ประวัติิหลวงปู่ทา จารุธัมโม
หลวงปู่ทา ท่านเกิดในสกุล “อารีวงศ์” นามเดิมคือ ทา อารีวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2452 ตรงกับขึ้น 11 ค่ำ เดือน 4 ปีระกา ที่ตำบลคูเมือง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ท่านเป็นบุตรของนายลี อารีวงศ์ มีอาชีพทำนา ทำไร่ มีพี่น้อง 9 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 7 น้อง 2 คนเสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก ตอนเป็นเด็กท่านไม่มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนหนังสือ มีชิวิตที่ค่อนข้างลำเค็ญ ต้งช่วยบิดามารดาทำงาน ทำไร่ทำนา และเลี้ยงควาย มารดาของท่านได้เสียชีวิตตั้งแต่ท่านอายุได้ 5 ขวบ หลังจากนั้นไม่นานบิดาก็เสียชีวิตอีกคน ปล่อยให้ท่านและพี่น้อง 7 คนอยู่กันตามลำพัง ภายหลังพี่น้องก็แยกย้ายไปอาศัยอยู่กับญาติผู้ใหญ่ในที่ต่าง ๆ ส่วนท่านไปอาศัยอยู่กับน้าหญิง น้าชายที่อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี
เมื่อท่านอายุได้ 15 ปี เกิดความเลื่อมใสในร่มกาสาวพัตร์ จึงขอน้าบวชเป็นสามเณร พออายุครบ 20 ปี ได้ญัตติจากสามเณรเป็นฝ่ายมหานิกายที่วัดใหญ่ชีทวน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดนี้เป็นเวลา 5 พรรษา น่าเสียดายที่ไม่ท่านไม่มีอาจารย์สอนอุบายธรรม ทำให้ จิตใจว้าเหว่ไร้ที่พึ่ง เมื่อไม่ได้ดื่มด่ำในรสพระธรรมอย่างที่ใจหวัง ท่านจึงตัดสินใจลาสิกขาบทช่วยงานบ้านอีกครั้งหนึ่ง
มีอยู่วันหนึ่งในสมัยเเป็นหนุ่มฉกรรจ์ ท่านและเพื่อนอีก 5 คน ได้ไปตัดต้นพันชาติเพื่อนำมาทำเครื่องหีบอ้อย เพื่อนของท่านแต่ละคนแสดงอาการคึกคะนองลบหลู่ดูหมิ่นเทพารักษ์ พูดจาไม่สุภาพกล่าวคำหยาบ ส่วนท่านสำรวมระวังตัวอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้น 1 เดือน เพื่อนของท่านแต่ละคนได้ล้มป่วยด้วยโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ มีอาการแปลกแตกต่างไปในแต่ละคน และเสียชีวิตทีละคน ส่วนท่านล้มป่วยเป็นคนสุดท้ายมีอาการป่วยหนักปางตาย น้าชาย – หญิงของท่านได้สวดอ้อนวอนขออำนาจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ช่วยให้ท่านหายป่วย และสัญญาว่าหากหายป่วยจะให้ท่านบวช และให้ท่านภาวนาพุทโธ ทำให้จิตสงบ ทุกขเวทนาอันเผ็ดร้อนปางตายได้หายไป จิตใจสงบเยือกเย็น ครั้งนั้นทำให้ท่านเชื่อมั่นในคุณค่าแห่งพระพุทธศาสนา
ต่อมาเมื่อหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล หลวงปู่มี ญาณมุนีและคณะได้เดินทางมาธุดงค์ปักกรดที่ป่าบ้านชีทวน หลวงปู่ทาได้ฟังธรรมอันมีรสชาติเข้มข้น ทำให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ท่านจึงตั้งสัจจะว่า “จะต้องบวชเป็นครั้งที่ 2 และจะไม่มีครอบครัว” ท่านจึงได้เดินทางไปขอเป็นศิษย์หลวงปู่มี ที่เสนาสนะบ้านสูงเนิน(ปัจจุบันคือวัดป่าญาณโสภิตวราราม) อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมาครั้งหนึ่งหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล หลวงปู่มี ญาณมุนีและคณะได้เดินทางมาธุดงค์ปักกรดที่ป่าบ้านชีทวน หลวงปู่ทาได้ฟังธรรมอันมีรสชาติเข้มข้น ทำให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ท่านจึงตั้งสัจจะว่า “จะต้องบวชเป็นครั้งที่ 2 และจะไม่มีครอบครัว” ท่านจึงได้เดินทางไปขอเป็นศิษย์หลวงปู่มี ที่เสนาสนะบ้านสูงเนิน(ปัจจุบันคือวัดป่าญาณโสภิตวราราม) อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา
หลวงปู่ทาได้ติดตามรับใช้หลวงปู่มีโดยตลอดระยะเวลา 3 ปี ท่านได้เป็นตาปะขาวรักษาศีลอย่างเคร่งครัด มีกิริยามารยาทเรียบร้อย ความประพฤติดี หลวงปู่มีจึงอนุญาตให้ท่านอุปสมบทเมื่ออายุได้ 34 ปี วันที่ 26 กรกฎาคม 2485 ณ อุโบสถวัดใหญ่สูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา โดยมีหลวงปู่มี ญาณมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายา “จารุธมฺโม” แปลว่า “ผู้มีธรรมอันงามพร้อม”
ปี พ.ศ. 2500 หลวงปู่สีลา อิสฺสโร ซึ่งเป็นศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ท่องธุดงค์กรรมฐานได้พบป่าเขาและถ้ำที่วิเวกสงัด น้ำอุดมสมบูรณ์ สามารถดำรงชีพแบบสมณะ จึงนำเรื่องไปกราบเรียนหลวงปู่มี หลวงปู่มีจึงนำลูกศิษย์ปฏิบัติธรรมในป่าลึกทางซับม่วง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พระทั้งหมดได้เข้าพักบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่ถ้ำสวยงามที่ชื่อว่า “ถ้ำมืด” ต่อมาเรียกว่า “ถ้ำซับมืด” การธุดงค์ครั้งนี้ทำให้พระทั้ง 5 รูปต่างได้รับเชื้อมาลาเรียแม้แต่หลวงปู่มีก็ป่วยปางตาย ท่านจึงถอนธุดงค์กลับ มีพระภิกษุที่ออกธุดงค์ในครั้งนี้ได้มรณภาพ 1 รูป
หลังจากที่ ปี พ.ศ. 2506 หลวงปู่ทาได้เดินทางมาจำพรรษาที่วัดถ้ำซับมืด ตำบลจันทึก อำเภอปากช่อง ในปี พ.ศ. 2507-2511 หลวงปู่มี หลวงปู่ทาและหลวงพ่อสุพีร์ สุสญฺญโม ได้ไปจำพรรษาที่วัดดอยพระเกิด อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
ปี พ.ศ. 2512 หลวงปู่ทา จารุธมฺโม ได้มาจำพรรษา ณ วัดถ้ำซับมืดกับหลวงปู่มีและหลวงพ่อสุพีร์ สุสญฺญโมอีกครั้งหนึ่ง แม้หลวงปู่มีจะมรณภาพไปแล้ว แต่หลวงปู่ทาท่านครองสมณะเพศอยู่อย่างเรียบง่าย สมถะ ถือสันโดษ เปี่ยมล้นด้วยเมตตาธรรม ให้ความเมตตาต่อสาธุชน ศิษยานุศิษย์ เสมอกัน โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย เป็นผู้สืบทอดข้อวัตรปฏิบัติปฏิปทาจากหลวงปู่มีอย่างเคร่งครัด สหธรรมิกที่เดินทางมาเยี่ยมเยือนสนทนาธรรมกับท่านเสมอที่วัดถ้ำซับมืด นอกจากนั้นพระกรรมฐานทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุตก็มาอยู่ร่วมสำนักปฏิบัติธรรมกับท่านเสมอ
หลวงปู่ทา จารุธมฺโมได้ละสังขารเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 สิริอายุ 98 ปี
พรรษา 65