Author Topic: เมื่อถึงทางตันที่คุณลุงถนอมเคยกล่าวไว้  (Read 27858 times)

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
ด้วยความยินดีครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับ _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline Lily

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 56
  • คะแนนความนิยม: +2/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
สวัสดีค่ะ คุณลุงถนอม  _/|\_

แวะมาทักทายด้วยความละลึกถึง  ;D ไม่มีอะไรมารบกวนค่ะ ภวนาก็เรื่อยๆค่ะ ช่วงนี้ รู้ไปเรื่อยๆ สภาวะก็เหลือแค่ 1.หลงไปเลย 2.รู้แบบเป็นธรรมชาติ ความเป็นเราไม่มี 3. รู้แบบจงใจ น้อมไป ยังมีเราเป็นผู้กระทำ การรู้ก็รู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นบ้าง เคลื่อนออกไปรู้บ้าง ไปโล่งๆว่างๆบ้าง
ช่วงนี้ค่อนข้างดีขึ้นค่ะ ช่วงก่อนเห็นแต่ทุกข์ ใจก็ดิ้นรนค้นคว้า พยายามทำให้เป็นกลางบ้าง เพราะอยากหนีทุกข์ ทำๆๆจนยอมแล้วเพราะรู้ว่าทำไม่ได้ พอยอมรับใจกลับเป็นกลางขึ้นมาบ้าง ดิ้นรนน้อยลงเพราะยอมรับ แต่ก็ไม่ได้อะไรค่ะรู้เดี๋ยวมันก็ผ่านวนไปวนมา ก็รู้ไปเรื่อยๆค่ะ  ;D
ทำการบ้านไว้ไปส่งหลวงพ่อท่าน กะว่าจะซัก 6 เดือนส่งครั้งแล้วค่ะ พอจับหลักได้บ้างแล้ว ที่ผ่านมาก็ส่งการบ้านมาเรื่อยๆค่ะ ก็มีพัฒนาการมาเรื่อยๆหลวงพ่อท่านเมตตาเหลือเกินค่ะ เรียกลิลลี่เกือบทุกครั้งจริงๆที่ยกมือ มีแค่ครั้งเดียวที่ท่านไม่เรียก นั่งไกลข้างหลังตลอดมาไม่ทันนั่งข้างหน้า ท่านก็เมตตาเรียกตลอด ก็นึกขำๆว่าท่านคงสารเห็นว่าจะตกนรกเอา อิอิ

ไปดีกว่าเข้ามาโม้กวนลุงถนอมนานแล้ว บะบายค่ะ  ;D
ลิลลี่สีชมพู

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
อนุโมทนาสาธุครับ _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline Lily

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 56
  • คะแนนความนิยม: +2/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
สวัสดีวันสงกรานต์ค่ะลุงถนอม  _/|\_

แวะมาทักท่ายค่ะ ;) คุยเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับการภวนาค่ะ ช่วงนี้ก็ สติไม่ค่อยเกิด ความตั้งมั่นไม่ค่อยมีค่ะ แต่ก็ฝึกซ้อมทุกวันค่ะ
ใจก็พอมีความเป็นกลางกับสภาวะที่สติไม่ค่อยเกิด หลงนาน พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็พอรับได้ค่ะ ไม่ยินร้ายเท่าไร ก็เริ่มต้นดูต่อไป
ช่วงเย็นก็ไปเดินจงกรม วันพระก็ไปทำวัดเย็น สลับกันไปค่ะ สภาวธรรมยึดอะไรเอาไว้ไม่ได้สักสภาวะนะคะ แม้สติ สามธิ ก็มิเที่ยงแท้ให้ยึด
เห็นไตรลักษณ์โดยการเปรียบเทียบ เจือคิดอยู่ค่ะ แต่ก็พัฒนาจิตให้ยอมรับความจริงได้บ้าง
ลิลลี่รบกวนถามคำถามค่ะ
1. การเห็นไตรลักษณ์โดยการยังใช้การเปรียบเทียบอยู่ ก็เกื้อต่อการเจริญปัญญาได้เช่นกัน เข้าใจถูกมั้ยคะ

2. ลิลลี่ไม่เห็นไตรลักษณ์แบบที่เห็นจิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นดับไปแบบที่สันตติขาดที่ละขณะๆ แต่เห็น ขันธ์แต่ละขันธ์แยกกันออกเป็นส่วนๆ แล้วก็มีจิตที่ละลึกรู้
ส่วนใหญ่จะเห็นแค่สติละลึกรู้สิ่งที่ถูกรู้ดับลง แล้วก็เปลี่ยนจากขณะทีสติเกิดเป็นหลง แล้วก็รู้สึก สลับกันไปต่อเนื่อง ช่วงที่ตั้งมั่น ก็เห็นชัดว่ามันเป็นคนละขณะ
สิ่งที่ถูกรู้จะดับลงก่อนสติดับลงแต่มันก็ต่อเนื่องกันไวมากเหมือนเกิดพร้อมกัน (เห็นแต่ดับไม่เห็นเกิด) เห็นได้แบบนี้แม้ไม่เห็นสันตตติขาด ก็เดินไปต่อได้เหมือนกันใช่มั้ยคะ คือยังอาศัยการเปรียบเทียบ คือ มันยังเจือด้วยการคิดว่าเมื่อเห็นสิ่งถูกรู้ดับ( เห็นได้จริง) สติเกิดขึ้นมา ( ไม่เห็นจริงๆเปรียบเทียบเอาว่าสิ่งถูกรู้ดับ สติเกิด ) จะเห็นอีกทีก็ตอน สติดับลง แล้วก็เป็นหลง ไป

3. คือ ไม่ได้กังวลอะไรหรอกค่ะ ก็เห็นเท่าที่เห็นได้  แต่อยากได้ความรู้ว่า เห็นแบบ แยกออกเป็นส่วนๆ ว่ามันก็เดินอยู่ในทางไปต่อได้เช่นกันนะคะ
เพราะมีกัลยาณมิตรบางท่านสอนว่า เห็นแบบนี้ก็ไปได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเห็น สันตติขาด บางคนเห็นสันตติขาดตอนเกิดอริยะมรรคเลยก้มีแล้วแต่คน
แต่มีบางท่านกล่าวว่าจะขึ้นวิปัสสนาแท้ๆได้ หรือ เกิดอริยะมรรคได้ต้องเห็นเกิดดับแบบสันนติขาดเท่านั้น คือ ลิลลี่สับสนค่ะด้วยปัญญาน้อยนิดที่ไม่เคยเรียนปริยัติเลย เลยมาขอความกรุณาไว้เป็นความรู้ค่ะ

4. เท่าที่เห็นทุกข์มา ภวนามาเรื่อยๆ เจริญแล้วเสื่อมๆ ใจก็ค่อยๆวางได้นิดหน่อยค่ะ ว่าไม่คอยจะดิ้นรนหนีทุกข์เอาสุข เพราะรู้ก็สุขก็ยึดไม่ได้เดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นทุกข์ได้อีก ( วางได้นิดหน่อยค่ะ อิอิ เป็นบางขณะ )

ขอบพระคุรค่ะ  _/|\_

ลิลลี่สีชมพู

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
Quote
สวัสดีวันสงกรานต์ค่ะลุงถนอม  _/|\_
สวัสดีครับ  _/|\_

Quote
ช่วงนี้ก็ สติไม่ค่อยเกิด ความตั้งมั่นไม่ค่อยมีค่ะ แต่ก็ฝึกซ้อมทุกวันค่ะ ใจก็พอมีความเป็นกลางกับสภาวะที่สติไม่ค่อยเกิด หลงนาน พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็พอรับได้ค่ะ ไม่ยินร้ายเท่าไร ก็เริ่มต้นดูต่อไป
อนุโมทนาครับ  _/|\_

Quote
ช่วงเย็นก็ไปเดินจงกรม วันพระก็ไปทำวัดเย็น สลับกันไปค่ะ สภาวธรรมยึดอะไรเอาไว้ไม่ได้สักสภาวะนะคะ แม้สติ สามธิ ก็มิเที่ยงแท้ให้ยึด
อนุโมทนาครับ  _/|\_

Quote
การเห็นไตรลักษณ์โดยการยังใช้การเปรียบเทียบอยู่ ก็เกื้อต่อการเจริญปัญญาได้เช่นกัน เข้าใจถูกมั้ยคะ
เข้าใจถูกนะครับ แต่ตอนนี้ขอให้เป็นการเปรียบเทียบที่จิตเขาทำเองนะครับ ไม่ต้องไปช่วยจิตเขาเปรียบเทียบนะครับ คือ หากว่าต่อจากนี้ไป จิตเขาเห็นแค่สภาวะบางอย่างมีอยู่ ก็แค่รู้ว่าอะไรบางอย่างนั้นมีอยู่ จิตเขาเห็นสภาวะบางอย่างหายไปแล้ว ก็แค่รู้ว่าอะไรบางอย่างนั้นหายไปแล้ว เท่านั้นนะครับ แต่ถ้าจิตเขาจะเปรียบเทียบ เขาจะคิด เขาจะระลึกถึงสภาวะนั้นในอดีต ก็แค่รู้ตามไปครับ ว่าจิตเขาทำของเขาเอง

Quote
ลิลลี่ไม่เห็นไตรลักษณ์แบบที่เห็นจิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นดับไปแบบที่สันตติขาดที่ละขณะๆ แต่เห็น ขันธ์แต่ละขันธ์แยกกันออกเป็นส่วนๆ
แค่นี้ก็เห็นว่า "สิ่งที่เป็นตัวเรา" นั้นไม่มีอยู่จริง เห็นเป็นไตรลักษณ์แล้วล่ะครับ แค่นี้ก็พอแล้วครับ (แต่ต้องให้จิตเขาเห็นของเขาเองนะครับ) อนุโมทนาครับ  _/|\_

Quote
แล้วก็มีจิตที่ละลึกรู้ ส่วนใหญ่จะเห็นแค่สติละลึกรู้สิ่งที่ถูกรู้ดับลง แล้วก็เปลี่ยนจากขณะทีสติเกิดเป็นหลง แล้วก็รู้สึก สลับกันไปต่อเนื่อง
นี่ก็เห็นได้เยี่ยมยอดแล้วนะครับ (เห็นเยี่ยมยอด = เห็นอย่างยิ่ง = วิปัสสนา แล้วนะครับ วิปัสสนา แปลว่า เห็นอย่างยิ่ง แปลเป็นสำนวนไทย คือ เห็นอย่างเยี่ยมยอด ก็คือ เห็นตามความเป็นจริง) อนุโมทนาครับ  _/|\_ เก่งกว่าลุงถนอมเสียอีกแน่ะครับ  ;D

Quote
ช่วงที่ตั้งมั่น ก็เห็นชัดว่ามันเป็นคนละขณะ สิ่งที่ถูกรู้จะดับลงก่อนสติดับลงแต่มันก็ต่อเนื่องกันไวมากเหมือนเกิดพร้อมกัน
ก็ถูกนะครับ แต่ถ้าให้พูดยิ่งกว่า พูดตามตำราก็ต้องบอกว่า จิตที่ไปรู้สภาวะดับลง เกิดจิตอีกดวงหนึ่งที่รู้จิตดวงก่อนที่ไปรู้สภาวะ... กลายเป็นจิต 2 ขณะ แต่ในการภาวนาของจริง เราเห็นเหมือนเป็นขณะเดียวกัน ต่อเนื่องมา แล้วมาเห็นดับลงไป เท่านี้ก็พอแล้ว เพราะสาระสำคัญไม่ใช่ต้องเห็นการดับจริงทุกๆขณะ แต่สาระสำคัญอยู่ตรงที่ได้เห็นตามความเป็นจริงว่า "สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไป" เราเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น (แม้แต่ความเป็นตัวเรา แม้แต่ตัวจิต) เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ดับลงไป เสมอๆ ครับ

Quote
(เห็นแต่ดับไม่เห็นเกิด)
ก็ไม่จำเป็นต้องเห็นทั้งเกิดและดับ และที่จริงแล้วส่วนใหญ่ก็จะเห็นแต่ดับ ไม่เห็นเกิด นะครับ เพราะต้องสังเกตเห็น "มี" เสียก่อน แล้วจึงสังเกตเห็นว่า "ไม่มี" ตามไป และจะบอกว่า เห็นแค่มีอยู่แล้วดับๆ แบบนี้ ก็เพียงพอที่จะเข้าอริยมรรคได้ หากมรรคองค์อื่นๆพร้อม และสติระลึกรู้งวดเข้ามาๆจนถึงตัวจิต(เข้ามาเองนะครับ ไม่มีความจงใจ) อริยมรรคก็พร้อมจะเกิดแล้วนะครับ (แต่จะเกิดจริงหรือไม่ เกินปัญญาลุงถนอมแล้วนะครับ เรื่องในวงเล็บนี้ ต้องถามท่านผู้รู้ตัวจริงครับ ลุงถนอมเป็นผู้รู้ตัวปลอม เป็นแค่ของเทียมเลียนแบบครับ)

Quote
เห็นได้แบบนี้แม้ไม่เห็นสันตตติขาด ก็เดินไปต่อได้เหมือนกันใช่มั้ยคะ
ที่เห็นเนี่ย เขาเรียกว่าเห็นความสืบเนื่องมันขาดตอนลงไปแล้วนะครับ สันตติ คือ ความสืบเนื่อง เราเห็นว่าสิ่งหนึ่งมีอยู่แล้วดับไป (หรือหายไป) แล้วเดี๋ยวก็มีสิ่งๆหนึ่งปรากฎขึ้น ไม่เรียกว่านิยายรักขาดตอน แล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะครับ  ;D ก็ได้เห็นสันตติมันขาดลงไปแล้วนั่นล่ะครับ

Quote
ก็เดินไปต่อได้เหมือนกันใช่มั้ยคะ คือยังอาศัยการเปรียบเทียบ คือ มันยังเจือด้วยการคิดว่าเมื่อเห็นสิ่งถูกรู้ดับ( เห็นได้จริง) สติเกิดขึ้นมา ( ไม่เห็นจริงๆเปรียบเทียบเอาว่าสิ่งถูกรู้ดับ สติเกิด ) จะเห็นอีกทีก็ตอน สติดับลง แล้วก็เป็นหลงไป
เดินต่อไปได้แล้วนะครับ เพียงแต่ไม่ต้องช่วยจิตคิดอีกต่อไปแล้วนะครับ และหากผมเข้าใจไม่ผิดนะครับ ประเด็นนี้น่าจะเป็นว่าคุณ Lily ได้ย้อนกลับไประลึกถึงสภาวะที่เพิ่งเห็นสดๆร้อนๆมากกว่านะครับ แบบว่า พอเห็นแล้วก็ย้อนกลับไประลึกถึงสิ่งที่เห็น (แล้วบางทีก็เติมความเห็นลงไปกับปรากฏการณ์ที่เพิ่งเห็นมาสดๆร้อนตรงนั้น) ตรงนี้แก้ไม่ได้นะครับ จิตเขาทำไปเองตามวาสนา (บุคลิกนิสัยที่ทำมาจนเป็นประจำ) มันเลิกไม่ได้ครับ ก็แค่รู้ไป ว่าจิตเขาทำของเขาเอง

Quote
เมื่อเห็นสิ่งถูกรู้ดับ( เห็นได้จริง) จะเห็นอีกทีก็ตอน สติดับลง แล้วก็เป็นหลงไป
ความจริงแล้ว เห็นเท่านี้ก็พอนะครับ เพียงพอแล้วจริงๆ ที่เหลือก็คือ เพียรให้สม่ำเสมอ ไม่ทิ้ง เท่านั้นเองครับ แล้วทำไปให้เหตุนั้นพอสมพอควรกับผล จิตก็จะเข้าอริยมรรคได้เอง (คือเข้าโดยปราศจากความจงใจ)เลยนะครับ

Quote
คือ ไม่ได้กังวลอะไรหรอกค่ะ ก็เห็นเท่าที่เห็นได้  แต่อยากได้ความรู้ว่า เห็นแบบ แยกออกเป็นส่วนๆ ว่ามันก็เดินอยู่ในทางไปต่อได้เช่นกันนะคะ
นี่เป็นวิธีการเจริญสติปัฏฐาน เจริญปัญญา อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนนะครับ ที่เรียกว่า วิพัชวิธี ใครจะกล้ามาบอกว่าไม่พอ เจริญวิปัสสนาม่ได้ ก็บอกมาครับ ไม่มีใครกล้าว่าหรอกครับว่า ทำตรงนี้ไม่อยู่ในทาง ต้องทำอย่างอื่น ก็บอกมาครับ

Quote
เพราะมีกัลยาณมิตรบางท่านสอนว่า เห็นแบบนี้ก็ไปได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเห็น สันตติขาด บางคนเห็นสันตติขาดตอนเกิดอริยะมรรคเลยก้มีแล้วแต่คน
ใช่ครับ แล้วสันตติขาดตอนก่อนเกิดอริยมรรค ก็คือ เห็นจิต(แท้ๆ)เกิดดับ เห็นเองนะครับ สติไปจดจ่อกับจิตผู้รู้ แล้วเห็นจิตผู้รู้เกิดแล้วก็ดับ ขาดไป(สันตติขาด) ความรู้สึกว่าจิตผู้รู้เป็นตัวเราถูกตัดทำลายตรงนั้นเลย จิตก็จะเดินอริยมรรคเอง

Quote
แต่มีบางท่านกล่าวว่าจะขึ้นวิปัสสนาแท้ๆได้ หรือ เกิดอริยะมรรคได้ต้องเห็นเกิดดับแบบสันนติขาดเท่านั้น
เขาก็พูดถูกนะครับ แต่เป็นไปตามที่อธิบายข้างบนนะครับ บางท่านแค่เห็นว่า "เราเป็นสิ่งที่ถูกรู้" พอเห็นจนพอ จิตเองเลิกสนใจ "เรา" ไปสนใจในสิ่งที่ยึดถือเป็นเรา ไปเห็นสิ่งที่ยึดถือเป็นตัวเราแน่นหนามัน "เกิดแล้วก็ดับ" จิตก็เดินอริยมรรคทันทีเลยครับ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะสะสม ศีล สมาธิ และปัญญา มาแก่กล้าพอแล้ว พอเห็นความจริงเพิ่มเติมอีกนิดเดียว สังโยชน์ก็ขาดด้วยปัญญา ด้วยอริยมรรค เกิดอริยผล เลยครับ

Quote
ลิลลี่สับสนค่ะด้วยปัญญาน้อยนิดที่ไม่เคยเรียนปริยัติเลย เลยมาขอความกรุณาไว้เป็นความรู้ค่ะ
รู้แล้ว ก็วางทิ้งไปเลยนะครับ ไม่สำคัญ (สำคัญแค่พอให้หายรำคาญใจเท่านั้นครับ) เดินหน้าภาวนาตามทางของตน (ที่อยู่ในทางที่พระพุทธเจ้าท่านชี้ไว้ให้) ต่อไปครับ

Quote
เท่าที่เห็นทุกข์มา ภวนามาเรื่อยๆ เจริญแล้วเสื่อมๆ ใจก็ค่อยๆวางได้นิดหน่อยค่ะ ว่าไม่คอยจะดิ้นรนหนีทุกข์เอาสุข เพราะรู้ก็สุขก็ยึดไม่ได้เดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นทุกข์ได้อีก ( วางได้นิดหน่อยค่ะ อิอิ เป็นบางขณะ )
เก่งกว่าลุงถนอมตั้งเยอะแน่ะ  :D ขอให้เพียรเข้านะครับ อย่าตึงอย่าหย่อน จนเกินไป
ขอให้เจริญในธรรมครับ  _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline Lily

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 56
  • คะแนนความนิยม: +2/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
สวัสดีค่ะลุงถนอม  _/|\_

แล้วก็ขอบพระคุณมากมายจริงๆที่กรุณาให้ความรู้ ความเข้าใจให้เพิ่มมากขึ้น  _/|\_
1.ตามวาสนาอย่างที่ลุงถนอมบอกจริงๆค่ะ ปรกติแล้วฟุ้งซ่านเก่งมากตั้งแต่ยังไม่เริ่มภวนาแล้วค่ะ (ถูกเป๊ะเลยค่ะสภาวะที่กลับไปย้อนคิด) ตอนหัดภวนาแรกๆรู้สภาวะแล้วก็ผ่านไปไม่ค่อยย้อนคิด หลังๆที่ภวนาเห็นสภาวะละเอียดเข้าเป็นขณะๆจิตชอบย้อนกลับไปคิด ไปย้อนละลึก เปรียบเทียบแบบจะสรุปว่ามันคืออะไรบ้าง หรือปะติบปะต่อไปเรื่อย สงสัยบ้าง พอรู้สึกตัวก็รู้หลงไปแล้ว

2. ที่ไปพยายามคิดเปรียบเทียบเอา ส่วนนึงจากความโง่เขลาของลิลลี่เองด้วยค่ะ ก่อนหน้าที่จะมาถามลุงถนอมเข้าใจว่า ที่หลวงพ่อเคยเทศว่าถ้ามันไม่เห็นไตรลักษณ์ให้ช่วยมันคิดพิจราณา ก็ช่วยมันใหญ่เลย แต่พอช่วยมันคิด(หลงไปคิด)สติมันก็ละลึกตามไปของมัน  อิอิ นึกว่าตนเองภวนาสันตติยังไม่ขาด ยังไม่เห็นไตรลักษณ์ ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา ถ้าไม่เห็นจิตเกิดและดับทีละดวงๆ คือ ไม่เห็นไตรลักษณ์ ยังไม่ขึ้นวิปัสสนาแท้ๆ ไม่เคยเข้าใจเลยว่าขันธ์แต่ละขันธ์แยกออกไปเป็นส่วนๆไม่มีตัวเรา นั่นก็คือการเห็นไตรลักษณ์เหมือนกัน เพราะเริ่มภวนาได้ไม่นาน มันก็แยกออกเป็นส่วนๆให้ดูชัดๆโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ช่วยมันคิดด้วย มันแยกของมันเองให้ดูเฉยเลย เดินก็เหลือแค่กระทบแข็งๆเป็นจังหวะ จิตรู้เวทนาเป็นขณะๆไม่มีตัว เห็นอะไรไปเร่ือยเปื่อยเยอะแยะ หลับฝันสติก็ยังตามละลึกรู้ได้ ก็เลยนึกว่าการเห็นไตรลักษณ์มันต้องยากๆคือ เห็น จิตแต่ละดวงเกิดดับ ( ภวนาไปเรื่อยๆเวลาไปส่งการบ้าน ก็เอาสภาวะไปส่ง หรือถามเมื่อติดปัญหา ไม่เคยถามหลวงพ่อเรื่องอย่างนี้อ่ะค่ะ กลัวเสียเวลาท่านค่ะ แล้วท่านก็บอกแค่ ไปทำต่อ หรือ ให้รู้แบบนี้นะ คือแนะแค่การภวนา ไม่เคยบอกอะไรลิลลี่เลยอ่ะค่ะ ว่าขึ้นวิปัสสนาแล้ว สันตติขาดแล้ว หรือ เดินปัญญาแล้วนะ ) ลิลลี่โง่เองแหระค่ะ แต่ก็ขอบพระคุณลุงถนอมจริงๆค่ะกระจ่างบ้างแล้วค่ะ  ;D

3. น่าอายในความโง่เขลา อย่างที่เคยบอกค่ะ สภาวะต่างๆเห็นจริงแต่เรียกไม่ถูกซักอัน บอกได้แต่อาการที่มันเป็น อิอิ  ;D

4. ลุงถนอมถ่อมตนเหลือเกินค่ะ ไม่จริงเลย ถ้าลุงถนอมไม่ผ่านทางไปก่อนจะตอบปัญหาของลิลลี่ได้เช่นไร จะเข้าใจได้อย่างไรว่าลิลลี่ถามอะไร ภวนาเจอสภาวะอะไร เพราะสิ่งที่ลิลลี่ถามถ้าไม่เห็นสภาวะจริงๆย่อมถามแบบนี้ไม่ได้แน่ และถ้าผู้ที่ไม่ภวนาผ่านทางไปก่อนไม่มีทางทราบว่าลิลลี่ติดอะไร ถามอะไร 

5. ยังยืนยันค่ะ ไม่ทิ้ง มีท้อ แต่ไม่มีถอย ขอบพระคุณจริงๆค่ะ เวปธรรมดาเป็นส่วนหนึ่งของกำลังใจให้ก้าวเดินต่อบนเส้นทางสายนี้   ;D

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
อนุโมทนาครับ _/|\_

แต่ยังไงๆก็ยังขอยืนยันว่า ภาวนาก็ไม่ได้ดีไปกว่าใครหรอกครับ ยังผิดๆพลาดๆวนๆไปอยู่อย่างนี้แหละครับ :(
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline Lily

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 56
  • คะแนนความนิยม: +2/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
สวัสดีค่ะลุงถนอม แวะมาทักทายค่ะ  _/|\_
ภวนาก็เรื่อยๆค่ะ หลงๆ รู้ๆ เพ่งๆ เป็นธรรมดา เห็นบ้านจิตสบายแล้วรู้สึกปลื้มใจนะคะ รู้สึกเหมือนมีแหล่งพระธรรม
หรือหลายๆสิ่งที่จะเป็นหลักยึดให้กับผู้ที่ต้องการแสวงหาความพ้นทุกข์ มีพระธรรมเป็นที่พึ่งเหมือนมีหลักยึด มีเป้าหมายยึดเหนี่ยว
ลิลลี่เคยทุกข์มามากอยู่วังวน วันนี้มีหลักยึดเหมือนอุ่นใจมากขึ้นค่ะ ถึงแม้ท้อแท้ แต่ไม่สิ่้นหวัง เหนื่อย ล้ม เซลงไป ก็ยังมีหลักไว้เกาะ
พอพยุงตัวได้ก็ออกเดินต่อ  _/|\_ ขอบคุณที่ลุงถนอมเป็นส่วนนึงในหลายๆอย่าง เวปธรรมดา ถือเป็นเวปที่เป็นเหมือนบ้าน เหมือนหลักเช่นกันค่ะ  ;D

ปรกติก่อนๆเปิดเวปธรรมดาที่ Office ได้ เดี๋ยวนี้เปิดไม่ได้ค่ะ ลุงถนอมน่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรเช่นวิ่งเข้าเฟรชบุค หรือ อะไรที่ บริษัท ลิลลี่บล็อคอ่ะค่ะ
ก็เลยกลับมาอ่านที่บ้าน แต่บางทีเหนื่อยๆก็ไม่ได้เข้ามาดูค่ะ กลับมาก็ 6.30 กว่าจะออกไปวิ่ง ไปเดินจรงกรม กลับมาถึงบ้านก็เหนื่อยบางทีไม่ได้เปิด แต่ว่างก็เปิดอ่านได้ความรู้เยอะค่ะ

เข้ามาทักทายบ่นให้ฟังแยะแระ ไปก่อนนะคะ บะบายค่ะ

ขอบคุณค่ะ ;D

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
เป็นไปได้ว่า อาจถูกจัดไว้ในลิสต์ของเว็บศาสนาแล้วครับ แล้วก็บางแห่งจะมี policy ที่จะไม่ให้เข้าเว็บไซต์ที่เป็นเรื่องของศาสนาครับ (ลิสต์อะไรทำนองนี้ มีที่ให้ดาวน์โหลด หรือบางแห่ง เขาตั้ง schedule ให้ update เป็นระยะๆ แล้วก็อาจตั้ง policy เอาไว้ครับว่า ไม่ให้เข้าเว็บไซต์ศาสนาครับ policy นี้ ถ้าจำไม่ผิดเป็นอิทธิพลมาจากการกำหนด policy จากทางสหรัฐอเมริกาเมื่อหลายปีก่อนครับ ถ้า system admin เขาลอก policy มาใช้เลยทั้งหมด - ค่า default ก็อาจบล็อคโดยไม่เจตนาครับ)

ก็อยู่กับซีดีหลวงพ่อก็ได้ครับ แล้วก็หมั่นภาวนาเอาครับ เราชาวพุทธ เราอยู่กันอย่างเงื่อนไขน้อยๆอยู่แล้วครับ โลกเขาเป็นอย่างไร อะไรที่เราปรับตัวได้ เราก็ปรับตัว รักษาไว้แต่ ศีล สมาธิ และเจริญสติปัฏฐานเอาไว้ เป็นพอครับ

อนุโมทนาครับ _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline Lily

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 56
  • คะแนนความนิยม: +2/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
สวัสดีค่ะลุงถนอม  _/|\_

ขอบพระคุณมากค่ะ ก็พยายามอยู่กับความรู้สึกตัวค่ะ
 
ศีลก็ปรกดีค่ะ ยกเว้นข้อ สี่ ตอนนี้กำลังตั้งใจให้ดีขึ้นค่ะ ติดพูดเล่นเยอะค่ะ
คือพูดหยอกกับเพื่อนๆเยอะค่ะ แต่โกหกไม่ค่อยได้ทำค่ะ แล้วก็พูดเรื่องของคนอื่นอยู่บ้างค่ะ ก็ตั้งใจข้อนี้เป็นพิเศษค่ะตอนนี้ ก็ได้ฝึกสติในการพูดเข้มขึ้นด้วย
เพราะปรกติเวลาพูดไม่ค่อยมีสติค่ะ ฟุ้ง คิด เยอะค่ะ

สมาธิ ก็ทำสมถะเกือบทุกวันค่ะ บางวันก็ไม่ได้ทำ

ปัญญา ก็ไม่รู้ค่ะ อิอิ ปัญญาจากการคิดก็คิดดี คิดจะพัฒนาจิตวิญญาณให้ดีขึ้นค่ะ ส่วนปัญญาจากการเจริญวิปัสสนา ก็นานๆได้เห็นทีค่ะ จิตตั้งมั่นถึงฐานไม่ง่ายเลยสำหรับลิลลี่ จริตช่างฟุ้ง และ ขี้โมโส เคลื่อนออกไปรู้ซะมากค่ะ แต่ก็รู้ไปอย่างที่เค้าเป็น เรื่อยๆไปค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ บะบายค่ะ  _/|\_ ;D

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
พูดเล่นมากๆ ทำให้จิตเคยชินที่จะคิดฟุ้งซ่านนะครับ ^_^
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline Lily

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 56
  • คะแนนความนิยม: +2/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
สวัสดีค่ะลุงถนอม _/|\_

ขอบพระคุณค่ะที่เตือน ลิลลี่ก็พอทราบอยู่บ้างค่ะพูดเยอะ คุยเยอะ แม้ไม่ใช่พูดเล่น คุยทั่วๆไปเนี่ยก็ฟุ้งมากค่ะ เห็นอยู่ บางทีช่วงที่พูดเนี่ย
สมมุติ 5 นาทีเนี่ย มารู้ตัวอีกทีตอนพูดจบแล้ว แต่ที่ลองหัดมาเนี่ย สอง สาม วันมานี้ เนี่่ย ยังเหมือนเดิมค่ะ จิตเค้าเคยชินเค้าก็ทำงานตามความเคยชิน
ก็จะฝึกไปเรื่อยๆค่ะ ทุกอย่างต้องใช้เวลาค่ะ บางทีเห็นอะไรหรือกระทบ ก็ติดพูดวิจารณ์ออกมาก็ไม่ได้ถึงเสียหายหรอกค่ะ แต่มันจะเป็นนิสัยชอบวิพากวิจารณ์ เห็นอยู่ว่าเป็นนิสัยที่ไม่ดีค่ะ ก็จะค่อยๆฝึกไปด้วยค่ะ

ขอถามเรื่อง ราคะ โทสะ ค่ะ
คือเท่าที่สังเกตุ จากคิดเอาบ้าง ประติบประต่อจากที่สติละลึกรู้ จะสังเกตุเห็นว่า ช่วงที่ราคะแรง แล้วไม่เป็นดังใจ โทสะก็จะแรง ตามมา แต่ไม่ใช่จำเป็นต้องเรื่องเดียวกันนั้นๆ ที่ไม่สมอยากนะคะ มันเป็นภาพรวม ช่วงกว้างๆ ของจิตที่จะเกิดได้เนืองๆ เช่น ร่างกายไม่สดชื่น ง่วงนอน หรือ ป่่วย แล้วจำเป็นต้องไปทำงานวันนั้นทั้ง จิตหลายชนิดเกิดสลับกันไป แต่จิตที่เกิดส่วนใหญ่ เนือง ๆคือ โทโสะ ค่ะ อาจเป็นเพราะ เหตุยังอยู่ จึงทำให้เกิดได้อยู่เนืองๆหรือเปล่าค่ะ อีก ตัวอย่างนึง เช่น เวลาที่เราคิดถึงใครมากๆ อยากเจอ อยากไปหา อยากพูดคุย หรือ เราอยากได้อารมณ์ ดี ๆ ก็ตาม แล้วไม่ได้ เนี่ย พอเวลามีอะไรมากระทบก็โทสะเกิดง่ายมากค่ะ นิดๆหน่อยๆ ก็โมโห ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่ปรกติไม่ได้โมโหน่ะค่ะ  มันเกิดเป็นสายเนืองๆ จริงๆ แล้ว เมื่อสติละลึกรู้ โทสะ ที่ไม่สมอยาก ดับลงแล้ว น่าจะจบกันไปนะคะ แต่มันเกิดต่อเนืองๆอีกยาวซึ่งบางที ก็รู้ไม่ทัน ราคะที่ยังเกิดอีกเป็นขณะๆ เนืองๆด้วยมารู้อีกทีเป็นโทสะแล้ว สาวเข้ามาใกล้ๆเข้าที่ต้นตอ ที่โทสะแรง เพราะ ราคารุนแรง แล้วรู้ไม่ทันราคะ ถูกต้องหรือไม่คะ รบกวนลุงถนอมชี้แจงด้วยค่ะ


พระธรรมเป็นหลักแห่งเหตุและผลนะคะเท่าที่ลิลลี่เห็นได้บ้างบางส่วนที่สติ ปัญญาเห็นได้ เหมือน เราค่อยๆสาวมันเข้าใกล้เหตุที่ต้นตอ แต่ถ้าสติปัญญาไม่มีก็ยากที่จะเห็นความจริงได้ เพราะ ถูกสภาพต่างๆปิดบังไว้จนมิด ทุกวันนี้สติปัญญามันทำของมันเองค่ะค่อยๆแกะค่อยๆสาวเข้าที่เหตุ แต่เห็นเท่าที่เห็นได้ ไม่แจ้งหรอกค่ะ ครึ่งๆกลางๆ บางทีก็หงุดหงิดบ้าง บางทีก็ฟุ้งบ้าง เหมือนมันยังติดๆ ไม่แจ้งแทงตลอดหลุดออกวงจรนี้ แต่ก็รู้ทุกอย่างที่เค้าเป็นค่ะ

กิเลสหนา โง่เง่า เหลือเกินค่ะ พอกพูน ทับถม บางช่วงท้อ ไม่เหลือแม้สติปัญญา สมาธิ แต่ อาศัยไปด้วยใจสู้ไม่ถอย ก็ค่อยๆกลับมามีสติ มีปัญญาได้อีกค่ะ แม้สติ สมาธิ ปัญญา ก็ยังยึดเป็นพี่อิงอาศัยอย่างถาวรมิได้เลยค่ะ


ขอบพระคุณค่ะ  _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
เรื่องฟุ้งซ่าน เป็นกันทุกคน สำหรับคนยุคนี้ครับ ไม่ได้ห้ามไม่ให้ฟุ้งนะครับ แต่หมายถึงการพูดเล่นมากๆน่ะครับ จะทำให้เป็นการฟุ้งที่ขาดทุน เพราะการพูดเล่นไม่มีสาระมากๆ ก็ผิดศีลอยู่แล้วล่ะครับ แล้วจะทำให้จิตไม่ตั้งมั่น จิตจะจมไปกับความฟุ้งซ่าน ไม่สามารถรู้สึกตัวได้ ขาดทุนก็ตรงนี้ครับ ส่วนการฟุ้งซ่านเพราะการงาน หากไม่ผิดศีล ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงๆเราก็ได้อาศัยความฟุ้งซ่านนั้นมาเจริญสติได้ครับ เหมือนอย่างที่คุณลิลลี่ทำอยู่

เรื่องของราคะ กับโทสะ ก็มาคู่กันอยู่แล้วนะครับ พอปราถนาก็มีราคะ พอไม่สมปราถนาก็เป็นโทสะ โทสะมักจะแทรกอยู่ หรือตามหลังกิเลสตัวอื่นๆได้เสมอครับ แม้แต่ความฟุ้งซ่าน เป็นโมหะ ก็ยังสามารถเป็นโมหะที่เจือโทสะได้อีกด้วย (คือ มาพร้อมกันได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่ตามหลังมาอย่างที่เกิดขึ้นกับราคะ)

เหตุที่ยังเกิดโทสะขึ้นเนืองๆ ก็เพราะจิตของเรายังไปคิดในเรื่องที่ทำให้เกิดโทสะ หรือที่เขาเรียกว่า พยาบาทวิตก น่ะครับ วิตกก็คือคิดซ้ำๆในเรื่องนั้น พยาบาทวิตก ก็คือ คิดซ้ำๆในเรื่องที่ทำให้เกิดโทสะ ตัวนี้เป็นนิวรณ์ที่การทำสมาธิก็ทำให้สลัดทิ้งไปได้ ด้วยการทำใจให้มีความสุข สบายๆ ในท่านั่งที่สบายๆ คิดถึงแต่เรื่องที่ดีๆที่สุขใจที่เป็นกุศล พยาบาทวิตกก็จะตกไปได้ เว้นแต่ปล่อยให้จิตใจจมอยู่กับมันมานานแล้ว อันนี้ยากหน่อยครับ แต่หากหัดเจริญเมตตาไว้บ่อยๆ ก็ไม่ยากเลยครับ

เรื่องที่จะทำให้กิเลสขาดสะบั้นแล้วหายไปนานๆ กว่าจะกลับมาอีก ต้องมีกำลังสมาธิมากพอดูครับ จิตต้องตั้งมั่นให้ได้จริงๆ จึงจะเป็นอย่างนั้นได้ แต่หากเป็นการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ก็ไม่ค่อยจะได้อย่างนั้นหรอกครับ เพราะเรามีผัสสะกระทบมากมาย จิตใจก็ฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปในอารมณ์ต่างๆอยู่แล้วครับ ยากทีี่จะทำให้จิตตั้งมั่นได้นานๆ ก็ทำได้แค่แว้บเดียว ชั่วขณะเดียว เดี๋ยวจิตก็แส่ส่ายไปอีก ซึ่งเป็นปกติธรรมดาของการฝึกแบบนี้นะครับ อย่าไปเอาความไม่ชอบใจที่เป็นอย่างนี้ เป็นการเพิ่มเติมโทสะลงไปอีกครับ

ส่วนที่เห็นโทสะรุนแรง เพราะราคะรุนแรง นั้นถูกต้องแล้วนะครับ แต่สาเหตุจริงๆก็คือ จิตจมไปกับกิเลสเป็นเวลานาน ทำให้กิเลสรุนแรง เวลากิเลสพลิกไปมา ก็ยิ่งรุนแรงไปอีกด้วยครับ บางคนนั้นเกิดจากการสมถะเอาไว้มาก ข่มไว้มาก พอกิเลสออกมา ก็ออกมาได้รวดเร็วและรุนแรงครับ แต่หมั่นเจริญสติเนืองๆ และทำตามรูปแบบอย่างมีวินัย สักพัก เขาก็จะอ่อนกำลังลงไปเองครับ

อดทนและหมั่นเพียรเจริญสติต่อไปครับ อย่าท้อนะครับ เพราะเราไม่มีสิทธิ์ท้อ หากจะไปให้พ้นสังสารวัฏฏ์นี้ครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline Lily

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 56
  • คะแนนความนิยม: +2/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
สวัสดีค่ะลุงถนอม  _/|\_

ขอบพระคุณมากๆค่ะ ถือเป็นกำลังใจให้สู้ค่ะ 
บุญวาสนายังพอมี ยังมีครูหลายท่านคอยประคับประคอง เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ  _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
ขอให้เจริญในธรรมครับ _/|\_

แต่ผมเป็นครูบาอาจารย์ให้ใครไม่ได้นะครับ ยังคงเป็นปุถุชนที่มากด้วยกิเลสเหมือนกันครับ ก็ยังต้องค่อยๆกระเสือกกระสนดั้นด้นเดินทางต่อไปเหมือนกครับ ^_^"
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา