กลับสู่หน้าหลัก

แผ่นดินดับ

โดยคุณ ไพ วัน พุธ ที่ 13 กันยายน 2543 12:44:43

คัดลอกจากหนังสือ "แผ่นดินดับ" ของท่านเขมานันทะ

16  พฤษภาคม 2541
       .......การเดินทางไกลสู่ความลึกซึ้งจำเป็นต้องโดดเดี่ยว
ไม่พึ่งอิงสิ่งใดนอกจากสภาพรู้ตัว  เพื่อเล็ดลอดจากประสบการณ์
อันเป็นเสมือนหลุมพราง  เดินทางเพื่อสละประสบการณ์
เรียนรู้ประสบการณ์  เพื่ออิสระจากกรงเล็บของมัน
ไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของประสบการณ์ ไม่ยึดติดในประสบการณ์
มาเป็นตนหรือของตน  การเดินทางไกลเช่นนี้
ยิ่งกว่าความโดดเดี่ยวในความหมายทั่วไป
เป็นการเดินทางด้วยสติสัมปชัญญะ และปัญญา
ในความไร้ร้างอัตตา  เป็นจิต-รู้ล้วนๆโดยไม่ยึดถือแม้การรู้นั้น
การงอกงามอย่างหมดจดนี้เรียกว่า  กิจภาวนา


        10 ปีแห่งการเรียนรู้ปริยัติ ข้อธรรมบัญญัติ และวินัย
วัตรปฏิบัติเยี่ยงภิกษุ อยู่ถ้ำ อยู่ป่า อยู่ภูเขา
กับอีก 20 ปีของการดูใจตน  ไม่ได้อะไรตามใจใฝ่ฝัน
เพียงสิ้นสุดความน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิต
30 ปีของการเดินทางไกล นับแต่เริ่มใส่ใจศาสนา
โดยเฉพาะคำสอนของพุทธะ ไม่มีอะไรเลยที่ได้บรรลุถึง
ได้รับมาอย่างเป็นกอบเป็นกำ ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ
เพราะคำตอบไม่ได้อยู่ในนั้น
เพราะคำถามสอดเข้าผิดทาง คำตอบจึงไม่มี
เมื่อทั้งคำถามและคำตอบเงียบหายไป
นวนิยายประโลมอารมณ์ก็ปิดฉากลง
ถ้าไม่ต้องอุบายธรรมของพุทธะคงไม่ได้เดินมา
ไม่ลงแรงแสวงหาอะไรๆที่วางล่อไว้ล้วนไม่มีจริงทั้งสิ้น
เพลิดเพลินหาสิ่งไม่มีในความรู้สึกนึกคิด
จนผละครอบครัว ทิ้งพี่น้อง พ่อและแม่
เดินดุ่มไปในอารมณ์ศรัทธาอย่างคนบ้า
หาสิ่งไม่มีจนตามืดหูหนวก
ผ่านรหัสสัญลักษณ์เหลือนับในศาสนธรรม
อุดมการณ์ของอวโลกิเตศวร ความรักปราณีเพื่อนมนุษย์
ทาน ศีล ภาวนา ลงแรงด้วยช่วงกาลเวลาอันยาวนาน
เพื่อแลกเอาสิ่งที่อยากได้ อยากรู้ อยากถึง
อยากไขว่คว้าในสิ่งไม่มี
มันมีเพียงในความคิดนึกให้มีขึ้น มันจึงมีเกินมี
จนกลายเป็นบ้าเห่อสิ่งไม่มี
บทเรียนอันยาวนานเพื่อทรมานความดื้อรั้นก็คือ
การได้รู้ว่าสิ่งไม่มีนั้นไม่มี และสิ่งมีก็มีตามประสาของมัน
ขอแต่เพียงอย่าไปยืนอยู่ข้างหนึ่งข้างใดเท่านั้น
มีก็เท่านั้น ไม่มีก็เท่านั้น ไม่ใช่ธุระปะปังของใคร
ใครที่เข้าไปขวางความจริงนี้ ก็ทุกข์เปล่า


เมื่อจิตมองตรงสู่จิต เกิดการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงขึ้นในใจ
เสมือนการสาวสิ่งเป็นภายในออกภายนอก
และตลบสิ่งที่เป็นภายนอกสู่ภายใน
แท้จริงสมาธิไร้นิมิต (อนิมิตสมาธิ) ก็แสดงพลังออกมา
เพราะจิตไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีเนื้อหาอย่างวัตถุ
เพียงแต่รู้  เมื่อเพียงแต่รู้ต่อธาตุรู้
ใจปล่อยกระแสพลังสมาธิออกมา
รู้ล้วนๆนั้นเป็นยอดสุดของการภาวนา
แต่ต้องมีรากฐานมาก่อน มีอารมณ์ภาวนาเป็นฐาน
ไต่มาโดยลำดับ การภาวนาโดยไม่มีอารมณ์นั้น
เคว้งคว้าง เหมาๆเอา แล้วมักพลัดไปสู่การคิดธรรมะ
แตกฉานในวาที แต่ห่างไกลวิทรรศนา (วิปัสสนา)

เมื่อจิตมองตรงสู่จิต โดยไร้อุปสรรค (นิวรณ์)
ไม่ติดกับดักของความคิด (นามรูป)ใดๆ
ก็ไม่มีคำว่าภายนอกหรือภายในอีก
ภายนอกภายในแบ่งกันเพราะความคิด
เมื่อจิตเห็นจิต ทั้งภายนอก-ภายในไม่ปรากฏ


รอยแยกแห่งช่วงเวลา คือ รอยแยกของความคิด
และพลังสมาธิไร้นิมิตซึมซาบออกจากช่องว่างนี้
เหมือนน้ำซับไหลออกมาหล่อเลี้ยงพันธุ์พืชต่างๆ
โดยคุณ ไพ วัน พุธ ที่ 13 กันยายน 2543 12:44:43

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ ไพ วัน พุธ ที่ 13 กันยายน 2543 12:50:09
21 พฤษภาคม 2541

รู้จักแก้ปัญหา เห็นปัญหาในตัวเอง แก้ตกแล้ว
ความเชื่อมั่นในปัญญา ในไหวพริบนั้นจะเกิดขึ้น
ปัญญาไม่ใช่อะไรที่นิ่งไม่ได้ใช้งาน
และการงานของปัญญาก็คือการเห็น การรู้
การเข้าใจต่ออารมณ์ในจิต และแผ่กว้างไปถึง
การรู้รอบเหตุ-ปัจจัยที่ก่อเกิดเป็นเรื่องราว
ตามธรรมชาติที่เป็นไป ตลอดจนปัญหาอันเกิดจาก
ทรรศนะที่ไม่สมบูรณ์เกิดแต่การมองเห็นเพียงส่วนเสี้ยว

ในกิจภาวนาในตน การแก้ไขความง่วงงุน ฟุ้งซ่าน
ท้อแท้ ทุกข์ใจ หน่าย เกียจคร้าน มึนตึง จุกแน่น
ขุ่นขัด สิ่งเหล่านี้ดูไปแล้วเป็นอุปสรรค
แต่ถ้ารู้เห็นมันได้ แก้ไขตก รู้จักป้องกันไม่ให้เกิด
มันก็กลับเป็นอารมณ์ภาวนาได้ดี
แต่ความลำบากอยู่ที่เมื่อเกิดอุปสรรคเหล่านี้แล้ว
ไม่รู้ตัว ไม่ไหวอ่อนพอที่จะจับสภาพผิดปรกตินี้ได้
ด้วยจมอยู่ในมัน คุ้นเคย เสพย์คบ
จนความไหวอ่อนรู้ตัวไม่สามารถทำกิจได้
ดังคนขี้เมาไม่รู้ว่าความหายเมานั้นเป็นอย่างไร
จนกว่าจะหายเมา แต่ถ้าหากความรู้ตัวเข้มข้นพอ
อุปสรรคมักไม่เกิด และถ้าเกิดก็จะกลายเป็นความเห็นแจ้ง
เห็นแจ้งในความมืดนั้น ดังฟ้าสว่างจ้าเมื่อเวลาพลบ
เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติภายในอันเนื่องแต่การภาวนา
นายเข้าต่อกิจสำคัญนี้ ฟ้าก็สว่าง
การปฏิบัติก็ไร้อุปสรรค
อุปสรรคเหมือนควันก่อนกองไฟจะลุกเปลวขึ้น
แต่ถ้าเยื่อไม้นั้นเปียก นอกจากไฟไม่ลุกเปลวแล้ว
ควันก็โขมง เดือดร้อนแต่ไร้ความเข้าใจ

เย็นใกล้พลบวานนี้ ฝนตกหนัก ลมแรงและฟ้าแลบแปลบปลาบ
ภาวนาอยู่คนเดียวในห้องภาวนา
อบอุ่นใจเมื่อแก้ไขวิบากกรรมที่ย้อนมาในฐานะอุปสรรค
ไม่สบายในอารมณ์ จับได้ว่าเป็นอาการผิดปรกติ
เนื่องแต่ใช้จินตนาการ และเข้าลึกเกินไป
พอแก้ตก ปรกติดี คำเตือนของท่านผู้รู้ที่ท่านเตือน
เฉพาะรายว่า " อย่าเข้าลึกเกินไป" ปรากฏให้รับรู้
คำเตือนแม้เคยรับฟังในหลายๆปีที่ผ่านไปจนอาจจะลืม
แต่มันจะปรากฏขึ้นราวกับเสียงกระซิบเมื่อถึงวาระนั้นๆ
คำของครูบาอาจารย์ผู้รู้จริง จะเป็นเหมือนอาวุธ-ศรพรหมศาสตร์
ที่รามร้องฝากเทพเจ้าไว้ ครั้นถึงคราวคับขัน
อาวุธนั้นก็ปรากฏขึ้นในมือเพื่อการปราบรากษส

"เข้าลึกเกินไป" หมายถึง การเห็นที่อยากรู้ให้ถึงที่สุด
ความอยากก็ลึก ความรู้ตัวก็ลึก ทั้ง 2 ฤทธิแรงพอกัน
การต่อสู้เป็นไปในอวกาศ ดิ่งลึกลงบาดาล
ยังสู้กันอีกไม่รู้จบ ดังลักฮี้เกากับเห้งเจีย
ฤทธิพอกันไม่รู้แพ้รู้ชนะ จึงเหนื่อยใจและขาด
ความคล่องกายคล่องใจ จำต้องดึงเกมส์ภาวนานี้ขึ้นมาบนบก
สู้กันในที่ตื้น ที่สัมผัสจับต้องได้
เพราะว่าที่นั่นมีแม่ธรณีเป็นพยานทั้งยืนเข้าข้างอยู่
จึงย้อนกลับจากอารมณ์ลึกในจินตนาการ
มาสู่ความรู้ตัวสดๆ อันหนักแน่นและกว้างใหญ่ดังแผ่นดิน

โดยสัญชาตญาณ สัตว์ย่อมเลือกสนามต่อสู้
จระเข้พยายามดึงเสือลงน้ำ เพราะตนได้เปรียบในที่ๆตนคุ้นเคย
และเสือพยายามดึงจระเข้ขึ้นบกและเข้าป่า
ลากความรู้สึกทั้งหมดออกมา
อย่าเข้าไปลึกเกินความรู้ตัวล้วนๆ

ความรู้ตัวล้วนๆ คือธาตุรู้ล้วนๆ บนพื้นฐานที่สัมผัสได้จริง
ความปลอดภัย ปรกติ ก็อยู่ที่นั่น
ในความรู้ตัวนั้น มันสงบอยู่แล้วเป็นธรรมชาติ ธรรมดา
แต่ถ้าไม่เข้าใจมันก็จะแล่นเลยไปตามพลังจินตนา
แล้วก็ "โชกเลือด" กลับมาเลียแผลอยู่ที่เดิม
จนกว่าจะแน่ใจมั่นใจในสภาพรู้ตัวล้วนๆ
โดยไม่กินแหนงแคลงใจในการภาวนา
นึกเห็นรอยยิ้มของท่านผู้รู้ และยิ้มตอบท่านโดยใจจริง
โดยคุณ ไพ วัน พุธ ที่ 13 กันยายน 2543 12:50:09

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ มะเหมี่ยว วัน พุธ ที่ 13 กันยายน 2543 13:15:49
ได้อ่านจากหลาย ๆ มุมมอง แล้วก็รู้สึกว่าดีจัง
ขอบคุณคุณไพค่ะ ที่คัดข้อเขียนน่าสนใจมาฝากกันบ่อย ๆ ฟรี ๆ  
โดยคุณ มะเหมี่ยว วัน พุธ ที่ 13 กันยายน 2543 13:15:49

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พุธ ที่ 13 กันยายน 2543 13:52:45
สาธุครับ ไพ
ธรรมของ ท่านเขมานันทะ น่าฟังจริงๆ
ท่านต้องใช้ความพยายามมากเหลือเกิน
ในการพยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับเรา

*********************************************************

เมื่อวาน คุณสุรวัฒน์ ไปเยี่ยมผม เลยได้คุยกันหลายเรื่อง
เรื่องหนึ่งก็คือเรื่อง การใช้ปัญญา
ซึ่งผมได้สารภาพกับ คุณสุรวัฒน์ ตามตรงว่า
อธิบายสภาวะยากเหลือเกิน

ทำความรู้ตัว แล้วจิตนิ่งสนิทอยู่กับที่ ก็ไม่ใช่การเจริญปัญญา
แต่เป็นหลุมพรางของสมถะ
ครุ่นคิดพิจารณาเอาด้วยความคิดแบบที่คุ้นเคย ก็ไม่ใช่อีก
เพราะนั่นเป็นความฟุ้งซ่านของจิต
สภาพที่พอดีระหว่างความสงบนิ่ง กับความฟุ้งซ่านต่างหาก
ที่จิตจะเจริญปัญญาของเขาไปได้เอง

ใครจะช่วยใครได้ ที่จะให้รู้จักสภาวะ "รู้" ที่พอดี
นอกจากจะต้องลงมือทำด้วยตนเอง
ผิด จนไม่มีที่จะผิดอีก แล้วมันก็ถูกพอดีเอง

คำอธิบายสภาวะที่พอดีนั้น อย่างมากก็เป็นคำเปรียบเทียบ
หรือคำปฏิเสธว่า อันนี้ไม่ใช่ อันนี้ไม่ใช่
ยิ่งเปรียบเทียบมาก หรือปฏิเสธมาก
บางทีจิตของผู้ฟังเหมือนจะสงบลง
แต่ก็สงบไปอย่างนั้นเอง เหมือนจะรู้ แต่ก็ไม่รู้
ที่จะอธิบายให้ เข้า(ถึง)ใจ จริงๆ นั้น ยากยิ่งนัก

เห็นแล้วจึงอัศจรรย์ในธรรมของพระพุทธเจ้า
ว่าท่านช่างแสดงได้ พอดี จริงๆ
คือไม่น้อย จนปฏิบัติไม่ได้
และไม่มาก จนจับประเด็นไม่ได้

ที่พูดกับ คุณสุรวัฒน์ ไม่ยาวเท่านี้หรอกครับ
เพราะพูดแค่ว่า "การใช้ปัญญาไม่ใช่การรู้ตัวนิ่งๆ ทื่อๆ และไม่ใช่การคิด"
เพียงเท่านี้ คุณสุรวัฒน์ ก็เข้าใจแล้วว่า ผมพูดถึงสภาวะอะไร

ธรรมะไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่ตรรกศาสตร์
"คนจริง" เท่านั้น ที่จะรู้ของจริงซึ่งอธิบายได้ยาก
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พุธ ที่ 13 กันยายน 2543 13:52:45

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ tana วัน พุธ ที่ 13 กันยายน 2543 22:27:33
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ พัลวัน วัน พฤหัสบดี ที่ 14 กันยายน 2543 07:29:18
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ มรกต วัน พฤหัสบดี ที่ 14 กันยายน 2543 08:00:55
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ โยคาวจร วัน พฤหัสบดี ที่ 14 กันยายน 2543 08:35:30
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ หนุ่ย วัน พฤหัสบดี ที่ 14 กันยายน 2543 12:05:35
สาธุค่ะ ขอบคุณค่ะพี่ไพ
โดยคุณ หนุ่ย วัน พฤหัสบดี ที่ 14 กันยายน 2543 12:05:35

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ น้ำ วัน พฤหัสบดี ที่ 14 กันยายน 2543 21:56:15
ขอบคุณมากครับคุณไพ อยากรบกวนถามสักหน่อยครับ ว่ายังคงพอจะหาซื้อหนังสือของอาจารย์โกวิท (เขมานันทะ) ได้ที่ใหนอีกบ้างครับ ผมเคยได้รับจากมือของท่านเล่มหนึ่ง ชื่อ 'สุขหรือเศร้า ก็เท่านั้น' แต่ได้สูญหายไปอย่างน่าเสียดาย ตอนนั้น ผมเองก็ยังมืดบอด ขนาดได้พบได้นั่งฟังท่านคุยถึงที่บ้าน ก็ยังไม่รู้ไม่เข้าใจไม่สนใจ จนมาได้พบพวกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณศรันย์และพี่ปราโมทย์ ผมจึงได้พอรู้สึกตัวบ้าง ว่างมงายกับความคิดของตัวเองมานมนาน

อาจารย์โกวิทเป็นศิษย์คนหนึ่งของหลวงพ่อเทียน วัดสนามในนี่เอง ดูเถอะความเขลาของผม

ถ้าวันนี้ผมยังจะหัวดื้ออวดดีเหมือนอย่างแต่ก่อนอีก คงจะได้เสียดายชีวิตไปอีกไม่รู้เท่าไร
โดยคุณ น้ำ วัน พฤหัสบดี ที่ 14 กันยายน 2543 21:56:15

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ พีทีคุง วัน ศุกร์ ที่ 15 กันยายน 2543 09:37:22
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ ไพ วัน ศุกร์ ที่ 15 กันยายน 2543 15:15:59
คุณน้ำ..หนังสือ แผ่นดินดับ เพิ่งจะวางแผงขาย
ซัก 2 เดือนเองมั้ง ยังมีขายอยู่เพียบ
ยังมีอีกเล่มที่น่าสนใจ ชื่อ วิทรรศ...
จำไม่ค่อยได้แล้วล่ะ แต่เป็นรวมเรื่องที่
ท่านเขมานันทะไปพูดตามที่ต่างๆ
เล่มนี้ออกมานานมากแล้ว
แต่ยังเห็นมีขายอยู่ที่ร้านหนังสือในบิ๊กซี วงศ์สว่าง
ถ้าคุณน้ำสะดวก ลองแวะดูที่นี่ก็ได้
หรือจะฝากซื้อก็ได้นะ
คิดค่าป่วยการไม่แพงหรอก อิอิ
เดี๋ยวจะแถมข้อความอีกบางตอนให้อ่านนะ
(ยั่วน้ำลายคุณน้ำซักหน่อย)

24 มิถุนา 2541
......ปัญหาของการภาวนาไม่ได้อยู่ที่จะได้บรรลุ
หรือรู้ถึงอะไรมากน้อยเท่าไร
แต่กลับอยู่ตรงกุญแจไขบานประตูเพื่อเข้าไปเห็น
กล่าวคือความคิดปรุงแต่งบดบังความจริงของใจไว้
ไม่ให้สัมผัสได้ นอกจากการคิดเดาเอา
ดังนั้นความคิดนั่นเองต้องถูกสัมผัส
ด้วยความไหวอ่อนแห่งความรู้ตัว
มันจึงจะเปิดช่องให้ออกไปนอกวงล้อมห่วงโซ่
ของความคิดปรุงแต่งได้

การภาวนามีจุดหมายเบื้องต้นตรงค่อยๆ
สะสมความรู้เนื้อรู้ตัว(สวสังเวทนา)
ด้วยการรู้สึกทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหวทางกาย
และลงลึกแนบแน่นกับการเคลื่อนไหวทางจิต(คิด)
ตราบจนความรู้ตัวเข้มข้นเพียงพอ เต็มตัวและไหวอ่อน
ดังไฟฟ้าพร้อมที่จะทำการงานตามธรรมชาติของมัน
เมื่อมีสื่อเชื่อมสะพาน พอสัมผัสมันก็จะทำการทันใด
ดังคุณสมบัติของฟิล์มที่ไวแสง
ทำงานฉับพลันโดยไม่เกี่ยวกับเจตนาใดๆ
มันเป็นเองของมัน
ผู้ภาวนาที่ผ่านการทำงานของมันระดับนี้
กล่าวได้ว่า สัมผัสอารมณ์(object)ลึกได้แล้ว
และเป็นการจับ(touch)ครั้งแรก
ที่จะเปลี่ยนสมุฏฐานของชีวิตไปในทางดับสนิท
ผู้ผ่านการสัมผัสนี้แล้ว จะรู้จุดหมายของการเจริญสติ
รู้อุปสรรคว่า ความสงบนิ่งไม่อาจนำมาสู่จุดนี้
และผู้รู้แล้วนั้นจะไม่กล่าวเรื่องสติลอยๆ
พูดแต่การเจริญสติล้วนๆ
โดยไม่เกี่ยวกับการจับนั้นย่อมส่อว่า
ยังไม่ผ่านประตูใจ
ไม่อาจเชื่อมโยงสู่สภาวะธรรมต่างๆได้
และการแนะนำก็เป็นเพียงการแตกตัวออก
ของรายละเอียดในการมีสติเท่านั้น
กลายเป็นเจริญสติเพื่อสติไป
(อันเป็นหนึ่งในสี่ของสมาธิ)
ไม่ใช่เพื่อละอุปาทานในขันธ์ 5


"สตินั้นเป็นสิ่งดีกว่า(ไม่มีสติ) (แต่)หาอาจละเวรได้้ไม่"
โจรผู้เฉลียวฉลาดเป็นอัจฉริยะ
ก็มีสติคราวไขกุญแจเซฟ
นักกีฬายิมนาสติคเหวี่ยงตัวตีลังกา 3 ตลบกลางอากาศ
นักว่ายน้ำผู้ว่องไวก็ล้วนเคลื่อนไหวมีสติด้วยกันทั้งนั้น
การเจริญสติจะไม่มีความหมายใดๆในการเป็นมรรค
หากไม่หมุนมาดูอาการติดยึดต่อความคิด
เมื่อหันมาดูด้วยสติด้วยสมาธิด้วยความรู้ตัวดีแล้ว
ยางเหนียวที่จับจิตอยู่ก็จะเสื่อมคลาย
ดังชุบซองจดหมายแช่ส่วนแสตมป์ลงในน้ำ
จนกาวแสตมป์เสื่อมคุณภาพ
เพียงแกะเบาๆก็หลุดออกเอง
หาไม่แล้ว ยิ่งปฏิบัติมากเท่าไร
มิจฉาสติก็จะเจริญมากขึ้น
แกะไม่ออกในที่สุด
กลายผลเป็นมิจฉาวิมุติไปได้
ผู้ปฏิบัติผิดตามคำแนะนำผิดๆ
พลอยรับบาปกันถ้วนหน้า
การภาวนานั้นมีทางเป็น 2 แพร่ง
ภาวนาถูกต้อง สว่างไปข้างหน้า (แม้มืดในเบื้องต้น)
ภาวนาผิดอาจสว่างไสวด้วยปริยัติธรรมคำพูด
แต่แล้วยิ่งเจริญยิ่งมืด
จนมืดสนิทและหลงเป็นความสว่าง

โดยคุณ ไพ วัน ศุกร์ ที่ 15 กันยายน 2543 15:15:59

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ ธาตุธรรม วัน ศุกร์ ที่ 15 กันยายน 2543 18:39:05
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ ศุภสิทธิ์ วัน จันทร์ ที่ 18 กันยายน 2543 18:35:18
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ อี๊ด วัน อังคาร ที่ 19 กันยายน 2543 16:54:16
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ น้ำ วัน พุธ ที่ 20 กันยายน 2543 20:58:14
เจอคุณไพยุเข้าอย่างนี้ ผมเลยต้องเดินเข้ามาหาที่ดวงกมล ซีคอนครับ ประกอบกับจะมาหาซื้อ ทางนฤพาน ไปฝากเพื่อนด้วย บอกก่อนว่า ทางนฤพาน หมดเสียแล้วครับ เข้าใจว่าเล่มที่ผมซื้อเป็นเล่มสุดท้ายของที่นี่แล้ว หนังสือเลอะนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร แล้วก็หยิบ แผ่นดินดับ มาเรียบร้อยครับ ไม่อยากซื้อมากเล่ม เพราะต้องแบ่งเวลามาภาวนาด้วยครับ ทุกวันนี้หาเวลามาอ่านหนังสือได้ไม่มากนัก เหตุผลอีกอย่างก็คือ "ดูหนังสือมามากแล้ว ดูจิตเสียบ้าง" ไงครับ

อีกอย่างที่ต้องสารภาพเลยคือ พักนี้ผมไม่กล้าเข้าร้านหนังสือครับ สำหรับผมแล้วการเดินเข้าร้านหนังสือ ถือเป็นความประมาทอย่างหนึ่ง เคยขนาดต้องวิ่งออกมากด ATM เพราะเงินไม่พอจ่ายมาแล้ว เที่ยวนี้ก็เกือบจะเดินหา อมตะ หนังสือรางวัลซีไรท์ปีนี้ ดีที่ยั้งใจไว้ได้ และเกรงใจเพื่อนที่รออยู่ เลยรอดตัวจากการฉีกกระเป๋าไปอีกคราวหนึ่งครับ

ตอบกระทู้ช้าไปหน่อยนะครับ ต้องขอแก้ตัวแถมคุยเสียเลยว่า เมื่อสุดสัปดาห์นี้ ผมก็ไปจำแลงแปลงกายเป็นอุบาสก หาเวลาอยู่กับตัวเองที่สำนักแม่ชีอมรี พนัสนิคมอีกแล้ว พอดีแม่ว่าง เจงว่าง เพื่อนๆว่าง ก็เลยไปกันเลยครับ เพราะตกลงกันแล้วว่าเราจะไปกันประจำ พร้อมๆกับแยกย้ายกันไปฝึกเพิ่มเติมระหว่างที่อยู่กับบ้านไปด้วย อีกหน่อยเราจะได้ไปอยู่ยาวๆให้เต็มที่สมกับเป็นอุบาสกอุบาสิกา ไม่ปวดเมื่อยโอดโอยกันให้เอน็จอนาถใจ
โดยคุณ น้ำ วัน พุธ ที่ 20 กันยายน 2543 20:58:14

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com