คุณ Aporn ครับ
ต้องขอตัวออกก่อนนะครับว่า ผมไม่ได้เจริญกรรมฐานด้วยการเจริญมรณานุสติ ดังนั้น คำแนะนำที่ให้ไป ให้ถือว่าเป็นเพียงความเห็น ซึ่งอาจผิดหรือถูกก็ได้นะครับ
มรณานุสติ เป็นการเจริญสติโดยอาศัยการระลึกถึงความตาย ความตายยังไม่ได้ปรากฎขึ้นจริง แต่เป็นการน้อมไปถึง เป็นเครื่องมือสำหรับผู้ที่มีจริตเป็นสมถยานิก ต้องเป็นผู้ที่มีจิตที่ทรงฌาน อาศัยจิตที่เป็นสมาธิมีกำลังระดับฌาน และนิ่งเฉยอยู่ด้วยความคุ้นเคยในฌาน มาทำงานด้วยการใคร่ครวญถึงความตาย
การใคร่ครวญถึงความตาย จิตจะคิดถึงร่างกายในส่วนต่างๆ ที่จะต้องตายไป เป็นการน้อมให้จิตที่มีกำลังของฌานเข้ามาพิจารณากาย เมื่อจิตที่มีกำลังของฌานย้อนเข้ามาพิจารณาร่างกายที่ต้องตายไป บางครั้งกายจะกลายเป็นนิมิต และแสดงความเสื่อมสลายหายไป เห็นบ่อยเข้า จิตก็จะเห็นว่ากายไม่ใช่เรา
และในคำสอนของการเดินจิตในแนวนี้ เมื่อกายสลายไปแล้ว ให้รู้อยู้ที่รู้ ด้วยอาศัยกำลังของจิตในระดับที่ทรงฌาน ก็จะเห็นว่า รู้ (แม้จะรู้อยู่นิ่งๆ) ก็ไม่เที่ยง อยู่ในสมาธิก็นิ่่ง ออกไปสมาธิช่วงหนึ่งก็ไม่นิ่ง หรือบางท่านอาจเห็นได้ว่า รู้ เป็นอีกสิ่งหนึ่งต่างหาก ไม่ใช่ตัวเรา หรือบางท่านอาจเห็นได้ละเอียดกว่านั้น ว่า รู้ ที่อยู่นิ่งๆ กำลังก่อภพก่อชาติ แล้วเกาะหรืออาศัยอย่างแนบแน่นอยู่กับภพนั้น และภพนั้นไม่เที่ยง แตกสลายไป รู้ก็เปลี่ยนสภาพไป (อะไรทำนองนี้)
แต่ถ้าจะถามว่า หากเจริญมรณานุสติ สิ่งใดสำคัญหรือจำเป็นที่สุด บอกได้เลยครับว่า จิตที่ทรงฌานสำคัญที่สุด เพราะหากจิตไม่ทรงฌานแล้ว จิตจะถูกความเศร้าหมองครอบงำ จิตจะเป็นอกุศล หากทำบ่อยๆ นอกจากจะไม่อาจขึ้นวิปัสสนาได้แล้ว เมื่อตายไป จะไปอบายภูมิ หรือหากเป็นคนที่อ่อนไหวง่าย ก็แนวโน้มที่จะฆ่าตัวตายได้ง่ายครับ
แต่ถ้าเป็นจิตที่มีกำลังของฌาน ในขณะที่จิตทรงฌาน จิตจะมีความสุข มีกำลัง เมื่อมาพิจารณาความตาย จิตจะไม่ถูกความเศร้าหมองเข้าครอบงำ แต่จิตจะน้อมกลับมารู้กาย มาดูกาย และเห็นว่ากายไม่ใช่เราในที่สุดครับ
ตอบตามความเข้าใจ และตามที่จิตเขาแสดงให้เห็นเป็นฉากๆไป แต่ไม่อาจบอกได้ว่า จะเป็นจริง หรือถูกต้องนะครับ เพราะไม่ได้เจริญกรรมฐานด้วยวิธีครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับ