นต้องเร้าความ
รู้สึกตัวให้มากเพื่อให้มันตื่น ไม่ใช่การสะกดให้มันนิ่ง
การสะกดตัวเองให้นิ่งจะส่งผลไปอีกทางหนึ่ง อาจจะรู้เห็น
บางสิ่งบางเรื่อง ไม่ใช่ทุกสิ่ง รู้จักบางสิ่งเช่นความสงบ
ความมักน้อยสันโดษ รู้จักศีลที่เกิดจากการควบคุมบังคับตนเอง
แต่ไม่รู้จักศีลที่เกิดจากการปล่อยไม่ต้องมัวควบคุม
อาจจะรู้กฎเกณฑ์ที่ตัวเองบังคับควบคุมแต่จะไม่รู้จักการ
อยู่เหนือกฎเกณฑ์มีกฎเกณฑ์โดยไม่ต้องรักษากฎเกณฑ์

    การเจริญสติในเบื้องต้นนั้นย่อมหมายถึงความรู้ตัวใน
การกระทำกายกรรม คือการเคลื่อนไหวทางกาย
คำพูดคือวจีกรรมและมโนกรรมคืออาการคิดซึ่งเป็นการกระทำ
ทางจิตใจ เมื่อเจริญสติเราตื่นตาตื่นใจเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของ
กาย คำพูด ความคิดของเรา ถ้าเรารู้เท่าทันคิดนึกเรื่องใดๆ
ก็ไม่ต้องไปสนใจ แต่เราเห็นอาการคิดซึ่งเป็นอาการหนึ่ง
การสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างหรือการรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเกิดจากธาตุ
รู้ซึ่งเป็นหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพอันเดียวภายในตัวมนุษย์เอง
เมื่อเร้าความรู้สึกตัวให้ปรากฏเด่นชัดแล้ว ชีวิตจิตใจจะเป็น
เหมือนเรด้ามีประสิทธิภาพสูงสามารถจับการเคลื่อนไหวของ
ทุกสิ่งตามที่เป็นจริง

    การสัมผัสอาการได้ตามที่เป็นจริงนั้นมีความสำคัญมากทีเดียว
เพราะว่าความคิดก็สิ้นสุดลง เมื่อความคิดสิ้นสุดลงด้วยพลังของสติ
ที่พัฒนาเป็นสมาธิที่เป็นเอง นิสัยเก่าก็ถูกตัดขาดและมีการเรียบเรียง
ระเบียบของมันใหม่ ความคิดมีอยู่ 2 ลักษณะ
ลักษณะแรกเราเรียกว่าความคิด อันหลังคือ อาการคิด
ตามธรรมดาถ้าเราเฝ้าดูความคิดเราก็จะคิดว่าเรากำลังดูความคิด
เราคิดเรื่องหนึ่งเรื่องใด แล้วเราก็ไปดูความคิดเข้า
เราก็เลยคิดว่าเรากำลังดูความคิด ดังนั้นจึงเกิดความคิด
ซ้อนความคิด ดังนี้ไม่ใช่การเจริญสติ เรียกว่าเป็นผู้ใช้ความคิดขบคิด
ผลก็คือการได้เป็นนักคิด ดังนี้ไม่ใช่การเห็นความคิด
แต่เป็นการรู้คิด มีความคิดเห็นอย่างนั้นอย่างนี้
เมื่อรู้ว่ามีความคิดอยู่ในจิตใจ นั่นยังไม่เป็นการเจริญวิปัสสนา
ที่บริสุทธิ์ ส่วนการเฝ้าดูนั้นเห็นเพียงอาการเท่านั้น
เพียงรู้สึกมันคิดวูบวาบไปแล้วไม่ได้สนใจ มันคิดดี คิดถูกนั้น
ไม่สำคัญอะไร เพราะว่าเมื่อเห็นอาการของมันมันจะตกไปทันที
คลื่นระลอกใหม่ของอาการคิดก็จะปรากฏขึ้น ผู้เจริญสติเช่นนี้
จะเข้าใจซึ้งถึงความหมายของปัญญาอันเหนือคิดและจะพัฒนา
ไปเป็นญาณ เห็นความคิดนั้นไม่เห็นอะไรเลย เห็นเพียงอาการเท่านั้น

    เมื่อสติตระหนักรู้ว่องไว สัมผัสการเต้นของหัวใจ
เสียงที่เข้ามาทางหู เปลือกตาที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่
เมื่อเราเดินจงกรมอยู่ เราจะเห็นตัวเอง สัมผัสตัวเอง
เห็นลมหายใจคืออิริยาบถย่อยๆซึ่งเป็นไปในอาการใหญ๋ๆ
คือการก้าวย่าง ซ้อนกันอยู่ ครั้งก่อนผมได้กล่าวว่าสาระสำคัญ
ของการปฏิบัติการเจริญสติภาวนานั้นคือการไม่เป็นไป
ในอำนาจของความคิดนึก แล้วยกอุปมาว่าเหมือนกับเราไม่เป็น
ไปตามอำนาจแห่งรถยนต์ ถ้าเราขับรถยนต์ คอยประคองพวงมาลัย
ประคองส่วนต่างๆของเครื่องจักรที่จะทำให้รถยนต์แล่นไป
ตามต้องการ ในการขับรถยนต์จุดยากเย็นที่สุดคือเรามัว
ไปบังคับส่วนใดส่วนหนึ่งอยู่ ถ้าหากว่าเราจะเริ่มขับรถยนต์
ก่อนหน้านั้นเราขับรถยนต์ไม่เป็น เราไม่อยากมีรถยนต์
แม้เรานั่งรถยนต์ของเพื่อนหลายสิบครั้ง หลายร้อยครั้ง
แต่เราก็ขับไม่เป็น ถ้าเราไม่สังเกตนี้แสดงว่าเราไม่มีปัญหากับ
รถยนต์ รถจะเครื่องเสีย ชำรุด เราไม่มีปัญหาเลยเพราะ
เราไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ เราไม่ต้องการเป็นเจ้าของด้วยจิตสำนึก
ผู้ขับรถยนต์ไม่เป็นและไม่ต้องการจะขับรถยนต์
จะไม่มีปัญหากับรถยนต์ ซึ่งเปรียบกับคนทั่วไปไม่สนใจธรรมะ
แล้วไม่ต้องการปฏิบัติด้วย เขาก็ไม่มีปัญหา เพราะ
เมื่อเขามีปัญหา เขาก็ไม่รู้ไม่ชี้ แต่ปัญหาก็อยู่ที่นั่นเหมือน
คนขับรถยนต์ไม่เป็น เขาจึงไม่เป็นจนวินาทีสุดท้าย
พอจะขับรถยนต์ขึ้นมา ซื้อรถมาแล้วก็ลงมือศึกษามัน
จึงเริ่มมีปัญหากับรถยนต์ เราจะควบคุมมันบังคับมันให้
เป็นไปตามที่เราต้องการ เราเริ่มศึกษาแต่ละกรณี
เราเริ่มศึกษาพวงมาลัยคลัตช์ เกียร์ ต้องไปเกี่ยวข้องต่อสู้กับมัน
ที่จะควบคุมดูแลให้จงได้ ไม่ช้าไม่นานเราสามารถควบคุมดูแล
ให้รถยนต์ทำงานสอดคล้องกลมกลืน ในที่สุดเราก็เป็นคนหนึ่ง
ที่ขับรถยนต์ได้ เมื่อเราขับรถยนต์เป็นแล้วจิตสำนึกเราก็
สิ้นปัญหาเกี่ยวกับการขับรถยนต์เช่นเดียวกับคนขับรถยนต์ไม่เป็น
แต่คนขับรถยนต์ไม่เป็นไม่มีประสบการณ์เลยในการต่อสู้เพื่อขับเป็น
แต่เมื่อเราขับเป็นแล้วเราก็ไม่มีอะไร มันเหมือนกัน จุดยากเย็นที่สุด
ในการขับรถยนต์เป็นคือเราใส่ใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเฉพาะมากเกินไป
เช่นเรากุมพวงมาลัยแน่นด้วยความหวาดกลัว เราก็ลืมดูไฟท้ายไฟหน้า
ลืมดูกระจก ลืมส่วนอื่น จุดนี้เองเป็นจุดที่ยากที่สุด ความใส่ใจใน
จุดใดจุดหนึ่ง ไม่มีการประคับประคองทุกๆส่วนไว้
ซึ่งอันนี้คือจุดที่คลี่คลายและกลมกลืน

     การขี่จักรยานหรือสามล้อ ถ้าเราควบคุมมากเกินไป
การทำเช่นนั้นทำให้เกิดอุปสรรค ฉันใดก็ฉันนั้น
ในการเจริญสติจุดที่แก้ไขยากที่สุดคือจุดที่เราเพ่งที่จุดหนึ่ง
จุดใดนั้นเอง ดังนั้นนักภาวนาทั้งหลายมักมีคำถาม
ว่าผมจะเอาจิตไปไว้ที่ตรงไหน การขับรถยนต์เป็นนั้นมัน
ต้องใช้เวลา คนกล้าหาญหน่อยก็เป็นเร็ว บางคนหัดเช้า
เย็นก็ขับได้ บางคนเป็นเดือนกว่าจะขับได้ บางคนอาจจะเป็นปี
เพราะความกลัว กว่าจะเปลี่ยนความใส่ใจที่ละจุดในการกุม
พวงมาลัยหรือเหยียบคลัตช์เป็นการประคองดูรวมๆ
แตะๆต้องๆมันเท่านั้นไม่ใช่ยึดถือ ต้องใช้เวลาช่วงหนึ่ง
สำหรับศิลปะแห่งการปล่อยวางนี้ แต่ว่าในการเจริญภาวนา
ไม่เหมือนกับการขับรถยนต์เสียทีเดียว เพราะในตัวมนุษย์เรา
มีภาวะซึ่งเป็นเองอยู่แล้ว ผู้ที่ขับรถยนต์เป็น
ถ้าเราไปถามเขาๆจะว่าไม่เห็นมีเรื่องอะไร เรื่องง่ายๆ
เป็นแล้วมันจะเป็นไปเอง แทบจะบอกให้เป็นทฤษฎีไม่ได้
ขึ้นนั่งในรถยนต์แล้วมันเป็นไปเอง ผมเคยนั่งคุยกับเพื่อนในรถ
เขาขับรถเขาฟังผมพูดไปด้วย ทั้งตอบโต้ปัญหา
ต่างๆเป็นชั่วโมง สังเกตว่าเขาทำได้ดีทั้ง 2 อย่าง
เขาเข้าใจปัญหา เขาขับรถยนต์ได้อย่างดีด้วย นั้นแสดงว่า
เขาเข้าถึงความชำนาญอันนั้นแล้ว แต่ความชำนาญมีเรื่องต้อง
ระมัดระวังว่าเป็นความชำนาญซึ่งทำลายความรู้สึกสดๆ
ใหม่ๆไปหรือเปล่า ส่วนในร่างกายชีวิตจิตใจของเรามีสภาวะ
ซึ่งเป็นเองอยู่แล้ว  ดังนั้นถ้าใครทำถูกเรื่องเข้า
สภาพเป็นเองจะปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันทันใด
ดังนั้นช่วงปฏิบัติแต่ละคนไม่เหมือนกัน
บางคนปฏิบัติช่วงสั้นได้ผล บางคนปฏิบัติเป็น 10 ปีๆ
ก็ยังไม่ปรากฏผลที่น่าพอใจเพราะอุปนิสัยชอบยึดถือนั้นเอง
ชอบยึดถืออันหนึ่งอันใด อันนั้นก็จะเป็นอุปสรรค แท้ที่จริง
โลกทั้งหมด จักรวาลทั้งหมด ชีวิต สังคมล้วนแต่เคลื่อนไหว
เปลี่ยนแปลงอยู่ธรรมชาติทั้งหมดเป็นไปเอง

     โดยหลักธรรมของพุทธศาสนาเรา
ไม่มีหลักคิดของเรื่องพระผู้สร้างผู้ควบคุมและผู้ทำลาย
ถือว่าธรรมชาตินั้นเป็นเอง เด็กๆตั้งแต่นอนแบเบาะกินข้าว
กินน้ำ กินนม กินขนม ก็เติบโตขึ้นมาเอง
หรืออายุขัยของเราก็เคลื่อนไหวขึ้นมาเปลี่ยนแปลงไปจนมาเท่านี้
สภาพเป็นเองนี้ภาษาบาลีสันสกฤตเรียก สยัมภู หรือ สยาม
ซึ่งเป็นชื่อของประเทศเรา
ความเป็นเอง หมายถึงอิสรภาพ
เหมือนคนขับรถยนต์เป็นและเป็นเอง เป็นไปเอง
แสดงว่าเขามีอิสรภาพแล้ว

     ในการเจริญสติภาวนานั้นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือ
การเข้าถึงสภาพเป็นเอง ได้แลเห็นและซึมซาบในสภาวะนั้น
แล้วการภาวนาก็บรรลุผลสำเร็จคือสภาพเป็นเอง
เช่นเห็นตาที่กะพริบเอง ความคิดที่คิดขึ้นมาเอง
การเคลื่อนไหว แม้แต่ถ้อยคำก็เป็นไปเอง
ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อเห็นตัวมันเอง
ช่วงชีวิตไม่ใช่ความทุกข์ทรมานอีกต่อไป
ดังนั้นจึงเรียกเป็นสุขได้
สุขที่เกิดจากการหมดสิ้นการแสวงหาเมื่อเห็นความเป็นเองแล้ว


      เมื่อเราปฏิบัติการเคลื่อนไหว ถ้าเราได้สอดใส่เจตนาเพ่งเล็ง
แรงกล้าอยู่หรือพยายามที่จะกำหนด นั้นคือจุดอ่อนของเรา
เป็นจุดซึ่งแก้ยากที่สุด ดังนั้นคนทั่วไปชอบที่จะสะกดจิตตัวเอง
อยู่เรื่อยๆ เมื่อเราเคลื่อนมือก็ไปกำหนดมันเข้า อย่างนี้เท่ากับ
ไปขัดแย้งกับความเป็นเอง ควรปฏิบัติเล่นๆ
ทำเหมือนไม่ได้ทำอะไรแต่ขอให้ทำ
ทำในความหมายไม่กระทำ
เป็นการกระทำกรรมที่ไร้เจตนา

หากทำกรรมผลก็ตามมา กรรมนั้นตัดสินโดยเจตนา
เจตนาให้สงบมันก็กลายเป็นความสงบ ติดอยู่แค่ความสงบนั้น
การเจริญสติแบบที่แนะนำอยู่นี้ ให้ปฏิบัติเฉยๆ
สุขก็ไม่เอาทุกข์ก็ไม่เอา ไม่ต้องไปสนใจ จะปรากฏเป็นสุขก็ได้
ทุกข์ก็ได้ ให้เหลือแต่การเคลื่อนไหวล้วนๆ ความรู้สึกล้วนๆ
บนฐานของการเคลื่อนไหว ทำอย่างนี้มันจะเข้าสู่ความเป็นเอง
อย่างรวดเร็ว แท้ที่จริงการละกิเลสต่างๆนั้น มันละของมันเอง
โดยจิตใจสิ้นปรารถนามัน สภาพเป็นเองนั้นปรากฏขึ้นแทนที่
มันก็ละของมันเอง นิสัยใหม่คือความขยัน ความซื่อตรง
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเอง เมื่อเราเร้าความรู้สึกตัว เห็นตัวเอง
เดินไปเดินมา หายใจเข้าหายใจออก แต่ไม่ได้
เห็นอันหนึ่งอันใดโดยเพ่งเล็งจำเพาะ เห็นรอบ เห็นกว้างๆ

     ในการปฏิบัติชนิดรวมศูนย์ทุกชนิด จะเป็นอุปสรรค
ในการเห็นความเป็นเอง เช่นการกระทำให้สงบแบบสมถะ
กำหนดเอาลมหายใจเข้าออก หรือเพ่งต่อนิมิตอันหนึ่งอันใด
สิ่งเหล่านั้นเป็นอุปสรรคต่อความเป็นเองทั้งสิ้น
ถ้าเราไปทำให้มันสงบโดยเจตนา พอเกิดสงบ มันหวังอยู่แล้ว
อยากได้อยู่แล้วก็ตะครุบทันที การปฏิบัติเช่นนั้นชื่อว่า
ยังพัวพันกับกรรม ไม่พ้นกรรมไปได้ นั่นเป็นการปฏิบัติสมถะ
ปฏิบัติเช่นนี้จะไม่รู้จักศีลที่แท้จริง ศีล สมาธิ ปัญญาซึ่งเป็นเอง
ซึ่งมีอยู่แล้วในตัวชีวิต ผู้เจริญสมถะจะไม่รู้จัก
ผู้เจริญสมถะแม้จะได้ความสงบแต่ในความสงบเช่นนั้นไม่มี
อิสรภาพเลย มีแต่ความสงบด้วยอำนาจการกดข่มกิเลสอาสวะไว้
เหมือนนักโทษอยู่ในคุก ต่อมาผู้คุมให้ย้ายไปอยู่อีกคุกหนึ่ง
ซึ่งลูกกรงคุกทำด้วยทองคำ แต่เขาก็ยังคงเป็นนักโทษ
ไม่ค้นพบอิสรภาพ การเจริญสมถะนั่งหลับตาสะกดจิตตัวเองนี้
เป็นการปฏิบัติตามรอยอุททกะ-อาฬารดาบส
ซึ่งไม่ใช่วิธีของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้ออกจากสำนักดาบส
ทั้งสองนั้นด้วยเห็นว่าผลของการกระทำยังอาพาธได้แล้วจะเรียก
ความสงบว่ามรรคผล นิพพานได้อย่างไร

     ในการเจริญสมถะและวิปัสสนานั้นมีรากฐานที่ต่างกัน
โดยทั่วไปแล้วเราเข้าใจว่าเจริญสมถะจนสามารถระงับนิวรณ์ได้
ต่อจากนั้นยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา คือพิจารณาสิ่งทั้งปวงโดยเฉพาะขันธ์ 5
ตามนัยนะแห่งพระไตรลักษณ์ ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา
ทางทฤษฏีเราเรียนเช่นนี้ แต่ในภาคปฏิบัติไม่เป็นเช่นนั้น
บุคคลเจริญสมถะแล้วยากจะเข้าสู่วิปัสสนา
คือการเจริญวิปัสสนานั้นเราตั้งต้นที่สติไม่ใช่ความสงบ
จะสงบก็ได้ไม่สงบก็ได้ขอให้รู้ตัว
คิดดีก็ได้คิดร้ายก็ได้ กายเคลื่อนไหวอย่างไร
ก็รู้ด้วยอาการอย่างนั้น นั่งอยู่ก็รู้ อาการนั่งโดย
ไม่ต้องพูดซ้ำว่ากำลังนั่งอยู่ การพูดซ้ำกำหนดหนอ
เป็นการกระทำที่ล้อหลอกความจริง
เดินอยู่ก็รู้อิริยาบถที่เคลื่อนไหว นั่ง นอน เคลื่อนมือ
เมื่อคิดนึกไปให้รู้ให้เห็น ให้รู้ให้เห็นทันท่วงที
ชนิดสัมผัสได้พอคิดวูบไปก็รู้ตัวเดี๋ยวนั้น
การรู้การเห็นเช่นนี้เรียกว่าเจริญสติ
โดยทั่วไปเรามักจะรู้กันแล้วว่าจิตใจมีการตรึกนึกมีความคิด
เรารู้แบบคิดซ้อนคิดอย่างนี้ยังไม่เห็น
ถ้าเห็นความคิดแล้ว กระแสสืบต่อความคิดจะขาดสะบั้นลง
และไม่มีคำพูดแม้แต่คำเดียวที่ปรากฏขึ้นในจิต

แต่ความคิดก็ยังคงเป็นความคิด เรานั่งอยู่
เราหิวเราคิดขึ้นมาว่าจะไปหาอาหารมาใส่ท้อง
ความคิดเช่นนี้ไม่มีปัญหาเพราะสัมพันธ์กับความเป็นจริง
แต่ความคิดปรุงแต่งที่เป็นปัญหาคือเราคิดโดยไม่รู้ตัว
ส่วนความคิดที่เราเห็นแล้ว แสดงว่าเราควบคุมไว้ได้แล้ว
เราอยู่เหนือมันแล้ว เช่นเดียวกับเราหมุนพวงมาลัยรถ
รถก็หมุนไปตามที่เราคาดหวัง แสดงว่าเรามีอิสระในการกระทำนั้น
ให้มันรู้ตัว ตื่นตาตื่นใจจะสงบก็ได้ไม่สงบก็ได้
ถ้าเราไปตั้งเป้าจะให้สงบเมื่อใด เราจะพลาดทันที
เราต้องเข้าใจว่าเราต้องเร้าความรู้สึกตัว สงบก็ได้ไม่สงบก็ได้
ให้รู้ให้เห็นให้สัมผัสมันได้

      ทุกคนอาจจะยังเข้าใจผิดต่อธรรมชาติธรรมดาของทะเล
เช่น เข้าใจว่าทะเลแท้ต้องไม่มีคลื่นเลย นี้เข้าใจผิดมาก
ไม่มีทะเลไหนในโลกนี้ที่ราบเรียบเป็นหน้ากลองตลอดเวลาได้
แต่ทะเลที่บ้าคลั่งครืนโครมนั้นก็ไม่ใช่สิ่งถาวร
สภาพปกติของทะเลคือการมีคลื่นลมบ้าง ไม่มีบ้าง
คลื่นใหญ่บ้างเล็กบ้าง
สภาพปกติของชีวิตจิตใจก็เหมือนกัน
ต้องมีความคิดนึกผ่านเข้ามา
ถ้าเราคิดว่าสภาพปกติคือการนั่งไม่คิดอะไรเลย
นั่นเป็นการเข้าใจผิด ดังนั้นให้รู้สึกตัว
ดูเข้าไปในใจตัวเอง อย่าเข้าไปใน
ความคิด อย่ามุ่งที่จะหยุดยั้งความคิด
เมื่อเผลอเข้าไปในความคิด
แล้วก็กลับมารู้สึกตัวอีก อย่ามุ่งจะหยุดความคิด
ความคิดนั้นเป็นพลังทำให้เกิดสมาธิ
คือเมื่อเรารู้ตัวก็เป็นการทวนกระแสความคิด
ก่อเกิดพลังสมาธิขึ้นตามธรรมชาติ กลับมารู้สึกตัว
ทำอยู่อย่างนี้เรียกเจริญสติภาวนาเพื่อการรู้แจ้งรู้จริง
ต่อตัวเองและสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเอง

     ทำเช่นนี้สังเกตเช่นนี้มากเข้า นานเข้าความรู้สึกตัวก็นำหน้า
ความคิดก็ถอยร่นมาอยู่ข้างหลัง เมื่อความคิดเข้ามาก็รู้สึกตัว
ตื่นตัว กล้าท้าทายความคิดทุกรูปแบบ
ไม่หวั่นไหวไปกับความคิดเพราะความรู้สึกมีกำลังเหนือกว่า
จากความรู้สึกอันนั้นเราจะเรียนรู้ชีวิตและที่สุดของมัน

     ชีวิตคือการรู้สึกตัว ไม่รู้สึกตัวก็ไม่มีชีวิต
พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ประมาท ชื่อว่าตายแล้ว
ผู้ที่ประมาทคือผู้ที่เข้าไปในความคิดเรื่อยๆโดยไม่รู้สึกตัว
ชื่อว่าเดินห่างจากชีวิตแท้ออกไปทุกที เมื่อเจริญสติ
ถ้าเราทำตามปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า
อันเปรียบเหมือนมรดกสำคัญ ซึ่งทรงตรัสเป็นครั้งสุดท้าย
ด้วยความห่วงใยผู้คน ผ่านทางภิกษุที่รายล้อมท่านอยู่
ในวาระสุดท้ายคือ เธอทั้งหลายจงอย่าประมาท
คำพูดสั้นๆนี้มีความหมายใหญ่หลวงนัก ผู้ที่จับแก่น
ความหมายนี้ได้ก็กล่าวได้ว่าได้รับมรดกของพระพุทธเจ้า
แสดงว่ารู้ตัวรู้สึกตัว ไม่เป็นไปตามอำนาจแห่งความนึกคิด
จนอยู่เหนือความคิดนั้น เราเดินจงกรม ยกมือ
เราอย่าไปสนใจการยกครั้งต่อไป แต่ขอให้เคลื่อนไหวไว้
รูปแบบของการเคลื่อนไหวทำไว้ให้มาก
แต่อย่าไปสนใจมัน บัดนี้บนฐานของความรู้สึกตัว
ดูเข้าไปในจิตใจของตัวเอง อย่าเป็นไปตามอำนาจความคิด
เมื่อความคิดเกิดขึ้น เราก็จะลืมตัว
สติที่เราเรียกกลับมาคือความรู้สึกตัว
เราก็หลุดออกจากความคิด
เดี๋ยวเราก็เผลอตัวเข้าไปในความคิดอีก
นี้คือการต่อสู้ของเรา
รู้ตัวบ้าง ลืมตัวบ้าง นี้เป็นการปฏิบัติที่เป็นธรรมชาติ
ถ้านั่งนิ่งรู้ตัวตลอดเวลาอาจเกิดอาการผิดเพี้ยนได้
เพราะในเบื้องต้นของการเจริญสติคือรู้ตัว
แต่เมื่อมันพัฒนาไปไกล มันจะถึงจุดที่ลืมตัว
การที่เราลืมตัวอย่างรู้ตัวเป็นเป้าหมายของเรา
เพราะมันจะเข้าสู่ความเป็นเอง

การที่เรารู้ตัวนี้เป็นปัญหาซ้อนอยู่ในตัวด้วย
เพราะรู้ตัวเข้าแล้วเราก็เริ่มทุกข์
ก่อนหน้าจะมาปฏิบัติเราไม่ทุกข์ เราสนุก
เรามีอะไรกลัดกลุ้ม เราก็ไปเที่ยวหรือคุยกับเพื่อน
เราก็สบาย เราไม่รู้จักความทุกข์ แต่ถ้าเรารู้ตัวมากๆ
เราจะเป็นทุกข์ ทุกข์ที่ต้องรู้ตัว ทุกข์ในตัวเอง
จากความทุกข์หากเรามีสติมันจะแปรเปลี่ยนเป็นสมาธิ
จากทุกข์ มันจะเคี่ยวจนคลี่คลายออกเป็นการรู้ตัว
แบบไม่กำหนดเลย
รู้ตัวแบบไม่รู้ตัว
ไม่รู้ตัวแบบรู้ตัว
ขึ้นเหนือกฏเกณฑ์แห่งการปฏิบัติ
เป็นการปฏิบัติชนิดเหนือการปฏิบัติ
ไม่ปฏิบัติแต่ปฏิบัติอยู่

ดังนั้นปฏิบัติให้มากจึงจะเข้าใจเหนือการปฏิบัติ
เหมือนขับรถยนต์มากๆ วันหนึ่งจะรู้สึกว่าเหมือนไม่ได้ทำอะไร
ปราชญ์จีนโบราณเรียกสภาวะนี้ว่า อู่หวุย
หรือเรียกเป็นภาษาบาลีว่าอกรรมกิริยา
ทำแต่ไม่ได้ทำอะไร
ไม่ถอย  ไม่สู้ไม่อยู่ไม่หนี นั้นคือเป็นเอง


     การปฏิบัติธรรมเบื้องต้น เจริญสติบนฐานของการเคลื่อนไหว
ให้รู้ตัว เมื่อรู้ตัวแล้วทุกข์
ทุกข์ที่เกิดจากการรู้ตัวนี้คืออริยสัจจ์
ไฟทุกข์จะโทรมลง สันติภาพอยู่ที่นั่น
เบื้องหลังความทุกข์นั่นเอง
คนทั่วไปทุกข์ด้วยอำนาจของกิเลส แต่นักภาวนาทุกข์
เพราะไม่ได้บรรลุภูมิธรรมที่เหนือกว่า แต่ก็ทุกข์เหมือนกัน
จิตเกี่ยวข้องกับความทุกข์เพียงรู้เฉยๆ
แต่สาเหตุความทุกข์นั้นต้องขุดรากกำจัดมัน
เช่นเดียวกับเราต้มน้ำให้เดือด
บอกเด็กผู้ไม่รู้อะไรไปทำน้ำอย่าให้เดือด
เด็กคนนั้นเอามือไปตบน้ำให้สงบมือก็พองไหม้
เจ็บปวดและไม่สำเร็จด้วย
เด็กที่รู้เดียงสาเขาจะไปเอาฟืนออก ในที่สุดน้ำก็เย็นเอง
เพราะว่าธรรมชาติของความชุ่มเย็นนั้นเป็นเนื้อหาดั้งเดิม
เป็นสาระดั้งเดิมของน้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น
สาระชีวิตก็คือความสงบ
ตัวเรานี้เป็นตัวสงบ ความสงบสิงสู่อยู่ทั่วสรรพางค์กาย
ในชีวิตนี้คือความเงียบสงัด
นี้คือสาระแก่นสารของชีวิต แต่มาถูกไฟอวิชชา
ความโง่ ความลืมตัวมาแผดเผาเข้า กลายเป็นชีวิตที่เดือดพล่าน
ทุกข์ทรมานทุรนทุราย ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไม่เป็นทุกข์
จะคิดจะทำอะไรสักนิดก็กังวลขึ้นมา
คิดจะเดินทาง คิดจะแต่งงานหย่าร้าง
แทบจะกล่าวได้ว่าคิดจะทำอะไรเท่านั้นความกังวลก็ตามมา
ในที่สุดความวิตกกังวลก็ครองเรือนใจ นั้นเหมือนเชื้อโรคร้ายหรือ
เหมือนปลวกกัดกินบ้านเรือนจนพังทลายลง

...................................................................................................
โดยคุณ ไพ วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 19:15:48

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 22 มิถุนายน 2543 14:05:42
ขอบคุณ คุณหมอไพ
ที่อุตส่าห์ฝืนสังขารหลังขดหลังแข็งพิมพ์ธรรมะให้อ่านกันเสมอ
แต่เรื่องนี้ยาวมากครับ ยังอ่านรวดเดียวไม่ทัน
ขออ่านก่อนแล้ววิจารณ์ทีหลังนะครับ
แต่ตามปกติ คำสอนในแนวทางของหลวงพ่อเทียน
ก็ไม่ต่างในสาระสำคัญกับที่พวกเราทำอยู่หรอกครับ
อ่านแล้วก็ได้แง่มุม เสริมความเข้าใจให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 22 มิถุนายน 2543 14:05:42

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ กระต่าย วัน ศุกร์ ที่ 23 มิถุนายน 2543 16:00:04
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ จ้อม วัน ศุกร์ ที่ 23 มิถุนายน 2543 19:33:32
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ ฐิติมา วัน จันทร์ ที่ 26 มิถุนายน 2543 20:03:17
ขอบคุณพี่ไพมากคะ ;)
โดยคุณ ฐิติมา วัน จันทร์ ที่ 26 มิถุนายน 2543 20:03:17

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ อี๊ด วัน จันทร์ ที่ 10 กรกฎาคม 2543 08:10:39
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com