สติตัวจริง เป็นคำที่หลวงพ่อปราโมทย์ใช้ ท่านเรียกให้แตกต่างจากมิจฉาสติ โดยท่านหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า "สัมมาสติ" ซึ่งจะเป็นสติที่เกิดเมื่อเกิดอริยมรรค
ท่านใช้คำว่า "สติตัวจริง" ก็เพราะ หากสติชนิดนี้เกิดบ่อยๆ โอกาสที่จะเกิดสัมมาสติในอริยมรรคก็มีมากขึ้นๆ จนถึงที่สุดเมื่อโอกาสเต็ม 100% อริยมรรคก็จะเกิดขึ้น (ไม่ใช่เฉพาะสัมมาสติ) เท่านั้น
สติตัวจริง หมายถึง สติที่มีความรู้สึกตัว คือ สติที่ประกอบด้วยสัมปชัญญะ
โดยปกติแล้ว ผู้คนที่เรียนหนังสือมาจนจบสูงๆได้ มักจะมี สติ และ สมาธิ เป็นพื้นที่พอตัวอยู่บ้างแล้ว ดังนั้น เวลาที่หลวงพ่อปราโมทย์ท่านสอนผู้มาใหม่ๆ หรือแม้แต่อาจารย์สุรวัฒน์สอนใครที่มาหัดใหม่ๆ (หรือแม้แต่ที่หัดมานานบางท่านก็ตาม) ก็จะสอนลงไปที่ให้หัดรู้สึกตัว
ในขณะที่หัดรู้สึกตัว จะไม่เกิดสติตัวจริงขึ้น เพราะการฝึกหัดนั้น จะยังมีความจงใจเจืออยู่ แต่เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะเราต้องฝึกให้จิตมีนิสัยที่จะรู้อย่างรู้สึกตัวขึ้นมาครับ
หากฝึกฝนรู้สึกตัว ทั้งการภาวนาตามรูปแบบที่เข้าใจหลักการ และการเจริญสติในชีวิตประจำวันได้จริง เราจะรู้สึกตัวขึ้นมาได้เอง ซึ่ีงเรามักจะพบว่า ความรู้สึกตัวนั้นเกิดขึ้นโดยไม่ได้ทำอะไร แต่แท้จริงแล้วมีเหตุ
เหตุของการเกิดความรู้สึกตัวได้ ก็คือ จิตเกิดสติในขณะที่ไปรู้สภาวะหรืออารมณ์ที่ตนเองจดจำได้อย่างแม่นยำ
การจดจำได้อย่างแม่นยำนั้นเกิดจาก การที่เราฝึกตามรูปแบบ และฝึกการเจริญสติในชีวิตประจำวันนั่นแหละครับ โดยใช้อารมณ์ หรือสภาวะ ที่เกิดบ่อย แล้วสังเกตได้ง่าย เป็นเครื่องมือ
การที่เราเลือกอารมณ์ หรือสภาวะ (ของกาย ของใจ ของเรา) เป็นเครื่องมือสังเกตในการเจริญสติ ทั้งการฝึกในรูปแบบ และการฝึกในชีวิตประจำวัน ก็คือ วิหารธรรม นั่นเอง
ถ้าว่าตามตำราพระอภิธรรม ถิรสัญญา คือ ความที่จิตจดจำลักษณะของสภาวะได้แม่นยำ (ไม่ใช่คิด แต่เป็นการเห็นสภาวะแท้ๆ หรือที่เรียกว่า เห็นปรมัตถ์) เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ ความจริงหากเขียนในที่นี้ก็คือ เกิดสติตัวจริง
แต่ทีนี้ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า คนทั่วไปนั้น สติเกิดเรื่อยๆอยู่แล้ว แต่เป็นสติที่ไม่ีสามารถนำมาใช้เจริญวิปัสสนาได้ ต้องเป็นสติที่ประกอบด้วยความรู้สึกตัว หรือสติที่ประกอบไปด้วยสัมปชัญญะ ซึ่งสติชนิดนี้เกิดขึ้นได้จากการที่เรามีวิหารธรรม หรือมีการฝึกฝนตามรูปแบบ ฝึกฝนในชีวิตประวันตามที่อธิบายข้างบนน่ะครับ
ลักษณะที่สติตัวจริงเกิดขึ้น สังเกตได้ 2 ประการ นะครับ ก็คือ
1. (ดูเหมือนว่า)เกิดขึ้นเอง (ความจริงก็คือ ไม่ได้จงใจให้เกิด)
2. จิตมีความปลอดโปร่ง โล่งเบา นุ่มนวล ว่องไว ควรค่าแก่การงาน
ข้อที่ 1 อาจสังเกตได้ง่ายกว่าข้อที่ 2 (และความจริงแล้ว ข้อ 2 เป็นลักษณะของจิตที่ปราศจากโมหะ ทำให้คล่องแคล่ว ว่องไว แต่นุ่มนวล และโปร่ง โล่ง เบา สัมปชัญญะเป็นศัตรูโดยตรงของโมหะ หากจำไม่ผิด สัมปชัญญะมีอีกชื่อว่า อสัมโมหสัมปชัญญะ-ความไม่หลง) แต่ขอเรียนไว้นะครับว่า ข้อที่ 1 เป็นเครื่องมือที่สังเกตง่ายกว่า้ข้อ 2 และข้อ 2 เองนั้นจะดูยาก สำหรับบางท่านด้วยครับ เพราะบางท่านไม่เคยรู้จักจิตชนิดนี้มาก่อน และบางท่านก็รู้จักจิตชนิดอื่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกันแต่เกิดจากการทำสมาธิล้วนๆ นะครับ
แต่การฝึกตามประสาคนเมืองที่ไม่สามารถฝึกสมาธิจนถึงฌานได้ วิธีนี้จะทำให้เกิดสติตัวจริงได้ครั้งละแวบเดียวนะครับ แต่แวบเดียวที่ว่ามีความสำคัญไม่น้อย เหมือนกับคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ยามที่มีเงินเหลือแม้เพียงสลึงเดียว หยอดกระปุกไว้ วันหนึ่งก็มีเงินมาก แล้วนำไปลงทุนต่อไปได้ การฝึกสติตามประสาคนอัตคัต คือคนที่ทำสมาธิระดับฌานไม่ได้ สติแวบเดียวนี้สำคัญนะครับ
และความเป็นจริงแล้ว ท่านที่ทำสมาธิในระดับฌาน จนถึงฌาน 2 ได้ เกิดจิตผู้รู้ตั้งมั่นขึ้น จริงๆแล้วก็คือ เกิดจิตที่มีสติตัวจริงถี่ยิบ และต่อเนื่องกันไป แต่เมื่อเราอัตคัตขัดสนกับสมาธิ เราก็ต้องทำแบบคนเบี้ยน้อยหอยน้อย ก็ค่อยๆหยอดกระปุกด้วยเหรียญสลึงของเราต่อไป ไปพร้อมๆกับการที่ต้องทำหน้าที่ของตนเองทางโลก ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือพนักงาน เจ้าของกิจการ เราก็ทำไปอย่างนี้ได้ครับ
น่าจะตอบคำถามให้ครบนะครับ (แต่ไม่ได้เรียงตามลำดับนะครับ) หากไม่แน่ใจ ถามต่อได้นะครับ ไม่ต้องเกรงใจครับ ยินดีสนทนาด้วยเสมอๆครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับ
^__^