โดยส่วนตัวแล้วความคิดเรื่องบวช กับผม ยังห่างไกลกันเยอะครับ แต่เท่าที่ดู ไม่ได้มีจิตอคตินะครับ ปัจจุบันมีผู้พร้อมสำหรับการบวช ใน100คนจะมีพร้อมจริงๆสักกี่คน ตั้งแต่ไปงานบวชมา เพิ่งจะเห็นเพียง 1 เดียวเท่านั้นเองที่พร้อมที่จะบวชจริง คือบวชเณรมาก่อน แล้วสึกจากเณรแล้วจึงบวชพระ(คงไม่สึก) ปัจจุบันโดยส่วนใหญ่แล้ว เป็นการบวชก่อนเบียด คิดว่าคงจะบวชเพราะประเพณีที่ ทำต่อๆกันมา ก็คงจะดี ถ้าไม่เข้าไปเจอสภาพ พระมีเมีย,พระยักสังฆทานไปขาย,ฯลฯ ซึ่งการบวชแบบหลังนี่ ศรัทธาไม่มั่นคงอยู่แล้วเนื่องจากการบวช ไม่ได้เห็นประโยชน์จาก การบวชและหนำซ้ำไปเจอพวกเปรตในผ้าเหลืองอีก หลังจากสึกเลยพาลจะไม่ไหว้พระเอาซะอย่างนั้นแหละ
สำหรับทั่วๆไป พระบวชใหม่พอบวชเสร็จปุ๊บ คนเฒ่าคนแก่ จะเปลี่ยนคำพูดคำจาไปเลย ผมว่ามันพลิกเกินไปหน่อย จากเคยที่โดนเรียกไอ้ มาเป็นท่าน จากที่เคยโดนด่า ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นให้พรคน? ซึ่งหลายๆอย่างที่มันเกิดแบบพลิกหน้ามือ เป็นหลังมือนี้แหละถ้ายังไม่รู้จักกับหน้าที่ หรือหลงใหลในคำเรียกขาน, การแสดงความเคารพ,ฯลฯ จะทำให้เสียพระไปง่ายๆ
เหตุที่การบวชกับผมยังห่างไกลกันเยอะนั้นมันมาจากว่า ตอนเล็กๆ เคยคิดถึงกิจวัตร ประจำวันของพระ คิดแล้วหายอยากไปเลยครับคือ
03.00-05.00 ตื่น สวดมนต์ ทำสมาธิ (สองชั่วโมงก็หนาวแล้ว เพราะลำพังการทำสมาธิอย่างเก่งก็ได้แค่ชั่วโมงเดียว) 05.00-07.00 บิณทบาตร 07.00-09.00 ฉัน+สวดมนต์ (ปกติ กินแค่4-5นาที ขืนไปนั่งกินช้าๆสงสังทุรนทุรายตาย) เอาละทีนี้ตั้งแต่09.00ไปจนถึงดึกล่ะจะทำอะไร อย่างที่คุณมะขามป้อมกล่าวไว้ แค่คิดก็หนาวใจแล้ว จริงอยู่ปฏิบัติเป็น แต่แน่ใจหรือเปล่าว่า ทนกิเลสไหว คิดจนถึงขั้นนี้ทีไร ความคิดที่จะบวชหายหมดเลย แต่ตอนนี้ก็ได้คิดทางออกไว้ พอสมควรแล้วคือ ไม่บวชพระ แต่จะบวชผ้าขาวสักระยะแล้วจึงจะบวช ไม่งั้นเดี๋ยวจะเป็นเปรตไม่รู้ตัว เอากันแค่ตอนนี้สติไม่ให้หลุดผมว่าน่าจะพอเพียงต่อการปฏิบัติแล้วล่ะครับ ขอบคุณครับ |
|