Author Topic: มาเล่าสู่กันฟัง เมื่อ "ปัญญา" เกิด  (Read 5764 times)

Offline จองชัย

  • Jr. Member
  • **
  • Posts: 27
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • นักภาวนาระดับอนุบาล
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่กำลังนั่งสมาธิ พิจารณา ขันธ์5 ตามต่อเนื่องไปจนถึง ปฎิจจสมุทบาท ไปถึง ภพ ชาติ ยังไม่ถึง ชรา ฉับพลันนั้นเอง ก็เกิดความรู้วาบขึ้นมา เป็นความรู้ กึ่งความรู้สึกว่า
โอ..เจ้าการเกิดนี่เอง คือต้นเหตุแห่งทุกข์ การตัดเหตุแห่งทุกข์ก็คือการหยุดการเกิด ซึ่งก็คือ สมุทัย นั่นเอง ..ไม่ว่าการเกิดของ ขันธ์ใด ๆ ก็ตาม ล้วนเป็นทุกข์ ตามมาด้วยความรู้สึก ปิติ
วันนั้นทั้งวัน ก็คิด ๆ ๆ ว่า ก็ธรรมพื้น ๆ ร่ำเรียนมาแต่เล็กคือ อริยสัจ 4 ทำไมเรากลับรู้สึก ปลื้มปิติ เหลือเกิน กับสิ่งที่ได้รู้ 

หลังจากนั้น สี่วันได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อ ทวี ที่วัดป่าอรัญวิเวก เชียงราย ก็ได้มีโอกาส สอบถามหลักการ และรายละเอียดการปฎิบัติภาวนา จากท่าน เรียกว่าซักถามเอาให้ละเอียด
ชนิดไม่มีเกรงใจครูอาจารย์กันละครับ บรรดาข้อสงสัยต่าง ๆ ที่มีในหัวอก ก็ได้กราบเรียนสอบถามท่านจนหมด แถมได้คำแนะนำการปฎิบัติ กลับออกมาด้วยความรู้สึกแช่มชื่น

เช้าวันถัดมา ก็มีอีกครั้ง ลพ.ท่านได้ให้คำแนะนำว่า พิจารณากายก้อดูอาการ 32 ภายนอกก็ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง  แค่เริ่มตั้งต้น เกศา เท่านั้นแหละครับ คำตอบมันพร่างพรูออกมาจากข้างใน
ก็เกศานี้ มันมิได้เที่ยงแท้ งอกยาว แล้วก็ร่วงหล่น หล่นแล้วก็งอกใหม่ ผมที่มีอยู่ในปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ผมที่มีในอดีต มิใช่เส้นเดียวกันกับผมเมื่อตอนคลอดออกมา และผมปัจจุบันนี้ ก็มิใช่คงอยู่
ถาวรถึงอนาคต มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป งอกออกมาได้ก็ด้วยเหตุ (มีรากผม) ฯลฯ ไปจรด หนัง ล้วนแต่มีคำอธิบายปรากฎแก่จิต เป็นลักษณะของการรู้ มิใช่คิด ... ตามมาด้วย ปิติ อีกเช่นกัน

และไม่กี่วันมานี้เอง ขณะพิจารณาขันธ์ 5 อีกครั้ง จากสิ่งที่พร่ำคิด คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เกิดความรู้แว่บขึ้ันมาอีกครั้งหนึ่่ง ว่า ก็เพราะมันไม่เที่ยง มันย่องต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา
กายไปยึดไว้ถือไว้ ย่อมน่ำมาซึ่งความทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การปล่อยวาง ไม่ยึดถือ ย่อมไม่ทุกข์ และเมื่อปล่อยวางไปแล้ว สิ่งนั้น ก็คือ อนัตตาในความรู้สึกของเรานั่นเอง เพราะเมื่อเรา
ไม่ยืดถือ มันก็ว่างเปล่าในความรู้สึกของเรา นั่นไงคือคำว่า อนัตตา ในความหมาย

ถึงตอนนี้ รู้แล้วละครับว่า ภวนามยปัญญา เป็นอย่างไร เข้าใจในสิ่งที่ ลพ.ปราโมทย์ พร่ำสอนมาตลอดแล้วละครับ
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา
ควรหรือที่เราจะยึดถือสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ว่านั่นเป็นของเรา เราเป็นนั่น

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
"รู้ แล้ว วาง" นะครับ ไม่ว่าที่รู้นั้นจะเป็นปัญญา หรือไม่ใช่ปัญญา ก็ตาม

ถ้า "รู้ แล้ว แบกไว้" ก็ลองเฉลียวใจพิจารณาดูนะครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline จองชัย

  • Jr. Member
  • **
  • Posts: 27
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • นักภาวนาระดับอนุบาล
 _/|\_
ขอบพระคุณที่ช่วยย้ำเตือนอีกหนครับ
เพราะเรื่องนี้  หลาย ๆ ท่านก็ได้เตือนว่า อย่าหลง อย่าติด แค่รู้ แค่นั้นพอ และก้อห้ามอย่าไปอยากได้อีก
ซึ่งก้อปฎิบัติต่อไปตามปรกติ แต่ก็แอบดีใจว่าได้พบ ได้เจอ เมื่อตอนเจอครั้งแรกนี่ ติดอยุ่หลายวันครับ มีความอยากจะเจออีก ในใจ
แต่ก็ละมันลงได้ในที่สุด กลับไปปฎิบัติแบบเดิม ๆ คือ ตามที่ได้ตั้งใจปฎิบัติ ผลจะเปนเช่นไรก็ช่าง เราทำหน้าที่ของเราไป เท่านั้น
ตามสไตล์การปฎิบัติภาวนาแบบ สดชื่น รื่นรมย์ จริงจัง แต่ไม่คาดหวังอะไร พอครั้งหลัง ๆ นี่ชักชินละครับ

คิดว่ามาถูกทางละครับ

วันอาทิตย์ที่ 13 นี้ จะพยายามเข้าไปกราบ ลพ. ตัวเปน ๆ ที่วัดอุโมงค์ให้ได้ครับ ได้แต่กราบในใจ มานานละ

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา
ควรหรือที่เราจะยึดถือสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ว่านั่นเป็นของเรา เราเป็นนั่น

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
ขอถามคุณ จองชัย ก่อน 2 ข้อ นะครับ

1. ปฎิบัติโดยการทำสมาธิให้จิตสงบก่อนหรือเปล่า?
2. ที่ว่าพิจารณาขันธ์ ๕ จนถึงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท นั้น หมายถึง การคิดถึงข้อธรรม การน้อมจิตไปดู หรือว่าสภาวะเกิดขึ้นปรากฎให้รับรู้โดยไม่มีการคิดเอา

สองข้อนี้ เป็นคำถามที่สัมพันธ์กันนะครับ ช่วยตอบ 2 ข้อนี้ก่อนครับ
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline จองชัย

  • Jr. Member
  • **
  • Posts: 27
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • นักภาวนาระดับอนุบาล
ตอบลุงถนอมตามนี้ครับ

1. เริ่มจากทำสมาธิให้จิตสงบก่อนครับ
2. เมื่อจิตสงบ ไม่ว่อกแว่ก ก็พิจารณาด้วยการคิดถึงข้อธรรม ตั้งคำถาม และ ตอบเอง
3. สภาวะที่เกิดขึ้นนั้น จะเกิดขึ้นเอง แทรกขึ้นมาในขณะที่กำลังพิจารณาข้อธรรม เป็นความรู้ที่บอกไม่ถูกครับ มันวาบ ปิ๊ง มันรู้ ไม่ใช่คำอธิบายเป็นข้อความใด ๆ หรือภาษาใด ทั้งสิ้น
4. ภาวะ วาบ ปิ๊ง นั้น เกิดขึ้นไม่นานครับ เหมือนกับแว่บเดียว แล้วจบลง หลังจากนั้นจิตแทบจะอุทานออกมาว่าโอ..ใช่แล้ว จริงแล้ว อย่างนี้นี่เอง
5. ข้อความที่บรรยายมาในต้นกระทู้ทั้งหมด เป็น การบรรยายความรู้ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นครับมิใช่สิ่งที่ปรากฎแก่จิตครับ

แหะ ๆ ๆ หวังว่าผมคงไม่สำคัญอะไรผิด นะขอรับ

(ตอนนี้เห้นจิตตัวเองกาเพื่อมหวั่นไหวด้วยแหละ) :P

 _/|\_ _/|\_ _/|\_
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา
ควรหรือที่เราจะยึดถือสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ว่านั่นเป็นของเรา เราเป็นนั่น

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
ว่างๆก็ลองไปส่งการบ้านหลวงพ่อปราโมทย์ดูนะครับ ว่าเป็นกรณีของปัญญาที่ล้ำหน้าเกินสติไปหรือเปล่า อาจจะไม่ใช่ก็ได้นะครับ แต่ลองไปดูเถอะครับ เพื่อให้แน่ใจดีกว่าครับ
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline จองชัย

  • Jr. Member
  • **
  • Posts: 27
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • นักภาวนาระดับอนุบาล
 _/|\_

วันอาทิตย์นี้ ไม่รู้ว่าจะมีส่งการบ้านหรือเปล่า แต่จะพยายามเข้าไปให้ได้ครับ
แต่จิดอยากรู้ มันสร้างความหวั่นไหว ได้พอสมควรเลยครับ ว่า อะไรคือ ปัญญาที่ล้ำหน้าเกินสติ
หากไม่รบกวนเกินไปแล้ว จะกรุณาเล่าให้ฟังสักหน่อย ก็จะเป็นพระคุณยิ่งครับ
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา
ควรหรือที่เราจะยึดถือสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ว่านั่นเป็นของเรา เราเป็นนั่น

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
ปัญญาที่ล้ำหน้าสติ ก็คือ การคิดใคร่ครวญด้วยตรรกะ อาศัยการอ่านมาก ฟังมาก แล้วมาคิดใคร่ครวญ อาศัยความมีสมาธิ ทำให้ระบบความคิดแจ่มแจ้ง เข้าใจแทงตลอด หากแต่จิตไม่ได้เห็นสภาวธรรมปรากฎตรงหน้า เช่น คิดเรื่องตัณหาเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอุปาทาน แต่จิตไม่ได้เห็นตัณหาที่เกิดขึ้นจริง จิตไม่ได้เห็นอุปาทานที่เกิดขึ้นจริง จิตไม่รู้จักลักษณะเฉพาะของตัณหา จิตไม่รู้จักลักษณะเฉพาะของอุปาทาน จิตไม่รู้จักลักษณะเฉพาะของภพ จิตไม่เห็นตัวภพในขณะที่ครุ่นคิดเรื่องภพ จิตไม่เห็นการเกิดขึ้นของภพ แต่ครุ่นคิดเรื่องการเกิดขึ้นของภพ จิตไม่ได้เห็นการดับไปของภพ แต่จิตครุ่นคิดการดับไปของภพ

และด้วยการคิดอย่างปุถุชน จิตสร้างภาพหรือโมเดลของภพขึ้นมา ว่าเป็นสิ่งบางสิ่ง แต่ผู้ครุ่นคิดหาได้รู้ว่า จิตกำลังสร้างภาพ จิตกำลังสร้างภพ หากแต่ผู้ครุ่นคิดกำลังหลงเข้าไปอยู่ในเนื้อหาของการครุ่นคิด ขาดความรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา

การขาดความรู้เนื้อรู้ตัว เป็นการขาดสัมปชัญญะ การไม่มีสัมปชัญญะเป็นตัวอันตรายมาก เพราะสัมปชัญญะเป็นตัวปัญญาขั้นต้น ขั้นแรกเริ่ม เพราะหากมีสติ แต่ขาดสัมปชัญญะ สตินั้นก็จะได้ชื่อว่า มิจฉาสติ นำมาใ้ช้เจริญวิปัสสนาไม่ได้ หากมีสมาธิ แต่ขาดสัมปชัญญะ สมาธินั้นก็จะได้ชื่อว่า มิจฉาสมาธิ นำมาใช้เจริญวิปัสสนาไม่ได้

หากสติ และสมาธิ ไม่ใช่สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สิ่งที่ดำเนินไปทั้งหมดนั้น ก็ไม่ใช่ตัวปัญญาในพระพุทธศาสนา แต่เป็นปัญญาในทางโลกๆ คือ คิดเอา หลวงพ่อท่านจึงใช้คำว่า ปัญญา(อย่างโลกๆ)ล้ำหน้าสติไปแล้ว

หลวงพ่อท่านจึงย้ำนักย้ำหนาว่า ก่อนที่จะไปเจริญปัญญา หรือ ปัญญาสิกขา ก็ต้องกลับมาเรียนเรื่องจิตเสียก่อน ให้รู้จักจิตชนิดที่ใช้ทำสมถะ หรือว่าจิตที่ใช้ทำวิปัสสนา เพราะจิตที่ใช้ทำสมถะนั้นมีลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่ง จิตที่ใช้ทำวิปัสสนาก็มีลักษณะเฉพาะอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเรียนรู้ตรงนี้แล้ว ต่อไปการเจริญปัญญาก็เป็นไปได้ง่าย และโอกาสจะพลาดให้กับวิปัสสนูปกิเลสก็ยาก

เวลาที่มีปัญญานั้น เกิดแสงสว่างจริง แต่ในวิปัสนูปกิเลสก็มีตัวหนึ่งชื่อ โอภาส หรือแสงสว่างเช่นกันครับ ดังนั้น เกิดแสงสว่างขึ้นแล้ว จะบอกว่ามาถูกทางแล้ว ยังบอกไม่ได้ เพราะอาจเป็นวิปัสสนาจริงๆ หรือเหลื่อมไปพลาดให้กับ วิปัสนูปกิเลสก็ได้ครับ

บางคน ที่ได้แสงสว่างนี้เพียงครั้งเดียว สำคัญมั่นหมายว่าตนเป็นพระโสดาบันมีเยอะมากครับ แทนที่จะไปดูกิเลสตัวที่พระโสดาบันละได้ คือ สักกายทิฎฐิ สีลัพตปรามาส วิจิกิจฉา กลับมาสนใจที่แสงสว่างนี้แทน (คงเป็นเพราะห่างกัลยาณมิตร เลยมิได้รู้ ว่า สักกายทิฎฐิ มีหน้าตาลักษณะเฉพาะอย่างไร ก็เป็นได้ครับ)

หากมีโอกาสก็ลองดูนะครับ ขอให้ได้โอกาสส่งการบ้านนะครับ _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline จองชัย

  • Jr. Member
  • **
  • Posts: 27
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • นักภาวนาระดับอนุบาล
อ่านแล้วน่ากลัวจริง ๆ ครับ

ขอบพระคุณลุงถนอมครับ ถึงตอนนี้ น่าจะเรียกว่า "ครูถนอม" แทนแล้วละครับ
 _/|\_ _/|\_ _/|\_
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา
ควรหรือที่เราจะยึดถือสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ว่านั่นเป็นของเรา เราเป็นนั่น

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
อย่าเรียก "ครู" เลยครับ ยังขาดคุณสมบัติการเป็นครูได้อีกหลายข้อนะครับ ^^"
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline จองชัย

  • Jr. Member
  • **
  • Posts: 27
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • นักภาวนาระดับอนุบาล

เรื่องการบ้านก็ไม่ได้ส่งครับ เพราะเค้ามีโควต้าสิบห้าท่าน และต้องลงทะเบียนไว้ด้วย
ผมไปถึงก่อนเริ่มเทศน์ไม่นานนักจึงไม่ได้ลงทะเบียน ครับ

เพิ่งกลับมาถึงบ้าน รีบมาตอบ เพราะเกิดแว๊บขณะนั่งฟังธรรมจากหลวงพ่อ ว่า ไม่ว่าสิ่งที่รู้นั้นจะเป็น ภาวนามยปัญญา หรือ เปน จินตมยปัญญา หรือเปน ปัญญาล้ำหน้าสติก็ตาม
สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้น และดับลงไปแ้ล้ว เราพึงแค่รู้ กับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น เปล่าประโยชน์จะไปรบกวนหลวงพ่อ เราพึงรู้ว่ามันเกิดขึ้น และ ดับไป เฉกเช่นสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกนี้

นับจากนี้ ก็จะทำตัวแค่ "รู้" ว่ามันเกิดขึ้น เท่านั้น

 _/|\_
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา
ควรหรือที่เราจะยึดถือสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ว่านั่นเป็นของเรา เราเป็นนั่น

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
เมื่อเห็นสิ่งใดเกิดขึ้น ก็เห็นสิ่งนั้นดับไป
เมื่อเห็นสิ่งใดมีอยู่ ขณะต่อๆมา ก็เห็นสิ่งนั้นไม่มีอยู่

อนุโมทนาครับ _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา