Author Topic: เส้นทางการภาวนา  (Read 7132 times)

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
เส้นทางการภาวนา
« on: Wed 8 Jun 11, 08:23:58 »
เส้นทางการภาวนา



ความทุกข์ ไม่ว่าครั้งไหนๆก็ทุกข์เหมือนกัน ต่างกันตรงที่จะยาวนานแค่ไหน แต่ความจริงแล้วเราทุกข์กันแค่ขณะจิตเดียว คือขณะจิตปัจจุบันนี้เท่านั้น เมื่อใดที่เรารู้ทันความรู้สึกเป็นทุกข์ที่กำลังปรากฎด้วยจิตที่ตั้งมั่น เป็นกลาง ความรู้สึกเป็นทุกข์จะดับสลายไปต่อหน้าต่อตา

การฝึกฝนให้จิตตั้งมั่นเป็นกลาง ก็คือการหัดรู้สภาวะที่ปรากฎโดยไม่แทรกแซง ไม่ไปดักรอที่จะรู้ รู้แล้วไม่แก้ไขสภาวะใดๆ แต่รักษาศีลไว้

การฝึกฝนที่จะรู้โดยไม่แทรกแซงก็คือ เมื่อเข้าไปแทรกแซงก็รู้ รู้แล้วไม่ต้องไปพยายามแก้ไขอะไร แต่ถ้ายังแทรกแซงอีก ก็รู้อีก เกิดสภาวะไม่ชอบใจ ก็รู้อีก "รู้" ตามหลังการแทรกแซงของจิตเรื่อยไป โดยมีความรู้จากการฟังมาก่อน ว่านี่คือการรู้อย่างไม่เป็นกลาง ก็จะรู้อย่างเป็นกลางได้ในที่สุด

เมื่อเห็นความรู้สึกเป็น ทุกข์ดับหายไปต่อหน้าต่อตา ด้วยจิตที่รู้ ตั้งมั่น เป็นกลาง บ้างก็จะเห็นสภาวะต่างๆเกิดแล้วก็ดับ บ้างก็เห็นว่าสภาวะนั้นอยู่ห่างๆ ก็มีบ้างเหมือนกันที่จะเห็นว่า สภาวะที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า มีความเบียดเสียด เค้นเครียด อยู่ภายใน แต่อย่างหลังนี้น้อยคนนักจะเห็น และไม่จำเป็นต้องเห็น

อาศัยการฟังธรรมเรื่องไตรลักษณ ฟังธรรมเรื่องอริยสัจจ์ อ่านพระสูตรที่แสดงถึงการฟังธรรมแล้วรู้แจ้งในธรรมของพระอริยะในครั้ง พุทธกาล จิตจะเดินวิปัสสนาได้คล่องแคล่ว ว่องไว ยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องนึกคิดหรือน้อมแต่อย่างใด

เมื่อจิตเห็นทุกสิ่งที่ เกิดขึ้นล้วนดับหมด จิตจะลดความแส่ส่ายฟุ้งซ่านลงไปเอง ปัญญาจะอบรมจิตให้มีสมาธิ มีความตั้งมั่น รู้อารมณ์ และพร้อมเจริญปัญญายิ่งขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อจิตไม่แส่สายออกไป ภายนอก รู้อารมณ์ด้วยความตั้งมั่นเป็นกลาง เห็นสภาวะทั้งหลายล้วนเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์สิ้น จิตยิ่งสงบตั้งมั่น ในที่สุดจิตจะรู้อยู่ที่จิตเอง ไม่ส่งออกนอก ไม่ส่งเข้าใน รู้เสมออยู่กับจิตด้วยตัวของจิตเอง ด้วยมีสมาธิที่ปัญญาอบรมจนเต็มกำลัง จิตจะเห็นจิต

เมื่อจิตเห็นจิต ด้วยจิตที่ตั้งมั่น เป็นกลาง จิตจะเห็นตามความเป็นจริงว่า จิตเองก็เกิดดับ ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ เหมือนๆกับสภาวธรรมอื่นๆที่เคยเห็นมาก่อน

เฝ้าอบรมให้จิตเห็น ความจริงของจิตอยู่อย่างนี้ ท่านผู้มีอินทรีย์แก่กล้ามาก่อน เห็นเพียงครั้งเดียว ความเชื่อมั่นว่าตัวตนมีอยู่ มีตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร มีตัวตนที่ต่อเนื่องมาจากอดีต และทอดยาวไปในอนาคต ความเชื่อมั่นทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ จะถูกทำลายลงไป ด้วยสักกายทิฎฐิถูกปัญญาถอดถอนทำลายไป อริยมรรคเกืดขึ้น เกิดอริยผลตามมา เข้าถึงพระนิพพานเป็นครั้งแรก เป็นพระโสดาบัน

แต่หากเป็นผู้ ที่มีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ก็ต้องอาศัยวิธีนี้ อบรมจิตให้เกิดปัญญาแก่กล้าขึ้นมา ด้วยการเพียรภาวนาไม่ท้อถอย จนวันหนึ่ง เมื่อมีปัญญาแกรอบ อริยมรรค อริยผล จะเกิดขึ้น และเข้าถึงพระนิพพานได้เป็นครั้งแรกเช่นกัน

จะมียกเว้นก็แต่ ผู้ที่ปราถนาทำเพื่อผู้อื่นแท้จริง จะไม่เข้ากระแสพระนิพพาน แต่จิตจะจดจำเส้นทางนี้ไว้ จะกลับมาทวนเดินซ้ำๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เท่าที่ทำได้ เพื่อให้เกิดความคุ้นเคย ความมั่นใจ เพื่อวันหนึ่งจะต้องกลับมาค้นหาและเดินบนเส้นทางนี้ โดยไม่มีคำแนะนำหรือร่องรอยใดๆ เหลือไว้ให้เลย

แต่กับคนอีกพวกหนึ่ง คนที่ทำอนันตริยกรรม คนที่ทำอาจริยูปวาโทโดยไม่ขอขมาลาโทษด้วยใจจริง จะไม่สามารถเดินบนเส้นทางนี้แต่เริ่มแรก จิตจะไม่สงบตั้งมั่น (แต่อาจสงบด้วยการเพ่งเอาไว้ได้ แต่จิตจะไม่ตั้งมั่น แต่จะแน่บแน่น หรือรวมกับอารมณ์ หรือรวมอยู่กับความนิ่งๆ ความว่างๆ) จะไม่สามารถเดินบนเส้นทางนี้ได้เลย แม้แต่การเริ่มต้นเดินทาง
« Last Edit: Wed 8 Jun 11, 11:56:00 by ลุงถนอม »
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา