เวลาที่เราภาวนาแล้วเราอึดอัดนะครับ แสดงว่ามีอาการเพ่งแล้ว บางทีถ้าเพ่งแรงๆก็จะเป็นเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ หรือกระจุกอยู่บางส่วนของร่างกาย บางคนก็กลางอก บางคนก็แถวๆคอ แต่ถ้าเป็นบริเวณศีรษะ มักจะเป็นอาการศีรษะหนักๆ บางทีก็เข้าขั้นปวดหัวเลย
คนที่ฝึกการเพ่งมาบางคน จะมีโรคประจำตัวคือ ปวดศีรษะง่ายๆ บางคนพกยาพาราเซตามอลไว้ประจำตัวเลยก็มี (แต่ที่เป็นเพราะเห็นโรคอย่างอื่นก็มีนะครับ ไม่ใช่เพราะติดเพ่งเพียงอย่างเดียว)
ที่เคยเห็น บางคนเพ่งทั้งตัว ตามเนื้อตามตัวเลยเหมือนมนุษย์เหล็ก หรือไม่ก็เหมือนคนที่เขาฝึกมวยจีนเส้าหลินอย่างหนัก คือ เนื้อตัวจะแกร่งๆ แต่ประสาทตึงเครียดไปหมด เห็นแล้วกลัวระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ (แต่จริงๆก็ไม่ได้ระเบิดหรอกนะครับ แต่มีความตึงเครียดอยู่ภายในร่างกายไปหมดเลย)
การเพ่ง เป็นกุศล ทำให้เรารู้ว่าเพ่งแล้วไม่หาย อีกทั้งยังมีสิ่งหนึ่งที่ซ้อนกันอยู่ด้วย ก็คือ วิบากจากการเพ่ง อาการที่บรรยายมาทั้งหมดข้างบนนั้น เป็นผลของการเพ่ง ไม่ใช่การเพ่งเอง นะครับ วิบากหรือผลของการเพ่ง ทำให้เกิดสิ่งที่ว่านั้นขึ้น และเมื่อมันเกิดกับร่างกาย ซึ่งเป็นรูปหยาบ จึงต้องใช้ระยะเวลาหนึ่ง กว่าจะหายไป แต่หากเรามีความอยากให้อาการอึดอัด หรือเครียด หรือเป็นก้อนเหล่านั้นให้หาย สิ่งที่ตามมาก็คือ เราจะเกิดความพยายามทำให้หาย ก็เป็นการทำให้เกิดความเครียดครั้งใหม่ขึ้น
บางคนนั้น โดยปกติก็จ้องจนเครียดอยู่แล้ว พอร่างกายเกิดอาการอันเป็นผลจากการเพ่ง ก็ยิ่งตามรู้ตามดู (ตามความเข้าใจของตน ว่านี่คือตามรู้ตามดู) แต่ปรากฎว่า ไม่ได้ตามรู้ตามดูจริง หากแต่เป็นการจ้องเข้าไปอีก ก็เลยทำให้อาการต่างๆยังคงเป็นอยู่อย่างต่อเนื่อง คล้ายๆกับคนที่อยากจะดับไฟ เลยไปคว้าน้ำมันไปราดเข้าไปในกองไฟอีก กองไฟก็ไม่ดับสักที
วิธีการที่ดีกว่าก็คือ พอรู้ตัวว่าเพ่งแล้ว ก็ให้ไปสนใจเรื่องอื่นๆเลยดีกว่า อะไรที่ทำแล้วเผลอง่าย ก็ให้ทำอันนั้น (แต่ต้องเป็นวิธีการที่เป็นกุศลนะครับ) เช่น อ่านหนังสือธรรมะ ฟังซีดี (แต่ฟังซีดีนั้น ไม่แน่ว่าจะได้ผลเสมอไป เพราะลุงถนอมน่ะครับ ตอนที่ติดปัญหาเรื่องเพ่ง ลุงถนอมก็ฟังซีดีไม่ได้เหมือนกัน อ่านหนังสือธรรมะก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน) ปลูกต้นไม้ ปลูกดอกไม้ ให้อาหารปลา ก็จะทำให้จิตผ่อนคลายไปได้
วิธีการเหล่านั้น ก็เหมือนกับว่า เราเห็นกองไฟลุกอยู่ เราก็ไม่เอาน้ำมันไปราดกองไฟ แต่เราไม่มีน้ำนี่ เราก็แค่ปล่อยให้กองไฟดับไป แล้วก็เอาเชื้อเพลิงอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆกองไฟ เอาไปให้ห่างๆจากกองไฟ พอกองไฟไร้เืชื้อแล้ว มันก็ดับเอง
นั่นคือวิธีการรับมือ เมื่อเจออาการเครียด หรือมึนศีรษะ หรือจุกเป็นก้อนที่กลางอกหรือที่คอ แต่ไม่ได้ทำให้สาเหตุหายไปนะครับ ถ้าสาเหตุไม่หายไป ปัญหานี้จะกลับมาอีก
สาเหตุของปัญหานี้ก็คือ ต้องปรับความเข้าใจในเรื่องของการภาวนาเสียใหม่ครับ ซึ่งประกอบไปด้วย 2 เรื่องก็คือ
1. ทิฎฐิ ความคิดความเห็น ที่วางไว้ยังไม่ตรงนัก
2. ความตั้งใจ ที่มากไป
ความคิดความเห็น ที่ว่า ยังวางไว้ไม่ตรงนักก็คือ มีความเห็นว่า ต้องรู้อารมณ์ให้ชัด รู้ให้เยอะๆ รู้อารมณ์แล้วจิตจะดี ความจริงแล้ว การรู้อารมณ์นั้น จะชัดก็ได้ จะไม่ชัดก็ได้ เพราะการรู้ชัดแล้วรู้ว่ารู้ชัดก็ดูจิตเหมือนกัน คือ รู้ว่าจิตมีโมหะน้อย(หรือไม่มี อะไรทำนองนี้สักอย่าง) หรือการรู้ไม่ชัดแล้วรู้ว่ารู้ไม่ชัด ก็คือ รู้ว่าจิตมีโมหะมาก
พอรู้แล้ว ก็เออ... ปล่อยไป ไม่ต้องไปพิจารณาอะไรให้วุ่นวาย ไม่ต้องคิดอะไรให้มาก แต่ถ้าจิตเขาไม่ปล่อยไป มีความพยามยามเข้าไปทำ ก็ไม่ห้าม ปล่อยเขา เราก็มองลงไปในแง่ที่ว่า เขาทำเขาเอง ทำเอง ทุกข์เอง ดูอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทุกๆครั้งที่เกิดวงรอบนี้ (ไม่เกิด ก็ไม่ต้องไปกระตุ้นให้เกิดด้วยการหวนคิดถึงเข้าก็แล้วกันนะครับ)
แต่ถ้าจิตเขาทำ รู้แล้ว แล้วยังคิดต่อ เพราะความเคยชินหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็ให้รู้ ว่าเอ้อ... เขาทำของเขาเอง พอรู้ถึงตรงนี้แล้ว จิตเองมักจะละความสนใจไปสนใจสิ่งอื่นแล้วล่ะครับ ยังไม่เคยเห็นใครที่จะวนเวียนได้อย่างนี้ยาวนาน แต่เมื่อละไปแล้ว บางทีจิตก็จะหวนนึกขึ้นมาได้ใหม่ แล้วก็อยู่ในวงรอบนี้อีก
หากเป็นอย่างนี้ การเดินจงกรมอาจเหมาะนะครับ เพราะร่างกายเคลื่อนไหว และการต้องระวังการทรงตัว ทำให้จิตยากจะจดจ่ออยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆครับ และบางทีการเดินแล้วให้สายตาทอดยาวไปไกล สุดขอบฟ้า ก็อาจทำให้จิตคลายตัวออกมาได้นะครับ ตรงนี้ต้องค่อยๆลองดูครับ ดูว่า ทำอย่างไหนแล้วจิตใจผ่อนคลาย จิตใจมีความสบายใจ ก็ให้ทำอันนั้น พอใจมีความสบายใจแล้ว ก็รู้ทันว่าใจกำลังสบาย เกิดความชอบใจแล้วก็รู้ทันว่าชอบใจ
รู้่ทันตรงไหน ก็ตรงนั้น ส่วนที่พลาดไปในอดีต อย่าไปพยายามแก้ไข เพราะมันจบไปหมดแล้วครับ
เมื่อพบวิธีการที่เหมาะกับตนเองแล้ว ก็จะได้ใช้วิธีการนั้นต่อไป
ถ้าทำตามที่แนะนำไปได้แล้ว ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาข้อที่สอง ที่ว่า ตั้งใจมากไป ไปด้วยครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับ