เขียนเมื่อ วัน จันทร์ ที่ 26 มิถุนายน 2543 19:17:00
อ่านหลายกระทู้ในลานธรรม ที่แนะนำให้มองทุกอย่างให้ว่างจาก ตัวกู - ของกู
และอ่านกระทู้ ความวิปลาส ของคุณพัลวันในวิมุตติแล้ว
เห็นว่าเราน่าจะคุยกันเรื่อง ตัวกู - ของกู สักครั้งหนึ่ง
ช่วงที่ผมคลั่งคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาส
ผมรู้สึกว่าตนเองเข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างถึงแก่นแท้แล้ว
คือถ้าพยายามมองอะไรแบบว่างจาก ตัวกู - ของกู เสียอย่างเดียว
ทุกสิ่งก็เป็นความว่าง ทั้งว่างจาก ตัวกู - ของกู และว่างจากกิเลสตัณหา
เมื่อถึงความว่างอย่างนี้แล้ว ก็คือพ้นจากความยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง
เป็นอันว่าจบหลักสูตรพระพุทธศาสนา จัดเป็นผู้รู้จริงคนหนึ่ง
เพราะเข้าถึงแก่นธรรม หรือหัวใจของพระพุทธศาสนาที่ว่า
"สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ - ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น"
ความรู้ความเห็นที่ให้มองอะไรๆ ให้ว่างจาก ตัวกู - ของกู
มีผลในทางทำให้กิเลสในใจเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกัน
อย่างจะโกรธใครสักคน ก็คิดว่าเขาไม่ได้ด่าเรา เพราะเราไม่มี
ตัวเขาเองก็ไม่มีอะไร มีแต่แค่เสียงกระทบหู
แล้วจิตที่โง่ก็ไปคิดว่า "เขา" ด่า "เรา" จึงเป็นทุกข์ขึ้นมา
การคอยคิดเรื่อง ตัวกู - ของกู ช่วยให้จิตใจสบายขึ้นได้จริงๆ
นอกจากนี้ก็อิ่มใจ ภูมิใจ ว่าเราเข้าถึงแก่นธรรมแล้ว
ส่วนคนอื่นๆ ยังเป็นคนที่วิ่งเลาะอยู่ริมฝั่ง
เช่นยังหลงอยู่กับพิธีกรรมต่างๆ อันเป็นเปลือก เป็นกระพี้ศาสนา
จนเมื่อได้มาปฏิบัติอย่างจริงจังแล้วนั่นแหละ จึงพบว่า
การจะให้เห็น ตัวกู แล้วขจัดได้จริงๆ
หรือการมองทุกอย่างเป็นความว่าง ทั้งจิตก็ว่าง และไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง
เป็นงานที่ยากแสนยาก และทำไม่ได้ด้วยการคิดๆ เอาเอง
มีแต่การเจริญสติปัฏฐานอย่างจริงจังเท่านั้น
จิตจึงจะพ้นจากตัณหาและทิฏฐิ และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ได้จริง
จิตที่คิดแต่เรื่องความว่าง ความไม่มี ตัวกู - ของกู
คือจิตที่มีทิฏฐิถูกต้องครอบงำ
คือเห็นว่า "ความเห็นหรือทิฏฐินี้ สมควรแก่เรา.. เราเชื่ออย่างนี้"
ซึ่งยังห่างไกลจากความว่าง หรือความไม่มี ตัวกู - ของกู แบบคนละเรื่องทีเดียว
*********************************************
ต่อไปนี้ ขอเปลี่ยนจากคำว่า กู เป็น เรา
เพราะไม่เกี่ยวกับท่านอาจารย์พุทธทาสแล้ว
สิ่งที่รู้สึกว่าเป็นตัวเรา หรือเป็นตัวกูนั้น
ก็เริ่มจากการรู้สึกว่า ร่างกายนี้แหละคือตัวเรา
แต่พอเจริญสติสัมปชัญญะเข้า ก็เริ่มเห็นว่า
อ้อ กายนี้ไม่ใช่ตัวเราหรอก แต่เป็นกายของเรา
เพราะกายนี้ถูกเห็น ถูกรู้อยู่ต่อหน้าต่อตา
จึงลดระดับจากกายที่เป็น ตัวเรา เหลือเพียงเป็น กายของเรา
(เหมือนที่รู้สึกว่า นี่แขนของเรา นี่ขาของเรา นี่ศีรษะของเรา
ชี้ลงที่อวัยวะใด ก็ล้วนแต่เป็นอวัยวะของเรา
ไม่มีอวัยวะใดที่ชี้แล้วเรียกว่า ตัวเรา ได้เลย)
แม้เวทนา สัญญา และสังขาร ก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้เช่นเดียวกับกาย
มันจึงปรากฏชัดว่า เป็นเวทนา สัญญา และสังขารของเรา
แล้วก็จะเหลืออยู่แต่จิตที่เป็นผู้รู้ ผู้คิด ผู้นึก ผู้ยินดียินร้าย
ตัวนี้แหละดูอย่างไรก็รู้สึกว่า เป็น ตัวเรา
เรื่องความเป็นตัวเราของจิตนั้น มันซ้อนกันอยู่ 2 ระดับ
คือ ความเห็นว่าจิตเป็นเรา อย่างหนึ่ง
และ ความยึดว่าจิตเป็นเรา อีกอย่างหนึ่ง
การทำลายความเห็นผิด ว่าจิตเป็นเราก็ดี
การทำลายความยึดมั่น ว่าจิตเป็นเราก็ดี
ทำไม่ได้ด้วยการคิดๆ เอา ว่าไม่มีตัวกู - ของกู
เพราะคิดอย่างไรก็คือ กูคิด - กูรู้ อยู่นั่นเอง
แต่ทำได้ด้วยการเจริญสติปัฏฐานให้ยิ่งๆ ขึ้นไปเท่านั้น
ผมเคยไปนั่งพับเพียบจับเข่าท่านอาจารย์พุทธทาสแล้วเรียนถามท่านว่า
"ท่านอาจารย์เขียนหนังสือตั้งมากมาย
ถ้าผมอ่านให้หมด แล้วคิดตาม ผมจะรู้ธรรมได้หรือไม่"
ท่านตอบว่า "ไม่รู้หรอก"
ผมจึงถามท่านว่า "แล้วทำอย่างไรจึงจะรู้ธรรม"
ท่านตอบว่า "ต้องเจริญสติเอาเอง"
กล่าวแล้ว ท่านอาจารย์ก็กำหนดสติรู้ลมหายใจของท่าน
******************************************
(มีต่อ)