กลับสู่หน้าหลัก

ประวัติและการปฏิบัติ ของ คุณแม่ชีพิมพา  วงศาอุดม

โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 07:46:24

เมื่อผมนำธรรมของคุณแม่น้อยมาเผยแพร่
ก็มีเพื่อนพ้องชาวลานธรรม/วิมุตติ 
สนใจถามถึงว่าท่านเป็นใคร มีความเป็นมาอย่างไร
2 - 3 คนมีโอกาสไปกราบท่านมาแล้ว
และอีก 5 - 6 คน นำโดยคุณดังตฤณ กำลังจะไปกราบท่านในช่วงต้นเดือนหน้า

เพื่อให้พวกเรารู้จักท่านมากขึ้น ภรรยาของผมได้พิมพ์ประวัติของท่าน
และฝากมาโพสต์ให้พวกเราได้อ่านกัน
ประวัติของท่าน ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะท่านอยากเขียน
แต่เกิดขึ้นเพราะหลวงปู่เทสก์ สั่งให้เขียน
เนื่องจากมีประโยชน์อย่างมากทั้งในทางธรรม
และเป็นแบบอย่างให้ผู้ปฏิบัติหญิงเกิดกำลังได้เป็นอย่างดี
ว่าผู้หญิงก็ปฏิบัติจนถึงขั้นที่พระเณรยอมรับนับถือ ก็มีอยู่

****************************************

คำนำ 

        พ่อแม่ของชีพิมพาได้อพยพมาจากปราจีนบุรี  
ชีพิมพาได้มาเกิดที่บ้านหนองกอง ตำบลหนองกอง  อำเภอท่าบ่อ  จังหวัดหนองคาย  
แม่ตายแต่เด็ก  พี่สาวแม่จึงพาอพยพข้ามไปอยู่นครเวียงจันทน์  
ความจริงก็คนนครเวียงจันทน์นั่นแหละ 
เมื่อครั้งรัชกาลที่ 3 ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  
ไทยกับนครเวียงจันทน์ได้เกิดสงครามกัน  
ฝ่ายนครเวียงจันทน์แพ้สงคราม  
ทหารไทยจึงได้กวาดต้อนเอาผู้คนไปเป็นจำนวนมากมาย  
แล้วให้ไปตั้งรกรากอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี  
เมื่อฝรั่งเศสมาปกครองเมืองเวียงจันทน์  
จึงให้คนไปเกลี้ยกล่อมเอากลับคืนมา  
ครอบครัวของชีพิมพาก็อยู่ในจำพวกนี้เหมือนกัน 

        ชีพิมพาเกิดเมื่อปีชวด  พ.ศ. 2455  
เมื่อยังเป็นสาวอยู่ฝักใฝ่การทำบุญทำทาน และรักษาศีล
จนคนแก่ยกยอสรรเสริญ  ยกให้เป็นหัวหน้าในหมู่  
ได้แต่งงานกับแฟนคนในหมู่บ้านเดียวกัน  
การแต่งงานก็แปลกคน  มีคนรวยมาขอหลายคนแต่ไม่ชอบ 
แต่เลือกเอาคนไม่เที่ยวไม่กิน  ความรักและซื่อสัตย์สุจริต  
แต่งงานเมื่ออายุ 20 ปี  อยู่ด้วยกันมาด้วยความราบรื่น  
ทำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต  
อยู่มาได้ 12 ปี มีลูกชายคนหนึ่งซึ่งเกิดมาได้ 4 เดือนก็ตาย  
ลูกตายแล้วยิ่งเห็นทุกข์ในความเป็นอยู่ของฆราวาสมากขึ้น  
จึงชวนสามีออกบวช  สามีก็ขอผัดไปก่อน  
ชวนสามีอยู่ตั้งหลายวัน จึงตกลงกันได้  
เมื่อตกลงกันแล้วจึงมอบสิ่งของมีนาเป็นต้นให้แก่ญาติทั้งหมด
แล้วพากันข้ามโขงไปอุดรธานี  เพื่อที่จะบวช  
ญาติๆ ที่เป็นข้าราชการเจ้านายหลายท่านได้ข่าวก็มาสนับสนุนให้กำลังใจ 
เมื่อบวชแล้วก็แยกกับสามีไปคนละทิศคนละทาง 
โดยเฉพาะชีพิมพามีอุปสรรคมาก  
อยู่กับแม่ชีซึ่งเขาบวชมาก่อน  เขาใช้บังคับอย่างไม่เป็นธรรมเลย 
แต่ก็อดทนโดยถือว่าเราบวชใหม่เขาใช้เราต้องทำตามเขา  
ไม่ได้คิดว่าเขาใช้เราอย่างข้าทาส  
ใจคิดว่าถ้าตกนรกเห็นจะทุกข์มากกว่านี้  เราต้องอดทนเอา 
เมื่อบวชมาได้หลายปีแล้วก็เป็นอิสระพอติดตามครูบาอาจารย์ไปในที่ต่างๆ ได้  
ครูบาอาจารย์ทั้งที่อยู่นครเวียงจันทน์และประเทศไทยก็ให้ความอนุเคราะห์เป็นอย่างดี  
และการปฏิบัติในทางธรรมก็เจริญก้าวหน้าโดยลำดับ  
แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร  รู้ว่าดีเท่านั้น เพราะไม่รู้หนังสือ  
จะถามใครไม่ทราบว่าจะถามอย่างไร 

        ชีพิมพาเป็นผู้หญิงใจสิงห์คนหนึ่ง  
ออกปฏิบัติกัมมัฎฐานยอมสละชีวิตอย่างไม่เสียดายอะไรเลย  
ไม่ยอมแพ้ผู้ชายอกสามศอก  
ได้ต่อสู้กับโจรปล้นฆ่าคนมาสองครั้ง 
เสือและงูใหญ่อย่างละครั้ง  ผีนับครั้งไม่ถ้วน  
อย่างไม่มีอาวุธอะไร  นอกจากบารมี และอธิษฐานเป็นอาวุธ  
แต่ก็ได้ชัยชนะอย่างที่ทึ่งใจ 

        เมื่อนครเวียงจันทน์ปกครองอย่างคอมมิวนิสต์
จึงได้มาอยู่ที่วัดหินหมากเป้ง เมื่อราว พ.ศ. 2518
มาฟังเทศนาของพระนิโรธรังสีเทศนาอบรม
จึงค่อยรู้เรื่องรู้ราวต่างๆ ว่าอะไรเป็นอะไร
จนมีความสามารถอาจหาญเขียนประวัติของตนเองและข้อธรรมนั้นๆ ได้ 
ดังที่ท่านจับอ่านอยู่นี้  แม่ชีทั้งหลายควรเอาเป็นแบบอย่าง 
                                                                        เทสก์ เทสรังสี
                                                    (พระนิโรธรังสี  คัมภีรปัญญาจารย์)
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 07:46:24

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 08:09:34
เรื่องของคุณแม่ชีพิมพา  วงศาอุดม 

        ดิฉันเกิดวันพฤหัสบดี เดือน 4 ปีชวด พ.ศ. 2455 
ณ บ้านหนองกอง  อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย  
บิดาชื่อ ลี  มารดาชื่อ มาด  ตาชื่อ สิงห์  
ยายชื่อเฟื้อย  คนทั่วไปเรียกว่า หม่อมเฟื้อย  
ภูมิลำเนาอยู่ที่ไหนไม่ปรากฎ  
ทราบแต่ว่ายายเคยอยู่ที่ประจันตคาม  จังหวัดปราจีนบุรี  
ถูกทหารไทยกวาดต้อนมาแต่รัชกาลที่ 3  
ภายหลังพระยาศรีธรรมาโศกราช 
(เป็นชื่อเจ้าเมืองฝรั่งแต่งตั้งให้มีหลายคน)  เจ้าเมืองเวียงจันทน์  
ฝรั่งให้เกลี้ยกล่อมมารับครอบครัวยาย
พร้อมด้วยญาติพี่น้องหลายครอบครัวกลับไปอยู่ที่นครเวียงจันทน์  
ก่อนอพยพไป  ยายได้น้อมเกล้าฯ ถวายช้าง
แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2 เชือก  
ยายมีลูกสาว 2 คนแค่นั้น  ลูกชายไม่มีเลย  มีแต่แม่กับน้าเท่านั้น  
น้าก็มีสามีฝรั่ง  ส่วนแม่ก็แต่งงานกับพ่อ  ยายก็มีความสุขดี 

        พ่อมีภูมิลำเนาอยู่อำเภอท่าบ่อ  จังหวัดหนองคาย  
แต่ไปมีอาชีพทำนาที่เวียงจันทน์ 
หลังจากแต่งงานกับแม่ที่เวียงจันทน์แล้ว  
ทำนาไม่ได้ผลเพราะน้ำท่วมทุกปี  
พ่อก็พาแม่ข้ามโขงมาทำไร่ที่บ้านหนองกอง  
แม่มีลูกสาว 3 คน  ด้วยกัน คนที่หนึ่งชื่อปทุมมา  
คนที่สองชื่อจันลา  คนที่สามชื่อพิมพา  ดิฉันนี้แหละ 

        ดิฉันเกิดมาได้ 3 เดือน  แม่ก็ตาย  
พ่อก็พาลูกทั้ง 3 คนข้ามไปเวียงจันทน์อีก  
ไปให้ยายที่เวียงจันทน์เลี้ยงไว้  เสร็จแล้วพ่อก็กลับหนองกองแล้วไม่กลับมาอีก  
ต่อมาตาและน้าเขยก็ตายลงในเวลาใกล้ๆ กัน  
ขณะนั้นพี่สาวทั้ง 2 คนได้แต่งงานและแยกย้ายไปอยู่ที่ท่าแขกและปากเซ 
คงเหลือดิฉันคนเดียวต้องรับภาระเลี้ยงดูยายและน้าสาวตามลำพัง 
น้าก็เป็นแม่หม้ายไม่มีลูก  เงินทองก็ไม่มี  
ยายมีหลานชายเป็นเจ้าเมืองเวียงจันทน์  
หลานชายได้เกื้อกูลอุดหนุนยายเสมอ  
ยายจึงพอเลี้ยงหลานทั้งสามคนได้ 
พอดิฉันอายุประมาณ 12 ปี  ญาติพี่น้องเขาก็มาจ้างให้เลี้ยงลูกเขา  
เขาให้แต่ข้าวเปลือก  อาหารหาเอาเอง 
พอโตขึ้นเป็นสาวพอทำงานได้เขาก็จ้างไปทำงาน  
ส่วนมากก็เป็นงานรับจ้างสักแต่ว่าใครจะจ้างให้ทำอะไร  
ดิฉันทำทุกอย่าง  รับจ้างทำไร่  ช่วยถากถางป่า  
ช่วยปลูกและเก็บพืชผล  
ถึงฤดูทำนา  ก็รับจ้างตกกล้า ดำนา เก็บเกี่ยวข้าว หวดข้าว สีข้าว ตำข้าว  
ดิฉันทำงานด้วยความมานะอดทน  ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบาก  
เขาสงสารให้ข้าวเปลือกมากกว่าคนอื่น
ได้ข้าวเปลือกประมาณร้อยกว่ากระบุงต่อปี  
นาของดิฉันก็มีอยู่  ที่ดินกว้างขวางแต่ไม่มีคนทำเพราะน้ำท่วมทุกปี  
นอกจากนั้นดิฉันยังไปรับจ้างเลี้ยงเด็กได้เงินเล็กๆ น้อยๆ  
พอเลี้ยงกันได้ 3 ชีวิต  มีความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส 

        พอดิฉันอายุประมาณ 16 - 17 ปี  
ก็มีคนมาสู่ขอมากราย  ล้วนแต่มีฐานะดี  
เราก็พิจารณาดูว่าเขาเป็นคนมั่งมีแต่เราเป็นคนจน  
เราก็คิดว่าเขาจะเหยียดหยาม  จึงไม่ตัดสินใจรับคำขอแต่งงาน  
มีคนมาสนใจเราเสมอ  เพราะว่าเราขยัน  ถ้าเราไม่ขยันก็ไม่มีใช้  
ต่อมามีคนหนึ่งชื่อ ขุนภักดี เป็นเศรษฐี  เขาไม่ต้องทำนากินแต่ดอกเบี้ย  
และแต่ก่อนก็ไม่มีใครจะรวยเหมือนเขาเลย  
เศรษฐีผู้นี้เขามาเลี้ยงม้าอยู่ที่สวนเรา  เขาก็มาสนใจเรา  
แต่เราไม่รู้เรื่องเศรษฐีผู้นี้มาขอเราเป็นลูกสะใภ้เขา  
เขาพูดว่าให้เราพูดเอาเองว่าตกลงจะแต่งงานกับลูกเขา  
จะเรียกร้องเท่าไรเขาไม่ว่า  
ญาติพี่น้องฝ่ายเราก็ดีใจกันใหญ่ว่าเรามีบุญมาก จะได้นั่งกองเงินกองทอง  
เราก็มองดูอยู่ 3 - 4 วัน  เราเองก็อยากทราบว่า
ตระกูลของผู้ที่เราจะเข้าไปอยู่ร่วมด้วยนั้นมีความเป็นอยู่อย่างไร  
อาหารการกินและสิ่งของที่เขาจะนำไปทำบุญทำทานจะวิเศษสักเพียงไหน  
วันหนึ่งก่อนวันพระ  ดิฉันแอบตามไปดูแม่เขาจ่ายตลาด 
เดินตามไปดูห่างๆ  เห็นเขาไปที่ร้านขายเนื้อ
หยิบของเศษๆ ที่เจ้าของเขาทิ้งแล้วใส่ตะกร้า 
ต่อจากนั้นก็ไปร้านขายหมู ขายปลาตามลำดับ  ทำเช่นเดียวกัน  
ได้ของเต็มตะกร้าโดยไม่เสียเงินเลยสักสตางค์เดียว  
ดิฉันตัดสินใจในขณะนั้นทันทีว่า  ไม่เอาแล้วคนรวยอย่างนี้  
ลูกชายคงตระหนี่เหนียวแน่นเหมือนแม่  
ถ้าเราซื้อของดีๆ มากินหรือทำบุญทำทาน 
เขาคงชี้หน้าด่าว่า  "อีขี้ทุกข์ มึงใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอย่างนี้จึงทุกข์ยาก"  

พอมาถึงบ้านญาติพี่น้องก็เรียกมาถามให้เราตกลงในวันนี้  
เราก็ตอบว่าไม่เอาเด็ดขาดเลย  
เขาก็ด่าว่าขู่เข็ญเรา ถ้าไม่ฟังคำอบรมของญาติพี่น้องแล้ว  
ถ้ามึงจะตายกูจะปล่อยให้แร้งแก่เอามึงไปกินทั้งกระดูกไม่ให้คนเก็บศพเลย 
เราก็ตอบว่าแล้วแต่จะเป็นไปไม่อยากนั่งกองเงินกองทองของใครทั้งหมด 
ญาติพี่น้องเมื่อได้ทราบว่าดิฉันตัดสินใจว่าคนอย่างนี้ไม่เอาแล้ว
 จึงโกรธเคืองดิฉันมาก  ถึงกับตัดเป็นลูกเป็นหลานกันไป  
ไม่มีใครทักทายปราศรัย  พากันเมินหน้าหนี เหมือนตัวคนเดียว  
ดิฉันคิดว่าใครไม่ดูไม่แลก็แล้วไป  
เราหากินเองไม่มีใครจะมาช่วยหาให้เรากินหรอก 

เลือกหาคนดีเป็นคู่ครอง 

        ต่อมามีคนมาสู่ขออีกเรื่อยๆ หลายราย  
ฐานะดีทุกรายแต่ไม่ตกลงกับใคร  
ใจคิดจะเลือกหาคนดี มีศีลธรรม 
จะทุกข์ยากอย่างไรก็ช่าง  ขอแต่ให้มีน้ำใจดี  
จนกระทั่งอายุได้ 20 ปี 
มีหนุ่มบ้านเดียวกันชื่อ ขิ้ม วงศาอุดม อายุ 22 ปี  
เป็นคนผิวคล้ำ ต่ำเตี้ย  เคยมาเที่ยวเล่นที่บ้านกับเพื่อนๆ เป็นประจำ 
สังเกตดูกิริยาวาจาเวลาพูดเล่นหัวกับเพื่อนเป็นคนอารมณ์ดี น้ำใจดี  
เรามองดูกิริยาท่าทางเขาเป็นคนดี  
พ่อของเขาก็เป็นสารวัตร  เราก็มาคิดว่า
พ่อแม่ของเขามีศีลธรรมประจำใจ  
คิดว่าถึงทุกข์จนสักเท่าไร  ถ้าผัวเมียถูกต้องกันแล้ว  
มันก็มีแต่ความสุขความเจริญขึ้นทุกวัน  

พ่อแม่เขาก็บริบูรณ์ทุกอย่างแต่ไม่เหมือนกับคนขี้เหนียวนั้น 
เขาก็ไปรักษาศีลภาวนาทุกวัน  
พิจารณาดูแล้วมันก็ถูกใจเราพอดี  พอเป็นแฟนได้  
แต่แม่ของเขาปากจัดมากเขาให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอ  
รุ่งเช้าพวกญาติพี่น้องของดิฉันมาถามแบบประชด ว่า 
"จะเอาไหม อีมึนดื้อ อีขี้ทุกข์ ตกลงไหมรายนี้"  
ดิฉันตอบว่า  "เออ ตกลง"  
ญาติก็ว่า  "คนที่จะเป็นย่า (แม่ผัว) มึงปากจัดมากนะ"  
ดิฉันมาคิดดูว่า  จัดก็จัด ปากเขา เราไม่ทำผิดเขาจะเอาเรื่องอะไรมาด่า  
คิดอย่างนี้  จึงตกลงใจแต่งงาน  
น้าสาวก็แต่งงานใหม่ในเวลาใกล้ๆ กัน 
แต่งงานแล้ว ปู่ ย่า (พ่อผัว แม่ผัว) ก็มาขอไปอยู่บ้านสามี 
ดิฉันจึงย้ายไปอยู่บ้านพ่อแม่ของสามี 
โบราณท่านว่า  
ตัดผมผิด คิดไม่หาย ปลูกเรือนผิด 
คิดจนสลาย เอาคู่ครองผิด คิดจนวันตาย 
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 08:09:34

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ ธีรชัย วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 08:10:34
ขอบพระคุณครับ _/\_
โดยคุณ ธีรชัย วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 08:10:34

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ dolphin วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 08:19:35
ขอบพระคุณ พี่ปราโมทย์มากค่ะ^)^
อ่านแล้วเป็นการเสริมเพิ่มกำลังใจได้เป็นอย่างดีค่ะ
สำหรับการปฏิบัติธรรมในหมู่อุบาสิกา
บางที การปฏิบัติธรรมของผู้ปฏิบัติหญิง
ดูออกจะเป็นไปได้ยากกว่า
เมื่อเทียบกับเพศชายนะค่ะ
แต่ถ้าผ่านด่านแรกตรงนี้ได้ ก็มีโอกาสที่จะไปพบ
กับด่านที่สอง และต่อๆ ไป
    ส่วนมากอุบาสิกา มักจะคิดในเรื่องของการมีครอบครัว
ซะก่อน ค่ะ(เท่าที่ประสบมากับคนรอบข้างนะค่ะ)
    ส่วนใหญ่แล้ว ก็คงคิดว่าถ้าไม่มีครอบครัว แล้ว แก่ชรา
ไปก็ต้องลำบากไม่มีใครดูแล  ไม่มีใครเลี้ยงดู
      ซึ่งความคิดนี้  โบว์ก็เคยคิดเหมือนกันค่ะ(แม้ตอนนี้
บางครั้งจิตฟุ้งก็คิดเหมือนกันค่ะ) 
     เมื่อคิดแล้วจึงเกิดอารมณ์กลัว เป็นลูกโซ่ตามมาค่ะ
     แต่พอมีสติ ขึ้นมาว่าเรากำลังฟุ้งซ่านอยู่  และธรรมะ
เริ่มขับไล่กิเลสที่มาครอบคลุมกับจิตอยู่ ความกลัวก็หายไปค่ะ
   สิ่งที่เกิดขึ้นแทนก็คือความแน่วแน่ ตั้งมั่น ในการปฏิบัติต่อไป   คิดว่า "อะไรจะเกิดก็คือสิ่งที่ต้องเผชิญต่อไป  ไว้ให้
เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆขึ้นก่อน แล้วค่อยตั้งสติใช้ปัญญา
แก้ไขไปแล้วกัน เพราะยังไงเสียก็ยังมีพระธรรม เป็นที่พึ่ง"

   ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ ^)^

โดยคุณ dolphin วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 08:19:35

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 08:44:26
ชีวิตการครองเรือน  

        พวกเพื่อนๆ ชวนไปดูหมอดู 
หมอทายเพื่อนทุกคนรวยหมด ดิฉันจนคนเดียว มีบ้านไม่พอหลัง 
คำทำนายนี้เสียดแทงเข้าไปในหัวใจเหลือเกิน 
ทำไมหนอคนจนแล้วจนอีกไม่จบไม่สิ้น 
จึงคิดจะลองเสี่ยงวาสนาดู 
เราพิจารณว่าเขามั่งมีศรีสุขกันด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขา 
เราคิดว่าเราจะลองทำงานเหมือนเขา 
เมื่อคิดแล้วก็พูดกับปู่ย่าว่า 
ลูกอยากจะลองดูว่า บุญวาสนาของลูกจะมีไหม 
ถ้าลูกทำมาหากินส่วนตัวกับสามีจนหมดความสามารถแล้ว 
ถ้าไม่มีวาสนาจะกลับมาอยู่กับพ่อแม่อีก 
ปู่ย่าไม่อยากให้ไปเลย  เราก็อ้อนวอนอยู่อย่างนั้น จนปู่ย่าอนุญาต 

        จึงแยกย้ายไปทำมาหากินตามลำพัง 2 คน 
ปลูกกระต๊อบหลังเล็กๆ เสาไม้ไผ่  หลังคามุงหญ้า 
ตั้งหน้าทำมาหากินด้วยความขยันหมั่นเพียรอย่างที่สุด 
ไม่ยอมให้มีเวลาว่าง ถึงหน้านา ทำไร่ทำนา 
ว่างจากทำนาไปซื้อข้าวเปลือกมาตำขาย 
ขายทั้งข้าวเปลือกข้าวสาร ทำขนมต่างๆ ขายตามฤดูกาล 
ถึงหน้าน้ำหลากพายเรือไปหาปลา 
หาได้มากทำเป็นปลาร้าไว้ขายปีละหลายๆ โอ่ง 
ในที่สุดก็สร้างบ้านดีๆ ได้หลังหนึ่ง  ต่อมามีคนมาขอซื้อจึงขายไป 
แล้วไปปลูกใหม่ สวยงามกว่าเก่า 

        แต่งงานได้ 10 ปียังไม่มีลูก  ตั้งแต่แต่งงานใหม่ๆ 
ปู่ (พ่อผัว) เตือนให้ไปจำศีล  เราสองคนไปจำศีลวันพระทุกวันพระ 
ที่วัดหนองปลาในไม่เคยขาดสักครั้งเดียว 
แล้วก็ชวนคนอื่นๆ เขาไปกันบ้าง เริ่มต้นเพียง 5 - 6 คน 
ต่อมามีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีถึง 70 - 80 คน 
มีดิฉันคนเดียวเป็นผู้อบรมสั่งสอน 
ตนเองไม่รู้อะไรมาก  มีแต่พุทโธอย่างเดียว 
เตือนเขาไม่ให้พูดเรื่องทางบ้าน เรื่องลูก เรื่องหลาน ให้สวดมนต์ภาวนา 
ต่อมาคิดว่าบุญเพียงเท่านี้พอหรือ  เพราะเรายังฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่ 
คิดอยู่อย่างนี้ถึง 13 ปี  จึงสละบ้านเรือนออกบวช 
เชื่อหมอดูหมอเดาไม่เข้าท่า 
เชื่อกรรมเชื่อผลของกรรมเป็นของแน่นอนกว่า
 

อธิษฐานขอลูก 

        ดิฉันมีสุขภาพไม่ค่อยดี  เป็นลมบ่อยๆ  ผู้เฒ่าผู้แก่แนะนำให้มีลูก 
บอกว่าหลังจากคลอดลูกแล้วโรคต่างๆ จะหายไป 
เพราะเลือดที่เป็นพิษต่อร่างกายจะขับถ่ายออก 
ดังนั้นพอถึงวันพระ ดิฉันจึงแต่ง ขันธ์5 ขันธ์8 
(เทียน 5 คู่ ดอกไม้ 5 คู่ เรียกว่าขันธ์5 
ขันธ์8 ก็อย่างเดียวกัน  ต้องใช้สิ่งของ 8 คู่ จึงเรียกว่า ขันธ์8) 
อธิษฐานขอให้ข้าพเจ้าขอให้อยู่มีลูก 
และพร้อมกันนั้นก็ขอให้อยู่เป็นสุขสบาย  เจริญเติบโตขึ้น 
ต่อมาไม่นานก็มีลูกสมความปรารถนาจริง 
เมื่ออายุได้ 31 ปี  แต่ลูกอยู่ได้ไม่นานก็ตายจากไป 

       ความรักลูกรักดั่งดวงใจ  
สามีก็รักลูกมากเช่นเดียวกัน พอลูกร้องไห้ก็ทนไม่ได้  
บ่นว่าเราหยาบๆ คายๆ มึงๆ กูๆ เสียดแทงหัวใจนัก  
อยู่ด้วยกันมา 10 กว่าปีไม่เคยพูดคำหยาบช้า 
เมื่อมีลูกแล้วทำไมจึงพูดเช่นนี้  คิดเบื่อขึ้นมาทันที  
ถ้าอยู่ด้วยกันเขาคงพูดอย่างนี้อีกเรื่อยๆ 
คิดพลางเดินมารับลูก  
ต่างฝ่ายต่างใจไม่ดีหน้าบึ้งหน้างอทำกิริยาไม่ดีต่อกันเลย  
คิดว่าลูกเป็นต้นเหตุให้แตกสามัคคี  
ลูกจะนำไปสวรรค์นิพพานได้หรือ

ขณะให้ลูกดูดนม  ได้เห็นหน้าลูกเกิดใหม่แล้ว  
ได้คำนึงขึ้นว่า ลูกนี้หนอจะเป็นเครื่องผูกคอ
(วิสัยปราชญ์ ท่านย่อมเห็นแบบปราชญ์
คำว่าเครื่องผูกคอ ก็คือ ราหุลนั่นเอง - ปราโมทย์)
ลูกดูเหมือนจะรู้ความมองหน้า แล้วยิ้ม  
ไม่นานอายุลูกได้ 4 เดือนเศษลูกก็ตาย (ลูกผู้หญิง) 

        ด้วยความรักลูกทำให้คิดถึงความรักของพ่อแม่  
พ่อแม่รักลูกไม่มีสิ่งใดเทียบเท่า  
ความรักสามียังเปลี่ยนแปลงไปได้  พอเบื่อหน่ายก็ทอดทิ้ง
  
ขืนอยู่ด้วยกันต่อไปคงมีลูกอีก  
ถ้าคลอดไม่ได้เราจะตายคนเดียว  เขาไม่ตายด้วย  
เราคลอดออกมาแล้วเราก็ทุกข์อีก  ต้องเลี้ยงดูอดหลับอดนอน 
อดอาหารเปรี้ยวหวานเค็มเพราะกลัวโทษจะเกิดแก่ตนและลูก  
ส่วนสามีเราสบาย เราทุกข์คนเดียว 
หวนกลับมาคิดถึงแม่ย่าบอกว่า แม่ตายเพราะกินของผิดสำแดง 
มาคิดเห็นโทษของตนเองถ้าเราไม่เกิดแม่คงไม่ตาย  
ทำอย่างไรหนอจึงจะทดแทนบุญคุณพ่อแม่ได้
อาจารย์บอกว่า  การบวชเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ที่ดีที่สุด  
จึงชักชวนสามีบวชแต่เขาก็ไม่ยอม 
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 08:44:26

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ โจโจ้ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 08:54:55
ขอบคุณมากครับ รออ่านช่วงต่อไปครับ
ดีมากเลยครับกับการได้ทราบประวัติท่านบ้างก่อนไปกราบท่าน =)
โดยคุณ โจโจ้ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 08:54:55

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 09:18:15
ออกบวชทั้งสองคน

        อีก 2 ปีต่อมา  แม่ชีญาติของสามีอุดรฯ ไปเยี่ยม (เรียกเขาว่าย่า)  
ใจอยากออกไปบวชกับย่า  จึงบอกให้สามีแต่งงานกับหญิงคนใหม่
สามีรักดิฉันมากเมื่อได้ฟังดิฉันว่าอย่างนั้น ก็ร้องไห้
และพูดว่า "ชาตินี้ไม่ขอเป็นใจสอง"  
ดิฉันตอบเขาว่า  "พี่โกหกน้อง ถ้าพี่ใจเดียว น้องอยากบวชพี่ต้องออกบวชด้วย" 
เขาไม่ตอบเอาแต่ร้องไห้  
ก็ถามเขาอีกว่า  "ร้องไห้ทำไม ติดข้องอะไรหรือ 
สิ่งของต่างๆ ที่เรามีอยู่ก็ยกให้เป็นทานให้หมด  
ไม่ต้องขายสักอย่างเดียว ไปเถิด ไปบวชด้วยกัน"  
เขาตอบว่า  "รีบบวชทำไมยังไม่แก่  แก่แล้วค่อยไปวัดจึงจะถูก" 
ถามเขาว่า  "คนหนุ่มคาอะไร ข้องอะไร ข้องผู้หญิงข้องผู้ชายหรือ  
สิ้นลมแล้ว  ผู้หญิงผู้ชาย มีที่ไหน  มีแต่สิ่งปฏิกูลโสโครก  
กำหนัดยินดีอะไรกับรูปผู้หญิง  
คิดดูเวลามีลมหายใจ รักกันกอดกัน   สมมุติว่าผู้หญิงผู้ชาย  
สิ้นลมแล้วมีแต่สิ่งสกปรกบูดเน่า  ไม่น่ารักน่าชม 
ความตายมันบอกไหมว่ามันจะมาถึงเราเมื่อไร  
ดูแต่อาทำนายังไม่ทันเสร็จลูกยังไม่ทันโต 
ตอนกลางวันกินด้วยกันอยู่ที่นา  เป็นอหิวาต์ 
ตอนเย็นตายเอาฟากเสื่อห่อไปฝัง  ยังไม่ทันได้กลับบ้าน  
มีบ้านตั้ง 2 หลัง 3 หลัง ยังไม่ได้นอนตายก่อน  
เราเองก็เหมือนกันพูดกันอยู่นี่ ดีๆ 
เดี๋ยวนี้กลับไปนอนอาเจียน 2 - 3 ครั้ง  ก็เอาฟากเสื่อห่อไปฝังแล้ว  
จะรอให้แก่ทำไม น้องกลัวจะตายเสียก่อนไม่ทันได้บวช  
เพราะคนหนุ่มก็ตายคนแก่ก็ตาย  ไม่มองดูหรือตายตั้งแต่ยังอยู่ในท้องก็มี  
ถ้าพี่ตายก่อนน้องจะอยู่กับใคร  ไม่มีแผ่นดินจะอยู่แล้ว  
ไปนะไป บวชด้วยกัน"
  
พูดกันอยู่ 3 วัน  เขาจึงตกลงแล้วพากันเอาเรือนไปมอบถวายวัดหนองปลาใน 
ส่วนของนอกนั้นก็ให้ญาติบ้างตามสมควรแก่ผู้มีคุณมากหรือน้อย  
ส่วนตัวเองเอาแต่ของจำเป็นเพื่อไปใช้ในการบวชเล็กน้อย  
เพื่อให้หมดห่วงออกบวชเมื่ออายุได้ 33 ปี 

ข้ามฝั่งโขงไปบวชที่จังหวัดอุดรธานี

        ตั้งใจไปบวชไกลๆ  เพราะไม่อยากเห็นสิ่งของบ้านช่องวัวควาย  
กลัวใจจะกลับกลอกวนเวียน
ตกลงเราก็ไปลากับอาจารย์อ่อนศรี  
อาจารย์อ่อนศรีพูดว่า  "ให้โยมผู้ชายอยู่กับอาตมา"  
เราก็พูดกับสามีว่า เราจะไปอยู่กับย่า  (แม่ชีญาติของสามี)  แล้วเราก็ลงจากศาลา 
ฝ่ายสามีก็กลับใจใหม่ว่าจะไปด้วยกัน  
อาจารย์ก็ตกตะลึง  พูดขึ้นว่า  
ถ้าไปด้วยกันก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันนะ  อยู่ด้วยกันคนละที่  
โยมผู้ชายไปอยู่กับอาจารย์  โยมผู้หญิงไปอยู่กับแม่ชี 
สามีก็ตอบว่า  ก็ช่าง  จะข้ามโขงไปด้วยกัน  
เมื่อมาถึงบ้านปู่ (พ่อของสามี)  พอดีลูกสาวปู่คนสุดท้องตายลง  
ปู่ก็เลี้ยงหลานกำพร้าอยู่  ปู่ชวนเราให้เลี้ยงหลาน  
แต่เราตอบว่าเราจะไปอุดร  จะไปบวช  ถ้ากลัวผีอยู่ก็คงไม่บวช  
ปู่จึงพูดว่า  ถ้าลูกจะไปทางดีพ่อไม่ห้าม  
เวลานี้เหมือนลูกพ่อตายไปสามคน  แต่สองคนนี้บุญคงเจอกันอีก  
ขณะนั้นจิตของเราเหมือนฟ้าจะทับดิน  
มันมืดไปหมดสงสารปู่ต้องมาเลี้ยงหลานกำพร้า  
แต่ความอยากบวชมากกว่า 

        เมื่อเราคิดถึง ศีล สมาธิ ปัญญาอย่างแท้จริงแล้ว  
เราก็ข้ามโขงมา  อ.ศรีเชียงใหม่  
เราคิดถึงอดีตเหมือนเราออกจากกรงขังมาแล้ว  
ระหว่างข้ามเรือใจเป็นทุกข์กลัวสามีกลับใจไม่ยอมบวช 
ถ้าเขาไม่บวช  เราก็จะบวชคนเดียวได้อย่างไร  เราเป็นสิทธิ์ของเขา  
ถ้าเขาบอกให้เราสึกเราก็ต้องสึก  
คิดวิตกอยู่เรื่องเดียวเท่านั้น  
พอเรือถึงฝั่งโขงด้านท่าบ่อ  โล่งอก  เราพ้นทุกข์ครั้งที่ 1 แล้ว  
ยกมือขึ้นตั้งสัจอธิษฐาน  
ขอผลศีลธรรมคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  
ขอให้เขาได้บวชเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าเถิด  
คืนแรกพักอยู่ที่บ้านลุงปลัดศรีสมุทร  ปลัดอำเภอท่าบ่อ  
เขาก็เรียกเราไปทานข้าวเย็น  เราก็ไม่ทาน เราไม่อยาก 
มีความอัดอั้น ตันใจอยู่เสมอ  กลัวว่าสามีของเราจะกลับใจใหม่ไม่บวช  
ลุงก็ว่าอย่าเพิ่งไป  ยังหนุ่มยังแน่นอยู่  เราก็ยิ่งกลัวเขาจะกลับใจ 
รุ่งขึ้นเราก็ลงเรือไปหนองคาย  พักบ้านปลัดสอน ทนายความญาติของสามี  
พักอยู่ที่นั้นคืนหนึ่งแล้วต่อไปอุดรฯ  
พักบ้านนายกเทศมนตรีจวงจันทร์ เป็นคนดี มีศีลมีธรรม
 ท่านพูดให้กำลังใจว่า  ดีแล้ว เราบวชตั้งแต่ยังหนุ่ม
อานิสงส์แรง ลุงขออนุโมทนาด้วย  เราฟังแล้วรู้สึกอิ่มเอิบเบิกบาน  
ลุงปวารณารับเป็นอุปัฏฐากจะช่วยเหลือทุกอย่าง 
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 09:18:15

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 09:29:27
วันนี้อ่านเท่านี้ก่อนก็แล้วกันนะครับ
โพสต์มากนักก็จะอ่านกันไม่ทัน
แล้วบางคนก็จะใช้วิธี save ไว้อ่านวันหลัง
ซึ่งยากนักที่จะได้กลับมาอ่านจริง

เรื่องราวในตอนต่อไป เป็นเรื่องการผจญภัยในชีวิตนักบวชของท่าน
บางอย่าง ผู้หญิงเพื่อนพ้องของเราที่คิดจะปฏิบัติธรรมจริงจังอยู่ตามวัด
ก็จะต้องผจญอย่างที่ท่านผจญมาแล้ว
คือการผจญกับเจ้าแม่ในวัด และโจรผู้ร้ายปล้นฆ่าข่มขืน
บางอย่างคงหาผจญได้ยากสักหน่อยในยุคนี้
เช่นเสือใหญ่ งูยักษ์หัวเท่าชามอ่าง เลื้อยทีหนึ่งต้นไม้ล้ม
ตลอดจนภูติผีปีศาจทั้งหลาย
สิ่งสำคัญกว่าความสนุกตื่นเต้นก็คือ บทเรียนที่่ว่า
ท่านใช้คุณธรรมอย่างไร จึงผ่านพ้นอุปสรรคเหล่านั้นมาได้
รวมทั้งท่านปฏิบัติอย่างไร จึงเป็นที่เคารพนับถือ
ทั้งในหมู่พระเณร พระบรมราชวงศ์ ตลอดจนชาวบ้านร้านถิ่น
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 09:29:27

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ Acura วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 10:20:44
สาธุ สาธุ สาธุ (_/|\_)
ขออนุโมทนากับผลบุญของกระทู้นี้ที่เกิดแก่ผู้ปฏิบิตืทั้งหลายด้วยเทอญ
โดยคุณ Acura วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 10:20:44

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ นิพ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 10:28:29
สาธุครับ _/I\_  การได้อ่านประวัติของผู้ปฎิบัติธรรมที่จริงจัง
ทำให้รู้สึกมีกำลังใจในการปฎิบัติมากครับ
โดยคุณ นิพ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 10:28:29

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ ดังตฤณ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 12:31:28
เอ กะให้เขาหิ้วปีกไปนะครับ
เพราะทราบมาว่าต้องบุกป่าฝ่าเขาพอควร
เดินๆขึ้นเขาอาจเป็นลมล้มพับให้พรรคพวกลำบากก็ได้ ใครไปด้วยกันเตรียมใจออกแรงไว้หน่อยก็ดี :-)
โดยคุณ ดังตฤณ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 12:31:28

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 12:54:57
คุณดังตฤณ หนุ่มกว่าผมสิบกว่าปี
เมื่อผมไปไหว ก็น่าจะไปไหวเหมือนกัน
อีกอย่างหนึ่ง รถแทบจะเข้าถึงกุฏิของท่าน
ไม่ต้องขึ้นเขาลงห้วยหรอกครับ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 12:54:57

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ หนึ่ง วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 15:17:11
ขอบพระคุณมากครับ _/|\_
โดยคุณ หนึ่ง วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 15:17:11

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ กระต่าย วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 17:16:28
สาธุ ขอบพระคุณค่ะคุณอา
ที่ได้กรุณาpost ประวัติของท่านให้ได้อ่านก่อนไปพบท่าน

นี่เตรียมตัวลุยเต็มที่เหมือนกัน
เห็นพี่ดังตฤณว่าต้องบุกป่าผ่าดงด้วย :-)
โดยคุณ กระต่าย วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 17:16:28

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 19:33:16
ประวัติของท่านยังอีกยาว ขยันอ่านหน่อยก็แล้วกันครับ

*************************************

ผจญกับความกลัวสุดขีด 

        พักอยู่คืนหนึ่ง  ก็ออกจากบ้านลุงไปวัดโนนนิเวศ จังหวัดอุดรธานี 
พักกับแม่ชีดี ญาติของสามี  ซึ่งเราเรียกว่าย่าที่กุฎิแม่ชีลอย 
เจ้าของกุฎิเพิ่งตายใหม่ๆ  ได้ยินเจ๊กคนหนึ่งพูดว่า 
เมื่อคืนแม่ลอยมาหลอกไม่ได้นอนทั้งคืน 
ตกใจมากจะทำอย่างไรดี 
แม่ชีดี พาสามีไปหาอาจารย์กู่  เราก็อยู่กุฎิคนเดียว 
พอดีมืด เรายิ่งกลัวมากเกือบจะอยู่ไม่ได้ 
ก็ได้ยินเสียงดังขลุกขลักๆ อยู่บนหลังคากุฎิ  คิดว่าแม่ลอยมาแล้ว 
กลัวจนตัวสั่นกระโดดลงมายืนสั่นอยู่ข้างล่าง 
อยากจะวิ่งไปหาคุณย่าที่วัด  แต่ไม่กล้า  กลัวถูกดุ 
แข็งใจกลับขึ้นไปกุฎิมีเสียงดังอีก 
คว้าได้ไม้คานกระทุ้งหลังคาสังกะสีเต็มแรง  ตุ๊กแกตัวใหญ่ตกลงมา 
นี่หรือแม่ลอยมา  เจ๊กใส่โทษแม่ลอย 
แม่ลอยตายแล้วไม่ดีทั้งนั้น  ใครๆ ก็ใส่โทษแต่คนตาย 
แล้วว่าเป็นผี  ผีตายแล้วไปหลอกเขา
 
เรานั่งพิจารณาตุ๊กแกอยู่  มันไม่ใช่แม่ลอย  ตุ๊กแกตัวนี้จริงๆ นะ 
จิตค่อยอุ่นขึ้นมา  หายหนาวสั่น 

        ต่อมาย่าบอกให้ไปเดินจงกรม 
โอ้ย ขนหัวลุกซู่ ค่อยขยับทีละน้อยๆ ไม่อยากไป 
ย่าโกรธดุขึ้นว่า  ทำอย่างนี้ข้าไม่เอาเจ้าข้ามแม่น้ำโขงให้เสียหน้าเสียตา 
ย่าบ่นอย่างนั้น อย่างนี้ไปต่างๆ นานา 
เรายืนแอบเสาก้าวขาไม่ออก 
จิตก็คิดว่า  รู้ว่าเขากลัว  ทำไมไม่ออกมานั่งเป็นเพื่อนข้างนอกให้เขาอุ่นใจ 
หนีเถอะ หนีไปที่ป่าช้า ไปตายเสียคนเดียว อย่าอยู่เลย
 
(จุดนี้หมายความว่า ท่านกลัวที่ไหน ก็ไปต่อสู้ที่นั่น - ปราโมทย์) 
กลัวมากที่สุด ไม่กล้าลืมตา ค่อยๆ เดินไปหลับตาไป 
เดินเข้ารกเข้าพงก็หรี่ตาน้อยๆ แล้วรีบหลับตาอีก 
เดินไปจนสุดทางจงกรม  จะกลับไม่กล้า 
จะเดินก็ไม่ได้  จะวิ่งก็กลัวผีตาม 
พุทโธไม่มีไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ 
ตัวสั่นเสื้อผ้าเปียกชุ่มโชก  ไม่รู้เหงื่อมาจากไหน 
เดินไม่ได้ก็ไม่เดิน  นั่งตายเสีย ณ ที่นี้ 
จิตบอก "อย่าวิ่งนะจะเป็นบ้า อย่าวิ่งเป็นอันขาด" 
ลงนั่งสั่นงกๆ งันๆ 

(ฝากให้พวกเราสังเกตด้วยนะครับ 
คืออ่านประวัติท่าน จะพบบ่อยๆ ว่า 
จิตของท่านจะมีลักษณะคนหนึ่งเกิดปัญหา คนหนึ่งให้ปัญญาแก้ไข 
คนหนึ่งตั้งคำถาม คนหนึ่งตอบคำถาม 
อันนี้ไม่ใช่การคิดๆ เอาด้วยเหตุผลอย่างธรรมดาๆ 
แต่เป็นสภาพที่จิตแสดงธรรมออกมาสอนตนเอง - ปราโมทย์) 

        แล้วมาพิจารณาดูว่า เราเหนื่อยมากอย่างนี้มันจะตายอยู่แล้ว 
ถ้าหมดลมก็เป็นผีเหมือนเขา  เขาว่าผีหลอก เขาโทษเจ้า 
ผู้หนึ่งว่าจะกลัวทำไม  เวลามีลมทำไมเรียกว่าคน 
หมดลมแล้วทำไมเรียกว่าผี 
คนหนึ่งตอบขึ้นมาว่า  นั่นแหละเรื่องของโลกเป็นอย่างนั้น 
มันหลงอย่างนั้น  นี่เราหลงหรือ  ถ้าหลงจะปฏิบัติธรรมได้หรือ 
ไม่ใช่หลงแต่เจ้าหรอก มันหลงด้วยกันหมดทั้งโลก 

ใจเราค่อยกว้างขึ้นนิดหน่อยว่า  หลงทั้งโลกไม่เป็นแต่เราคนเดียว 
จับเอาคนกับผีมาพิจารณา  มีแต่เรื่องสมมุติ  สมมุติว่าผู้หญิงผู้ชาย 
สมมุติว่าตัวว่าตน  สมมุติว่าญาติ
 
พิจารณาอยู่เพียงสองเรื่อง  ผีหายไปไหนไม่ทราบ 
กลางวันฉันจังหันแล้วไปนั่งพิจารณาอยู่กับโลงผี 
กระดานสำหรับนั่งพิจารณาก็เป็นโลงเก่าของผี 
ฝากั้นก็ของผี  ที่นั่งก็ของผี  ที่นอนก็ของผี  รอบตัวเราก็มีแต่ของผี 
จะไปกลัวมันทำไม  มันก็กลัวละซี 
นั่งภาวนากับหลุมผี  จิตมันกลัวผี  มันก็ค้นเข้าหาผี 
ระมัดระวังตั้งจิตจดจ่ออยู่กับผี  จิตมันไม่ไปไหน  จิตก็ดิ่งลงหาผี 
พิจารณาว่าผีอยู่ที่ไหน  ตายแล้วไปไหน  จิตอยู่กับร่างหรือเฝ้าร่างหรือ 
จิตตอบว่า  ถ้าทำดีก็ไปดี  ถ้าทำชั่วไปตกหม้อนรก 
แล้วมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน 
พิจารณาไปไม่มีอะไร  ผีหายไป
จิตรวมลง จิตแก่กล้าขึ้น ค้นหาเหตุผลเรื่องผี 
จิตสงบ  เวลาจิตถอนขึ้นมาจิตอิ่มเอิบเกิดปิติ ไม่มีผี
 
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 19:33:16

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 19:36:15
        อยู่วัดโนนนิเวศได้ 3 เดือนพอดี  
หลวงพ่อมหาทองสุกมาจากสกลนคร 
เราฝันว่าแม่ชีจันทาบอกให้ไปขอบวช 
รุ่งขึ้นเป็นวันพระ 8 ค่ำ  จึงจัดดอกไม้ธูปเทียนไปขอบวชกับท่าน 
ท่านบวชให้เราแล้วท่านก็มาสกลนคร 
เจ้าคุณธรรมเจดีย์ไปสกลนคร 
ท่านก็นิมนต์หลวงพ่อปลัดทองสุขมาจำพรรษาที่วัดโนนนิเวศอีก  
เมื่อหลวงพ่อปลัดทองสุขเป็นสมภารอยู่วัดโนนนิเวศ 
เราก็อยู่ด้วยกับท่าน 

     เราอยู่กับย่าต้องผจญกับการโกรธและการด่าว่าของย่าเป็นประจำ 
เราก็มาคิดอยู่ในใจของเราว่าเป็นแม่ชีแล้ว 
ทำไมเขามาใช้แต่ความโกรธของเขาประจำวันอย่างนี้ 
อะไรๆ เราทำเสร็จแล้วทุกอย่าง  แต่ยังไม่ทันถามก็มาโกรธเราก่อนอย่างนี้ 
เมื่อเราตอบว่าเสร็จแล้วจึงหยุด 
เราก็ร้องไห้วันละ 3 - 4 ครั้ง ประจำวัน 
แต่คำหยาบช้าลามกกระทบกระแทกแดกดัน 
ด่าว่าก่อนทั้งนั้นจึงถามทุกครั้ง 
คนอื่นเขาเมตตาเขาก็ว่าจะไปฝากอาจารย์มั่น  เราก็ไม่ไป 
เราคิดว่า เราได้มาบวชก็ช่างก็เพราะเขาพามา  เราจึงได้มา 
เราคิดว่าอย่างไรก็ช่าง  เขาฆ่าแล้วก็จะอดทนเอา 
เขาจะด่าเราไปถึงไหนก็แล้วแต่ 
ถ้าว่าน้ำตาเราไหลออกมา ข้าขอถวายคุณของพระพุทธเจ้า 

คิดอย่างนี้อยู่ก็ทนไม่ไหว  ยังร้องไห้อยู่ทุกวัน 
เพราะเราว่าดี ไม่เคยได้ประสบอย่างนี้  มันก็มีแต่ร้องไห้เรื่อยไป 
เพราะเราเจอแต่ของดีมาก่อน  เวลาเราเจอของไม่ดี 
ต้องมีความอดทนต่อสู้กับอารมณ์ที่ไม่ดี 
ต้องมีความอดกลั้นขันติอยู่ในความสงบอย่างแน่วแน่ 
มันก็จะเกิดปัญญาขึ้นมาแก้ไขสิ่งเหล่านี้ออกจากจิตของตนเอง 
ให้มันสว่างแจ่มใสขึ้นมา
 

        ท่านอาจารย์ปลัดทองสุขท่านก็รู้  ท่านเทศนาอบรมอยู่บ่อยๆ 
เรายิ่งกลัวผี  เขาก็ใช้แต่ความโกรธยิ่งขึ้น 
เราก็อยู่กุฎิไม่ได้  อยู่แต่ในป่า  ไปอยู่แต่กับหลุมผี 
ฉันจังหันแล้วก็ไปนั่งอยู่กับหลุมผี  นั่งภาวนาหาแต่ผีอยู่อย่างนั้น 
ไม่ไปทางอดีตและอนาคตเลย  จ้องอยู่กับแต่ผีอย่างเดียว 
หูก็ฟังแต่เสียงผี  ตาก็มองหาแต่ผีอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป 
มองไปตามหลุมผีอยู่เสมอ 
พอบ่าย 3 โมงเย็นก็เลยมาทำกิจวัตรปัดกวาดอาบน้ำ 
แล้วก็ขึ้นไปไหว้พระสวดมนต์ แล้วก็ลงเดินจงกรมอีกอยู่อย่างนั้น  
บางครั้งเดินแล้วก็นั่งสมาธิอยู่ที่ทางจงกรมเลยจนถึง 6 โมงเช้า จิตจึงถอนขึ้นมา
 

ถ้าฝนไม่ตกก็นั่งอยู่ที่ชานกุฎิ จิตของเราก็รวมอยู่ตามเดิม 
ถึงสว่างจึงถอนขึ้นมาทุกที  จิตของเราก็กล้าหาญขึ้นทุกที 
เพราะว่าเราได้สอบจิตของตนแล้วว่า อะไรมันตาย 
ก็ปรากฎว่าพูดกันตามสมมุติ 
พระพุทธเจ้าท่านพูดว่าอย่างไร 
ปรากฎว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่พูดเหมือนปุถุชน 
ท่านพูดว่าธาตุแตก ขันธ์ดับ  ไม่ใช่ว่าคนตายเหมือนคนธรรมดา 
ท่านว่า ธาตุ ก็ธาตุละสิ 
ก็ธาตุลมออกก่อน  ธาตุไฟ ออกตามหลัง 
ก็เหลือแต่ดินกับน้ำผสมกันอยู่  ไม่มีไฟกับลมมันเน่าเปื่อยออกมา 
เราก็คิดว่าไปไหนหนอ 
ผู้หนึ่งก็ตอบว่า 
"จิตมันไปแล้ว  ผู้หนึ่งว่า  มันไปไหน มันตายแล้ว 
ถ้าว่ามันทำดี   มันก็ไปทางดี 
ถ้าว่ามันทำชั่วมันก็ไปทางชั่วกันเท่านั้น 
ไม่มีคน  ไม่มีผี" 
เราก็มาคิดว่า  ถ้าว่าไม่มีคนตายผีตายอยู่นี้  เราจะกลัวไปทำไม 
ถ้าเรากลัวดินกลัวน้ำแล้ว 
เราก็จะเป็นผู้หลงอยู่ในโลกสมมุติอยู่เรื่อยไปไม่สิ้นสุดไปได้เลย 
เราคิดว่าถ้าอย่างนั้น เราไม่ต้องกลัว
 
แต่นั้นมาก็เลยไม่กลัวผีเท่าไร  อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ไม่กลัว 

(ข้อความที่ยกมาข้างต้นนี้ เป็นข้อความที่ท่านเขียนไว้ในหนังสือซึ่งเผยแพร่ทางกว้าง 
เรื่องจริงที่ท่านเล่าให้ผมฟัง เข้มข้นกว่านี้มากครับ 
คือตอนที่ท่านพิจารณาศพในป่าช้านั้น 
ท่านมองทะลุพื้นดิน ทะลุโลงศพแต่ละโลงเข้าไปเห็นศพแต่ละศพภายใน 
ศพที่เพิ่งตายก็ขึ้นเขียว พองไส้น้อยไส้ใหญ่บวมพอง 
ที่ตายนานกว่านั้น ก็มีน้ำเหลืองน้ำหนองทะลักออกปากออกจมูก 
น้ำก็ไปทางหนึ่ง ดินก็ไปทางหนึ่ง 
ไม่มีผีตาย ไม่มีคนตาย มีแต่ธาตุแตกขันธ์ดับ 
นี่ขนาดท่านเพิ่งเริ่มภาวนานะครับ 
ยังมีเครื่องมือเครื่องใช้ประจำองค์ท่านขนาดนี้ - ปราโมทย์) 

        ท่านอาจารย์ปลัดทองสุขท่านก็เทศนาสอนว่า 
ให้ออกวิเวกบ่อยๆ ตามป่าตามดง 
เราก็คิดว่าท่านจะให้เราไปอยู่ที่ไหนหนอ 
ถ้าท่านบอกให้เราไปป่าช้า  เราจะไปได้ไหม 
เราคิดว่า หากว่าท่านบอกก็ต้องไปละซี 
ตายแล้ว  ถ้าท่านบอกไปป่าช้า เราก็ตายแล้ว เรากลัวมากอย่างนี้ 
ถ้าท่านบอกไปดอนข้างวัดไม่มีป่าช้าก็ค่อยยังชั่ว 
แต่เราไม่มีมีดจะไปฟันไม้ทำที่อยู่ สักเล่มเดียวก็ไม่มี  คิดอยู่อย่างนี้ 
อาจารย์ก็พูดขึ้นว่า  ไม่ใช่อย่างนั้นดอก  จะไปดอนนั้นดอนนี้ไม่ใช่ 
ให้อยู่ตามร่มไม้ในวัดนี้แหละ 
เราก็ดีใจมาก  แต่เราคิดเฉยๆ มิได้ออกปากพูด 
แต่ท่านอาจารย์ท่านรู้ในการคิดของเรา 
ต่อมาจิตของเราก็มีความสามารถอาจหาญขึ้นมาทุกวัน 
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 19:36:15

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ กระต่าย วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 21:27:53
สาธุ สาธุ สาธุ
มารออ่านต่อด้วยใจจดจ่อ :-)
โดยคุณ กระต่าย วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 21:27:53

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ chim วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 23:43:03
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 18 โดยคุณ โจโจ้ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 08:07:18
มารอด้วยเช่นกันครับ =)
โดยคุณ โจโจ้ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 08:07:18

ความเห็นที่ 19 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 08:41:47
สามีบวชที่วัดโพธิสมภรณ์ 

        อีก 4 วัน (วัน 12 ค่ำ) เป็นวันบวชของสามี 
ย่าห้ามไม่ให้ไป  กลัวจะไปทำขายหน้า 
บอกย่าว่าขอไปอนุโมทนา 
ถ้าไปร้องไห้กอดแข้งกอดขาเขาจะให้ย่าเอามีดพร้าฟันหัว 
พอก้าวพ้นบันไดไปเห็นเขาปลงผมแล้ว  ใจสว่าง 
นั่งลงยกมือไว้ว่า  สาธุ ข้าพเจ้าพ้นทุกข์แล้ว ครั้งที่ 2 
 ลุงและปู่ห้ามว่า  อย่าไหว้ฆราวาส  ตัวบวชเป็นชีขาวมีศีลธรรม 
ตอบลุงทันทีว่า ไม่ใช่ไหว้ลุงไหว้ปู่ 
คือ ดิฉันดีใจมากที่มาเห็นพี่กำลังจะได้ทรงเพศนักบวช 
ดิฉันคิดว่าดิฉัน พ้นทุกข์แล้วครั้งที่ 

ต่อจากนั้น เจ้านายทั้งหมดพานาคไปบวชที่วัดโพธิสมภรณ์ 
ญาติพี่น้องเขาพากันร้องไห้ 
ตัวเราเดินปลิวเหมือนไม่ได้เดินบนดิน  เบากายเบาใจ 
เมื่อไปถึงวัด ทีแรกนึกวิตกกลัวว่าเขาจะขานนาคไม่ได้ 
ทีแรกนั่งอยู่ห่างๆ ภายหลังขยับเข้าใกล้ 
ย่าหยิกขาหนัก  ดิฉันไม่ยอมถอย 
ใจคิดว่าถ้าเขาขัดข้องไม่ได้เราจะบอกเอง (ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่รู้) 
ในขณะเดียวกันก็ขออย่าให้ข้องให้ติดให้สำเร็จในวันนี้ 
ทุกขั้นทุกตอนผ่านพ้นไปด้วยดี 

พอพระนั่งหัตถบาสอ้อมพรึบเข้ามาปรากฎว่าโบสถ์ไหวยวบ 
ตัวเราโยกโคลงเคลง ปิติอย่างเต็มที่ 
แต่แรกในระหว่างเตรียมตัวบวชอยู่ด้วยกันที่วัดโนนนิเวศ 
เราหนักใจเหมือนอกจะแตก  เห็นเขาเหงาหน้านิ่วคิ้วขมวด 
เข้าไปถามว่า  ทำไมพี่เหงานัก  ไม่อยากจะบวชหรือ 
ตัดสินใจให้เด็ดขาด  อย่ากลับหลังจะบวชได้มากน้อยเท่าไรแล้วแต่วาสนา 
ถ้าบวชแล้วภาวนาไม่ได้ผล  ยังติดข้องแต่เรื่องเก่าเรื่องหลังบอกน้อง 
ถ้าพี่อยากจะสึกแล้ว  พูดคำเดียวน้องก็เข้าใจ 
ถ้าพี่เกี่ยวข้องกับน้องๆ จะสึกด้วย 
อย่าอยู่หลายวัน  ธงชัยพระพุทธเจ้า จะเศร้าหมอง  จะเป็นบาป 
ให้คิดเพียง 3 วันเท่านั้น 
ถ้าชอบคนใหม่ให้สึกเลย  ไม่ต้องบอก 

เขาตอบว่าไม่ได้คิดอะไรเลย  คิดแต่เรื่องท่องคำบวชเพราะยังไม่คล่อง 
นั่งที่ไหนก็คิดที่นั่น ไม่ใช่ไม่อยากบวช 
อยากบวชเต็มที่  ตัดสินใจได้แล้ว 
ใจเราก็ดีอยู่  แต่ยังไม่ไว้ใจเท่านั้นแหละ 
เมื่อบวชแล้วจำพรรษาอยู่วัดเดียวกันตลอดพรรษา 
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 08:41:47

ความเห็นที่ 20 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 08:43:48
 การปฏิบัติธรรม 
พรรษาที่ 1 วัดโนนนิเวศ
 

        เมื่อออกพรรษาแล้ว  อาจารย์มหาทองสุขพาพระขิ้มออกจากวัดไป 
ผู้เป็นย่าก็ร้องไห้ เราคิดว่าเขาร้องไห้ตามหลานหรือตามอาจารย์ก็ไม่รู้ 
ทานข้าวแล้วก็ลงเดินจงกรมแล้วก็เกิดวิตกวิจาร 
ไม่ห่วงอะไรทั้งหมด  ห่วงแต่หลวงพ่อผู้เป็นสามีของเราว่า 
ท่านซื่อสัตย์ต่อเรา ท่านมีบุญจริงๆ  อาจารย์จะพาไปไหนก็ไม่รู้ 
ไปไกลแสนไกล เวลาจะตายจะทราบข่าวไหม  จะไปตายที่ไหนหนอ 
ถ้าหนีจากที่นี่แล้วอยู่ใกล้ๆ พอทราบข่าวค่อยยังชั่ว 
เวลาท่านตายจะได้ไปจุดศพบ้าง  เพราะว่าความดีของท่านมาก 
ใจเราคิดว่าอาจารย์องค์อื่นๆ คงไม่เมตตาคิดเห็นแต่พระขิ้มองค์เดียว 
เพราะเคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมา 
ถ้าท่านสำเร็จแล้วคงจะช่วยชี้ช่องทางออกจากทุกข์ให้เรา 
ได้คิดแล้วเลยน้ำตาไหล  ก็เลยเกิดปัญญาขึ้น 
"ความห่วงเป็นนิวรณ์  ก็ไม่เคยป้องกันตาย 
เศร้าโศกเพราะยึดถือ  ในกำมือเป็นห่วงใย 
ชีวิตความรักใคร่  ย่อมถือไว้ว่าเป็นตน 
ร่างกายสรีรยนต์  ไม่ใช่ตนเหมือนศีลธรรม"
 
เกิดปัญญาอย่างนี้แล้วจิตก็สว่างขึ้นมา 
น้ำตาก็เลยหยุดไหล  ไม่เศร้าหมองขุ่นมัวเลย 

        แล้วก็มาตั้งสมมุติขึ้นคิดเอาเองว่า 
"ถ้าเราทั้งสองเป็นฆราวาส  เวลาป่วยไม่ให้มีญาติพี่น้อง 
มีแต่เราสองคนเท่านี้จะดูแลกัน"
 

ก็เลยปรากฎว่า   สามีป่วยลงไปทานข้าวได้แค่ไหน 
เราก็จะทานได้เท่านั้นเหมือนกัน 
เราคิดว่าถ้าตายก็ให้ตายไปด้วยกัน 
เราอยู่คนเดียวไม่ได้ เรากลัวผี 
ปฏิบัติกันอยู่อย่างนั้นไม่นาน  สามีของเราก็เลยตายไปจริงๆ 
เราก็กลั้นใจด้วย คิดว่าจะให้หมดไปด้วยกัน 
ใจจะขาด  เราก็หายใจคืนมา 
(ทั้งหมดเป็นการคิดพิจารณาของท่าน สามีท่านไม่ได้ตายจริง - ปราโมทย์) 

คิดว่า ทำไมเราไม่ตายไปด้วยกันเล่า 
ตายแล้วจะได้ใส่โลงเดียวกัน  เผาไฟไปด้วยกัน 
ก็ได้ยินเสียง (จิตตนเอง - ปราโมทย์) หัวเราะขึ้นมาทันที 
"คิดอย่างนี้มีแต่เจ้าคนเดียวนี้แหละอยู่ในโลกอันนี้  ชาติไหนภาษาไหน 
จะตายด้วยกัน  เข้าโลงเดียวกันไม่มีเลยในโลกนี้  มีแต่เจ้าคนเดียวนี้แหละ"
 

คิดแล้วก็เลยตกตะลึง 
อ้อ  ในโลกนี้  คิดอย่างนี้มีแต่เจ้า(คุณแม่น้อย - ปราโมทย์) คนเดียว 

        เราก็คิดทบทวนดูว่า  เวลาคนจะตาย ธาตุอะไรออกก่อนกิน 
ไฟหรือลมออกก่อนหนอ 
เราก็กำหนดลงไปดูไฟกับลม 
ก็เลยรู้ได้ว่า ลมออกก่อน ไฟก็ตามหลัง 
ก็ไปตัดเอาไส้อ่อนๆ แล้วมันก็บวมขึ้นมา 
ไฟกับลมก็หมดไปตามกัน 
ไส้น้อยก็บวมขึ้นลามไปถึงไส้ใหญ่  ก็อืดขึ้นๆ 
ท้องก็บวมขึ้น  น้ำเน่ามันก็ไหลออกมาทางปากทางจมูก 
ก็มาคิดทบทวนดูว่า  คนเรานี้รักกันที่ไหนหนอ 
มีแต่ของเปื่อยเน่าไม่น่ารักหมดทั้งตัว 
ผู้หนึ่งตอบขึ้นว่า  "มันเป็นเพราะจิตหลงต่างหาก 
ถ้ามันรักมันใช้มารยาหวานใส่กัน  ถ้ารักน้อยมารยามันก็น้อย 
ถ้ารักมากมารยามันก็มากขึ้นไปถึงหัวคิ้ว 
เมื่อไม่ได้ ถึงฆ่าตัวตายก็มีมากมายเหลือหลายอยู่ในโลกอันนี้ 
ถ้าเกลียดขึ้นไปถึงหัวคิ้ว ก็ฆ่ากันตายก็มีมากมายเหลือหลายอยู่ในโลกอันนี้" 

        เรามาคิดว่า  คนเรารักกันที่ไหน  นี่มันก็เน่าออกมาแล้ว 
ที่สมมุติว่าเป็นผู้หญิงผู้ชาย มันก็เน่าออกมาแล้ว 
มันก็จิต จิตละซีคิดเกี่ยวข้องกัน รักกัน หลงกัน 
มายาของจิต มีมายาสาไถยใส่กัน  ทำอาการต่างๆ นานา 
อ้อ ความรักมันอยู่ที่จิต เป็นอาการของจิต 
พอคิดดังนั้น  ตาแตกปั้ง ตาเราก็แตกพร้อมกัน 

(ตรงนี้เป็นเรื่องที่จิตท่านพิจารณาว่า สามีของท่านตาย 
แล้วศพเริ่มเน่าเปื่อย ซึ่งท่านรู้เห็นเป็นนิมิตประกอบด้วยปัญญาพิจารณา 
พิจารณาถึงตรงนี้ พอดีดวงตาของศพในนิมิตแตกขึ้นมา 
และท่านก็รู้สึกเหมือนดวงตาของท่านแตกด้วย - ปราโมทย์) 

มีเสียงบอกว่า  อย่าหนีนะ รักษาผัวเจ้าไว้ สัตว์จะเอาไปกิน 
ความรักเลยสิ้นลงตรงนั้นในขณะตาแตก 
จิตสว่างจ้าจิตของเราเลยหายห่วงไปเลยในขณะนั้น
 
ถึงจะไปตายที่ไหนก็ไ่ม่ห่วงแล้ว 
ดูไปๆ กะโหลกศีรษะ มือ เท้า หายไป เหลือแต่กระดูกขาท่อนเดียว  
มดเจาะกินน้ำเน่าที่เยื่อใยในกระดูกยุ่บๆ ยั่บๆ เต็มไปหมด 
คนหนึ่งบอกว่า  เฝ้าให้ดี ผัวเจ้าจะหาย  
มดกินไปๆ เหลือแต่กระดูกเท่าเล็บมือ ติดดิน 
เขาบอกว่า  ผัวเจ้าหายไปแล้ว  หาดูให้ดีเร็วเข้า 
เราคุ้ยดินหาเท่าไรๆ ก็ไม่พบ  
เขาบอกว่า นี่และธาตุดิน  มันเป็นดินไปแล้ว 
เขาบอกเพียงเท่านั้น
(เสียงบอกก็ดี คนหนึ่ง หรือเขา ก็ดี 
ก็คือจิตที่แสดงธรรมสอนจิตตนเองนั่นเอง - ปราโมทย์)

        เราสมมุติความรักกันเลยกลายเป็นเรื่องจริงจังใหญ่โต  
เกิดเป็นธรรมขึ้นมา  พิจารณาตลอดคืน ตลอดพรรษา  
เราภาวนาเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน  นอนเล็กน้อย  
จิตสงบสบาย แต่ไม่เกิดปัญญา  
พิจารณาวกไปวนมา  ไม่รู้อะไรเป็นอะไร  
มีแต่ปิติ ใจเบิกบานเบากาย เบาใจ 
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 08:43:48

ความเห็นที่ 21 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 08:55:31
พรรษาที่ 2 
วัดอรุณรังสี  จังหวัดหนองคาย
 

        ออกพรรษาแล้ว   ย่าก็พากลับเวียงจันทน์ 
เดินออกจากวัดโนนนิเวศ  ฝนก็ตก 
อาจารย์ผู้มาอยู่ใหม่ท่านก็ห้ามว่า อย่าเพิ่งไป ฝนตกหนัก 
เขาก็ไม่ฟัง  เขาก็พาเราเดินตากฝนไป  ฝนตกหนัก 
เขาก็พาเราไปพักอยู่บ้านเกาะน้อยนาบ่ง  วัดอาจารย์หอม 
ท่านก็ห้ามอย่าเพิ่งไป  พักนี้ก่อน  ฝนไม่ตกค่อยไป 
ไม่ฟังคำของอาจารย์ทั้งนั้นเลย  เขาก็พาเดินไปถึงบ้านนาพู้ พอดีมืด 
ไปพักอยู่นั้น 9 คืน  แล้วออกจากบ้านนาพู้ 
เดินมาหนองนกเขียน  มาถึงบ้านหนองนกเขียนพอดีมืด 
ตื่นเช้าขึ้นมาก็เดินทางไปหนองคาย 
รถก็ไม่พานั่งเลย  เงินก็มีอยู่เขาไม่จ้าง  เขาก็เดินเอา 
เราก็หาบหนัก  หนังก็พอง ข้าวก็ไม่ได้ทานเลย 
ออกจากบ้านหนองนกเขียนแต่ 4 โมงกลางคืนเลย 
เจ้าของบ้านห้ามไว้  ว่าจะจ้างรถให้ก็ไม่ฟังเลย  จะเอาอย่างว่านั้น 

       เดินมาถึงบ้านนาทา  พอดี 3 ทุ่ม  พอมาถึงก็ยังได้นวดให้เขาอีก 
เราก็ไม่ได้นอน เราก็มีแต่ความอดกลั้น ขันติต่อสู้ 
เท้าของเราก็แตกเดินแทบไม่ได้เลย 
บ่าของเราก็แตกลอกไปหมด 
เวลาเอาหาบใส่บ่าน้ำตาไหลออกมา 
มันแสบเหลือทน  หนังลอกออกหมด มีแต่เนื้ออ่อนๆ 
เราก็ทนไม่ไหว  น้ำตาไหลอาบหน้าออกมา 
แต่ไม่พูดอะไรทั้งนั้น  มีแต่คิดว่า ถ้าเราตกนรกจะทุกข์กว่านี้ 
คิดอย่างนี้แล้วก็อดทนเอา
 

ตื่นเช้าก็เดินไปหนองคายแต่เช้า 
เขาไปบ้านปลัดสอนผู้เป็นน้องชายของเขา 
ว่าจะข้ามเวียงจันทน์  เขาก็ห้ามว่ายังไม่อยากให้ไป 
เพราะว่ามีแม่ชีคนหนึ่งทำชื่อเสียงไม่ดีไว้  อย่าเพิ่งไปเวลานี้ 
เราก็หยุดอยู่หนองคาย เลยไปอยู่วัดอรุณรังสี 
มีชีคนเดียวอยู่นั้น  เราก็ไปอยู่ด้วย 
เขาอยู่มามองเห็นแต่เขาตากข้าว (ก้นบาตร)  ขายอยู่เป็นประจำ 
ไม่เห็นเขาเดินจงกรมนั่งภาวนา 
มีแต่ตากข้าวมาแล้วก็นอนกรนครอกๆ อย่างนั้นประจำวัน 
เราดูแล้วก็เกิดความสงสารเพื่อนนักบวชด้วยกัน 
บวชมาแล้วทำไมมาหลงมัวเมาอยู่กับความอยากได้อยู่อย่างนั้น 
จนไม่มีเวลาจะทำความดี  มีแต่นั่งจ้องไล่แต่หมา 
แต่การอยู่อย่างนั้น  มีแต่ตากข้าวขายอย่างนี้หรือ 
เราคิดว่าละสิ่งเหล่านี้ 
บวชแล้วเราก็คิดว่ามาละจากความอยากดีอยากมั่งอยากมีให้หมดสิ้นไม่ใช่หรือ 
ทำไมมาเติมเข้า  มันจะออกจากทุกข์ได้อย่างไรหนอ 
มีแต่ความหมกมุ่นหุ้มห่ออยู่อย่างนี้ 
ไม่มีความเพียรเผากิเลสตัณหาให้เหือดแห้งไปอย่างนี้ 
เราคิดอยู่ในใจไม่พูดอะไรออกไปเลย 

        อยู่มาย่าเขาก็ไปซื้อฟืนมาเกวียนหนึ่ง 
แล้วก็ไปยืมขวานเขาให้เราผ่าฟืน  เราก็ทำอยู่คนเดียวทั้งวันเลย 
เขาฉันจังหันแล้วก็นอน  เราก็ผ่าจนหมดเกวียน 
ยังเหลืออยู่แต่มันเป็นตาผ่าไม่แตกแล้วก็ทิ้งไว้ 
เขาก็ตื่นขึ้นมา  เขาก็มาเห็นไม้ที่ทิ้งไว้นั้น 
เขาก็โกรธขึ้นมาว่า ทำไมไม่ผ่า 
เราก็ตอบเขาว่า ผ่าแล้วแต่ไม่แตก 
มือของข้าแตกหมดแล้ว  กำด้ามขวานไม่ได้ 
เราพูดออกไปอย่างนั้น  เขาก็ว่าเราเถียง 
เขาโกรธใหญ่เลยว่า  เรานี้ไม่มีความอดกลั้นขันติ 
ทำอะไรท้อแท้อ่อนแอจะใช้ได้หรือ  ผู้ใหญ่พูดตอบโต้เถียงความ 
เราก็เกิดโทสะอย่างแรง  เพราะมันยิ่งเหนื่อยมากอยู่แล้วมานั่งบ่นอยู่นี้ 
"หนีหรือไม่หนี  ถ้าไม่หนีจะหักคอฆ่าให้ตายนะ" 
จิตคิดอยู่อย่างนี้  แต่ไม่ได้พูดออกมาทางวาจา 
เขาก็เลยหนี   เขาหนีแล้วก็แล้วไปไม่คิดอีก 
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 08:55:31

ความเห็นที่ 22 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 08:58:39
การทรมานจิต 
        เช้าเหนื่อยแล้วก็ไม่อาบน้ำ 
ตอนเย็นไหว้พระสวดมนต์แล้วนั่งสมาธิภาวนา 
เกิดความคิดเห็นที่เราคิดจะฆ่าเขาในขณะเขาพูดว่าเราอยู่นั้น 
ในขณะนั่งภาวนาอยู่นั้น 
จิตต่อจิต สนทนากันอยู่ในขณะนั่งสมาธิ 
ผู้หนึ่งพูดว่า  เราไม่ได้ฆ่าเขาจริงๆ  เพียงแต่คิดแล้วก็แล้วไป 
ไม่ได้ฆ่าเขาจริงๆ  มันจะเป็นบาปเป็นกรรมได้อย่างไร 
ผู้หนึ่งตอบว่า  ผู้ปฏิบัติผิดก็ผิดออกมาจากจิต 
ผู้ปฏิบัติถูกก็ถูกออกมาจากจิต 
คิดเฉยๆ ก็มีกรรม 3 อย่าง  พูดออกไปมีกรรม 4 อย่าง 
ไปฆ่าเขาจริงๆ มีกรรม 3 อย่าง 
รวมกันเป็นกรรม 10 อย่าง  อยู่ในจิตของเราดวงเดียวนี้ทั้งนั้น 
มีทั้งบุญทั้งบาปอยู่ในจิตใจของเรานี้ทั้งนั้น 
เป็นผู้ก่อกรรมก่อเวรก่อภัยใส่ตนเองก็จิตดวงเดียวนั้น 
เราเป็นนักบวช  ถ้าฆ่าเขาเข้าจริงๆ  เราก็ไม่ใช่นักบวช 
เราบวชมาฆ่าคนหรือ 
ถ้าจิตเราไม่ยอม  จะฆ่าเขาจริงๆ  จะทรมานไม่ให้มันกินข้าว 
จะเดินจงกรมตลอดทั้งวัน  จะสอบจิตตัวเองให้รู้เรื่อง 

        รุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาไปเดินจงกรมแต่เช้า  เดินอยู่ราว 3 ชั่วโมงเศษ 
ถามจิตว่าจะยอมหรือไม่ยอม 
จิตตอบว่าจะยอมทุกอย่าง  จะไม่คิดอย่างนี้อีก 
จิตดวงหนึ่งบอกว่า  เหนื่อยมากแล้วขอนั่งพักสักครู่ 
แต่จิตดวงหนึ่งไม่ยอม 
จิตต่อจิตสนทนากันอย่างไม่ลดละ 
ถึงแม้เนื้อจะหลุด หนังจะเปื่อยออกเป็นชิ้นๆ ก็ช่างมัน 
ยอมตายเสียดีกว่าคิดฆ่าคน 
เดินจงกรม นั่งสมาธิอยู่ 
คิดแต่เรื่องที่จิตที่มันเที่ยวก่อกรรมเวร  ก่อภพก่อชาติอย่างไม่ได้ลดละ 
ก็ค่อยระมัดระวังจิตของตัวเองอยู่เรื่อยมา 
โต้ตอบกันอย่างนี้จนถึง 5 โมงเย็น  จึงออกมาทำกิจวัตรส่วนตัวตามเคย 
ทำอยู่อย่างนี้ 3 วัน  จิตที่คิดจะฆ่าเขาก็ยอม 
ยืนยันว่าต่อไปจะไม่คิดอย่างนี้อีก  จะยอมทุกอย่าง 
แม้จะให้เป็นคนรับใช้หรือเป็นผู้เช็ดเท้าเขาก็ยอม 
แล้วก็ยอมจริงๆ  ตามที่จิตให้สัญญาไว้ 

แต่นั้นมาจิตดิฉันมีแต่ความเมตตาสงสาร 
ถึงแม้เขาจะด่าว่าก็ไม่เป็นไร  เพราะเราฝึกใจไว้ดีแล้ว 
อยู่กับคนพาลย่อมเป็นทุกข์ 
แต่ผู้ตั้งใจฝึกหัดจิต  คนพาลนั่นและจะเป็นอุบายให้เราได้ปัญญา 

        มีครั้งหนึ่ง พอ 3 ทุ่ม  เราก็ลงไปเดินจงกรม 
กำลังแผ่เมตตาก็มีรูปอันหนึ่งเหมือนรูปคน ใหญ่เท่ากระติกน้ำ ใสแจ๋ว 
ขนหัวขนคิ้วลุกพองขึ้นมา  แผ่เมตตาก็ไม่ถูก 
เอาต้นใส่ปลาย เอาปลายใส่ต้น  ระลึกถึงพุทโธก็หาย  ก็เลยมีแต่สั่นงกๆ อยู่ 
จนเหงื่อไหลออกมาจนเปียกผ้าหมดทั้งตัว 
แล้วก็ว่าเราจะตาย  เพราะว่าเราก็เหนื่อยมาก 
เราก็เลยใช้โทสะเข้าต่อสู้ว่า "กูก็จะตายเป็นผีเหมือนกันกับมึง" 
ว่าแล้วก็หมอบหัวลงไปหามัน  มันก็หายวับไป 
เราก็ตามมันไป  มันก็เข้าป่าไป  เราก็ตามไป 
จนเราไปไม่ได้แล้ว  เราก็หยุด  กลับมาเดินก็ไม่ได้  กลัวว่ามันจะเดินตาม 
เราก็มานั่งสมาธิอยู่ไม่นาน มันก็มาอีก 
และมาอยู่ใกล้  ใกล้เรานั่งอยู่พอดีศอกหนึ่ง 
แต่นั้นเราก็หลับตาไม่ลง  ลืมตาขึ้นยังเห็นขาวแจ๋วอยู่ 
เราก็จะตายอยู่แล้ว  เราก็ตั้งสติแผ่เมตตาถูกแล้วเขาก็เลยหนี 
จิตเราคิดว่าจะวิ่งขึ้นกุฎิหลายครั้งแล้ว 
ปรากฎว่า มีผู้บอกว่า  อย่าวิ่งนะทำต่อไป  ไปไม่ได้เด็ดขาดเลย 
ว่าอย่างนั้น  เราก็เลยนั่งสมาธิอยู่นั้นตลอดคืน 
จิตของเราก็สงบลง  จนสว่างจึงถอนขึ้นมา 
เราก็ทำอยู่อย่างนั้นเรื่อยจนออกพรรษาแล้ว 
ก็ลาท่านอาจารย์ว่าจะข้ามเวียงจันทน์ 
อาจารย์ก็ว่าอย่าไป  เธอไปอยู่หนองวัวซอด้วยกัน 
เราก็คิดว่าจะไป  แต่เจ้าคุณวัดศรีเมืองไม่ให้ไป  ก็เลยไม่ได้ไป 
อาจารย์บุญมาท่านก็ว่า  ถ้าอยากไปจริงๆ แล้วจะไปฆ่าคนอื่นทำไม 
เราก็ไม่กล้าไป 
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 08:58:39

ความเห็นที่ 23 โดยคุณ กระต่าย วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 09:58:21
สาธุ สาธุ สาธุ
"ถ้าเราตกนรกจะทุกข์กว่านี้" อ่านแล้วให้ได้อึ้งจริงๆเลยค่ะ
กราบขอบพระคุณคุณอามากค่ะ ที่ได้กรุณาpost ประวัติของท่านให้ได้อ่านตั้งมากตั้งมาย
ท่านนับเป็นผู้หญิงที่เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ สมควรแก่การเอาเป็นแบบอย่างจริงๆ
_/I\_ _/I\_ _/I\_
โดยคุณ กระต่าย วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 09:58:21

ความเห็นที่ 24 โดยคุณ โจโจ้ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 13:28:47
สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยอีกคนครับ

ช่วงนี้ผมโดนกระหน่ำจากหลายๆคนพร้อมกันจนจะแบนไปหลายรอบแล้ว พบว่าการถูกทรมานทั้งวันทั้งคืนนี่ก็มีผลดีไม่น้อยเลยทีเดียวถ้าสามารถเจริญปัญญาไปพร้อมๆกันได้ แต่ที่ผ่านมาเจริญไม่พอ เลยเกิดอาการ น่วม ฟกช้ำมาแทน วันนี้ลุกขึ้นมาอธิษฐานจิต-เดินจงกรมสู้กับความทุกข์เหล่านั้น ครู่เดียวเท่านั้นได้ผลอย่างมหาศาลเลยครับ เลยมาเล่าสู่กันฟังครับ
โดยคุณ โจโจ้ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 13:28:47

ความเห็นที่ 25 โดยคุณ ฐิติมา วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 14:28:18
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 26 โดยคุณ หนุ่ย วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 15:35:27
สาธุค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ _/|\_
โดยคุณ หนุ่ย วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 15:35:27

ความเห็นที่ 27 โดยคุณ นิพ วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 08:04:26
นายสงบผมอ่านแล้วรู้สึกได้กำลังใจมากๆครับ ไม่น่าเชื่อผมอ่านไปน้ำตาก็แทบจะไหล
ออกมาให้ได้เพราะรู้สึกประทับใจในนักปฎิบัติยอดนักสู้ท่านนี้ครับ

อิ อิ น่าเห็นใจพี่โจ้ ถ้าจะโดนมาซะน่วมนะครับนี่ ^-^
โดยคุณ นิพ วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 08:04:26

ความเห็นที่ 28 โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 09:05:15
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 29 โดยคุณ นุดี วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 10:42:31
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 30 โดยคุณ ศุภสิทธิ์ วัน อังคาร ที่ 30 พฤษภาคม 2543 12:54:05
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 31 โดยคุณ นิดนึง วัน พฤหัสบดี ที่ 1 มิถุนายน 2543 09:36:29
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 32 โดยคุณ นกเอี้ยง วัน ศุกร์ ที่ 2 มิถุนายน 2543 08:25:49
ู^-^ _/|\_
โดยคุณ นกเอี้ยง วัน ศุกร์ ที่ 2 มิถุนายน 2543 08:25:49

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com