เป็นคำถามที่ดีมากๆเลยครับ ทำให้คิดถึงสมัยที่เริ่มหัดภาวนาใหม่ๆ ตอนนั้น มีปัญหาหรืออุปสรรคอยู่ประการหนึ่ง ที่ทำให้คิดว่า ชาตินี้อาจหวังไม่ได้กับมรรคผลนิพพาน เพราะเห็นครูบาอาจารย์สายพระป่า ท่านทำความเพียรอย่างเอกอุ ทั้งนั่งสมาธิและเดินจงกรมกันวันละหลายชั่วโมงเลย แต่เรานั้น วันหนึ่งๆแทบไม่ได้ทำสมาธิเลยด้วยซ้ำไป เห็นว่าการภาวนานั้นยากเย็นและใช้เวลาถึงเพียงนั้น เราคงไม่มีบุญไม่มีวาสนาในชาตินี้แน่
ต่อมาเมื่อได้พบกับครูสันตินันท์ ได้คุยกับท่านค่อนข้างเยอะในช่วงนั้น ผ่านทาง icq เป็นส่วนใหญ่ ทำให้พบว่า เรายังมีหวัง ท่านพูดเอาไว้ตั้งแต่ครั้งนั้นว่า "หลวงปู่มั่นบอกครูบาอาจารย์ของครูว่า ทำสมาธิมากเนิ่นช้า คิดพิจารณามากฟุ้งซ่าน สติในชีวิตประจำวันสำคัญที่สุด" ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่พอจะมีความหวังครับ
มาถึงวันนี้ แล้วกลับไปคิดถึงอดีต ทำให้พอเข้าใจอะไรหลายๆอย่างได้ครับ แม้ว่าค่าเฉลี่ยของครูบาอาจารย์สายพระป่า จะใช้เวลาราวๆ 8 - 16 ปี ก็ตาม แต่บางท่านกลับใช้เวลาผ่านอย่างรวดเร็ว แม้ว่าส่วนหนึ่งจะอ้างกันว่า เป็นเพราะมีของเก่าสนับสนุนอยู่ก็ตาม แต่อีกส่วนก็ต้องยอมรับกันว่า ของใหม่ที่ท่านทำ ย่อมมิใช่ธรรมะที่ทำให้เกิดความเนิ่นช้าเป็นแน่
ทีนี้ย้อนกลับมาที่คำถามของคุณ Dawnheart ครับ
ที่ว่าการปฎิบัติของเรานั้นตึงหรือหย่อนเกินไป คุณ Dawnheart ลองสังเกตดูนะครับ เราไม่สามารถภาวนาในอดีตได้ เราไม่สามารถภาวนาในอนาคตได้ แต่ความจริง เราสามารถภาวนาได้แค่ขณะเดียว คือ ขณะปัจจุบันนี้เท่านั้น ดังนั้น ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ก็ต้องบอกว่า ไม่ต้องไปแคร์อดีต ไม่ต้องไปแคร์อนาคต กับปัจจุับันก็แค่รู้ รู้กาย รู้ใจ ตามที่เขาเป็น จนวันหนึ่ง จิตเกิดความตั้งมั่น จิตจะสามารถเดินปัญญาต่อไปได้ เพราะเราย่อมยังมีโอกาสได้ยินได้ฟังธรรมที่ครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอน ท่านย่อมแสดงธรรมเรื่องไตรลักษณ์ เรื่องอริยสัจจ์ ไม่มากก็น้อย เท่านั้นก็เพียงพอที่จะน้อมจิตของเราให้เจริญปัญญาได้แล้ว
ตอบในอีกแง่หนึ่ง การภาวนาที่ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ก็คือ การภาวนาในปัจจุบันนั่นเอง ไม่ว่าอดีตจะทำมามากหรือน้อย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรไปคำนึงถึง ไม่ว่าอนาคตจะมีโอกาสภาวนามากน้อยแค่ไหน ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปคำนึงถึง สิ่งที่ควรเตือนตนก็คือ เวลาปัจจุบันต่างหาก เมื่อใดที่มีว่างจากการทำงาน (ทั้งการคิดเรื่องงาน ทั้งการคุยปรึกษาหารือ ทั้งการประชุม และการให้เวลากับคนในครอบครัว แล้ว) เราก็เจริญสติไป แม้เวลาอยู่กับเพื่อนฝูง เราก็ยัแอบเจริญสติได้ การไปนั่งรอประชุม หากเราเตรียมทุกอย่างมาพร้อมแล้ว เราก็เจริญสติได้ จะไปพบลูกค้า หากว่าทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว เราก็เจริญสติได้ ไม่ใช่สิ่งที่เหลือวิสัย
เรียกว่า เราบริหารเวลาเพื่อการเจริญสติได้ทุกเมื่อ (แต่การเจริญสติไม่สามารถเจริญได้ทุกเมื่อสำหรับชีวิตของชนชั้นกลางที่ทำงานเป็นลูกจ้างเขานะครับ หรือแม้แต่เป็นนายจ้าง หรือเป็นนายของตัวเองก็ตามที หากต้องทำงานอยู่ เราไม่สามารถเจริญสติได้ทุกเมื่อได้ แม้ว่าสติจะจำเป็นในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ แต่ตามสภาพ ตามสถานการณ์อย่างนี้ เราใช้การบริหารเวลาเพื่อการเจริญสติครับ)
ส่วนที่ว่าตึงเกินไป หย่อนเกินไป ตรงนี้ต้องลองดูดีๆนะครับว่า เราเอามาตรฐานอะไรไปวัด ใช่มาตรฐานที่เรากำหนดหรือคิดขึ้นมาเองหรือเปล่า เราคิดว่า เราต้องเจริญสติให้ได้ตลอดเวลาหรือเปล่า ไม่มีใครทำได้ แม้แต่ผู้ที่เป็นพระบวชใหม่ ก็ยังทำไม่ได้เลยครับ และที่สำคัญ สิ่งที่เรา "คิดขึ้นมาเอง" จะใช่ "มาตรฐาน" ล่ะหรือ?
หากสิ่งที่เราคิดขึ้นมาเอง แล้วเราให้เป็น "มาตรฐาน" ที่ไปใช้กับคนอื่นๆ ทางจิตวิทยานั้นดูเหมือนว่าจะมีคำๆหนึ่ง ก็คือ Center หรือ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เอาตัวเองเป็นผู้กำหนดมาตรฐาน (แทนที่จะเป็นข้อตกลงร่วมกัน หรือสำหรับศาสนาพุทธก็คือ พระธรรมวินัย) แต่ถ้าหากว่า เราคิดขึ้นมา แล้วเราใช้วัดกับตัวเอง ตรงนั้นก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น "มาตรฐาน" แต่เป็น "มาตรส่วนตัว" ครับ
เมื่อเห็นตรงนี้แล้วนะครับ เวลาเกิดความรู้สึกว่าเราทำตึงเกินไป เราทำหย่อนเกินไป สังเกตดูสิครับ ว่าเราหลุดออกจากโลกแห่งความเป็นจริง เข้าไปสู่โลกแห่งความคิดแล้ว นั่นหมายถึงอะไร นั่นหมายถึงว่าเรากำลังขาดสติ เรากำลังพลาดท่าให้กับกิเลส กิเลสตัวที่ชื่อว่า "อยากดี" ชื่อบาลีจะว่าอะไรก็ช่างเขานะครับ แต่ที่แน่ๆเป็นกิเลสที่ "อยากดี" แน่นอน และที่กลายเป็นความหย่อนก็คือ พอเรามีเวลาไปคิดเรื่องนี้ แล้วเราไม่อาศัยจังหวะนี้เจริญสติล่ะก็ ตรงนี้ล่ะครับที่เราหย่อน เพราะเราไปให้เวลากับกิเลสโดยไม่จำเป็นเลย ดังนั้นนะครับ แทนที่จะมีจิตที่หวั่นไหวกับเรื่องการภาวนาที่ย่อหย่อนของเรา เราก็สังเกตจิตใจในขณะนั้นเลย ว่าความอยากดีเป็นอย่างไร สังเกตจิตลงไปในขณะนั้นเลย ว่าจิตที่มีความอยากดีแล้ว จิตดวงต่อมาเป็นอย่างไร
การสังเกต ก็ไม่ต้องไปเฝ้าไว้นะครับ เห็นแค่ไหนก็แค่นั้น บางท่านก็เห็นแค่ความอยากดี ก็รู้ทันแค่ตรงนั้นก็พอ เจริญสติ ภาวนา ต่อไปได้ แต่กับบางท่านอาจยังไม่สะใจ จิตเขาไม่พอ ต้องเห็นต่อมาว่า จิตดวงหนึ่งที่อยากดีเกิดขึ้น (แล้วรู้ไม่ทัน) จิตดวงถัดไปเกิดขึ้นมาพร้อมกับทุกขเวทนาทางใจ เป็นอย่างไร ดิ้นรน กระสับกระส่าย พร้อมๆกับทำให้เกิดจิตอีกดวงหนึ่งที่มีความไม่ชอบใจเกิดขึ้นมา ก็ได้ (แต่การเห็นอย่างนี้ ไม่ใช่การเห็นต่อเนื่องกันไปนะครับ หากแต่เป็นการเห็นในหลายๆคราวแล้วจิตเขาต่อจิ๊กซอว์เป็นความรู้ของเขาเอง ไม่เชิงเป็นปัญญาในพระพุทธศาสนาสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ใช่ คือเป็นปัญญาชนิดที่จิตเขาสะสมเก็บเอาไว้ครับ คือ หากจำเป็นเขาก็จะเก็บเอาไว้ หากไม่จำเป็นสำหรับเขา คือ เขาไม่สนใจ เขาก็เลยผ่านไป ตรงนี้ไม่ต้องไปกังวลอะไรนะครับ อ่านไปแล้วก็ผ่านๆไปครับ)
ส่วนตัวผมเอง ก็อาศัยหลักการว่า "ภาวนาเท่าที่ทำได้"
แต่ "ว่าง(จากงาน)เมื่อไหร่ก็ภาวนา" เท่านั้นล่ะครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับ