เมื่อขึ้นชื่อว่า "วิบาก" ไม่มีใครที่จะปฎิเสธได้ เมื่อมาถึงต้องยอมรับ แต่ขอให้เชื่อเถอะครับว่า ปกติแล้ว วิบากที่ตามมาทันภพมนุษย์นั้น ไม่ได้หนักหนาสาหัสเท่าไหร่หรอกครับ แต่ส่วนที่ทำให้หนักหนาสาหัสเกินกว่าจะยอมรับได้จริง ก็คือ กรรมใหม่ที่ได้กระทำเมื่อได้รับวิบากนั้นๆต่างหากล่ะครับ
ต่อให้ได้พบกับเรื่องที่มักเป็นจุดอ่อนของเด็กผู้หญิง คือ เรื่องของความรัก แม้เป็นวิบากที่ส่งผลให้พบกับคนที่ตนพึงพอใจจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ก็ตาม แต่เชื่อเถอะครับว่า การเจริญสติที่เราเพียรฝึกฝนตนเองอย่างไม่เกียจคร้าน จะคุ้มครองให้เราไม่หลงไปกับคารมคมคาย หรือหลอกตัวเองให้หลงเชื่ออยู่กับคำหวานๆ หรือกับความเพ้อฝันลมๆแล้ง จนตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วกลายไปเป็นตราบาปให้กับตนเอง
เพราะความจริงแล้ว ทั้งหมดทั้งปวงนั้น เกิดจากกิเลสที่เราปล่อยให้ครอบงำจิตใจเราเอง หาใช่อะไรอื่น วิบากส่งผลกับเราได้เพียง เราได้พบกับสถานการณ์ที่จะชักนำเราไป แต่วิบากไม่ใช่ตัวการตัดสินใจของเรา การตัดสินใจเป็นมโนกรรม เป็นกรรมทางใจ ที่เราทำใหม่ๆสดๆ แม้ว่าจะมีส่วนหนึ่ง(ที่เป็นเหตุผลสำหรับการตัดสินใจ)ที่มาจากวิบาก คือ ผลของกรรมที่เราเคยทำในอดีตก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราต้องตัดสินใจไปตามสถานการณ์หรือสิ่งที่มากระทบเราเสมอไป
การเจริญสติปัฏฐาน ๔ จะทำให้เราตัดสินใจทำในสิ่งที่ควรทำ ด้วยความมีสติ มีปัญญา โอกาสที่จะทำความผิดพลาดนั้นก็จะมีน้อยลงๆ ลองสังเกตเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ดูนะครับ ท่านเองต้องผ่านเรื่องราวมามากมาย ทั้งลำบากและยาวนาน แต่ท่านไม่ทำในเรื่องที่ไม่ควรทำ ก็เพราะ ท่านเองนั้น ก็มีสติประกอบอยู่ด้วยเสมอ ซึ่งมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หรือเป็นพรของสวรรค์ แต่นั่นเป็นเพราะท่านฝึกฝนการเจริญสติปัฏฐานมาอย่างหนักแน่น และยังเจริญสติปัฏฐานทุกๆครั้งที่มีโอกาสได้ฟังคำสอนของพระบรมศาสดาในสมัยต่างๆ
อย่ากังวลกับวิบากที่จะตามมา แต่จงใช้เวลาที่มีอยู่ ฝึกฝนตนเองให้คุ้นเคยที่จะเจริญสติฯ ฝึกฝนจนเป็นนิสัยที่จะติดตามตัวไปทุกภพทุกชาติ ตราบใดที่ยังไม่สิ้นภพสิ้นชาติ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ แล้วเราจะรับวิบากได้อย่างทรนงองอาจ ด้วยความมีสติ ธรรมะจะรักษาผู้ประพฤติธรรมครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับ