สวัสดีครับ
หนูเคยได้ขอคำแนะนำจากคุณลุงไปแล้วครั้งนึงค่ะ ส่วนครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ เหมือนมาขอคำแนะนำและกำลังใจจากคุณครูค่ะยังเป็นคุณครูให้ใครไม่ได้นะครับ เป็นได้แค่แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันดีกว่าครับ คุณสมบัติยังไม่พอ ยังไม่ถึง น่ะครับ
มาตอนนี้อารมณ์เหล่านั้นค่อยๆจางหายไป และรู้สึกว่าพอตัวเองเผลอไปคิด หรือว่าจดจ่ออยู่กับสิ่งใดๆขั่วระยะเวลานึง ก็เกิดเหมือนรู้ขึ้นมาได้ว่า อ้าว เผลอไปคิดอีกแล้ว(มีเสียงพูดกับตัวเองด้วยว่า เผลออีกล่ะ) บางครั้งก็เร็ว บางครั้งก็นานเป็น 10 นาที กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอไป ก็เลยอยากจะขอคำแนะนำค่ะว่า อย่างนี้ถิอว่ามาถูกทางแล้วใช้ไหมค่ะ ให้ฝึกไปเรื่อยๆใช่ไหมค่ะครับ มาอย่างนี้ มาถูกทางแล้วครับ ในระหว่างวันเราก็คอยสังเกตจิตใจ สังเกตร่างกาย ไปอย่างนี้ล่ะครับ เพราะเป็นการรู้ตามความเป็นจริงครับ แต่ต้องไม่ลืมการทำตามรูปแบบด้วยนะครับ เ่ช่นการไหว้พระ สวดมนต์ หรือถ้าถนัดนั่งสมาธิ เดินจงกรม ก็ต้องทำสม่ำเสมอไปด้วยครับ
แล้วก็เวลามีเสียงขึ้นมาตอนนึกได้ ก็ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นใช่ไหมค่ะครับ ก็ปล่อยให้เป็นอย่างนั้น เพราะว่าพอมีเสียงเกิดขึ้นในใจ แล้วจิตไปรู้เข้า เสียงเหล่านั้นได้เกิดขึ้นมาแล้วนี่ครับ จะให้ไปทำอะไร เขาเกิดขึ้นมา เราก็ไม่ได้สั่ง แล้วพอเราแค่รู้ ไม่ได้ทำอะไร เสียงเหล่านั้นก็จบ หรือสิ้นสุด หรือดับ ไปเองของเขาอยู่แล้วนี่ครับ ก็ไม่ต้องไปทำอะไรแค่รู้ว่าจิตไปสนใจ (ถ้าสนใจ) หรือรู้ว่าจิตรำคาญ (ถ้ารำคาญ) หรือรู้่ว่าจิตชอบ (ถ้าเกิดความชอบใจ) เป็นต้น
บางครั้งถ้าหนูขยัน (แต่ช่วงที่ผ่านมาขี้เกียจเหลือเกิน เพราะมัวติดอยู่กับอารมณ์ที่ผ่านเข้ามา บางครั้งก็เป็นเพราะว่าเหนื่อยจากการทำงาน )หนูก็จะนั่งสมาธิ แล้วนั่งบริกรรมพุทโธ แล้วก็ดูจิตที่มันแว๊บไปแว๊บมา หนู่ก็ยังเห็นภาพกระดูก ผิวหนังอะไรนั่นเหมือนแต่ก่อนค่ะ แต่ก็ไม่ชัดเหมือนเมื่อก่อน แต่หนูก็ทำตามที่ลุงแนะนำไว้ค่ะ ว่าแค่รู้ บางครั้งเวลาดูทีวี มีครั้งนึงเห็นมือนักแสดงสาวผอมๆเรียวๆก็รู้สึกว่ามันช่างเหมือนโครงกระดูก ตรงส่วนมือ ก็จะพาลน้ำตาไหลอีกแล้วค่ะ หนูก็จะพยายามไม่ติดกับภาพเหล่านั้น จะแค่รู้ๆไว้ก็พอ อย่างนี้ถูกแล้วใช่ไหมค่ะ ครับ แค่รู้ รู้แล้วจิตเกิดความชอบใจ ก็รู้อีก รู้แล้วจิตเกิดความไม่ชอบใจ ก็รู้อีก รู้แล้วจิตเกิดปีติ ก็รู้อีก รู้เรื่อยๆ ตามความเป็นจริง ตามที่จิตเขาเป็น ไม่แทรกแซง ไม่พยายาม ไม่ไปดักรู้ไว้ก่อน ถ้าเป็นดังนี้ ก็รู้ได้ถูกต้องแล้วครับ
หนูได้อ่านที่ลุงแนะนำตัวค่ะว่า เมื่อก่อนลุงใช้การทำสมาธิเพื่อให้หลับนั้น หนูก็ทำเหมือนกันค่ะ ทำให้หลับเร็วมาก บางครั้งเอาไปใช้งีบเวลาพักในที่ทำงาน จนเพื่อนร่วมงานตกใจว่าหลับได้ไง แต่เวลาที่หนูอยากจะทำสมาธิ มันคอยแต่จะหลับทุกทีค่ะ เฮ้อ ครับ มัีนเป็นวิบากน่ะครับ ก็เมื่อฝึกโมหะสมาธิ ก็ย่อมคุ้นเคย และได้มา ซึ่งโมหะสมาธิ เมื่อต้องปฏิบัติตามรูปแบบ ผมจึงต้องเลือกการสวดมนต์ กับการเดินจงกรม เป็นส่วนใหญ่ครับ ส่วนนั่งสมาธิ ก็ต้องใช้บริกรรมเอาครับ บริกรรมพุทโธเร็วนิดนึง เพื่อแก้ง่วง กับเพื่อแก้ฟุ้งซ่าน ครับ พุทโธแล้วรู้ทันใจที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง หรือแม้แต่ที่ไหลไปง่วง หรือไหลไปหลงฟุ้งซ่านน่ะครับ
แต่บางทีก็รู้ลมหายใจครับ แต่รู้ลมหายใจแล้วก็อาศัยการสังเกตเห็นจิตที่ไหลไปฟุ้งซ่านบ้าง ไหลไปรู้ร่างกายบ้าง เป็นหลักครับ
ดีใจค่ะที่มีลุงคอยให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษา ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะดีใจที่มีเพื่อนแวะมาคุยบ้างครับ ได้ยินได้ฟังการภาวนาแล้วก็ทำให้จิตใจปรีด์เปรมขึ้นครับ
ขอบพระคุณครับ