คัดลอกมาจาก ท่องถิ่นธรรม พระกัมมัฏฐาน
คุณแม่จันดี โลหิตดี ละสังขารแล้ว เมื่อเวลา ๐๑.๐๓ นาฬิกา ของวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๖ ภายในกุฏิห้องปลอดเชื้อของท่านฝั่งอุบาสิกา ที่วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี สิริอายุรวม ๘๒ ปี ๑๑ เดือน ๒ วัน คุณแม่จันดี ท่านได้แสดงความธรรมอัศจรรย์ให้เห็นอย่างประจักษ์ชัด กล่าวคือ ท่านสิ้นลมปราณเวลา ๐๐.๔๕ นาฬิกา และการเต้นของหัวใจหยุดเวลา ๐๐.๔๘ นาฬิกา และคลื่นไฟฟ้าหัวใจหยุดเวลา ๐๑.๐๓ นาฬิกา
โอวาทธรรมคำสอนคุณแม่จันดี โลหิตดี
“..ผู้ใดหมั่นพิจารณาจิต ผู้นั้นจะพบธรรมแท้ สุขแท้ นั่นคือ ที่สุดของผู้หยุดวัฏฏะ..”
ประวัติและปฏิปทาคุณแม่จันดี โลหิตดี วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
คุณแม่จันดี โลหิตดี ท่านถือกำเนิดตรงกับวันพุธที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๓ ในครอบครัว พ่อแม่ และพี่น้องเดียวกันกับพระหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด มีพี่น้องซึ่งมีชีวิตอยู่ จนโตคือ พี่ชาย ๔ คน พี่สาว ๔ คน และ น้องสาว ๑ คน ท่านเป็นคนที่ ๙ ท่านเป็นน้องสาวคนเดียวที่สละบ้านเรือนออกปฏิบัติ ถือศีลภาวนา ที่วัดป่าบ้านตาด
ชีวิตวัยเด็ก
คุณแม่จันดีเล่าว่า..ตอนเป็นเด็กเรียนอยู่ชั้นประถม จะมีความรู้แปลกๆ อยู่กลางอก ก่อนจะบ่งบอกอะไร ตรงกลางอกจะมีเหมือนพัดลมน้อย (หมุนติ้ว ๆ) แล้วส่งความรู้ออกมา เช่นมีอยู่ครั้งหนึ่ง สมัยนั้นเดือนมกราคม ครูจะพาอ่าน “มก-กะ-รา-คม” ขณะครูกำลังอ่าน พัดลมน้อยก็หมุนขึ้นในจิต แล้วมีเสียงดังขึ้นบอกว่า “จะอ่านให้ถูกต้อง ! ต้องอ่านว่า มะ-กะ-รา-คม” เป็นอะไรที่แปลกสำหรับเด็ก เคยคิดว่าคนอื่นคงเป็นเหมือนกัน จึงค่อยเรียบเคียงถามมารดาว่า “เป็นเหมือนกันไหม” มารดาตอบ “ไม่เคยเป็น” แล้วถามต่อว่า “เป็นหมุนอยู่ตรงไหน” จึงชี้ที่กลางอก
วันหนึ่งแม่ค้าหาบตะกร้าเครื่องประดับมีกำไล สีสันสดใส มาขาย พวกพี่สาวรวมทั้งท่านอยากได้ร้องขอให้มารดาช่วยซื้อให้ ในหาบมีเครื่องประดับของเด็ก ผู้ใหญ่ อยู่เต็ม เสียงลูกหญิงร้องอ้อนวอน มารดาตกลงให้ซื้อได้คนละ ๑ ชิ้น พวกพี่ๆ หยิบไปหมดทุกคน ถึงคิวท่านเดินไปจะหยิบ พัดลมน้อยกลางอกหมุนติ้วๆ อีก บอกขึ้นว่า “ของประดับโลก ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์” พอเสียงดังจบลง ท่านเดินหนีทันที เสียงมารดาร้องตาม “อ้าว… มึงอยากได้ทำไม ไม่เอา”
ท่านบอก ถ้ามีอะไรบ่งบอกขึ้นในจิตท่านเคยคิดจะฝืน แต่ฝืนไม่ได้ มีอำนาจมาก(สะเทือนในจิต) ฝืนไม่ได้สักครั้งเดียว เป็นเด็กตั้งใจเรียน ช่างจำ เรียนเก่ง จนครูให้ช่วยสอนเพื่อน ๆ ในห้องเป็นบางครั้ง หลายครั้ง ในห้องเรียนท่านขออนุญาตครูกลับบ้านก่อนเวลา ครูถาม “เธอมีธุระอะไรที่บ้าน” ตอบครูว่า “ดิฉันเข้าใจ-จำได้หมดแล้วไม่อยากเรียนบทเรียนเก่าอีก ครูเข้าใจ และอธิบายให้ฟัง “ไม่ได้เธอจะกลับบ้านตอนนี้ไม่ได้ ถึงเธอเข้าใจ แต่เพื่อนๆ ยังไม่เข้าใจ เธอต้องเห็นใจเขา เอายังงี้ครูจะให้เธอช่วยสอนเพื่อน ๆ เพราะครูสมัยนั้นน้อย ครู ๑ คนต้องสอนหลายๆ ชั้น หลายๆ วิชาในแต่ละวัน พอจบชั้นประถม ๔ ครูมาขอให้เรียนต่อ จะส่งเรียน พ่อ-แม่-พี่ชาย ดีใจสนับสนุนให้เรียน ท่านตอบปฏิเสธทุกๆ คนว่าไม่เรียน เพราะกลางอกหมุนและบอก “เรียนไปก็ไม่จบ เรื่องของโลก! เรียนเท่าไหร่ไม่มีวันจบ” ท่านจะฝืนได้ยังไง เป็นอะไรที่ฝืนไม่ได้จริงๆ (ท่านบอกฝืนไม่ได้)
ภาวนาครั้งแรก
สมัยท่านยังเป็นเด็ก อายุประมาณ ๑๐ กว่าขวบ ท่านได้ตามมารดาไปถวายจังหัน พระหลวงตา (พระพี่ชาย) ช่วงนั้นเป็นเป็นช่วงที่พระหลวงตามาแวะพักที่ทุ่งนาใกล้หมู่บ้าน (มาโปรดโยมมารดา) ในวันนั้น ท่านเป็นลูกคนเดียวที่แม่ให้ตามไปถวายจังหันด้วย หลังฉันจังหันพระหลวงตาสอนโยมมารดาวิธีปฏิบัติภาวนา ถึงเป็นเด็กแต่ก็ฟังรู้เรื่อง ในขณะที่ฟังจิตท่านจะสงบแต่รั้งไว้เพราะอยากฟังคำแนะนำให้จบ กลับมาบ้านในคืนนั้นท่านจำเอาวิธีการภาวนา และลองนั่งภาวนาท่านปฏิบัติตามที่พระหลวงตาบอกโยมมารดา ประมาณ ๓ นาที จิตสงบรวมลง เห็นร่างกายเน่าเปื่อยสลายกลายเป็นดิน ท่านบอกคืนนั้นจิตสงบจนถึงสว่าง ตอนสงบอยู่จิตท่านคำนึงว่าทำยังไง ถ้าจิตไม่ถอนจะทำยังไง ถึงเวลาตำข้าวจะทำยังไง แต่ท่านบอกเหมือนจิตรู้ พอถึงเวลา จิตถอนได้เวลาตำข้าวพอดี พระหลวงตาได้ฟังโยมมารดาเล่าเรื่องที่ท่านภาวนากราบเรียน จบลง พระหลวงตาถามว่า “จันดี ตัวน้อย ๆ ๆ นั่นหรือภาวนา มารดาตอบว่า “ใช่ จันดีนี้แหละ” พระหลวงตาบอกกับแม่ท่านว่า “เขามีของเก่าของเขา เขามีของเก่ามา”
ชีวิตครองเรือน
เมื่อเป็นสาวรุ่น มีความมุ่งมั่นตั้งใจจะปฏิบัติ ถือศีลภาวนา จึงขอมารดาออกบวชเป็นแม่ชี แต่มารดาไม่อนุญาต และตอบว่า “ลูกเป็นผู้หญิง จะบวชยังไง ไม่ใช่ผู้ชาย ตามธรรมดาผู้หญิงเขาไม่บวชหรอก ไม่เคยเห็น ให้หยุดคิดนะ” (มารดาเป็นห่วงสมัยนั้นไม่ค่อยมีผู้หญิงบวช แม่ชีมีน้อยมาก แถวบ้านท่านไม่ค่อยมี)
ตอนท่านเป็นสาว มีชายหนุ่มมาจีบเยอะมาก แต่ท่านไม่ได้สนใจใครเลย(เพราะจิตบ่งบอกแต่เรื่องหาทางออกจากโลกหาทางพ้นทุกข์) แต่พี่ชายแนะนำ ผู้ชายที่พี่เลือกแล้วว่าดีที่สุด นิสัยดี มีศีลธรรม ใจไม่อยากแต่งคิดแต่จะตั้งใจปฏิบัติ ถือศีล ภาวนา เพราะทุกครั้งที่จิตบ่งบอกความจริง จิตยิ่งกลัวเรื่องของโลก แต่พอแม่พี่ชายถาม ปฏิเสธไปหลายครั้ง ทั้งๆ ที่จิตบ่งบอกเสียงดังขึ้น “จะเรียนรู้เรื่องของโลกให้หมด” ในระยะที่ครองเรือน ยังตั้งใจถือศีลในวันพระถือศีล ๘ ถ้าวันปกติถือศีล ๕ อย่างเคร่งครัด ไม่เคยฆ่าสัตว์ พี่ชายเคยบอก “จันดีมันไม่เคยฆ่าสัตว์ ไม่ต้องให้มันกินเนื้อสัตว์ด้วย” จึงได้แต่กินหน่อไม้ ผักหญ้า ถ้าพี่ชายเคี่ยวเข็ญให้ฆ่าสัตว์ “จะร้องไห้ไม่ยอมกินข้าวก็ได้ ขออย่าให้ฆ่าสัตว์เลย” เรื่องนี้ สามีญาติพี่น้องรู้ดี “ยอมอดแต่ไม่ยอมฆ่า ผู้อื่น ชีวิตอื่น” บอกกับตัวเองว่า “กินอะไรก็ได้ ใจสงสาร ไม่สามารถทำลายชีวิตผู้อื่นได้” มันเป็นอยู่ในใจ เป็นมาแต่เด็กจำความได้ จะไม่ยอมฆ่าสัตว์ ทำลายชีวิตผู้อื่น ชีวิตท่านลำบาก ทั้งอยากทำบุญถวายจังหันพระ ตัวเองก็ไม่ฆ่าสัตว์ จึงต้องพยายามหาหน่อไม้ ผัก พืช ชนิดต่างๆ มาทำกับข้าวใส่บาตรพระให้ครบ หลายครั้งที่แม่ท่านเล่าให้ฟังว่าพระหลวงตา พูดกับแม่ท่านว่า “เมื่อเช้าฉันหมกหน่อไม้ ใครก็ไม่รู้ใส่บาตรห่อใหญ่มากเหมือนอาหารทิพย์ และพระก็ได้ครบทุกองค์” สมัยนั้นมีพระมาอยู่วัดป่าบ้านตาดประมาณ ๑๔-๑๕ รูป) แม่ท่านจึงถามท่านว่า “เมื่อเช้าพระหลวงตาพูดถึงหมกหน่อไม้ ไม่รู้ของใคร…” ท่านจึงบอกว่า “ของท่านเอง”
จิตสงบ..ในวาระต่างๆ
ช่วงเวลาที่ครองเรือน มีบุตร ๔ คน ชาย ๑ คน หญิง ๓ คน โดยที่ยังตั้งใจภาวนาและถือศีลอย่างเคร่งครัด ยิ่งพระหลวงตามาตั้งวัดป่าบ้านตาดยิ่งได้กำลังใจปฏิบัติภาวนา ติดขัดอะไรก็กราบเรียนถามตอนท่านเข้ามารับบิณฑบาตในหมู่บ้าน วันพระท่านขอสามีให้ช่วยดูแลลูก คืนนั้นคุณแม่ก็นั่งภาวนาจิตก็สงบ ขณะจิตรวม เสียงลูกน้อยตื่นร้องจ้า แต่จิตยังไม่ถอน จึงไม่สามารถดูลูกน้อยในอู่ (เปล) ได้ ลูกน้อยร้องอยู่สักพัก สามีท่านคงเห็นผิดสังเกต จึงเข้ามาดู และอุ้มลูกน้อยออกไปจากห้องเอาน้ำหยอดปากให้ลูกน้อยได้กินก่อน..รอแม่
อาชีพชาวนาในอดีต สมัยก่อนยังไม่มีเทคโนโลยี จึงเป็นงานที่หนัก ลำบาก ต้องอดทน ส่วนใหญ่ก็ต้องอยู่ที่ที่นา จนท่านต้องสร้างทางจงกรมไว้ แต่เวลาในการภาวนามีน้อยอาศัยทำนาไปด้วยภาวนาไปด้วยตลอด มีครั้งหนึ่งคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำไปเยี่ยมท่านที่นา เห็นทางจงกรมมีรอยเดินจนทางเป็นร่องเป็นมัน จนท่านได้พูดว่า “จันดีเจ้าอยู่ไหน ก็มีเครื่องหมายของพระพุทธเจ้าอยู่ทุกที่ มิน่าข้าวของเจ้าถึงได้มากกว่าผู้อื่น”
มีอยู่วันหนึ่งเวลาเที่ยง ขณะที่เกี่ยวข้าวท่านพิจารณาธรรมไปด้วย จิตสงบ สว่างไสว ท่านก็ประคองจิตไป ค่อยๆ เกี่ยวข้าวไม่ยอมหยุด ไม่กินข้าว เกี่ยวข้าวไป จนจิตถอน ท่านเคยตกลงขอร้องพูดให้สามีเข้าใจว่าเวลาท่านจิตสงบ อย่าเรียก จะทำอะไรก็ทำไปเลยปล่อยท่านเลย โชคดีสามีเคยบวชจึงเข้าใจง่าย ท่านจะพูดกับสามีเสมอว่าชาตินี้จะขอปฏิบัติภาวนา และบอกสามีว่า..“อย่านอนใจในอัตภาพของภพชาติ” ความพากเพียร ตั้งใจของท่าน สามียอมใจอ่อน เพราะเห็นความตั้งใจจริง ขึ้นจากทำนาจะดึกดื่น แค่ไหนก็ช่าง ท่านจะเดินจงกรมจนดึก
วันหนึ่ง..มีผีใหญ่ตนหนึ่งมาเข้าสิงญาติท่าน แล้วบอกว่า..“ชาติก่อนเคยเป็นคนรวย มีคอกม้าด้วยความเป็นห่วงสมบัติ ตายแล้วจึงมาเฝ้ารักษา เป็นทุกข์มาก อยากไปเกิดมาขอร้องให้ท่านช่วย จะยกสมบัติที่เฝ้าอยู่ให้ ขอให้นำเงินของเขามาทำบุญกับพระหลวงตาให้ เขาจะได้ไปผุดไปเกิด” ท่านและญาติๆ มากราบเรียนพระหลวงตา ท่านบอก “ถ้าจะไป ไม่มีจันดีห้ามไปนะ จะไปต้องมีจันดีไปด้วย” ญาติๆ ทุกคนทำตามคำสั่งของพระหลวงตา ก็พากันไปขุดตามผีใหญ่บอกตำแหน่ง ขุดลงไปก็เจอไหจริง และมีเงินอยู่เต็มไห หลายไห พอจะให้ ผีใหญ่กลับเปลี่ยนใจ บอกยังมีกรรมมากอยู่ รู้สึกเสียดายเงิน ไม่กล้าปล่อย ขอชดใช้กรรมต่ออยู่เฝ้าสมบัติต่อไป ไหที่ขุดเจอ พอผีไม่ยอมให้ ไหหมุนหายลงไปในดินเหมือนเดิม ผีใหญ่สารภาพกับคุณแม่ว่า..“จะให้ใจก็เกิดหวงแหนในเงิน ในทรัพย์ มันตัดไม่ได้ รู้อยู่ว่าทุกข์แสนทุกข์ แต่ก็ตัดใจไม่ได้ และขอให้ท่านช่วยแผ่เมตตา ส่งบุญกุศลมาถึงด้วยเพราะเวลาได้รับ มีความสุขมาก…
พระหลวงตา ให้อุบาย
เช้าวันหนึ่ง พระหลวงตาไปรับบิณฑบาตในหมู่บ้าน ท่านได้ถาม “ภาวนา เป็นยังไง”
คุณแม่จันดีกราบเรียนว่า..“ฝันแปลกมาก ฝันว่าพระหลวงปู่มั่น ชวนให้ไปกับท่าน แต่ในฝันเป็นห่วงลูกคนเล็ก จึงขอไปดูลูกก่อน จะตามไปทีหลัง”
พระหลวงตาให้อุบาย“เอ้า ให้มึงคิดตัดสินใจเอา ถ้าห่วงลูก ก็ตามพระหลวงปู่มั่นไปไม่ได้”
คำพูดของพระหลวงตา ทำให้ต้องตั้งถามตัวเองว่า..“พระหลวงปู่มั่นมาโปรดแท้ ๆ คนแปลความฝันก็เป็นพระหลวงตา เราติดคาอะไร ห่วงอะไร-อาลัยอะไร” นั่นทำให้ท่านคิดและตัดสินใจได้เร็วขึ้น
ท่านจึงขออนุญาตสามีและลูกๆทุกคน เพื่อออกมาปฏิบัติ ถือศีลภาวนา อยู่วัดป่าบ้านตาด เมื่อปีพ.ศ.๒๕๒๔ โดยอาศัยที่กระท่อมน้อยในป่าทึบ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นเงาร่มครึ้ม พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยต้นข้าว สารหนาแน่น
ท่านได้ถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ท่านกล่าวไว้ว่า..“ท่านบวชใจแทนศีล คือใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนา งดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนาทำความถูกต้อง ศีลเป็นอันเดียวกับใจ ใจรักษาศีล ดูศีลดูใจตัวเอง ศีลเป็นใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความชั่วทั้งปวง ดูศีลดูใจ สำรวจความผิดที่เกิดจากใจของตัวเองแล้วอบอุ่น หนักแน่น มั่นคง มั่นใจ ไม่มีที่ต้องติตัวเองเรื่องศีล”
คุณแม่จันดี ท่านบอกช่วงนั้นคุณยายแก้ว แห่งสำนักชีห้วยทรายได้มาพำนัก อยู่วัดป่าบ้านตาดท่านเมตตาถามคุณแม่จันดี ถึงการปฏิบัติภาวนาอยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถามว่า “จันดีจิตของลูกแยกส่วนแบ่งส่วนหรือยัง”
คุณแม่จันดี เรียนตอบว่า “แยกแล้วแบ่งแล้ว และกราบเรียนต่อว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้” คุณยายฟัง และบอกท่านว่า “เออดีแล้ว จิตถ้าแยกส่วนแบ่งส่วนแล้ว จิตก็มีแต่จะเจริญ”
ต่อมาอีกคุณยายแก้ว ถามท่านว่า จันดีลูกกราบเรียนการปฏิบัติกับญาท่าน(พระหลวงตามหาบัว) ว่าอย่างไรบ้าง เห็นพระในวัดท่านเข้ามาถามแม่ว่า(คือคุณยายแก้ว) ว่าคุณแม่รู้ไหมโยมใครกันที่อยู่ในหมู่บ้าน มีเทวดา พระอินทร์ พระพรหม มาอนุโมทนากับเขาพ่อแม่ครูอาจารย์
หลวงตาพูดในที่ประชุมสงฆ์ “ทำไหมเขาภาวนาทั้งที่มีลูกน้อย ทั้งทำนา ครองเรือนอยู่ เห็นเทพเทวดา”
คุณยายจึงเรียนพระไปว่า “จะเป็นใครนอกจากนางจันดี (น้องสาวของญาท่าน)”
พอได้โอกาสคุณแม่จันดี มาวัด ท่านจึงเล่าให้ฟัง และถามว่า “เป็นความจริงไหม” เพราะแม่(คุณยาย)ตอบพระไปก่อนจะถามเจ้าแล้ว
ท่านจึงกราบเรียนคุณยายแก้วว่า “ลูกได้กราบเรียน การปฏิบัติของลูกให้พระหลวงตาทราบในทุกๆเรื่อง เพราะไม่พึ่งพระหลวงตาท่านช่วย ลูกคงติดในแต่ละจุด และช้าเวลาต้องให้ท่านช่วยตี ช่วยขนาบ เพราะท่านจะบอกลูกว่าเวลานี้ท่านมีชีวิตอยู่ติดขัดอะไรให้ถาม ถ้าเราพิจารณาเองอาจช้า เสียเวลา มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะเรามีหน้าที่ทำตาม ปฏิบัติตามท่าน
คุณแม่จันดี เล่าว่า..“การปฏิบัติภาวนา ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะสอนจะช้าได้เพราะ ช่วงปฏิบัติภาวนา เรารู้เห็นอะไร มันก็ชวนให้หลงให้ติดเพราะเป็นความอัศจรรย์ ที่เราเกิดมาไม่เคยพบ-เห็นในชีวิต และไม่มีแสดงอยู่ที่ไหนในโลก นอกจากผู้ภาวนาแต่ละรายจะรู้เองเห็นเองจากการปฏิบัติของตัวเอง รู้ขึ้นในใจของตัวเองเป็นสันทิฏฐิโกประกาศป้างขึ้นที่หัวใจ ไม่ต้องถามใคร… ไม่ต้องให้ใครมาโกหก เราได้ พิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ไม่ลี้ลับ ไม่ปิดบัง เปิดเผยเสมอ มีอยู่ตลอดกาล…ธรรมความจริง ธรรมไม่ตาย เปิดเผยสง่างามอยู่ทุกกาล ทุกสมัยตลอดมา และตลอดไป เป็นแต่ผู้คนจะมีจิตยินดีและต้องการหรือไม่”
ท่านให้คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติภาวนา ได้ถูกต้องแม่นยำ ไม่ผิดเพี้ยนจากหลักความจริงตามธรรมคำสอนของพระหลวงตามหาบัวทุกอย่าง ท่านเมตตาเล่าถึงการปฏิบัติของท่านที่ยากลำบากแม้จะไม่ได้ขึ้นภูเขา เข้าป่า แต่ธรรมที่ท่านได้มาก็แลกด้วยชีวิต ความตอนหนึ่ง ได้ประกาศขึ้นในจิตท่านว่า..“ให้เอาชีวิตแลกธรรม” ตอนนั้นเอง พระหลวงตาก็บอกให้ท่านเร่ง “มึงอย่าเสียดายชีวิตนะ เร่งเลย เร่งเลย..”
ท่านจะพูดเสมอว่า “พระหลวงตาสอนให้แม่ปฏิบัติมาอย่างนี้ ถ้าเป็นคำพูดของพระหลวงตาแล้ว ยิ่งการปฏิบัติภาวนา จะคลาดเคลื่อนไปไม่ได้เลย…”
ในคืนวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลา ๕ ทุ่มครึ่ง เป็นคืนที่ ฟ้าครึ้ม และลมพัดแรงมาก ท่านกราบพระแล้วนั่งภาวนาข้อธรรมได้ผุดขึ้นในจิตว่า..“อายะตะนะนั้นมีอยู่ แต่ไม่มีดิน-น้ำ-ไฟ-ลม ไม่มีจุติเคลื่อน ไม่มีที่ไป ไม่มีที่มา ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ นั้นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์”
จิตตอนนั้นจ่อเฉยๆ เหมือนไม่พิจารณาอะไร เสียงต้นขนุนใหญ่ที่แห้งตาย อยู่ข้างกุฏิ สั่นไหวเสียงดังลั่นเพราะลมแรง ท่านคิดว่าคงหักทับกุฏิ และท่านก็คงตายพร้อมๆ กัน อวิชชาขาดกระเด็นออกจากจิต ขณะนั้นรู้ว่า อวิชชาเหนียวแน่นมาก พร้อมกับก้นกระแทกพื้นสูง ๑ ศอก โลกธาตุหวั่นไหว แผ่นดินสะเทือน เสียงดังสนั่น ถึด.. ถึด .. ถึด .. ถึด.. แผ่นฟ้าม้วนกลับลงมา พันกันกับแผ่นดิน ม้วนรวมกัน แล้วจึงแยกออกจากกัน โลกธาตุหวั่นไหว พร้อมกับเสียงอนุโมทนาสาธุการ จากสวรรค์ทุกๆ ชั้น ชั้นพรหมทุกๆ ชั้น ลงถึงพื้นบาดาล ขวาซ้ายสถานกลาง ร่วมอนุโมทนา สาธุการ เสียงปี่พาทย์ บรรเลงขับกล่อม กระหึ่มก้องเสียงประกาศก้องขึ้นที่จิต “ว่าง-วางเป็นจิตพุทธะ > จิตบริสุทธิ > จิตเป็นธรรมชาติ” ขณะที่อวิชชาขาดออกจากจิต พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทุกๆ พระองค์ โดยเฉพาะพระหลวงตาได้ช่วยหนุนจิตท่าน ทุกๆ พระองค์ ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ไม่มีอะไรก่อน ไม่มีอะไรหลัง มีอะไรอีกมากที่ไม่สามารถพูดให้ฟังได้หมดเพราะของเหนือโลก เจอแล้วจะรู้เอง
ท่านบอกว่า..ไม่เหลือวิสัย มีอยู่ในใจของทุกคน อย่ากลัวตาย กิเลสมันกลัวตาย รอดตายจึงได้ธรรม มันไม่ตายหรอก คนกล้าตาย ไม่กลัวตาย มีแต่กิเลสนั่นหละจะตายจากหัวใจ
… คืนนั้น ท่านกราบน้อมถึงคุณพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ถึงคุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ โดยเฉพาะพระหลวงตา ทั้งเป็นครูอาจารย์ เป็นพ่อ เป็นพี่ชายในสายโลหิตเดียวกันในชาติปัจจุบัน
คืนนั้น ท่านไม่นอนทั้งคืน…
เมื่อพบพระหลวงตาอีกครั้ง จึงได้กราบเรียนท่านถึงสภาวะธรรมทั้งหมด ที่เกิดขึ้น…
พอกล่าวจบ พระหลวงตาพูดขึ้นว่า.. “ อ้าย(พี่) หมดห่วงแล้ว…”
คุณแม่จันดี โลหิตดี เป็นที่รู้จัก และเป็นที่เคารพศรัทธาจากลูกศิษย์ขององค์พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ตลอดระยะเวลาประมาณ ๓๒ ปีแล้วนับจากปี พ.ศ.๒๕๒๔ ที่คุณแม่ท่านอยู่ปฏิบัติธรรมและอบรมสั่งสอนลูกศิษย์อยู่ที่วัดป่าบ้านตาด ภายใต้ท่าทางที่ดูสงบ เรียบง่ายและความอบอุ่นที่เผื่อแผ่ออกมา ท่านมีความเด็ดเดี่ยว เด็ดขาดจริงจัง จนดูน่ากลัวสำหรับศิษย์ผู้อ่อนแอ ดวงตาของท่านเวลาสอนลูกศิษย์ต่อสู้กับศัตรู คือกิเลส ท่านจะดูอาจหาญ ขึงขัง เด็ดเดี่ยว จริงจังมาก ถ้าลูกศิษย์คนใดจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ท่านก็จะค่อยๆ ทะนุถนอม แต่ท่านจะเปรยๆว่า”กิเลสในใจของตัวเองก็ฆ่ามาแล้ว นี่ต้องได้มาเอาใจกิเลสของผู้อื่น โอ๊ย น่าอเนจอนาถ”
โอวาทธรรมคำสอนคุณแม่จันดี โลหิตดี
“..ไม่เหลือวิสัยของผู้ปฏิบัติ มีอยู่ในใจของทุกคน อย่ากลัวตาย กิเลสมันกลัวตาย รอดตายจึงได้ธรรม มันไม่ตายหรอก คนกล้าตาย ไม่กลัวตาย มีแต่กิเลสนั่นแหละจะตายจากหัวใจ..”
“..เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น..”
คัดลอกมาจาก ท่องถิ่นธรรม พระกัมมัฏฐาน
เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓
ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่
สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่
ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่
คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่