1
คุยกัน ประสานักภาวนา / มาเล่าสู่กันฟัง เมื่อ "ปัญญา" เกิด
« on: Mon 7 Feb 11, 21:21:07 »
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่กำลังนั่งสมาธิ พิจารณา ขันธ์5 ตามต่อเนื่องไปจนถึง ปฎิจจสมุทบาท ไปถึง ภพ ชาติ ยังไม่ถึง ชรา ฉับพลันนั้นเอง ก็เกิดความรู้วาบขึ้นมา เป็นความรู้ กึ่งความรู้สึกว่า
โอ..เจ้าการเกิดนี่เอง คือต้นเหตุแห่งทุกข์ การตัดเหตุแห่งทุกข์ก็คือการหยุดการเกิด ซึ่งก็คือ สมุทัย นั่นเอง ..ไม่ว่าการเกิดของ ขันธ์ใด ๆ ก็ตาม ล้วนเป็นทุกข์ ตามมาด้วยความรู้สึก ปิติ
วันนั้นทั้งวัน ก็คิด ๆ ๆ ว่า ก็ธรรมพื้น ๆ ร่ำเรียนมาแต่เล็กคือ อริยสัจ 4 ทำไมเรากลับรู้สึก ปลื้มปิติ เหลือเกิน กับสิ่งที่ได้รู้
หลังจากนั้น สี่วันได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อ ทวี ที่วัดป่าอรัญวิเวก เชียงราย ก็ได้มีโอกาส สอบถามหลักการ และรายละเอียดการปฎิบัติภาวนา จากท่าน เรียกว่าซักถามเอาให้ละเอียด
ชนิดไม่มีเกรงใจครูอาจารย์กันละครับ บรรดาข้อสงสัยต่าง ๆ ที่มีในหัวอก ก็ได้กราบเรียนสอบถามท่านจนหมด แถมได้คำแนะนำการปฎิบัติ กลับออกมาด้วยความรู้สึกแช่มชื่น
เช้าวันถัดมา ก็มีอีกครั้ง ลพ.ท่านได้ให้คำแนะนำว่า พิจารณากายก้อดูอาการ 32 ภายนอกก็ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แค่เริ่มตั้งต้น เกศา เท่านั้นแหละครับ คำตอบมันพร่างพรูออกมาจากข้างใน
ก็เกศานี้ มันมิได้เที่ยงแท้ งอกยาว แล้วก็ร่วงหล่น หล่นแล้วก็งอกใหม่ ผมที่มีอยู่ในปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ผมที่มีในอดีต มิใช่เส้นเดียวกันกับผมเมื่อตอนคลอดออกมา และผมปัจจุบันนี้ ก็มิใช่คงอยู่
ถาวรถึงอนาคต มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป งอกออกมาได้ก็ด้วยเหตุ (มีรากผม) ฯลฯ ไปจรด หนัง ล้วนแต่มีคำอธิบายปรากฎแก่จิต เป็นลักษณะของการรู้ มิใช่คิด ... ตามมาด้วย ปิติ อีกเช่นกัน
และไม่กี่วันมานี้เอง ขณะพิจารณาขันธ์ 5 อีกครั้ง จากสิ่งที่พร่ำคิด คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เกิดความรู้แว่บขึ้ันมาอีกครั้งหนึ่่ง ว่า ก็เพราะมันไม่เที่ยง มันย่องต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา
กายไปยึดไว้ถือไว้ ย่อมน่ำมาซึ่งความทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การปล่อยวาง ไม่ยึดถือ ย่อมไม่ทุกข์ และเมื่อปล่อยวางไปแล้ว สิ่งนั้น ก็คือ อนัตตาในความรู้สึกของเรานั่นเอง เพราะเมื่อเรา
ไม่ยืดถือ มันก็ว่างเปล่าในความรู้สึกของเรา นั่นไงคือคำว่า อนัตตา ในความหมาย
ถึงตอนนี้ รู้แล้วละครับว่า ภวนามยปัญญา เป็นอย่างไร เข้าใจในสิ่งที่ ลพ.ปราโมทย์ พร่ำสอนมาตลอดแล้วละครับ
โอ..เจ้าการเกิดนี่เอง คือต้นเหตุแห่งทุกข์ การตัดเหตุแห่งทุกข์ก็คือการหยุดการเกิด ซึ่งก็คือ สมุทัย นั่นเอง ..ไม่ว่าการเกิดของ ขันธ์ใด ๆ ก็ตาม ล้วนเป็นทุกข์ ตามมาด้วยความรู้สึก ปิติ
วันนั้นทั้งวัน ก็คิด ๆ ๆ ว่า ก็ธรรมพื้น ๆ ร่ำเรียนมาแต่เล็กคือ อริยสัจ 4 ทำไมเรากลับรู้สึก ปลื้มปิติ เหลือเกิน กับสิ่งที่ได้รู้
หลังจากนั้น สี่วันได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อ ทวี ที่วัดป่าอรัญวิเวก เชียงราย ก็ได้มีโอกาส สอบถามหลักการ และรายละเอียดการปฎิบัติภาวนา จากท่าน เรียกว่าซักถามเอาให้ละเอียด
ชนิดไม่มีเกรงใจครูอาจารย์กันละครับ บรรดาข้อสงสัยต่าง ๆ ที่มีในหัวอก ก็ได้กราบเรียนสอบถามท่านจนหมด แถมได้คำแนะนำการปฎิบัติ กลับออกมาด้วยความรู้สึกแช่มชื่น
เช้าวันถัดมา ก็มีอีกครั้ง ลพ.ท่านได้ให้คำแนะนำว่า พิจารณากายก้อดูอาการ 32 ภายนอกก็ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แค่เริ่มตั้งต้น เกศา เท่านั้นแหละครับ คำตอบมันพร่างพรูออกมาจากข้างใน
ก็เกศานี้ มันมิได้เที่ยงแท้ งอกยาว แล้วก็ร่วงหล่น หล่นแล้วก็งอกใหม่ ผมที่มีอยู่ในปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ผมที่มีในอดีต มิใช่เส้นเดียวกันกับผมเมื่อตอนคลอดออกมา และผมปัจจุบันนี้ ก็มิใช่คงอยู่
ถาวรถึงอนาคต มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป งอกออกมาได้ก็ด้วยเหตุ (มีรากผม) ฯลฯ ไปจรด หนัง ล้วนแต่มีคำอธิบายปรากฎแก่จิต เป็นลักษณะของการรู้ มิใช่คิด ... ตามมาด้วย ปิติ อีกเช่นกัน
และไม่กี่วันมานี้เอง ขณะพิจารณาขันธ์ 5 อีกครั้ง จากสิ่งที่พร่ำคิด คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เกิดความรู้แว่บขึ้ันมาอีกครั้งหนึ่่ง ว่า ก็เพราะมันไม่เที่ยง มันย่องต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา
กายไปยึดไว้ถือไว้ ย่อมน่ำมาซึ่งความทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การปล่อยวาง ไม่ยึดถือ ย่อมไม่ทุกข์ และเมื่อปล่อยวางไปแล้ว สิ่งนั้น ก็คือ อนัตตาในความรู้สึกของเรานั่นเอง เพราะเมื่อเรา
ไม่ยืดถือ มันก็ว่างเปล่าในความรู้สึกของเรา นั่นไงคือคำว่า อนัตตา ในความหมาย
ถึงตอนนี้ รู้แล้วละครับว่า ภวนามยปัญญา เป็นอย่างไร เข้าใจในสิ่งที่ ลพ.ปราโมทย์ พร่ำสอนมาตลอดแล้วละครับ