Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

การดูจิตสำหรับผู้สูงอายุ (ขั้นก้าวหน้า)

mp3 for download: การดูจิตสำหรับผู้สูงอายุ (ขั้นก้าวหน้า)

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยมผู้สูงอายุ: ฟังซีดี ดู อ่านหนังสือหลวงพ่อ แล้วไม่ค่อยมีปฏิบัติ ไม่ค่อยภาวนาครับ แล้วหลวงพ่อให้การบ้านไปว่าให้ดูลูกว่า วันไหนน่ารัก วันไหนไม่น่ารัก เวลาที่ลูกน่ารักก็มีความสุขครับ เวลาที่ลูกไม่น่ารักก็จะมีโทสะกับโมหะ

หลวงพ่อปราโมทย์: นั่นแหละ ดูอย่างนั้นแหละ

โยมผู้สูงอายุ: มีความปรุงแต่งเยอะ บางทีเป็นสองนาทีบ้าง สามนาที เป็นชั่วโมงๆ เป็นวันๆก็มี แล้วก็..แบบนี้ ยังจะเรียกว่าเป็นการตามรู้ตามดูอยู่หรือเปล่า

หลวงพ่อปราโมทย์: ใช่สิ ใช่

โยมผู้สูงอายุ: มัน Delay และชักเนิ่นนานไปมาก

หลวงพ่อปราโมทย์: ต่อไปเอาอย่างนี้

โยมผู้สูงอายุ: มันไม่ฉับพลันทันท่วงที

หลวงพ่อปราโมทย์: เพราะว่าเราไม่ได้คิดถึงลูกตลอดเวลา บางทีเราก็ไม่คิดเรื่องอื่น ใช่มั้ย หลวงพ่อให้ดูเรื่องลูกเนี่ย เพราะมันเป็นอารมณ์ที่ชัดเจน หัดดู พอคิดถึงลูก บางทีก็มีความสุข บางทีก็มีความทุกข์ คิดถึงลูกบางทีก็มีความรักบางทีก็มีความชัง ใช่มั้ย ต่อไปเอาเรื่องอื่นบ้าง คิดถึงเมีย บางทีก็รัก บางทีก็หมั่นไส้ บางทีก็รำคาญ เดี๋ยวไปคิดถึงบ้าน เป็นห่วงบ้าน รู้ว่าเป็นห่วงอีกละ นะ ฝึกอย่างเดียวกันนี่แหละ แต่ว่าไม่ว่าใจจะไปคิดเรื่องอะไรนะ รู้ทันใจไปเรื่อย นี่ให้การบ้านเพิ่มแล้วนะ ที่ให้ดูลูกเนี่ย เป็นตัวอย่างนะ พอดูลูก พอคิดถึงลูกจิตเป็นอย่างไรเรารู้ทัน ต่อไปคิดถึงเรื่องอื่นจิตเป็นอย่างไรเราคอยรู้บ้าง

โยมผู้สูงอายุ: อันนี้ใช้ได้ใช่มั้ยครับอาจารย์

หลวงพ่อปราโมทย์: ใช้ได้สิ

โยมผู้สูงอายุ: ขอบคุณครับ

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๕
File: 510427A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๕๙ ถึงนาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๔๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การส่งการบ้าน

mp3 for download: การส่งการบ้าน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ต่อไปตรวจการบ้าน เวลาตรวจการบ้านนี่นะ เป็นการทดสอบเรา ว่าเราเข้าใจหลักของการปฏิบัติแม่นหรือเปล่า หรือคลาดเคลื่อน สิ่งที่คลาดเคลื่อนนะ ถ้าไม่เผลอไปก็เพ่งเอาไว้ ส่วนใหญ่ก็มีแค่นั้น ไม่ก็ไปเกยตื้นไปติดอยู่ในภาวะอันใดอันหนึ่งซึ่งเป็นผลจากการเพ่ง เช่น ไปติดในความว่าง เพราะฉะนั้น มันเป็นแค่การทดสอบว่าเรายังเดินอยู่ในทางสายกลางไหม สุดโต่งไปในข้างบังคับตัวเอง หรือสุดโต่งไปในข้างหลงตามกิเลสไหม นี่อันหนึ่ง

อีกอันหนึ่งก็คือ สภาวะที่เรารู้เราเห็นนี่ถูกต้องไหม

เพราะฉะนั้น อย่ามาถามหลวงพ่อนะว่า จิตหนูเป็นอย่างไร ถ้าถามว่าจิตหนูเป็นอย่างไรนี่ ตัวเองไม่ได้บอกเลยว่าตัวเห็นสภาวะอย่างไร ไม่มีประโยชน์อะไรเลยคำถามชนิดนี้เหลวไหลที่สุดเลย คำถามที่ไม่มีความรับผิดชอบ อย่าถามนะ หนูเป็นอย่างไร เฉิ่มมากเลย ส่วนมากผู้หญิง เห็นไหมใช้คำว่าหนู บางคนงั่กเลยนะยังหนูเลย  หนูอย่างนั้น หนูอย่างนี้ อ้าว เดือดเนื้อร้อนใจ (หัวเราะ)

ถ้าเรารู้เราเห็นสภาวะอะไร บอกมา ว่าสภาวะที่เห็นอยู่นี้ ตอนนี้เป็นอย่างนี้ๆ ถูกต้องหรือไม่ อย่างนี้เป็นการทดสอบว่าเราเห็นสภาวะไหม นี่อันหนึ่งนะ อีกอันหนึ่งพอรู้สภาวะแล้ว รู้ถูกต้องไหม เผลอไปไหม เพ่งไปไหม นี่เดินอย่างนี้นะ

คำถามควรเป็นคำถามที่เกิดประโยชน์ คำถามที่ไม่มีประโยชน์ไม่ต้องถาม คำถามที่ไม่มีประโยชน์อีกอันนะ หนูมีจริตอย่างไร หรือผมมีจริตอย่างไร นี่เริ่มมีผู้ชายถามบ้าง

จริตอย่างไร สอนหลักให้แล้ว เป็นพวกโลภมาก รักสุขรักสบาย รักสวยรักงาม ก็ให้ดูกายไป เพราะกายมันจะสอนว่า ไม่สุขไม่สบาย ไม่สวยไม่งาม

พวกคิดมาก วันหนึ่งก็คิดทั้งวันเลย วิเคราะห์ วิจัย วิจารณ์ วิพากษ์ จนสุดท้ายวิกลจริต สารพัดวิๆๆๆ พวกนี้ให้ดูจิต พวกดูจิตนี่คือพวกช่างคิด ถึงได้เกิดเรื่องมากมาย พวกที่ทำสมาธิไม่ค่อยมีเรื่องหรอก วันหนึ่งไปยุ่งกับใครล่ะ อยู่อย่างนี้ไม่มีเรื่อง ไม่เดือดร้อนครูบาอาจารย์ ก็นั่งของมันอยู่อย่างนั้นแหละ ส่วนพวกทิฏฐิจริต พวกคิดมากนี่มันมาเรียนที่นี่ มาเรียนที่นี่เยอะมาก พวกนี้แหละ เจ้าความคิดเจ้าความเห็นนะ เที่ยวไปวุ่นวายที่อื่น ไม่ดูตัวเอง นี่แหละจุดอ่อนของพวกที่ปัญญามาก พวกปัญญามากนะ ฟุ้งซ่าน จำไว้นะ

เราต้องพยายามควบคุมตัวเองให้ได้ ไม่ใช่ฟุ้งไปเรื่อยๆ อยากคุยก็คุยไปเรื่อยๆ พยายามทำความสงบเข้ามาบ้าง แต่ไม่ใช่สงบจนกระทั่งซึมกะทือ นั่งซึมกะทือ สงบพอมีเรี่ยวมีแรงมาเดินปัญญาต่อ มารู้กายมารู้ใจ มาแยกธาตุแยกขันธ์ไปเรื่อย อย่างนั้นถึงจะเรียกว่าเดินปัญญา ส่วนพวกศรัทธามากก็จะงมงาย พวกสมาธิมากมันก็ช้านะ ซึมๆ อยู่อย่างนั้น ติดในความสุขความสบายไป พวกความเพียรมากก็เคร่งเครียด พวกปัญญามากก็ฟุ้งซ่าน นี่มันมีจุดอ่อนทั้งนั้นแต่ละคน เพราะฉะนั้นมีสติบ่อยๆ นะ รู้ไป

แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ หลังฉันเช้า
CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๓
Track: ๔
File: 521204B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๕๔ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ข่าวสารธรรมดา: หลวงพ่อปราโมทย์มาเทศน์ที่ศาลาลุงชิน 15 ส.ค. 53

แจ้งข่าว หลวงพ่อปราโมทย์มาเทศน์ที่ศาลาลุงชิน ถ.แจ้งวัฒนะ ในวันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม 2553 นี้ครับ

ตั้งแต่เวลา 9.00 น. – 10.30 น.

แนะนำให้มาถึงศาลาก่อน 7.30 น. เพื่อจะได้มีที่นั่งครับ

>>>>แผนที่ศาลาลุงชิน <<<<

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ขอเชิญดาวน์โหลดพระธรรมเทศนาใหม่ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

uploaded 29 กรกฎาคม พ.ศ.2553

สำหรับท่านที่อยู่ในประเทศไทย สามารถคลิ้กลิงก์ที่เตรียมให้ไว้ได้เลย ส่วนท่านที่อยู่ต่างประเทศ กรุณาใช้ระบบดาวน์โหลดเดิมที่ดาวน์โหลด CD หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

File: 530514.mp3 Download Now!
File: 530516A.mp3 Download Now!
File: 530516B.mp3 Download Now!

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

พอไม่หวั่นไหวกับความเสื่อมจะพ้นจากความเสื่อม

mp3 for download: ไม่หวั่นไหวกับความเสื่อมจะพ้นจากความเสื่อม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: กว่าจะเข้าใจว่าการปฏิบัติจริงๆนะคือการรู้ ไม่ใช่การทำ ใช้เวลา… ใช้เวลา…ค่อยๆเรียนไป จนภาวนาเป็นแล้วนะ บางครั้งก็ยังหลงไปทำอีก มันจะอดไม่ได้หรอกนะ..อดไม่ได้ จนมาบวชอยู่สวนโพธิ์พรรษาแรกเนี่ย ยังทำอยู่เลย มันอดไม่ได้ มันกลัวไม่ดี ทำไมมันกลัวไม่ดี มันรักตัวเอง เราไม่เห็นน่ะ เบื้องหลังมันคือมันรักตัวเอง เราก็รู้อยู่อย่างเดียวว่างานเราไม่เสร็จ…งานเราไม่เสร็จ ทำไปเรื่อยนะ หาทาง เมื่อไหร่จะพ้นทุกข์…เมื่อไหร่จะพ้นทุกข์

วันนึงไปเห็นเข้า เราทำอะไรไม่ได้ มันเจริญแล้วก็เสื่อม มันเจริญแล้วก็เสื่อมอยู่ เอ้าช่างมันเถอะ มันได้แค่นี้ก็แค่นี้เนาะ ไม่ดิ้นเลย ไม่ดิ้นต่อละ ใจจะหมองๆรู้ว่าหมอง ไม่ดิ้นต่อว่าทำยังไงจะหายอีกละ พอเราไม่หวั่นไหวกับความเสื่อมนะ เราจะพ้นจากความเสื่อม จำไว้นะ

ถ้าเรายังหวั่นไหวกับความเจริญและความเสื่อม ความเจริญและความเสื่อมก็จะเวียนมาให้ดูเรื่อยๆ ถ้าเราหมดความหวั่นไหวต่อความเจริญและความเสื่อม เข้าถึงความเป็นกลางที่แท้จริงเนี่ย คำว่าเสื่อมจะไม่มีอีกละ ค่อยหัดไปนะ หัดไป

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม วันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๐
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๑
File: 500708A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๒๑ ถึง นาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๔๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เบื้องต้นหากสติ สมาธิ ปัญญายังไม่อัตโนมัติ ต้องอดทน ต้องฝึกซ้อม

mp3 : (for download) : สติ สมาธิ ปัญญายังไม่อัตโนมัติ ต้องอดทน ต้องฝึกซ้อม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ต้องสู้นะ ต้องสู้ ต้องอดทนน่ะ อยู่ๆมันจะได้ง่ายๆ ไม่ได้หรอก จริงๆที่หลวงพ่อบอกว่าการปฏิบัติมันง่ายๆ ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกนะ หลายองค์เวลาไปอยู่ด้วยท่านก็ปรารภขึ้นมา โอ้..การภาวนาง่ายนะ ปราโมทย์ ง่ายนะ เสร็จแล้วจะเงียบๆไปพักหนึ่งแล้วจะพูดต่อ แต่มันก็ยากเหมือนกันน่ะ

มันง่ายนะ ถ้าเราตื่นขึ้นมาแล้ว ใจเราตื่นแล้วเราดูกายทำงานดูใจทำงาน เราไม่ต้องทำอะไร  เราทำตัวเป็นคนดู มันไม่ยากเพราะเราไม่ต้องทำอะไรดูอย่างที่มันเป็น แต่ว่ามันยากมากเลยกว่าที่เราจะตื่นขึ้นมา ในโลกนะมันมีแต่คนหลงคนหลับ ยากเหลือเกินที่คนๆหนึ่งจะตื่นขึ้นมาได้ แต่ไม่ยากนะที่คนที่ตื่นขึ้นมาแล้ว คอยรู้กายรู้ใจเนืองๆ จะบรรลุมรรคผลนิพพานในชีวิตนี้ เพราะฉะนั้นที่ครูบาอาจารย์บางองค์ว่ายากๆ ยากเพราะว่ามันไม่ตื่น บางองค์ท่านก็ว่ามันง่ายนะ ง่ายเพราะอะไร เพราะไม่ได้ทำอะไรเลย

พอสติ สมาธิ ปัญญา มันอัตโนมัติขึ้นมานะ สติมันก็รู้กายรู้ใจเองนะ สมาธิก็ตั้งมั่นโดยไม่ต้องรักษา ปัญญาก็หยั่งรู้ความจริงของกายของใจ ทำงานของมันเอง ไม่เห็นมีอะไรยากเลย แต่ก่อนที่สติจะอัตโนมัติ ก่อนที่สมาธิจะอัตโนมัติ ก่อนที่ปัญญาจะอัตโนมัติ ตรงนี้ยากสุดๆเลย ตรงที่ใจเราตื่นขึ้นมาเนี่ยเราได้สมาธินะ แล้วก็มีสติรู้กายรู้ใจเขาทำงานไปเรื่อยในที่สุดปัญญามันจะเกิด

แรกๆสติก็ไม่อัตโนมัติหรอก ต้องฝึกต้องซ้อม วิธีฝึกวิธีซ้อมก็หัดดูสภาวะเรื่อยไปนะ ความโลภเกิดขึ้นก็รู้ ความโกรธเกิดขึ้นก็รู้ ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ ความดีใจเสียใจ ความสุขความทุกข์อะไรเกิดขึ้นในจิตใจก็คอยรู้ไป ความสุขความทุกข์เกิดขึ้นในร่างกายก็คอยรู้นะ ร่างกายหายใจออกร่างกายหายใจเข้า ร่างกายยืนเดินนั่งนอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด นะ ทั้งกายทั้งใจทำงานนะ คอยมีสติตามดูมันเรื่อยๆไป

ดูมากๆนะ ต่อไปจิตจะจำสภาวะได้แม่น พอจิตจำสภาวะได้แม่น สติจะเกิดเอง ไม่ได้เจตนาให้เกิด อย่างเราหัดเบื้องต้นนะ เราต้องจงใจไว้ก่อนนะ ค่อยๆสังเกตไป จิตใจเดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ แรกๆก็ดู วันนี้กับเมื่อวานไม่เหมือนกัน แต่ละวันจิตใจไม่เคยเหมือนกันเลย หัดดูอย่างนี้ พอดูแต่ละวันไม่เหมือนกันได้ก็ดูให้ละเอียดขึ้น ในวันเดียวกันเนี่ย เช้า สาย บ่าย เย็น ก็ไม่เหมือนกัน ดูอย่างนี้นะ ในที่สุดต่อไปก็จะเห็นว่า ในแต่ละขณะ แต่ละขณะ ก็ไม่เหมือนกัน ดูมันจะละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น

ดูไปเรื่อยๆเราจะเห็นเลย มีแต่ความเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ถ้าดูจนชำนิชำนาญนะ ต่อไปไม่เจตนาจะดู พอมีอะไรเกิดขึ้นในกายเกิดขึ้นในใจ สติระลึกได้เอง เนี่ยต้องฝึกจนสติระลึกเองนะ

อย่างหลวงพ่อไปหัดจากหลวงปู่ดูลย์มา ท่านสอนให้ดูจิต มาหัดดูเรื่อย มันสุขก็รู้ มันทุกข์ก็รู้ มันโลภ มันโกรธ มันหลงนะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดขึ้นก็รู้ มันดับไปก็รู้ เนี่ยหัดรู้ไปเรื่อย ต่อมาไม่ได้เจตนาจะรู้นะ มันรู้เอง วันที่มันรู้เองนะวันนั้นพายุใหญ่มา ๒๓ กันยายน ๒๕๒๕ มีพายุเข้ามา กางร่มออกจากที่ทำงาน พายุมันตีร่มเนี่ยพับขึ้นไป ในที่สุดเราเลยต้องเก็บร่มนะ เดี๋ยวร่มเราหักอีกอันหนึ่งแย่เลย เก็บร่มไปแล้วเดินตากฝนไป เข้าไปที่วัด วัดโสมฯนี่แหละ ใกล้ๆที่ทำงาน เข้าไปในกุฏิเก่าของท่านเจ้าคุณ สมเด็จพระวันรัตน์ พระวันรัตน์(ทับ) เจ้าอาวาสองค์แรกเลยเป็นกุฏิกรรมฐานของท่าน อยู่ข้างโบสถ์ เดี๋ยวนี้ท่านรื้อไปแล้ว ไปนั่งกอดเข่าอยู่นั่น นั่งกอดเข่า แล้วใจมันกังวลขึ้นมาว่าเปียกฝนเนี่ยนะคงจะเป็นหวัด ทีนี้เราเคยหัดรู้สภาวะจนชินนะ พอใจกังวลปุ๊บนี่นะ สติมันระลึกโดยไม่เจตนาจะระลึก มันรู้ของมันเอง ใจมันระลึกได้เอง

หรืออย่างสมาธิเราก็ต้องฝึก สติเนี่ยเราหัดดูสภาวะไปเรื่อย โลภ โกรธ หลง ฟุ้งซ่าน หดหู่ หัดรู้ไปเรื่อย ถึงจุดหนึ่งพอสภาวะเกิดแล้วสติรู้เองโดยไม่ต้องเจตนาจะรู้ แต่ก่อนจะรู้ได้เองก็ต้องซ้อมนะ ต้องฝึก ไม่ใช่อยู่ก็เอาละ หลวงพ่อปราโมทย์บอกไม่ต้องทำอะไรงั้นก็นอนมันทั้งวัน ไม่ได้กินหรอกนะ ต้องฝึก หัดดูสภาวะไปจนสติเกิด

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
File: 530423.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๒๐ ถึงนาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๕๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตตั้งมั่นเป็นอย่างไร?

mp3 : (for download) : จิตตั้งมั่นเป็นอย่างไร

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นมีสมาธิอยู่ จิตจะไหลตามอารมณ์ไป เวลาไปดูลมหายใจเนี่ย จิตจะไหลไปอยู่ที่ลมหายใจเรียกว่าจิตไม่ตั้งมั่น เวลาดูท้องพองยุบจิตจะไหลไปอยู่ที่ท้องอย่างนี้เรียกว่าจิตไม่ตั้งมั่น เวลาที่คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้จิตไหลไปอยู่ในโลกของความคิด จิตไม่ตั้งมั่น เวลาโลภเกิดขึ้นไปเห็นความโลภโผล่ขึ้นมามีสติรู้ว่าความโลภเกิดขึ้นนะ จิตถลำลงไปในความโลภอีก ไหลตามความโลภไป นี่ จิตไม่ตั้งมั่น

ถ้าเราเคยฝึกซ้อมจิตไหลไปแล้วรู้ ไหลไปแล้วรู้ จิตมันตั้งขึ้นมา มันจะเห็นเลย มันจะมีสภาวะคล้ายๆเรายืนอยู่บนบกนะ แล้วเห็นของไหลมาในน้ำ ดอกไม้ลอยมาบ้าง หมาเน่าลอยมาบ้าง ลอยมาในน้ำลอยมาแล้วลอยไป เราอยู่บนบก เราอยู่ห่างๆ เราดูอยู่ห่างๆ หรือเหมือนเรายืนอยู่บนตึกริมถนน ตึกแถวริมถนนเรายืนอยู่ เห็นรถวิ่งอยู่ในถนนเราไม่วิ่งลงไปในถนน ใจมันดูอยู่ห่างๆ เนี่ยสภาวะที่จิตตั้งมั่นนะ จิตจะตั้งตัวเป็นผู้รู้อยู่ห่างๆ มันจะไม่ in เข้าไปในปรากฏการณ์ เมื่อไม่ in เข้าไปในปรากฏการณ์มันจะเห็นปรากฎการณ์ชัด ถ้าเมื่อไหร่เรา in เข้าไปในปรากฎการณ์ เราจะเห็นปรากฎการณ์ไม่ชัด

อย่างในเวลาที่ชีวิตเรามีปัญหาหรือว่าเราทำงานนะ ทำไมพวกที่ปรึกษามันหากินได้ เพราะที่ปรึกษามันไม่ได้ in พวก Consult Consultant พวกนี้มันไม่ได้ in กับเรา บริษัทฯเราจะเจ๊งมันไม่ได้เดือดร้อน มันได้ค่าจ้างมันพอใจ ส่วนเรา เรา in นะ บริษัทฯเราจะอยู่ได้ไม่ได้เนี่ย เรา in แล้ว

การที่เรา in เข้าไปในปรากฎการณ์ หลงเข้าไปในปรากฎการณ์ ทำให้เราเห็นอะไรไม่ชัด มองไม่ตรงความจริง ที่ปรึกษามองง่ายกว่าเราทั้งๆที่ไม่ได้เก่งกว่าเรานะ หลายคนหลวงพ่อสังเกตนะ ที่ปรึกษาโง่กว่าเราอีก มันไม่ได้รู้อะไรมากกว่าเราหรอก ข้อมูลเราก็รู้เยอะนะ เยอะกว่าเขาน่ะ แต่เยอะจนข้อมูลถมเอา จนมองอะไรไม่ออกเลย

ถ้าเราถอนตัวขึ้นมา เป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ได้ จิตที่ตั้งมั่นมีสมาธินี้ล่ะ คือจิตที่ถอนตัวออกมาเป็นผู้สังเกตการณ์ มันจะเห็นโลกนี้ตามความเป็นจริง เห็นรูปเห็นนามเห็นกายนี้ตามความเป็นจริงว่าทุกอย่างผ่านมาแล้วผ่านไปเกิดแล้วดับทั้งสิ้นเลย จะเห็นอย่างนี้ เห็นแล้วเห็นอีก ในที่สุดจิตจะวาง มีแต่ทุกข์ล้วนๆไม่รู้จะเอาไปทำไม มีแต่ของไม่เที่ยงไม่รู้จะเอาไปทำไม มีแต่ของที่ไม่ใช่เรา พึ่งพาอาศัยไม่ได้เลย น่าเบื่อหน่าย จิตจะวาง เพราะฉะนั้นจิตจะวางได้ด้วยการเดินปัญญา เดินปัญญาได้ก็ต้องมีการฝึกให้มีสตินะ ฝึกให้มีสมาธิขึ้นมา ต้องฝึกทั้งสิ้นเลย แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุด ต้องมีศีลนะ ถ้าไม่มีศีลล่ะก็ คุณงามความดีทั้งหลายม้นจะหายไปอย่างรวดเร็วเลย สมาธิก็เสื่อม

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม วันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
File: 530423.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๗ ถึงนาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๔๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การรู้ทุกข์แจ่มแจ้งก็คือ กิจอันที่หนึ่งในอริยสัจจ์

mp3 for download: การรู้ทุกข์แจ่มแจ้งก็คือ กิจอันที่หนึ่งในอริยสัจจ์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: โลกนี้จริงๆว่างเปล่านะ ไม่มีแก่นสารไม่มีสาระอะไร เพราะเราไปเข้าใจผิด เราไปตามเห็นผิดๆ เลยรู้สึกว่ามีตัวเราขึ้นมามีแก่นสารสาระขึ้นมา ผู้มีสติผู้มีปัญญามองเห็นโลกตามความเป็นจริงว่าไร้แก่นสารไร้สาระ เห็นไปเรื่อย ไม่ต้องไปคิดว่ามันมีแก่นสารหรือไม่มีนะ ตามรู้มันไปเรื่อยๆแล้วจะเห็นว่ามันไม่มีแก่นสารสาระหรอก พอได้รู้อย่างแจ่มแจ้งถึงอกถึงใจ รู้แล้วรู้อีกถึงอกถึงใจแล้วจะวาง  พอวางก็พ้นทุกข์แล้ว วางก็ว่าง ใจก็เข้าถึงว่าง

ว่างอันแรก ว่างจากกิเลส ว่างจากกิเลสก่อน คือกิเลสนี้มาย้อมใจไม่ได้เพราะอาสวะดับไปแล้ว ไม่มีขึ้นมา เกิดขึ้นมาใหม่มาย้อมใจไม่ได้ ต่อไปว่างจากขันธ์นะในวันที่ชีวิตแตกดับไป ว่างจากขันธ์ หมดภาระที่จะแบกหามขันธ์ เพราะฉะนั้นเวลาพระอรหันต์คิดถึงความตายนะ คิดถึงด้วยความร่าเริงใจ โอ๊..หมดภาระ ถ้ายังมีขันธ์อยู่มีภาระนะ

อย่างครูบาอาจารย์บางองค์อายุมาก เก้าสิบกว่าใช่มั้ย เราก็อยากให้ท่านอยู่ไปเรื่อยๆ อยู่จนเราแก่ตายไปก่อนท่าน อะไรอย่างนี้ ท่านก็อยู่ไปท่านก็ต้องแบกภาระ ถ้าวางภาระไปแล้วสบาย มีบางคนนะชอบไปนิมนต์ครูบาอาจารย์ อย่างหลวงปู่ขาว นอนแซ่วอยู่อย่างนั้นนะ นอนทรมาน ไม่ได้เคลื่อนไหวไม่ได้ทำอะไรจนกระทั่งเนื้อหนังของท่านเนี่ยใสไปหมดเลย ทรมาน ในที่สุดคนที่ไปอาราธนานะทนดูไม่ไหว เห็นท่านทรมานมากนะก็ไปบอกเลิกท่านนะ ท่านก็ไปเลย เพราะฉะนั้นถ้าไปยื้อๆไว้ ก็ต้องไปแบกขันธ์

ขันธ์นี้เป็นตัวทุกข์นะ ไม่ใช่ตัวดีตัววิเศษ ทุกวันนี้เรายังไม่เห็นว่าขันธ์เป็นตัวทุกข์หรอก เรายังเห็นว่ามันทุกข์บ้างสุขบ้าง ถ้ายังหนุ่มยังสาวก็รู้สึกว่ามันสุขมากกว่าทุกข์ พอแก่แล้วก็รู้สึกว่ามันทุกข์มากกว่าสุข แต่มันก็ยังมีสุขอยู่ดี แก่ขนาดไหนก็ยังรู้สึกว่าขันธ์มันก็ยังมีสุขอยู่

ยกตัวอย่างนะ แก่หง่อมนะ หายใจแขม่วๆ ลุกขึ้นมาก็ไม่ไหวแล้ว ลูกหลานมาเยี่ยมใช่มั้ย ก็ยังมีความสุข เนี่ยใจมันยัง..ขันธ์นี้ยังมีความสุขได้อยู่ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังเห็นขันธ์มีความสุขได้อยู่นะ ไม่วาง วันใดเห็นว่าขันธ์มีแต่ความทุกข์ล้วนๆถึงจะวาง นี่เรียกว่าเห็นทุกข์ เห็นขันธ์เป็นทุกข์ รู้ทุกข์แจ่มแจ้ง

การรู้ทุกข์แจ่มแจ้งก็คือ กิจอันที่หนึ่งในอริยสัจจ์ ถ้าทำกิจอันที่หนึ่งในอริยสัจจ์เสร็จนะ อันที่สอง สาม สี่ จะเสร็จโดยอัตโนมัติ จะเสร็จพร้อมกันเลย เป็นเรื่องอัศจรรย์

ถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้งนะ ก็ละสมุทัย แจ้งนิโรธ เกิดอริยมรรค ในขณะเดียวกันนั้นเลย พร้อมๆกัน หรือถ้าเกิดอริยมรรคนะ ในขณะนั้นก็รู้ทุกข์ละสมุทัยแจ้งนิโรธพร้อมๆกัน ในขณะที่แจ้งนิโรธนะก็รู้ทุกข์ละสมุทัยเกิดอริยมรรคในขณะเดียวกันนั่นเอง ในขณะละสมุทัยนะ ก็รู้ทุกข์ แจ่มแจ้งในนิโรธ เกิดอริยมรรคเหมือนๆกัน พร้อมๆกัน เป็นธรรม

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สำหรับมุมสงบที่ต้องการหนังสือธรรมะวางอ่าน

ทางคุณ ธนา แห่ง เวป วิมุตติ ได้ประกาศมาว่า

เรายินดีที่จะจัดเตรียมหนังสือสื่อธรรมะต่างๆ เท่าที่มีเพื่อนำไปวางไว้ที่มุมสงบของท่านไม่ว่าจะเป็น ร้านกาแฟ

ห้องรับรองตามบริษัทต่างๆ หรือสถานที่เปิดสำหรับบุคคลภายนอกเข้าไปพักหามุมสงบ

สิ่งที่จัดเตรียมให้คือ
หนังสือธรรมะ และซีดีที่เป็นเสียง (ไม่ใช่ภาพ) อย่างละ 1 เล่ม / แผ่น ตามรายการที่มี ณ ขณะนั้นโดยไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ

ขอให้แจ้ง  ชื่อของสถานที่  และ ที่อยู่  เพื่อจะได้สะดวกในการจัดส่งให้  และเพื่อให้ท่านอื่นๆ รู้ว่าจะไปหามุมสงบของตัวเองที่ใดได้บ้าง

ท่านที่สนใจสามารถติดต่อกับเวปวิมุตติได้โดยตรงหรือผ่าน contactus.dhammada.net@gmail.com ครับ

อนุโมทนาครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คอยสำรวจตัวเอง อกุศลใดยังไม่ได้ละ กุศลใดยังไม่ได้เจริญ

mp 3 (for download) : อกุศลใดยังไม่ได้ละ กุศลใดยังไม่ได้เจริญ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เป็นเวลาของการสำรวจตัวเองนะ อกุศลอะไรยังไม่ได้ละ กุศลอะไรยังไม่ได้เจริญ ต้องคอยสำรวจเอา อกุศลนั้นย่อๆ ลงมาก็มี โลภ โกรธ หลง ขยายความออกไปก็คือ อกุศลกรรมบถ ๑๐ อย่าง ก็รวมอยู่ในศีล ๕ เราก็สำรวจตัวเองนะ อันไหนยังไม่ได้ละ หาทางละเสีย กุศลอะไรยังไม่ได้เจริญก็ทำเสีย ค่อยๆ สำรวจ ไม่อย่างนั้นวันเวลาล่วงไปๆ แล้วชีวิตไม่มีคุณค่า อยู่กับโลกไปวันหนึ่งๆ หากินไป ไม่นานก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวเรา

พัฒนาจิตใจตัวเองให้ดีนะ ชีวิตวันข้างหน้าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จิตใจเรามีความอบอุ่น มีความมั่นคง เหมือนลูกมีพ่อมีแม่ ไม่ใช่ลำบาก ค่อยๆ สำรวจนะ

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๓
File: 521218.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๗ ถึงนาทีที่ ๑ วินาทีที่ ๒๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภูมิมนุษย์นี่เหมาะกับการทำวิปัสสนาที่สุด

mp3 for download: ภูมิมนุษย์นี่เหมาะกับการทำวิปัสสนาที่สุด

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: คอยรู้สึกนะ รู้สึกไป เดี๋ยววันหนึ่งก็เข้าใจ เข้าใจเป็นลำดับ ลำดับไปนะ ไม่มีอะไรยากหรอก ไม่มีอะไรเหลือวิสัยที่มนุษย์ธรรมดาจะทำได้ เพราะธรรมะก็คือธรรมดา

ภูมิที่เหมาะที่สุดที่จะรู้ธรรมะก็คือภูมิของมนุษย์นี่เอง ภูมิอื่นๆไม่เหมาะที่จะรู้ธรรมะหรอก เจริญสติยาก อย่างสัตว์นรกนะ มันก็ทุกข์อย่างเดียวเลย จิตมันเต็มไปด้วยโทสะอย่างเดียวเลย ถ้ามันไปดูมันจะรู้สึกโทสะเที่ยง ไม่เห็นเปลี่ยนเลยเหมือนกันทุกวันเลย พวกเปรตมันก็โลภอย่างเดียวเลย จิตเต็มไปด้วยความโลภความหิวกระหาย สัตว์เดรัจฉานมันก็เหม่อของมันอยู่ทั้งปีอย่างนั้นแหละ ใจลอยอยู่ทั้งปี มีแต่หลงกับหลง เป็นอสุรกายนะ เจ้าทิฎฐิ เจ้าทฤษฎี อสุรกายเนี่ยส่วนมากจะมีดีกรีนะ ระดับปริญญาโท ปริญญาเอก ส่วนใหญ่อสุรกาย เจ้าทิฎฐิน่ะ พวกนี้ก็ยึดแต่ความคิดความเห็น ไม่เหมาะที่จะทำวิปัสสนา

สัตว์นรกก็ทุกข์เกินไปไม่เหมาะที่จะทำวิปัสสนา เปรตนะก็กระหายต้องการมากไป ทำวิปัสสนายาก เทวดาก็สบายเกินไปทำวิปัสสนายากนะ ขืนไปส่องกระจกดู อู๊ย..ฉันก็สวยนี่ สวยมาแสนปีแล้ว ยังสวยอยู่เหมือนเดิม มีความสุขทุกข์วันเลย นี่ความสุขเที่ยง หรือพรหมนะ มีแต่ความสงบ มีความสุขสงบบ้าง มีความสงบเฉยๆบ้าง กี่ปีกี่ชาติ แสนชาติแสนกัปป์อะไรอย่างนี้นะ อยู่ไปเป็นหมื่นๆกัปป์ พันๆกัปป์ อะไรอย่างนี้ โลกแตกแล้วแตกอีก

พรหมเห็นจักรวาลเกิดดับนะ แต่พรหมไม่เห็นตัวเองเกิดดับ เห็นจักรวาลเกิดดับ โน่นมันเกิดขึ้นมานะ แล้วมันก็ดับวับลงไปนะ มันก็สลายไป ละอองของมันก็กระจายไป เดี๋ยวก็ไปรวมเกิดขึ้นมาอีกแล้ว แล้วก็สลายไปอีกแล้ว เห็นแต่จักรวาลเกิดดับ แต่ไม่รู้นะว่าจักรวาลไหลมาจากไหน จักรวาลไหลไปไหน ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ตัวเองมาจากไหน ไม่รู้หรอก รู้สึกผุดขึ้นมาจากความว่างๆ เพราะฉะนั้นเป็นอมตะ ไม่เห็นตายสักทีเห็นแต่คนอื่นตายยกเว้นฉันไม่ตายสักที พวกมิจฉาทิฎฐินะ ไม่เหมาะที่จะทำวิปัสสนาหรอก

ภูมิมนุษย์นี่เหมาะกับการทำวิปัสสนาที่สุด เพราะมนุษย์นี่สำส่อน จิตใจเราเนี่ยกลับกลอกยอกย้อน ใน ๑ นาทีเนี่ยใจเราเปลี่ยนไปตั้งหลายรอบแล้ว เดี๋ยวก็ดู เดี๋ยวก็ฟัง เดี๋ยวก็คิด เดี๋ยวก็รู้สึก เดี๋ยวก็เผลอ เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็หลง ใจมนุษย์เนี่ยกลับกลอกตลอดเวลา ของกลับกลอกนี้แหละเราเห็นความไม่เที่ยงง่าย มันเปลี่ยนแปลงง่าย ของกลับกลอกเนี่ยเราเห็นความทนอยู่ไม่ได้ เห็นง่าย ของกลับกลอกเนี่ยเราเห็นเลย เราบังคับมันไม่ได้ ถ้าของเที่ยงเรารู้สึกบังคับได้ ของเที่ยงไม่มีจริงหรอก มันเที่ยงชั่วคราว เนี่ยเป็นมนุษย์ดีที่สุดแล้ว สวมหัวใจมนุษย์ไว้ เป็นมนุษย์ธรรมดาไว้

เป็นมนุษย์ธรรมดาเป็นอย่างไร เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย คุ้มดีคุ้มร้ายอยู่อย่างนี้แหละ นี่แหละเหมาะแก่การทำวิปัสสนาที่สุดเลย มันจะเห็นได้ง่ายว่า สุขก็ไม่เที่ยง ทุกข์ก็ไม่เที่ยง กุศล อกุศลก็ไม่เที่ยง ทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ อยู่ได้ชั่วคราว ความสุขวิ่งหาแทบตายเลย พอได้มานะ แว้บเดียวก็รู้สึกงั้นๆอีกละ

ใครเคยรู้สึกมั้ย ความสุขบางอย่างนะ กว่าจะได้มาตั้งนานแน่ะ อย่างไอ้หนุ่มคนหนึ่งจีบสาวนะ ต้องเป็นสาวรักนวลสงวนตัวแบบสาวโบราณหน่อย สาวสมัยนี้จีบหนุ่มนะ ที่หลวงพ่อรู้ ผู้ชายทุกวันนี้เหมือนดอกไม้ริมทาง บางคนนะเห็นอย่างนี้ สลดใจ หนีมาบวชนะ องค์สุดท้ายนั่นน่ะ บอกว่าไม่ไหวแล้ว ผู้ชายเหมือนดอกไม้ริมทาง

เนี่ยบางทีสาวจีบหนุ่ม หนุ่มจีบสาว จีบกันตั้งนานแหน่ะ พอได้มาแล้วก็งั้นๆแหละ ลองถามคนที่มีเมียแล้วแต่อย่าถามต่อหน้าเมียเขานะ จะไม่ได้ความจริง เพราะว่าคนพูดความจริงตายได้เหมือนกัน

ความสุขในโลกนะ ดิ้นแทบตายเลย ได้มาแล้วก็งั้นๆแหละ พองั้นๆแล้วใจจืดชืดใจจะหิวของใหม่ อยากได้อันใหม่แล้ว ไปดิ้นอีกนะ แล้วก็ทุกข์อีกแล้ว ทุกข์ทุรนทุราย ดิ้นรนมา พอได้มาก็งั้นๆแหละ ตลอดชีวิตมีแต่เรื่องแบบนี้ ดิ้นไปเรื่อยๆ หาไปเรื่อยๆ แล้วก็งั้นๆแหละ ไม่เห็นมีอะไร ภาษาจีนบอกว่า “มักคังคัง” ตาว่างเปล่า นึกว่ามีอะไร ดูไปแล้วว่างเปล่า ไม่มีอะไร

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๕
File: 510426.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๑๓ ถึงนาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๒๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

กรรมฐานที่เหมาะสมของแต่ละคน ขึ้นอยู่กับจริตนิสัยและวาสนาบารมี

mp 3 (for download) : กรรมฐานที่เหมาะสมของแต่ละคน ขึ้นอยู่กับจริตนิสัยและวาสนาบารมี

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: กรรมฐานนี่ถ้าเราเรียนให้ดีนะเราจะใจกว้าง เราไม่ได้ว่าอันไหนถูกอันไหนผิดนะ อย่างหลวงพ่อเรียนมาด้วยการดูจิตนะ ดูจิตมาเยอะ แต่หลวงพ่อก็ได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า ดูจิตไม่ใช่ solution ไม่มีกรรมฐานอะไรหรอกที่สำเร็จรูปสำหรับคนทุกคน จำไว้นะ แต่ละคนเหมาะกับกรรมฐานที่ไม่เหมือนกันเพราะจริตนิสัยวาสนาบารมีแตกต่างกัน ใช้คำสองคำนะ จริตนิสัย กับ วาสนาบารมี ไม่เหมือนกัน

‘จริตนิสัย’ มีสองกลุ่ม พวกตัณหาจริต กับ พวกทิฏฐิจริต พวกคิดมากกับพวกโลภมาก พวกคิดมากให้ดูจิตดูธรรม จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา พวกโลภมากนะ ดูกายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา อันนี้เป็นเรื่องจริตนิสัย

เรื่อง ‘บารมี’ ก็แตกต่างกัน คนที่บารมีแก่กล้านะ โดยเฉพาะมีปัญญากล้า ถึงจะเป็นพวกตัณหาจริต ดูกายเวทนานี่ ท่านจะสอนให้ดูไปที่เวทนา เวทนานี่เหมาะกันคนที่บารมีกล้าแล้ว คนที่บารมียังอ่อน อินทรีย์ยังอ่อนนะ ก็ดูกาย จิตกับธรรมก็เหมือนกัน คนที่อินทรีย์ยังอ่อน บารมียังอ่อนนะ ดูจิต อินทรีย์แก่กล้า บารมีแก่กล้าดูธรรม

เพราะฉะนั้น กรรมฐานนี่มันแยกตามจริตนิสัยกับตามวาสนาบารมี แต่ละคนไม่เหมือนกันหรอก อย่างดูกายดูได้ตั้งหกแบบ บางแบบเป็นสมถะนะ ทำสมถะก่อนแล้วมาเจริญปัญญาทีหลัง อย่างดูปฏิกูล อาหารปฏิกูล พิจารณาอาหารเป็นปฏิกูลนี่สมถะ รู้ลมหายใจได้ทั้งสมถะทั้งวิปัสสนา ถ้ารู้อิริยาบถสี่ถูกต้องก็เป็นวิปัสสนา แต่ถ้าเพ่งกายก็เป็นสมถะ

เพราะฉะนั้น ไม่ว่ากรรมฐานอะไรนะ ดูกายหรือดูจิตมันอยู่ที่วิธีดูด้วย ดูผิดมันก็เป็นสมถะไปหมดแหละ แต่ถ้าเราจะทำสมถะเราก็ดูแบบสมถะก็เรียกว่าดูถูก แต่ถ้าเราจะทำวิปัสสนาแล้วไปดูด้วยวิธีแบบสมถะก็ผิด วิธีการไม่เหมือนกัน

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
File:  530228B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๒๖ ถึง นาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๓๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทำอย่างไรจึงจะปล่อยวางได้?

mp 3 (for download) : ทำอย่างไรจึงจะปล่อยวางได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : บางคนบอกว่า ทำอย่างไรจะปล่อยวางขันธ์ได้   คล้ายๆ หลวงพ่อจับพัดนะ ทำไงจะปล่อยได้ว้า หาทางสะบัดใหญ่ ไม่ปล่อยเองน่ะ  จริงๆ ไม่ต้องทำอะไรนะ แค่ปล่อย มันก็หลุดแล้ว  แต่จะปล่อยได้ ต้องรู้ว่านี่ไม่ใช่ของดี ถ้ารู้สึกว่า โอ๊ย นี่พัดอย่างนี้แหล่ะ ในโลกนี้มีอันเดียวที่ำทำได้แบบนี้ สวยเหลือเกิน ดีเหลือเกิน วิเศษเหลือเกิน  ในโลกนี้มีอันเดียวนี่อะไรรู้ไหม? ตัวเรานี่ไง มีอันเดียว ใช่ไหม? ไม่มีคนที่สองเลย มีอยู่หนึ่ง ฉนั้นหวงของดี ของดี ไม่ปล่อย วันหนึ่งดูไปดูไป ฮึ่ย น่าเกลียดนี่ ข้างหน้าดูสวยนะ พลิกมา ตุ๊กแกอยู่ข้างหลัง  คราวนี้ทิ้งอย่างรวดเร็วเลย เพราะอะไร? เห็นแล้วว่าไม่ใช่ของดี

ถ้าเมื่อไหร่เห็นตามความเป็นจริง ว่าขันธ์มันเป็นทุกข์ จิตจะวางของเขาเอง

พวกเราจำไว้นะ ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ จิตเขาบรรลุมรรคผลนิพพานของเขาเอง เขาปล่อยของเขาเอง แต่เขาปล่อยเองได้ไหม อยู่ๆปล่อยได้ไหม? อยู่ๆไม่ปล่อย  หน้าที่เราให้การเรียนรู้เขาไป พาเขาเรียนรู้ไป จิตคล้ายๆ เด็ก เหมือนลูกเรา หลานเรา  เราไปสอบแทนมันไม่ได้ เราจะมีความรู้แทนมันไม่ได้ มันต้องมีความรู้ของมันเองนะ  แต่เราทำอะไร? ทำสิ่งที่เกื้อกูล ให้การศึกษาได้ ส่งไปโรงเรียน หรืออยู่บ้านก็ติวให้บ้าง อบรมบ้าง ให้การเรียนรู้ได้ แล้วเขาดีของเขาเอง เขาฉลาดของเขาเอง

จิตนี้เหมือนกันนะ เราอบรมได้ จิตเป็นธรรมชาติที่อบรมได้ แต่สั่งไม่ได้ เหมือนเด็กน่ะ สั่งให้ฉลาดไม่ได้นะ สั่งให้สอบได้ที่หนึ่ง สั่งไม่ได้ ทำไม่ไ้ด้จริงหรอก มันจะดีมันจะชั่ว อยู่ที่ตัวของมันเอง  เราทำได้แต่สร้างสิ่งแวดล้อมที่เือื้ออำนวยใ้้ห้ ถ้าเราฝึกได้ เราฝึกเด็กได้นะ แต่เด็กจะเก่งหรือไม่เก่ง อยู่ที่ตัวเด็กเอง

จิตนี้ก็เหมือนกัน จิตเป็นธรรมชาติที่ฝึกได้ ในอภิธรรมสอนนะ จิตเป็นธรรมชาติที่ฝึกได้ แต่สั่งไม่ได้ ฝึกก็คือให้การเรียนรู้เขาไป เจริญสติ คอยรู้กาย คอยรู้ใจ  ให้จิตเขาได้เรียนรู้ความจริงของกายไป ให้จิตเขาได้เรียนรู้ความจริงของจิตใจไปเรื่อย เรียนรู้ความจริงไปเรื่อยๆ ในที่สุดจิตเขาฉลาด เขาเห็นเลย กายนี้ก็เป็นตัวทุกข์ จิตนี้ก็เป็นตัวทุกข์ ไม่ใช่ตัวดีตัววิเศษอย่างที่เคยหลงผิดแล้ว เขาจะวางของเขาเอง ฉนั้นตรงที่วาง เขาวางของเขาเองนะ ไม่ใช่เราช่วยเขาวางได้  ถ้าเราช่วยเขาวางได้ เราก็สบายเลย ไม่ต้องไปฝึกกรรมฐานให้เหนื่อยยาก การที่เราฝึกกรรมฐานนี่แหล่ะ คือการให้การเรียนรู้แก่จิต ที่เรามาหัดทำวิปัสนา ก็คือการให้การเรียนรู้แก่จิตนั่นเอง ถ้าจิตฉลาดขึ้นมา รู้ความจริงของขันธ์ห้า จิตก็วางขันธ์ของเขาเอง  จิตยังโง่อยู่ จิตก็ยังยึดอยู่

เพราะฉะนั้นเราทำหน้าที่อะไร? ทำหน้าที่ให้การเรียนรู้แก่จิต ด้วยการเอาของจริงมาให้จิตดู ดูลงไปในกาย ดูลงไปในจิตใจดูซิ มันเที่ยงหรือไม่เที่ยง มันสุขหรือมันทุกข์ มันบังคับได้หรือมันบังคับไม่ได้ ให้มันดูเนืองๆนะ ดูไปเรื่อยเลย วันนึงมันก็รู้ความจริง มันก็วางของมันเอง  ไม่มีใครสั่งให้มันวางได้นะ มันวางของมันเอง ดิ้นให้ตายยังไงก็ไม่วาง ภาวนาแทบเป็นแทบตาย ไม่วาง  บทเขาจะวาง เขาพอของเขานะ เขาวางของเขาเอง ครูบาอาจารย์ท่านเทียบคล้ายๆ การกินข้าว  เรา่มีหน้าที่กินข้าวนะ เราไม่มีหน้าที่อิ่ม  ร่างกายมันอิ่มของมันเอง เรามีหน้าที่ป้อนข้าวมันไป  มันหิวนะ ป้อนข้าวมันไป ถึงจุดหนึ่งมันอิ่มของมันเอง

การภาวนานี้เหมือนกัน เรามีหน้าที่ให้การเรียนรู้แก่จิตเรื่อยๆ  เรื่องที่ให้การเรียนรู้ ก็คือเรื่องความจริงของกายของใจ ไม่ใช่เรื่องอื่น  ให้การเรียนรู้ไปมากๆ พอเขารู้ความจริง เขาวางของเขาเอง

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
File:  530423.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๒๗ ถึง นาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๑๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่ได้ภาวนาเอาดี เอาสุข เอาสงบ แล้วเราภาวนาเพื่ออะไร?

mp 3 (for download) : ไม่ได้ภาวนาเอาดี เอาสุข เอาสงบ แล้วเราภาวนาเพื่ออะไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ขั้นแรกเลยของการภาวนานะ เราต้องรู้ว่าเราภาวนาเพื่ออะไร เราไม่ได้ภาวนาเพื่อหาความสุข เพื่อเอาความสุข เอาความดี เอาความสงบ เพราะความสุข ความดี ความสงบ เป็นแค่ผลพลอยได้ ถ้าภาวนาแล้วก็มีเองแหละแต่ไม่ใช่เป้าหมาย เป็นของแถมของระหว่างทาง

ถ้าเรามุ่งภาวนาเอาความดี ความสุข ความสงบ ดีมันยังไม่เที่ยง สุขก็ยังไม่เที่ยง สงบก็ยังไม่เที่ยง ถ้ามุ่งเอาของไม่เที่ยง มันก็ได้มาแล้วไม่นานก็เสียไป ดีได้ก็ยังชั่วได้อีก สงบได้ก็ฟุ้งซ่านได้อีก มีความสุขได้ก็มีความทุกข์ได้อีก เพราะของเหล่านี้ยังไม่เที่ยง เราจะภาวนาเอาของที่ดีกว่านั้น แต่ถ้าภาวนาไปเราก็จะเป็นคนดีนะ มีความสุข มีความสงบ มากขึ้น มากขึ้น อันนั้นเป็นผลพลอยได้ ไม่ใช่ตัวหลักหรอก

เราภาวนาเนี่ย มุ่งไปเพื่อให้เห็นความจริง ความจริงของกาย ความจริงของใจ ความจริงของมันก็คือ ความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจ เป็นของไม่เที่ยง เป็นของที่ถูกบีบคั้นทนอยู่ไม่ได้ เป็นของที่บังคับไม่ได้ไม่อยู่ในอำนาจ ทั้งกายทั้งใจนะ จะเคลื่อนไหว จะเปลี่ยนแปลง จะตั้งอยู่ จะเกิด จะตั้งอยู่ หรือจะดับไปเนี่ย เป็นไปตามเหตุทั้งสิ้น ไม่ใช่ของที่สั่งได้ ไม่ใช่ของที่บังคับได้ เรียกว่าอนัตตา

ถ้าเราภาวนามาให้เห็นกายเห็นใจ เป็นไตรลักษณ์แล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือการปล่อยวางจะเกิดขึ้น เราจะคลายความยึดถือในกายยึดถือในใจ เมื่อไรไม่ยึดถือกายไม่ยึดถือใจ อย่างท่านพุทธทาสท่านบอกไม่ยึดในตัวกูของกู นะ ไม่ยึดตัวกูของกู ความทุกข์ไม่มีที่ตั้งนะ ความทุกข์มันตั้งอยู่ที่กาย ความทุกข์มันตั้งอยู่ที่ใจ เราวางกายวางใจลงไปแล้ว ความทุกข์มันไม่มีที่อาศัยอยู่ ใจมันจะพ้นจากความทุกข์ไป

ตรงนี้เรายังไม่เห็นด้วยตัวเราเอง นะ แต่เวลาเราภาวนาเนี่ย เราจะเริ่มเห็นเหมือนกัน เห็นร่องรอย ว่าเมื่อไหร่หมดความยึดถือนะก็จะหมดความทุกข์ ร่องรอยของมันก็คือ เราจะเห็น ใจเราค่อยๆคลายออกจากโลก ภาวนาไปนะ ใจค่อยห่างโลกออกไปเรื่อย คลายออกจากโลก ยิ่งใจเราคลายออกจากโลกมากเท่าไหร่นะความทุกข์ก็ยิ่งลดลงเท่านั้น ห่างออกไป ก็ความทุกข์มันอยู่ที่กายความทุกข์มันอยู่ที่ใจ พอเราไม่หยิบฉวยกายไม่หยิบฉวยใจขึ้นมา ครอบครองเป็นเจ้าของ ความทุกข์มันก็หล่นหายไปด้วย เนี่ยระหว่างภาวนาก็เริ่มเห็นแล้วอันนี้

เวลาที่ใจตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะเห็นโลกอยู่ห่างออกไป ร่างกายก็อยู่ห่างออกไป มันเริ่มเห็นร่างกายนี้เป็นเหมือนวัตถุธาตุ หรือบางคนเห็นเหมือนกายของคนอื่นไม่ใช่ของเราแล้ว อยู่ห่างๆออกไป ความรู้สึกสุขทุกข์ก็อยู่ห่างๆออกไป กุศลอกุศลทั้งหลาย แต่เดิมเคยครอบงำจิตใจได้ ก็เริ่มเห็นกุศลอกุศลทั้งหลายอยู่ห่างๆออกไป มันห่าง มันห่างออกไปนะ ในที่สุดมันพรากออกจากกัน มันแยกออกจากกันถาวรนะ ไม่อยู่ด้วยกันหรอก

แต่จิตนั้นกระจายตัวรวมเข้ากับธรรมชาติ เข้ากับความว่าง เพราะทุกอย่างมันจะว่างในตัวของมันอยู่แล้ว เป็นจิตที่ไม่ยึดถืออะไร จะกระจายตัวออกไป รวมเข้าเป็นเนื้อเดียวกับความว่าง หลวงปู่ดูลย์บอกว่า พอจิตเนี่ยรวมเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์ของจักรวาล เป็นหนึ่ง เรียกว่านิพพาน ตรงนั้นไม่มีความทุกข์เหลืออยู่นะ มีแต่ความสุข เพราะนิพพานมีความสุข จิตสัมผัสกับนิพพาน จิตมีความสุขมาก

เนี่ยเราจะสัมผัสกับนิพพานได้นะ ต้องวางความยึดถือกายยึดถือใจให้ได้ ยังวางไม่ได้ก็ทุกข์ แบกเอาไว้มากก็ทุกข์ เพราะขันธ์ ๕ รูปนามกายใจนั้นเป็นตัวทุกข์ เป็นภาระ เป็นของหนัก ตราบใดที่เรายังต้องแบกของหนักอยู่ตลอดเวลา ก็จะทุกข์อยู่ ท่านบอกพระอรหันต์นะ พระอริยเจ้า วางของหนักลงแล้ว แล้วไม่หยิบฉวยขึ้นมาอีก ก็พ้นจากทุกข์ เพราะฉะนั้นตัวที่ทำให้เราพ้นจากทุกข์ได้ก็คือตัววางนี่เอง ถ้าแบกอยู่ก็ทุกข์อยู่ ถ้าวางไปก็พ้นทุกข์ไป แต่วางได้เพราะอะไร เพราะปัญญาแก่รอบนะ เพราะเห็นความจริง ความจริงของรูปธรรมนามธรรมว่ามันเป็นไตรลักษณ์ ไม่ใช่ของดี ไม่ใช่ของวิเศษ ไม่ใช่ของน่ารักน่าหวงแหนอย่างที่เคยรู้สึก ถ้าเห็นได้ก็จะวางเห็นไม่ได้ก็ไม่วาง เห็นได้นิดหน่อยก็วางนิดหน่อย เห็นได้แจ่มแจ้งก็วางหมด

หัดภาวนาก็เริ่มเห็นเป็นลำดับ ลำดับไป ค่อยหัดไป ทุกวัน ทุกวัน ไม่ท้อถอย ความสุขรออยู่ข้างหน้า ไม่ใช่ภาวนาเอาความสุขนะ ถ้าภาวนาเอาความสุขเอาความดี ความสุขความดีตัวนี้ไม่เที่ยง ยังไม่เที่ยงอยู่ มีความสุขที่เที่ยงรออยู่ข้างหน้า คือ นิพพาน นิพพานจะเจอได้ก็ต่อเมื่อเราวางความยึดถือในกายในใจได้ วางความยึดถือในกายในใจได้เพราะมีปัญญาแก่รอบเห็นความจริง ความจริงของกายของใจ ไม่ใช่ความจริงเรื่องอื่นด้วย เราจะเห็นความจริงของกายของใจว่าเป็นทุกข์นะ เป็นไตรลักษณ์ เป็นทุกข์ เป็นก้อนทุกข์ล้วนๆเลย ถ้าเห็นอย่างนั้นก็วาง ไม่แบกไว้ละ ไม่ใช่ของดี

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
File: 530423.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๓๓ ถึงนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๓๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คนในโลกทะเลาะกัน ด้วยสองเหตุผล คือ ตัณหา และทิฏฐิ

mp 3 (for download) : คนในโลกทะเลาะกัน ด้วยสองเหตุผล คือ ตัณหา และทิฏฐิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ลดความเห็นแก่ตัวลงนะ วิธีสำรวจใจตัวเองด้วยความซื่อตรง มันเห็นแก่ตัวมากไหม สำรวจด้วยความซื่อตรงเลย มีสติรู้ทันจิตตัวเองนี่แหละ ดีที่สุดเลย มันเห็นแก่ตัวขึ้นมารู้ มันยึดในความคิดความเห็นของตัวเองก็รู้ คนในโลกทะเลาะกันด้วยสองเหตุผลเท่านั้น ฟังแล้วมีเหตุผลมากมาย แต่พระพุทธเจ้าสอนคนในโลกทะเลาะกันด้วยสองอย่าง ด้วยตัณหา กับด้วยทิฏฐิ

‘ตัณหา’ ก็คือ ผลประโยชน์มันขัดกัน อยากได้แล้วมันไม่ได้ คนโน้นมันได้ไปไม่ชอบมัน หาทางล้างมันทำลายมัน กับ ‘ทิฏฐิ’ มีความเห็นไม่เหมือนกัน ท่านว่าฆราวาสกับฆราวาสนะ ทะเลาะกันตัวตัณหาและทิฏฐิ ส่วนพระกับพระ ทะเลากันด้วยทิฏฐิ ความเห็นไม่ตรงกัน สอนไม่เหมือนกันก็ฆ่ากันตาย แต่ผลประโยชน์ก็มีนะ เดี๋ยวนี้ เพราะพระก็เป็นโยมเหมือนกัน เป็นโยมใส่ผ้าเหลือง อย่างนั้นก็มีเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น เราสำรวจใจของเราด้วยความซื่อตรงนะ เรียนรู้ลงไป ความไม่ดีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในตัวเอง ขุดคุ้ยมันออกมาดู อย่าไปดูคนอื่น ดูของเราเอง เราจะเห็นเลยว่ากิเลสของเรานั้นมากมายสาหัสสากรรจ์เลย จะหาผู้ร้ายสักคนไม่ต้องไปหาไกล หาที่ใจเรานี่เอง ใจเรานี่ปรุงกิเลสทั้งวัน ปรุงกิเลสทั้งคืน ไม่เคยหยุดนิ่งเลย ปรุงความรักตัวเอง ปรุงความเห็นแก่ตัว ปรุงความยึดมั่นถือมั่นในความคิดความเห็น ปรุงความอยากนานาชนิด

ให้เรารู้ทันไว้นะ ถ้าเรารู้ทันกิเลสจะครอบงำจิตไม่ได้ เราจะมีเหตุผลในการดำรงชีวิต คนทุกวันนี้ไม่มีเหตุผลในการดำรงชีวิตนะเพราะว่ากิเลสมันครอบงำจิต เพราะฉะนั้นเรามีสติรู้ทันจิตไป กิเลสเกิดขึ้นเรารู้ทันไป เราจะเหลือแต่เหตุผล เหตุผลในการดำเนินชีวิต

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
File:  530314B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๕๒ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๔๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่ได้ไปขาดที่อนุสัย แต่ขาดที่อาสวะ

mp3 for download: ไม่ได้ไปขาดที่อนุสัย แต่ขาดที่อาสวะ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: พระพุทธเจ้านะ เข้าใจถึงสิ่งที่อยู่ต่อหน้าต่อตาทุกวันนั่นแหละ นะ สิ่งที่เราเห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา” “ตัวเรา” นี่แหละ กายกับใจนี้ นะ เข้าใจต้วนี้ ตัวเราไม่มี ตัวเราไม่มีนะ พอเห็นตัวเราไม่มี มันก็หมดความเห็นผิดว่ามีตัวเรา เป็นพระโสดาบัน

ก็มารู้กายรู้ใจต่อไปอีก นะ รู้กายรู้ใจไปอีก ก็ค่อยๆลดละอนุสัยกิเลสไป สติ สมาธิ ปัญญา ก็แก่รอบขึ้น อนุสัยกิเลสก็ลดละลงไปเรื่อยๆ วันที่ขาดจากกันนี่นะ ไม่ได้ไปขาดที่อนุสัย แต่ขาดที่อาสวะ

อาสวะเป็นกิเลสที่ย้อมใจ เป็นกิเลสที่ซึมซ่าน มันเป็นคล้ายๆมันเป็นสื่อนะ ที่ทำให้กิเลสเนี่ยซึมซ่านเข้าสู่จิตได้ พอวันหนึ่งจิตหลุดจากอาสวะนะ คล้ายๆขาดเครื่องมือแล้ว ขาดตัวเชื่อมต่อ ไม่มีตัว Interface ขาดตัวเชื่อมต่อ กิเลสไหลมาสู่จิตไม่ได้

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๕
File: 510426.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๑๒ ถึง นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๒๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ถ้าภาวนาอย่างไม่มีส่วนได้เสียจะสบาย

mp3 (for download) : ถ้าภาวนาอย่างไม่มีส่วนได้เสียจะสบาย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเราเรียนรู้แบบไม่มีส่วนได้เสียจะสนุกมากเลย ถ้าเรียนรู้แบบมีส่วนได้เสียไม่สนุกเลย เหนื่อยยากและก็เหน็ดเหนื่อยที่สุดเลย

มีส่วนได้เสียเนี่ย อยากให้สุข อยากให้ดี อยากให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานไวๆ มีส่วนได้เสีย

กิเลสเกิดขึ้นอยากให้มันหายเร็วๆ มีส่วนได้เสีย

ถ้าเราดูกิเลสเกิดขึ้นในใจนะ เหมือนเห็นกิเลสของคนอื่น เหมือนคนอื่นเกิดกิเลส เราไม่เกี่ยวอะไรด้วย ใจเราไม่เข้าไปพัวพัน ดูกายก็เหมือนเห็นเป็นกายคนอื่น ดูจิตใจเป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นกุศลอกุศล เหมือนเห็นคนอื่นมีสุขมีทุกข์ มีกุศลอกุศล จิตใจเราจะเป็นอิสระขึ้นมา สบาย เพราะเราจะไม่ได้มีกิเลสในใจเรา แต่กิเลสมันเข้ามาสู่ใจใครก็ไม่รู้ซึ่งไม่ใช่ตัวเรา

เอาเข้าจริงตัวเราไม่มีหรอก ตัวเราเกิดจากความสำคัญผิด

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๒
File: 490702B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๔๘ ถึง นาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๔๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

แผนที่ สวนสันติธรรม

แผนที่แสดงวิธีการเดินทางไปสวนสันติธรรม

แผนที่ สวนสันติธรรม

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ตัวเราเหมือนหมูกระดาษ

mp 3 (for download) : ตัวเราเหมือนหมูกระดาษ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เมื่อวานนะแน่นเลย ของวัดโสมวัดเดียวมาสิบองค์ แ่ต่ท่านก็อดทนนะ ฟังฟังจนกระทั่งตื่นขึ้นมาได้เจ็ดแปดองค์  และตั้้งอกตั้งใจภาวนา  บางองค์เป็นมหานะ ไม่ถือว่าความรู้เยอะ ได้ฟังธรรมะในภาคปฏิบัติดู ฟังพอจิตตื่นขึ้นมาแล้วบอกว่ามันง่ายนิดเดียว หลงไปทำซะยากเลย จริงๆง่าย เราไปทำให้มันยากเอง มันจะยากอะไร ถูกเขาด่าแล้วโกรธ รู้ว่าโกรธ  ถ้าจะให้ยากก็ต้องไม่โกรธ ทำอย่างไรจะไม่โกรธนี่ยากนะ หรือโกรธแล้วทำอย่างไรจะดับ นี่ยาก  ถูกเขาด่า โกรธ รู้ว่าโกรธ ไม่เห็นยากอะไรเลย ใครก็ทำได้ เพียงแต่เรานึกไม่ถึงว่าการปฏิบัติมันจะง่ายขนาดนั้น

ท่านมหาท่านพูดว่าเมื่อก่อนท่่านไปสร้างอะไรขึ้นมาซะแข็งไปหมดเลย นึกไม่ถึงว่ามันจะธรรมดา  อ้าวธรรมะก็ธรรมดาก็ันั่นแหล่ะ ธรรมะไม่ธรรมดาแล้วมันจะเป็นธรรมะได้อย่างไร ธรรมะกับธรรมดามันก็คำเดียวกันนั่นแหล่ะ  เราเรียนธรรมดาของกาย ธรรมดาของใจ จนเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา อย่างร่างกายนี้ ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เรื่องธรรมดา  จิตใจเีดี๋ยวสุข เีดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เรื่องธรรมดา  เดี๋ยวสงบเดี๋ยวฟุ้งซ่าน ธรรมดา  พอยอมรับความเป็นธรรมดา ใจก็เข้าไปสู่ความเป็นกลาง ไม่ดิ้น

มีวิธีฝึกกรรมฐานง่ายๆอย่างนึง อันนี้อยากฝากญาติโยมลองไปดู กระทั่งพระก็ได้นะ แต่พระยังไม่มา คือเวลาแต่ละคนนี่จะแอบสร้างภพขึ้นมา  สร้าง “ภพ” คือสร้างสภาวะอะไรขึ้นมาบางอย่าง แต่ละคนจะสร้างทุกคนแหล่ะ  เวลาเราเจอคนนี้ เราก็ต้องวางมาด มันจะสร้างขึ้นมาตลอดเวลา  หรือเวลาบางคนจะคุยกับหลวงพ่อ ต้องทำเสียงหล่อๆหน่อย ต้องให้มันไม่ธรรมดา ต้องไม่ธรรมดา นี่เสแสร้งสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมา เพื่ออะไร? เพื่อให้ดูดี  ลองสังเกตตัวเองดู กะเทาะเปลือกตัวเองออก จนเห็นเลย ตัวจริงของเราอย่างไร

เราชอบสร้างภาพหลอกๆขึ้นมา อย่างเราเจอคนเจออะไรแต่ละวันๆ เราจะสร้างมาดขึ้นมา เจอลูกค้าเราก็ต้องทำฟอร์มอย่างนี้ใช่ไหม เจอเจ้านายเราก็ต้องทำท่านี้ เจอสาวเราต้องทำอย่างนี้ ต้องวางฟอร์ม  ฟอร์มที่สร้างขึ้นจริงๆ คือสภาวะนั่นเอง คือภพอันหนึ่ง บางทีก็เป็นภพของพ่อ วางฟอร์มเป็นพ่อ บางทีก็วางฟอร์มเป็นแม่ วางฟอร์มเป็นนางเอก  มีนะ ผู้หญิงชอบวา่งฟอร์มเป็นนางเอก ทำเศร้าๆ มีหยาดน้ำตาและหยดเลือดเยิ้มๆในใจ ชอบนักเชียว หาเรื่องลงนรกแท้ๆเลยนะ สะใจ เจ็บๆ คันๆ แสบๆ อู้ยชอบ ชอบเข้าไปได้ไง ทำใ้ห้จิตคุ้นเคยกับอกุศล

แต่ละคนจะวางฟอร์ม ให้เรารู้ทัน  อย่างบางคนหลวงพ่อเคยชี้ ไม่รู้วันนี้มาไหม เขาภาวนาเก่งนะ แต่พอเริ่มพูดกับหลวงพ่อ เขาจะต้องทำเสียงหล่อ “(ทำเสียงหล่อ) ผมมีเรื่องกราบเรียนหลวงพ่อ” นี่  ทำเสียงหล่อนะ พอหลวงพ่อชี้ให้ดู นี่เสแสร้งนะ เห็น เห็นว่านี่ปรุง สร้างภพขึ้นมา สร้างภพของนักปฏิบัติที่ดี ทำดูเลื่อมใสศรัทธากับครูบาอาจารย์มาก พอเห็นตรงนี้ปั๊บ หลุดออกมาเลย   ฉะนั้น ภพทั้งหลายนี่ ถ้าเรารู้ทัน เราจะหลุดออกมา แล้วไม่มีอะไร ว่างๆ ไม่มีอะไร  แต่ถ้ารู้ไม่่ทัน มันก็สร้างภาพขึ้นมา เป็นรูปเป็นร่าง สวยงามอย่างโน้นอย่างนี้

สองวันนี้ หลวงพ่อคุยกับพวกที่มาอยู่วัด บอกเคยเห็น “หมูกระดาษ” ไหม? หมูกระดาษใครเคยเห็นไหม? หมูกระดาษตัวแดงๆ ต้องคนโบราณหน่อยนะถึงจะเคยเห็น  ถ้าเดี๋ยวนี้หมูพลาสติก แต่หมูพลาสติกเอามายกเคสนี้ไม่ได้   หมูํกระดาษนี้มันทำด้วยกระดาษ ค่อยๆปะนะทีละแผ่นๆ ค่อยๆปะขึ้นมา มีแม่พิมพ์สองด้าน ปะทีละด้าน เสร็จแล้วก็เอามาเย็บตรงกลาง ทากาว ทาสี สีที่โปรดคือสีแดง หมูพวกนี้ต้องสีแดง หางก็เอาอะไรทำเป็นพู่ๆหน่อย เขียนตา เขียนหู

แต่ละคนนี้เหมือนหมูกระดาษนะ พวกเราเป็นหมูกระดาษคนละตัว แต่บางตัวก็เป็นหมากระดาษ เราปั้นขึ้นมา ถ้าเรารู้ตัวจริง มันไม่ได้มีจริง เราค่อยๆลอกเปลือกมันออก ลอกสิ่งที่เราปรุงแต่งออกไป ลอกออกไปเป็นชั้นๆ ลอกออกไปเรื่อยๆ  ถึงจุดหนึ่งจะเข้าไปถึงตัวจริงของมัน ตัวจริงของมันไม่มีอะไรเลย มันมาจากความว่างเปล่า แล้วก็สร้างขึ้นมาจนเป็นตัวเป็นตน  แต่ถ้าเมื่อไหร่เราลอกเปลือกตัวเองไปเรื่อย ลอกความปรุงแต่งไปเรื่อย จนถึงสุดท้าย ลอกชั้นในสุดออกไป ภายในมันก็เป็นความว่างๆใช่ไหม อาจจะขังอากาศอยู่ พอเปลือกกระดาษหลุดออกไปแล้ว  อากาศนั้นกระจายรวมเข้ากับอากาศข้างนอกนั่นเอง

ฉะนั้นการภาวนานี้ก็เหมือนกันนะ ถ้าจิตพ้นจากความห่อหุ้มแล้ว จิตไม่มีเปลือกห่อหุ้ม ไม่ได้สร้างภพใดๆมาห่อหุ้มมันแล้ว มันจะกลืนเข้ากับอากาศข้างนอกนั่น จะกลืนเข้ากับโลก ฉะนั้นเราภาวนาจนถึงจุดสุดท้าย จิตกับธรรมชาติที่แวดล้อมอยู่ จะกลมกลืนเข้าเป็นอันเดียวกัน

หลวงปู่ดูลย์เคยสอนหลวงพ่อ บอกว่า ถ้าวันใดเธอเห็นจิตกับสิ่งที่แวดล้อมอยู่เป็นสิ่งเดียวกันนะ เธอจะแจ่มแจ้งฉับพลันนั้นเลย เราฟังเราก็นึกว่าเป็นวิธีปฏิบัตินะ แต่ไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไร ก็ดูจิตของเราไปเรื่อย ดูไป จนกระทั่งวันหนึ่ง พอเราไม่ยึดถือจิตซะอย่างเดียว เราสลัดคืนจิต จิตกับโลกนี้กลืนเข้าด้วยกัน เป็นอันเดียวกัน  คนไหนเป็นนักดูจิตคนอื่น ไม่ใช่นักดูจิตตัวเอง  นักดูจิตคนอื่นที่ชำนาญ พอไปเจอท่านที่ภาวนาที่ปล่อยวางจิตแล้ว จะพบว่าจิตของท่านเหล่านี้กลมกลืนเข้ากับโลก กลมกลืนเป็นอันเดียวกันกับโลก แต่อันนี้เขาไม่สามารถเห็นจิตที่พ้นโลกได้ เขาเห็นแต่จิตที่กลมกลืนเข้ากับโลก เหมือนอากาศในหมูกระดาษนี้ที่รวมเข้ากับอากาศ กับโลกข้างนอก เป็นอันเดียวกันนั่นเอง  อันนี้เล่าให้ฟังเล่นๆนะ เพื่อยั่วน้ำลาย

วันหนึ่งถ้าพากเพียรไป ดูกายดูใจของเราไป เราปอกเปลือกของตัวเองออกไปจนล้อนจ้อนไม่มีอะไรเหลือเลย เราจะพบตัวจริง ของเราซึ่งไม่มีอะไรเลย  เพราะฉะนั้น เราภาวนาไปแล้วเราจะไม่ได้อะไรมา และเราจะไม่ได้เสียอะไรไป เพราะเราไม่มีอะไรอยู่ตั้งแต่้แรกแล้ว จะไม่มีอะไรเลย

จิตถัดจากนั้นจะเป็นอย่างไร จิตที่ปล่อยวางจิตไปแล้ว จะมีแต่ความสุขล้วนๆ ยืนเดินนั่งนอนมีแต่ความสุขล้วนๆเลย  เกิดอะไรขึ้น จิตจะไม่มีกระเพื่อมไหวเลย  กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับธรรมชาติ  ฉะนั้นจิตกับธรรมะก็เป็นอันเดียวกัน หลอมหลวมเข้าด้วยกัน จิตที่หลอมรวมเข้ากับธรรมแล้ว จิตกับธรรมะก็เป็นอันเดียวกัน จิตอันนั้นเรียกว่า “พระสงฆ์”  จิตอันนั้นเป็น “พระพุทธ-พุทธะ”  พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอันเดียวกัน เป็นเรื่องที่แปลกนะ เวลาเราภาวนาเืบื้องต้น เราก็รู้ึสึก พระพุทธก็อันนึง พระธรรมก็อันนึง พระสงฆ์ก็อันนึง  แต่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นอันเดียวกัน ในเนื้อแท้แล้วเป็นอันเดียวกัน เป็นความไม่มีอะไรนี่เอง เป็นธรรมะนั่นเอง  แต่ไม่ใช่แบบว่างเปล่าสาบสูญ  ถ้าสาบสูญเป็นมิจฉาทิฐิ  มีแต่ความสุขล้วนๆเลย เวลาที่เรากระทบ เราสัมผัส เราระลึกถึง เพราะฉะนั้นถ้าเราฝึกจนถึงจุดที่ว่าเราปล่อยวางจิตได้แล้ว เวลาที่เรามนสิการถึงนิพพาน นิพพานกับจิตก็สัมผัสกันอยู่ตรงนั้นเลย นิพพานไม่ใช่ต้องเข้าสมาธิก่อนแล้วส่งจิตไปดู ไม่ใช่

ค่อยฝึกนะ เราจะมีความสุขมหาศาลรออยู่ข้างหน้า หัดเบื้องต้นก็มีความสุขเล็กน้อยไปก่อน  คนไม่เคยมีสติ พอมีสติขึ้นมาก็มีความสุข  คนไม่มีศีล พอมีศีลขึ้นมาก็มีความสุข คนไม่เคยมีสัมมาสมาธิ พอจิตมีสัมมาสมาธิตั้งมั่น ไม่หลง ไ่ม่เผลอตามอารมณ์ สักว่ารู้ สักว่าเห็น มีความสุข  จิตที่มีวิมุติมีปัญญาขึ้นมาก็มีความสุข มีวิมุติขึ้นมาก็มีความสุข

เพราะฉะนั้นเราภาวนาไป จะมีความสุขเป็นลำดับๆไป  เบื้องต้นมีความสุขจากการรู้สึกตัวก่อน หัดตัวนี้ให้ได้ก่อน พอเรามีความสุขที่ได้รู้สึกตัว เราจะรู้สึกตัวบ่อย เพราะเราชอบแล้ว เราชอบรู้สึกตัว เราชักไม่ชอบเผลอแล้ว  แต่เดิมคิดว่าเผลอๆ เพลินๆ มีความสุข  รู้สึกตัวไม่มีความสุขเพราะรู้สึกตัวแล้วเห็นแต่ทุกข์ เห็นกายเป็นทุกข์ เห็นใจเป็นทุกข์  แต่พอเรารู้สึกตัวเป็น รู้สึกไปเรื่อย เราพบว่าทันทีที่รู้สึกตัว มีความสุขขึ้นมา มีความสุขโชยแผ่วๆขึ้นมา สุขอยู่ในตัวเอง แล้วก็เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไป  เมื่อไหร่ใจหลงเข้าไปแทรกแซง เมื่อนั้นความทุกข์ก็เกิดขึ้น  เมื่อไหร่ใจไม่แทรกแซง สักว่ารู้ สักว่าเห็น ก็มีความสุข  ตรงนี้เป็นความสุขของกายใจที่ตั้งมั่นและใจที่มีปัญญา แต่ยังไม่ใช่ความสุขถึงที่สุด  ความสุขของศาสนาพุทธมันลึกซึ้งเป็นชั้นๆ ไป

คนในโลกใจมันคลุกอยู่กับอารมณ์ อย่างมีความอยากขึ้นมาแล้วก็ได้รับการตอบสนอง สมอยากแล้วมีความสุข ไม่สมอยากถึงจะทุกข์ คนทั่วๆไปเห็นได้แค่นี้ ตื้นที่สุดเลย  หมาแมวเหมือนกันนะ แมวจะไปจับนกนะ จับได้แล้วมีความสุข จับไม่ได้แล้วทุกข์  ถ้าสมอยากแล้วมีความสุข ถ้าไม่สมอยากถึงจะทุกข์  พวกเราผู้ภาวนา เราจะเห็นเลย ถ้ามีความอยากก็จะมีความทุกข์ ถ้าไม่มีความอยากแล้วไม่ทุกข์ จะเห็นอย่างนี้ ถ้าถึงจุดสุดท้ายเราจะรู้เลย จะมีความอยากหรือจะไม่มีความอยาก ขันธ์ห้านี่แหล่ะเป็นตัวทุกข์โดยตัวของมันเอง ถ้าเห็นอยู่อย่างนี้เรียกว่า รู้อริยสัจแจ่มแจ้งแล้ว รู้ว่าขันธ์ห้าเป็นตัวทุกข์โดยตัวของมันเอง  ความอยากที่จะให้ขันธ์ห้าเป็นสุขจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว เพราะรู้ว่ามันเป็นตัวทุกข์ ทำอย่างไรมันก็ทุกข์ อย่างเรารู้ว่าไฟนี้เป็นของร้อน เราก็ไม่ต้องไปอยากให้มันเย็น อย่างไรมันก็ร้อน เราไม่โง่พอที่จะไปอยากรู้่ว่าไฟวันนี้จะเย็นหรือยัง ลองจับ จะไม่โง่ขนาดนั้น  คือจิตที่มันรู้ว่าขันธ์เป็นของร้อนแล้ว มันจะไ่ม่ไปหยิบฉวยขันธ์ขึ้นมาอีกแล้ว ไม่ไปหยิบฉวยจิต ไม่ไปหยิบฉวยขันธ์

สวนสันติธรรม
CD: 23
File: 501229B.mp3
Time: 0.10 – 12.11

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เราทำทุกอย่างเพื่อสนองอัตตาทั้งนั้น

mp3 (for download) : เราทำทุกอย่างเพื่อสนองอัตตาทั้งนั้น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทำไมต้องมาเน้นที่กายที่ใจตัวเอง เพราะเราภาวนานะเพื่อลดละอัตตาตัวตน อัตตาตัวตนมันครอบงำอยู่ มันก็เลยก่อเรื่อง สร้างความทุกข์ให้ตัวเอง สร้างความทุกข์ให้คนอื่นไปเรื่อย สนองอัตตาตัวตนทั้งนั้นเลย

อย่างเราจะด่าใครสักคนเนี่ยก็สนองอัตตาของเราเอง

เราจะชมใครสักคนนะ ส่วนใหญ่เลยสนองอัตตาตัวเอง แกล้งชม

จะกินข้าว จะทำอะไรนะ มันสนองอัตตาทั้งนั้นเลย จะใส่เสื้อผ้าต้องยี่ห้อนี้ นั่งรถต้องแพงๆ ถ้านั่งรถกระป๋องมานะ อายเขา ใครเขาเห็นแล้วอายเขา นี่นั่งรถด้วยหน้า ไม่ได้นั่งด้วยก้น นั่งด้วยอัตตา

เนี่ย ความที่ไปยึดถือว่ามันมีตัวเราขึ้นมา มีของเราขึ้นมานะ นำความทุกข์มาให้เยอะเลย

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ 31

520726

15min26-16min16

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 1 of 212