ยินดีต้อนรับครับ
และขอบคุณนะครับ ที่อุตส่าห์แวะเวียนมาคุย และมีเรื่องคุยให้ฟังยืดยาวเลยครับ
สังเกตเห็นอย่างหนึ่งมั้ยครับว่า การภาวนาไม่ได้เรียบง่าย และดูวุ่นวายไปหมด...
เรื่องความเป็นกลางของจิต หมายถึง การที่จิตไม่ไปทำสองอย่าง คือ
1. กามสุขัลลิกานุโยค คือ การคลุกคลีลงไปในกามคุณทั้ง ๕ คือ ไม่คลุกคลีไปในผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
2. อัตตกิลมถานุโยค คือ การบังคับทรมานตน ก็คือ การเพ่ง การบังคับ กาย และใจ
การเข้าไปอินในอารมณ์ทางหูจมูกลิ้นกาย ก็คือข้อแรก การบังคับ หรือเ้ข้าไปแทรกแซง หรือไปจัดการอะไรต่างๆ ทั้งกาย ทั้งใจ ก็เป็นข้อ 2
ถ้าจิตไม่อินเข้าไปในอารมณ์ จิตไม่เข้าไปจัดการ ยุ่งเหยิง วุ่นวาย ในอารมณ์ต่างๆแล้ว จะเหลืออะไรที่จิตจะเป็นไปได้ ก็เหลือแต่ "รู้" เท่านั้น ใช่มั้ยครับ
"รู้" ก็คือ รับทราบปรากฎการณ์ต่างๆ รู้ไม่ได้แปลว่าให้ไปทำอะไรมากกว่ารู้ รู้ไม่ใช่ให้ไป "เฝ้าสังเกตที่จุดใดจุดหนึ่ง" รู้ไม่ใช่แปลว่าให้ดับอารมณ์ รู้ไม่ได้แปลว่าให้ดับกิเลส
"รู้" เพื่ออะไร ก็เพื่อเอาความจริง รู้เพื่อรู้ความจริง มิใช่ "รู้" เพื่อจัดการอะไรแม้แต่น้อย เพราะธรรมชาติทั้งหลาย มีความเกิดดับไปเป็นธรรมดา ไม่ต้องไปทำอะไรเขาก็ดับไปตามธรรมชาติธรรมดาขของเขา สิ่งใดที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับไป เราไม่ต้องไปดับ เขาก็ดับไป แต่ถ้าเราไปวุ่นกับการดับกิเลส ดับอารมณ์ เราจะไม่เห็นว่า "ตัวเราก็ไม่ใช่ตัวเรา" เพราะเรากำลังทำไปเพื่อรักษาความเป็นตัวเราเอาไว้ ความเป็นตัวเราที่เก่งกล้าสามารถ ตัวเราที่เหนือกว่าคนอื่น ตรงนี้ก็เป็นกิเลสอีกตัวหนึ่ง แม้ว่าจะมีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ท่านละได้ แต่ในการภาวนาเราก็ไม่ควรสะสมให้พอกพูนมากขึ้นกระมังครับ
ลองรู้ไปเฉยๆ รู้ไปเรื่อยๆ รู้แค่รู้ นะครับ เป็นอย่างไรแล้วมาคุยกันต่อครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับ