Author Topic: [กระทู้เก่ามาเล่าใหม่] การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของนักปฏิบัติธรรมบางท่าน โดย คุณสันตินันท์  (Read 2687 times)

Offline หงส์น้อยบ้านโค้งดารา

  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *
  • Posts: 118
  • คะแนนความนิยม: +4/-0
  • Gender: Male
เขียนไว้เมื่อ 8 มิ.ย. 2541


การปฏิบัติธรรมในทางพระพุทธศาสนานั้น มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตอย่างอัศจรรย์ที่สุดแต่เป็นเรื่องที่ผู้อื่นรับทราบ
ได้ยากเช่นเรื่องการบรรลุมรรคผลนิพพานเพราะเป็นความรับรู้เฉพาะตัว คนอื่นรู้ด้วยไม่ได้แต่ถ้าจะพิสูจน์แค่ว่า
ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาแล้วพ้นทุกข์ได้ถ้าแค่นี้ก็ท้าให้ผู้สงสัยลองปฏิบัติดูได้เสมอครับ

หรืออย่างเรื่องนรก สวรรค์ ชาติก่อน ชาติหน้า ผี เทวดาก็เป็นเรื่องที่เถียงกันไม่จบใครเคยมีประสบการณ์ที่ทำให้เชื่อ
ก็เชื่อใครเคยมีประสบการณ์ที่จะไม่เชื่อ ก็ไม่เชื่อและเวลานี้ พวกเราก็ตั้งกระทู้ทำนองนี้มากมายแล้วก็เถียงกัน
ไม่มีข้อยุติบางคนประกาศว่ามี บางคนพูดอ้อมๆ แบ่งรับแบ่งสู้ บางคนประกาศว่าไม่มี


ที่จริงมันไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าเรื่องทุกข์และการดับทุกข์หรอกครับแต่ผมเป็นห่วงว่า บางท่านสรุปเร็วไป
ถึงขนาดระบุว่ากฎแห่งกรรม หรือเรื่องชาตินี้ชาติหน้า เป็นเครื่องมือให้คนเชื่อแล้วสังคมจะได้เรียบร้อยหรือ
ปฏิเสธพระไตรปิฎกบางส่วน ว่าเป็นนิยายหลอกเด็กไปเลยซึ่งถ้าปฏิเสธเรื่องผีและเทวดา ชาติก่อน และ
ชาติหน้าพระวินัยบางข้อก็ต้องยกเลิก เช่นในข้อที่ห้ามฆ่าโอปปาติกะพระสูตรจำนวนมาก ต้องยกเลิกไป
ส่วนพระอภิธรรมก็เป็นเรื่องแสดงให้เทวดาฟัง ยิ่งไปกันใหญ่ผมเสียดายพระไตรปิฎกเหล่านี้ครับ


เมื่อเรื่องลึกลับทางจิตใจนั้น พิสูจน์ให้เห็นได้ยากผมจึงขอเสี่ยงเล่าถึงสิ่งที่เป็นของแปลก แต่เป็นรูปธรรม
สักเรื่องหนึ่งเพื่อให้พวกเราบางคนใช้ความไตร่ตรองมากขึ้นก่อนที่จะกล่าวว่า พระไตรปิฎกเป็นนิยาย นิ
ทาน อะไรนั่นเพราะในพระพุทธศาสนานั้น ยังมีสิ่งที่เราไม่เข้าใจอยู่อีกมาก


นั่นคือเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของนักปฏิบัติธรรมบางท่านที่กระดูกของท่านตกผลึกเป็นแก้ว
เรื่องนี้คนทั่วไปรู้เห็นได้ด้วยนะครับทั้งมีพยานวัตถุและบุคคลเป็นจำนวนมากในยุคนี้แต่ผมก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ว่า
 เกิดจากอะไร แต่ยืนยันว่ามีแน่และเกิดเฉพาะท่านที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเท่านั้น


ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงของกระดูกเป็นผลึกแก้วมีดังนี้ครับ

1. กระดูกส่วนที่มีรูพรุนๆ จะเป็นเร็วกว่ากระดูกแข็ง
2. มีการเปลี่ยนแปลง 2 ด้านคือ

2.1 การเปลี่ยนแปลงจากภายในกระดูก จะมีคล้ายๆ น้ำใสๆ (แต่ไม่ใช่น้ำ และไม่ใช่ของเหลวด้วย)
ค่อยๆ ผุดขึ้นจากรูพรุน พร้อมกับไล่ฟองอากาศภายในกระดูกออกมาด้วย
2.2 การเปลี่ยนแปลงจากพื้นผิวภายนอก จะเกิดคล้ายๆสารเคลือบขาวๆ คล้ายกระเบื้องเคลือบ
เคลือบตามผิวภายนอก จากนั้นจึงค่อยๆ ใสขึ้นจนเป็นผลึก
2.3 กระดูกที่พรุนๆ และมีเหลี่ยมมีมุม จะค่อยๆ ยุบตัวลง จนมน และกลม


เส้นผมก็รวมตัวได้ครับ คือจะรวมตัวเป็นกระจุกก่อน แล้วค่อยอัดตัวเป็นเม็ดทีหลัง


การแปรสภาพนี้ เร็วบ้าง ช้าบ้าง ไม่เท่ากันในแต่ละท่านผู้ที่มาพบภายหลังการแปรสภาพแล้ว
มักจะไม่เชื่อว่านั่นคือกระดูกจริงๆผมเคยเห็นอัฐิของหลวงปู่มั่นชิ้นหนึ่งที่วัดป่าสุทธาวาสเมื่อ 15 ปี
ก่อนยังเป็นแก้วครึ่งท่อน เป็นกระดูกครึ่งท่อนขณะนี้เปลี่ยนเป็นแก้วทั้งท่อนแล้ว ใครเห็นก็อาจไม่
เชื่อว่าเป็นกระดูกจริงๆ


ผมจึงยอมเสี่ยงเล่าเรื่องนี้เพื่อบอกพวกเราว่า อย่าเพิ่งรับหรือปฏิเสธอะไรง่ายๆ เลยในพระพุทธศาสนาโดย
เฉพาะเรื่องของจิตนั้น มีสิ่งลึกซึ้งอยู่มากแค่กระทั่งเรื่องกระดูกตกผลึกในท่านผู้ปฏิบัติดี
เรายังไม่รู้กันเท่าไหร่เลยทั้งที่มีอยู่มากมายในหมู่พระป่า


ขณะนี้ผมไปได้อัฐิชิ้นหนึ่งของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้งมาจากท่านผู้อาวุโสสูงในวงปฏิบัติกรรมฐาน
องค์หนึ่งได้มาราวๆ 1 เดือนนี้เอง ตอนที่ได้มาท่านเก็บไว้ในขวดโหลยังเป็นชิ้นกระดูกธรรมดาดำๆ
แต่ขณะนี้กำลังแปรสภาพอย่างรวดเร็วครับใครอยากเห็นกระดูกในระหว่างการตกผลึกก็นัดมาขอดูได้ที่บ้านผม

ที่เล่ามานี้ก็ตามประสบการณ์ท่านจะว่าโง่งมงายก็สุดแล้วแต่ท่านครับและความจริงเรื่องของภพภูมิต่างๆ
 ก็พอจะพิสูจน์ได้แต่ลำบากตรงที่ว่า ไม่ใช่คนทำสมาธิทุกคนจะรู้เห็นได้

(มีต่อ)

« Last Edit: Fri 19 Nov 10, 19:46:10 by หงส์น้อยบ้านโค้งดารา »
หัดรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง

Offline หงส์น้อยบ้านโค้งดารา

  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *
  • Posts: 118
  • คะแนนความนิยม: +4/-0
  • Gender: Male
(ต่อ)


ขอบพระคุณทุกท่านครับ ที่มองผมด้วยความเมตตาเจตนาจริงๆ ต้องการบอกน้องๆ รุ่นใหม่ๆ เท่านั้นว่า
การปฏิเสธสิ่งที่ประสบการณ์ของเรายังเข้าไม่ถึงนั้น น่าจะไม่ถูกต้องทั้งหมดแต่น่าจะแขวนเรื่องนั้นไว้ก่อน
เรื่องพระธาตุจริงๆ ไม่เกี่ยวกับเรื่องมรรคผลนิพพาน  แต่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เราเห็นว่า
พลังงานบางอย่างมีอยู่แล้ว ผมก็ไม่ได้มุ่งหวังจะใช้เรื่องนี้พิสูจน์เรื่องชาตินี้ชาติหน้า
สิ่งสำคัญที่สุดคือการปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ในปัจจุบันแต่ก็ไม่อยากให้ดูถูกภูมิปัญญาของท่านที่สืบทอด
พระไตรปิฎกจนมาถึงมือรุ่นของเรา

ถ้าเราใช้วิธีอ้ำอึ้ง หลีกเลี่ยงการตอบเสียทุกคน นานไปคนก็จะยิ่งคลางแคลงมากขึ้นทุกทีราวกับว่าภูมิรู้เหล่านั้น ไม่มีจริงเอาเสียเลย
ความจริงอย่าว่าแต่เรื่องพระธาตุเลย แม้แต่เรื่องอภิญญาก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่ไม่มี ที่ดาษดื่นมากก็เช่นเรื่องเจโตปริยญาณและอนาคตังสญาณ
ที่ถึงขั้นลอยตัวได้ก็มี องค์หนึ่งที่ผมรู้จักเวลาท่านเข้าสุญญตสมาบัตินั้น บางครั้งร่างกายหายไปเลย ที่เล่านี้ไม่ต้องการให้เชื่อ
เพราะถ้าเชื่อโดยไม่ได้พิสูจน์ก็คือไม่ฉลาด และไม่ใช่ทางของมรรคผลนิพพานด้วย แค่จะบอกว่า สิ่งที่ประสบการณ์เราเข้าไม่ถึงน่ะ
แขวนไว้ก่อนดีกว่า อย่าด่วนตำหนิว่าพระไตรปิฎกเป็นนิทานหลอกเด็กอย่างแน่นอน

****************************************************

เรื่องกายทิพย์จริงๆ ไม่มีหรอกครับ เพียงแต่จิตเมื่อต้องการสื่อสารกับผู้อื่น หรือแสดงตัวเองออกมา มันสามารถสร้างรูปขึ้นมาได้
ไม่ใช่ว่าพอตาย กายทิพย์ออกจากร่างไปเกิดใหม่นะครับ ส่วนเรื่องระลึกชาตินั้น จริงๆ แล้วจิตมีคุณสมบัติที่จะเก็บความจำ (สัญญา)
บางส่วนไว้ได้ เมื่อจิตสงบในระดับหนึ่งที่ไม่ลึกเกินไป จนถึงระดับฌานแล้ว ถ้าจิตนั้นมีความสนใจใคร่รู้ มันจะขุดคุ้ยเข้าไปที่ฐานข้อมูล
ผมไม่ทราบว่าตรงนั้นภาษาปริยัติจริงๆ เรียกว่าอะไรแต่พวกนักปฏิบัติมักเรียกว่า ภวังค์ พระอริยบุคคลบางรูป จะระลึกได้มาก
แต่คนทั่วไป บางคนพอจะระลึกได้บ้าง แต่จะจำได้เฉพาะเรื่องที่รุนแรงมากๆ เช่นเรื่องที่เคยเป็นใหญ่เป็นโต หรือเคยตกต่ำถูกไล่ฆ่า เป็นต้น

************************************************************************************
ผมว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แต่เมื่อท่านถามก็จำต้องเล่าให้ทราบครับ
ผมก็สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิธรรมดาแหละครับ ไม่มีพิเศษอะไรเลย ที่จริงแล้วพลังงานที่เปลี่ยนกระดูกนั้น
เป็นของท่านเจ้าของครับ ผมเคยสังเกตว่า กระดูกของพระที่มีศีลธรรมมักจะดูหมดจด
แม้จะไม่ถึงขั้นเป็นพระธาตุก็ตามซึ่งอาจจะเป็นได้ 2 ทางคือ ทางแรกพลังงานของจิตที่บริสุทธิ์ได้ฟอกธาตุให้ขาว
ขึ้นเพราะเวลาจิตสงบ หรือถ้าจิตรู้ตัวจริงๆ จะมีแสงสว่างออกมามากมันอาจฟอกร่างกายได้

อีกทางหนึ่งอาจเป็นเรื่องทางวัตถุ คือคนที่จิตเบิกบานปล่อยวางนั้น ร่างกายมีความสงบสบาย กระดูกเลยสะอาดส่วนคนอารมณ์ร้าย กิเลสหนา
ร่างกายอาจปล่อยสารพิษออกมาก็ได้กระดูกจึงไม่สะอาด (เช่นคนร้องไห้เพราะทุกข์โศก มักจะตาบวมแดง เพราะมีสารพิษแต่คนที่น้ำตาไหลเพราะผงเข้าตา
ถ้าไม่ขยี้ก็ไม่บวม เคยอ่านหนังสือของหมอเขาว่าพออารมณ์ร้าย ก็มีสารพิษขึ้นในกาย) ผมว่าพวกเราบุญทุกคนแหละครับที่ได้เจอพุทธศาสนา
แล้วสนใจศึกษากันจะเป็นปริยัติหรือปฏิบัติ ก็เป็นประโยชน์ต่อตัวเราและต่อศาสนาทั้งนั้นแล้วก็บุญที่ได้มาเจอญาติพี่น้องที่สนใจธรรมในกลุ่มห้องสมุดนี้ด้วย

*********************************************************************************

ผมดีใจที่น้องๆ จะสนใจพิสูจน์พุทธศาสนาให้กระจ่างไปเลยเพราะผมทราบว่า ธรรมชาติของปัญญาชนรุ่นใหม่นั้นต้องการ
ความชัดเจนอย่างถึงที่สุด  การที่สงสัยว่าพระไตรปิฎกเป็นนิทานหลอกเด็ก หรือสงสัยว่ากฏแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด
เป็นแค่เครื่องมือทางจริยธรรมหรือสงสัยว่าอภิญญาต่างๆ เป็นแค่การเพิ่มสีสันในพระไตรปิฎกแล้วอาจพาลไปสงสัยพระปัญญาตรัสรู้เข้า
ในที่สุดมันก็น่าสงสัยจริงๆ ครับ เมื่อก่อนผมก็สงสัยเหมือนน้องๆ นั่นแหละแล้วก็ลงมือปฏิบัติธรรมเอาเป็นเอาตายเพื่อพิสูจน์ความจริง
จนกล้าสรุปว่า พระธรรมคำสอนของท่านถูกต้องแท้จริง อริยสัจจ์นั้น เป็นธรรมที่ไม่มีสิ่งต่อต้าน แม้แต่สิ่งลึกลับ จริงๆ ไม่ได้ลึกลับเลย
แค่คนทั่งไปยังเข้าใจไม่ถึงเท่านั้นเหมือนที่เจ้าคุณประยุติ กล่าวไว้เปี๊ยบเลย

มีวิธีปฏิบัติอย่างหนึ่งที่ทำได้ไม่ยากนักเป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพานด้วยมีของแถมให้เข้าใจเรื่องภพภูมิ กฎแห่งกรรมและอภิญญาด้วย
ที่สำคัญไม่ต้องเข้าสมาธิลึกถึงขั้นฌานด้วยนั่นคือ "จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน"หากแต่ละคนพากเพียร "ดูจิต" ตนเองเรื่อยไป
จนอ่านจิตตนเองออกแล้ว ก็จะอ่านจิตคนอื่นออกด้วยเช่นรู้ว่าจิตของตนมีราคะ โทสะ โมหะ หรือไม่มีรู้ว่าจิตสงบ หรือฟุ้งซ่าน
และรู้อารมณ์ทั้งปวงที่กำลังปรากฏต่อมาเราแผ่ความรู้สึกให้กว้างขึ้น เราก็จะรู้อารมณ์จิตของคนอื่นได้ด้วยไม่ยากเลยครับ
และเมื่อรู้จิตคนอื่นที่เป็นๆ ได้แล้วการจะระลึกรู้จิตคนที่ตายไปแล้ว ก็ไม่ยากเพราะคนเป็นกับคนตายมีขันธ์ 5
เหมือนกันแม้รู้จะไม่มีธาตุ 4 ให้เราเห็นได้ด้วยตาและเราไม่มีทิพยจักษุที่จะดูรูปละเอียดแต่ในส่วนของนามธรรมนั้น เป็น
อันเดียวกันเลยเราสามารถรู้ได้ไม่ยากถ้าตายแล้วสูญ เขาย่อมไม่มีนามธรรมนั้นเหลืออยู่
แต่เมื่อดูจิตตนเองเป็นแล้ว อย่าเอาแต่รู้ภายนอกนะครับงานใหญ่คืองานปลดเปลี้องจิตตนเองออกจากทุกข์

*********************************************************************************

ผมเห็นว่าสิ่งที่ผมเขียนไว้ยังไม่สมบูรณ์อีกส่วนหนึ่งคือเมื่อเฝ้าเจริญสติรู้จิตตนเองเรื่อยๆ ไปนั้น
อันนั้นดีที่สุดเพราะตรงทางพุทธศาสนา แต่ถ้าจิตเกิดส่งออกรู้ภายนอก บางครั้งอาจเห็น
สิ่งที่น่ากลัวต้องมีหลักให้ดีครับ คือถ้าไม่อยากเห็นมันก็ย้อนกลับมาดูจิตตนเองหาก
มันเป็นภาพหลอนที่จิตสร้างขึ้น พอย้อนออกไปดูใหม่มันจะหายไปแล้วหากไม่หายไป
ถ้ากลัวก็กลับเข้ารู้ตัวไว้ ไม่มีอันตรายหรือถ้าจะใจดีแผ่เมตตาก็ได้ สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่
การเจริญสติสัมปชัญญะเฝ้ารู้จิตตนเองเรื่อยๆ ไปครับเพียงแต่มีผลพลอยได้ในการพิสูจน์ถึง
สิ่งอื่นด้วย(เฉพาะคนช่างสงสัย)คงจบกระทู้นี้ได้แล้วล่ะครับเพราะสิ่งที่อยากบอกก็บอกน้องๆ
ไปหมดแล้วนับตั้งแต่

(1) อย่าเชื่อหรือปฏิเสธสิ่งที่ยังพิสูจน์ด้วยตนเองไม่ได้
(2) การเจริญสติปัฏฐานเพื่อความพ้นทุกข์ ในส่วนที่ง่ายต่อการพลิกแพลงมาพิสูจน์สิ่งที่เราลังเลสงสัยอยู่

ขอบคุณครับ

« Last Edit: Fri 19 Nov 10, 19:47:43 by หงส์น้อยบ้านโค้งดารา »
หัดรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง

Offline nitivit

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 73
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • Gender: Male
  • ดูอย่างเดียว
ขอบคุณครับ _/|\_
อัฐิธาตุ เป็นเหมือนรอยเท้าของท่านผู้เดินตามหนทางของพระพุทธเจ้า
ท่านได้ทิ้งรอยเท้านี้เพื่อให้เราได้เดินตาม
ทุกครั้งที่เราได้กราบ ได้ระลึกถึง จะได้มีศรัทธาในคุณของพระธรรม
ว่ายังมีอยู่จริง ปฏิบัติจริง ก็ได้ผลจริง
ไม่ใช่ ไปกราบพระธาตุแล้วขอให้ได้บุญ ขอให้ได้ไปนิพาน
"สติจำเป็นในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ" หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช