Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : อนัตตา กับ สักกายทิฏฐิ

อนัตตา กับ สักกายทิฏฐิ

เป้าหมายแรกๆ ที่นักภาวนานึกถึงกันย่อมหนีไม่พ้น

การละสักกายทิฏฐิ ซึ่งเป็นสังโยชน์เบื้องต้นหนึ่งในสาม

ที่หากใครละได้ขาดจริงๆ

(ละได้พร้อมกับสังโยชน์เบื้องต้นอีกสองอย่าง)

ก็ได้ชื่อว่าเป็น พระโสดาบัน นั่นเอง

.

มาดูกันว่า สักกายทิฏฐิ คืออะไร

สักกายทิฏฐิ คือความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน

คือความเห็นผิดว่าเป็นตัวเป็นตน

โดยมุ่งเน้นเฉพาะ ความเห็นผิดว่ามีตัวมีตนในขันธ์ 5

ความเห็นผิดว่าขันธ์ 5 เป็นตัวเป็นตน

หรือพูดง่ายๆ เป็นภาษาชาวบ้าน ก็คือ

เห็นผิดว่ามีตัวมีตนอยู่ในร่างกายจิตใจคนเรา

เห็นผิดว่าร่างกายจิตใจของคนเราเป็นตัวเป็นตน

.

งง… ไม่เป็นไร งงก็รู้ว่างงไปก่อน

แล้วค่อยๆ อ่านต่อไปสบายๆ

จะหายงงหรือไม่หายก็ช่างมัน

วันนี้ยังงง วันข้างหน้าคงจะหายงงได้เองแหละ

.

ความเป็นผิดว่ามีตัวมีตน เป็นตัวเป็นตน นั้น

เราชอบพูดกันว่า มีอัตตา เป็นอัตตา

ซึ่งโดยลักษณะของธรรมชาติตามที่เป็นจริงแล้ว

“อัตตา ไม่เคยมีอยู่จริงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

ลักษณะของธรรมชาติตามที่เป็นจริงนั้นมีแต่ “อนัตตา”

อัตตา กับ อนัตตา จึงเป็นเรื่องตรงข้ามกันอยู่สองข้าง

.

ข้างหนึ่ง (ข้างอัตตา) เป็นเพียงเรื่องเหลวไหลเท่านั้น

เป็นเรื่องที่คนเราเข้าใจผิดเห็นผิดๆไปกันเองว่า

มีตัวมีตนเป็นตัวเป็นตนอยู่ในร่างกายจิตใจนี้

หรือร่างกายจิตนี้แหละที่เป็นตัวเป็นตน

ซึ่งภาษาแขกเรียกว่า “อัตตานุทิฏฐิ”

หากแต่เรื่องเหลวไหลเรื่องที่เข้าใจผิดเห็นผิดนี้

กลับเอิบอาบซึมซาบอยู่กับจิตใจคนทั่วๆไป

จะมีก็แต่เพียงผู้ที่เป็น อริยบุคคล

คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ เท่านั้น

ซึ่งเป็นผู้ไม่มีความเห็นผิด ไม่มีความเข้าใจผิด

กับเรื่องเหลวไหลอันนี้อีกต่อไป

.

ส่วนอีกข้างหนึ่ง (อนัตตา)

เป็นข้างของเรื่องจริง เป็นข้างของลักษณะที่แท้จริง

แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก

เพราะถูกเรื่องข้างที่เป็นอัตตาปกปิดบิดบังไว้อย่างมิดชิด

การจะเรียนให้รู้ว่าข้างที่เป็นอัตตาจริงๆ นั้นไม่มี

ก็ต้องเรียนให้รู้ว่า ข้างที่เป็นอนัตตานั้นเป็นอย่างไรกันแน่

.

แล้วจะเรียนอย่างไรละ จึงจะเข้าใจว่า

สิ่งที่เป็นอัตตาจริงๆ นั้นไม่มีหรอก มีแต่สิ่งที่เป็นอนัตตา

ในฐานะและมีโอกาสที่ได้เป็นชาวพุทธ

เราก็ต้องเรียนจากพระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง

ฟังซิว่าพระพุทธเจ้าบอกว่า อนัตตาเป็นอย่างไร

แล้วจึงค่อยๆ ฝึกสติ ฝึกจิตให้มีความตั้งมั่น

เพื่อจะได้เห็นจริงตามที่พระพุทธเจ้าบอกเอาไว้

.

แต่น่าเสียดายนะที่ คนเราในยุคนี้เวลานี้

ไม่มีโอกาสได้ฟังเรื่องอนัตตาจากพระพุทธเจ้าองค์เป็นๆ แล้ว

คงเหลือแต่ร่องรอยคำบอกเล่าของพระอริยสงฆ์ที่บันทึกเอาไว้

ซึ่งก็ต้องหาอ่านเอาจาก “พระไตรปิฎก” บ้าง

หาอ่านหาฟังเอาบ้างจากครูบาอาจารย์

ผู้ที่ท่านแจ่มแจ้งแล้วเข้าใจแล้วและยังมีชีวิตอยู่

ซึ่งก็ยังพอเป็นหนทางช่วยทำให้เข้าใจได้ว่า

อนัตตา เป็นอย่างไรกันแน่

.

บันทึกเรื่องนี้ จึงเป็นเรื่องราวที่บันทึกไว้

จากที่ร่ำเรียนมา ได้ความว่า….

สิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นร่างกายจิตใจตัวเอง

หรือไม่ว่าจะเป็นของผู้อื่น ตลอดไปจนสรรพสัตว์ทั้งหลาย

จะมีลักษณะดังนี้

.

1. เป็นเพียงสิ่งที่ประกอบรวมกันของสิ่งอื่นๆ

คนหนึ่งคน สัตว์หนึ่งตัว ก็ล้วนประกอบมาจาก

ร่างกาย ส่วนหนึ่ง

กับจิตใจอีกส่วนหนึ่ง ที่ยังแยกย่อยออกเป็น

ความเจ็บปวด-สุขสบาย (ทุกข์-สุข)

ความจำ ความนึกคิด ความรับรู้ต่างๆ

จริงไม่จริงก็ย้อนกลับมาดูเอาเถอะ

ถ้าจับแยกย่อยส่วนประกอบต่างๆ ออกไปไว้คนละที่กัน

ที่เคยเป็นคนเป็นสัตว์ ก็จะไม่เห็นว่าเป็นคน ไม่เห็นว่าเป็นสัตว์อีก

คน สัตว์ จึงเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นจากส่วนประกอบต่างๆ เท่านั้น

หรืออย่างร่างกาย ก็แยกชื้นส่วนออกไปได้เป็น

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กระดูก เลือด ฯลฯ

และถ้าจะแยกอย่างละเอียดก็ได้เป็น

ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ แยกไปแล้วมีแต่ธาตุ

มีไหมคน มีไหมสัตว์ ไหนละคน ไหนละสัตว์

หรือจะแยกง่ายๆ จะคนหรือสัตว์

ก็มีแต่ร่างกายและจิตใจมาประกอบรวมกัน

ให้สมมุติเรียกเป็นคนเป็นสัตว์เท่านั้นเอง

.

2. เป็นเพียงปรากฏการณ์ของธรรมชาติที่

ไม่มีใครเป็นเจ้าของได้อย่างแท้จริง

ไม่มีใครจะครอบครองเอาไว้ได้อย่างแท้จริง

ดูออกหรือเปล่าละว่า

ร่างกายนี้ จิตใจนี้ ใครเป็นเจ้าของ

แล้วใครครอบครองเอาไว้ได้

แน่ใจเหรอว่าเราเป็นเจ้าของเราครอบครองเอาไว้ได้

อย่างมากก็แค่เหมือนว่าจะเป็นเจ้าของ

หรือแค่เหมือนว่าจะครอบครองไว้ได้

แต่ท้ายที่สุดร่างกายก็ต้องตาย ครอบครองรักษาเอาไว้ไม่ได้

ส่วนความเจ็บปวด-สุขสบาย (ทุกข์-สุข) ยิ่งเห็นได้เร็วกว่าอีกว่า

ไม่มีใครหรอกที่ครอบครองรักษาความสุขสบายไว้ได้ตลอดกาล

ความทรงจำ ความนึกคิด ความรับรู้ต่างๆ

ก็ไม่เห็นจะมีใครครอบครองรักษาเอาไว้ได้ตลอดกาลเช่นกัน

ทุกอย่างที่เกิดปรากฏขึ้นแล้วย่อมต้องเสื่อมดับลงไปเป็นธรรมดา

ไม่ยอมให้ใครมาครอบครองรักษาเอาไว้ได้เลย

จริงไม่จริงก็ดูเอาซิ

.

3. ไม่เคยมีใครจะบังคับบัญชาร่างกายจิตใจใครได้เลย

แม้แต่ที่เห็นว่าเป็นร่างกายจิตใจตัวเอง

ตัวเองก็ไม่เห็นจะบังคับบัญชาร่างกายจิตใจนี้ได้ตามต้องการเลย

ยามเจ็บป่วย จะให้หายก็ทำไม่ได้

ยามแก่ จะให้กลับมาหนุ่มสาวใหม่ก็ทำไม่ได้

ยามเศร้าโศกเสียใจ จะให้กลายเป็นสุขใจดีใจในฉับพลับก็ไม่ได้

เห็นหรือไม่ว่า

ร่างกายนี้ จิตใจนี้ จะเป็นอะไร จะเป็นอย่างไรก็ตาม

ไม่เคยเลยที่ใครจะทำให้เป็นอีกอย่างได้ดั่งใจจริงๆ

.

4. เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอื่นๆ

ต้องอิงอาศัยสิ่งอื่นให้เกิดขึ้น ให้ตั้งอยู่ก่อนที่จะต้องเสื่อมดับไป

ไม่ได้เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นไป ไม่ได้คงทนอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเองล้วนๆ

จะมีร่างกายขึ้นมา ก็ต้องอาศัยเหตุต้องอาศัยมีพ่อมีแม่ทำให้เกิดขึ้น

มีร่างกายขึ้นมาแล้ว ก็ต้องอาศัยอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่ หยูกยา

และอาศัยอะไรอีกตั้งมากมายจึงจะคงอยู่ได้สักช่วงเวลาหนึ่ง

จะมีความสุขก็ต้องอาศัยสิ่งภายนอกมาทำให้มีความสุข

จะเกิดความทุกข์ก็ต้องอาศัยสิ่งภายนอกมาให้เกิดความทุกข์

ถ้าไม่อาศัยสิ่งภายนอก ก็ยังต้องอาศัยร่างกายจิตใจตัวเองนี่แหละ

ไม่งั้นความสุข ความทุกข์ ความยินดี ความพึงพอใจ

หรือกระทั่งความโลภ โกรธ หลง จึงจะเกิดขึ้นมาให้รับรู้ได้

มีหรือร่างกายที่ไม่ต้องกินไม่ต้องอาศัยอะไรเลย

มีหรืออารมณ์ความรู้สึกต่างๆ

ที่จะเกิดขึ้นเองโดยไม่อาศัยเหตุปัจจัยทำให้เกิด

เพราะอย่างน้อยก็ต้องอาศัยร่างกายจิตใจตัวเองนี่แหละ

ทำให้เกิดหรือเป็นที่ที่ยอมให้อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เกิดขึ้นได้

.

นี่แหละคือลักษณะที่แท้จริงของร่างกายจิตใจสรรพสัตว์ต่างๆ

เป็นลักษณะที่เรียกว่า “อนัตตา” ซึ่งเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกับอัตตา

ถ้าเข้าใจได้ และเห็นได้จริง ยอมรับได้จริง

โดยไม่มีอะไรจะโต้แย้งแม้เพียงเศษเสี้ยวใดๆ ก็ตาม

จะทำให้ “สักกายทิฏฐิ” ที่เอิบอาบซึมซาบอยู่กับจิตใจ

จะทำให้ อะไรๆ ที่เป็นความเข้าใจผิดความเห็นผิดๆ

ว่ามีตัวมีตนอยู่ในร่างกายในจิตใจคนเรา

อะไรๆ ที่เป็นความเข้าใจผิดความเห็นผิดๆ

ว่าร่างกายจิตใจของคนเราเป็นตัวเป็นตน

จะถูกละออกไปจากจิตใจได้อย่างหมดสิ้น

ไม่กลับมาเข้าใจผิด ไม่กลับไปเห็นผิดได้อีกแล้ว

ความเห็น ความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆในใลก

ก็จะกลายเป็นความเห็นถูกมากยิ่งขึ้น

หนทางที่จะพ้นไปเสียจากกองทุกข์

ที่แต่เดิมมืดมัวเต็มที ก็จะปรากฏแจ่มชัดขึ้นมา

เมื่อเห็นทางแจ่มชัด ก็ย่อมเดินทางได้ถึงที่หมายอย่างแน่นอน.

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

นั่งสมาธิอย่างเดียว ล้างกิเลสไม่ได้

mp3 for download : นั่งสมาธิอย่างเดียว ล้างกิเลสไม่ได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

นั่งสมาธิอย่างเดียว ล้างกิเลสไม่ได้

นั่งสมาธิอย่างเดียว ล้างกิเลสไม่ได้

หลวงพ่อปราโมทย์ : เมื่อวานก็มีพระองค์หนึ่ง พระผู้ใหญ่มากเลย ท่านก็มาเล่าว่าท่านไปฝึกกรรมฐานมาแบบหนึ่ง ก็เพ่ง เพ่งอยู่ที่จุดหนึ่งนะ เพ่ง จิตก็รวมๆ รวมๆ ไปเรื่อย อาจารย์ก็สอนบอกว่า นี่นะรวมไปนะเดี๋ยวจะถึงสัญญาเวทนยิตนิโรธ นิโรธสมาบัติ ทะลุไปอีกนะ ทะลุขึ้นไปจะถึงเมืองพระนิพพาน ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้เลย นี่ ครูบาอาจารย์องค์นี้ท่านก็ศึกษามามากเหมือนกัน ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่เหมือนกัน ท่านมาถามหลวงพ่อว่า มันเป็นไปได้เหรอ นั่งสมาธิแล้วล้างกิเลสไปหมดเลยนี่

หลวงพ่อก็บอกว่า เป็นไปไม่ได้ ท่านอาจารย์ก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าต้องมาเจริญสติปัฏฐาน สติปัฏฐานเป็นทางสายเอกทางสายเดียว ต้องมาทำวิปัสสนากรรมฐาน ไม่ใช่มาทำสมาธิแล้วก็หลุดพ้นไป สมาธิไม่ได้ทำให้หลุดพ้นนะ สมาธิเป็นเครื่องมือนะ เป็นเครื่องมือเป็นตัวทำให้จิตมีพลัง

ทีนี้สมาธิมี ๒ แบบ สมาธิที่คนทั้งหลายฝึกกันนะเป็นสมาธิเพื่อจะสงบ สงบสบายนะแล้วเกิดนิมิตเห็นโน่นเห็นนี่ไป ก็นึกว่าเห็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา

สมาธิอีกชนิดหนึ่งก็คือ จิตที่ตั้งมั่นก็คือ จิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เนี่ยสมาธิชนิดนี้ต้องฝึก คนส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยหรอก คุ้นเคยแต่สมาธิสงบ ไม่คุ้นเคยสมาธิตั้งมั่น

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า

CD: ๓๙
File: 540226A
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๓๐ ถึงนาทีที่ ๑๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News : ขอเชิญฟัง อ.กำพล ทองบุญนุ่ม บรรยายธรรม ณ บ้านจิตสบาย พุทธมณฑลสาย 2 ในวันที่ 4 ก.ย. 54 นี้

ขอเชิญท่านผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังการบรรยายธรรมโดย

อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม (แนวเจริญสติ สายหลวงพ่อเทียน)

ในวันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน 2554 เวลา 10.00-11.30 น.

ณ บ้านจิตสบาย พุทธมณฑลสาย 2

รถประจำทางที่ผ่าน สาย 157, 123, ปอ.พ.79

สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ 02-448-3392 เวลาทำการ 9.00 – 18.00 น. หยุดวันพุธ

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง, การเดินทางและแผนที่  >>

Dhammada News : แนะนำบ้านจิตสบาย แหล่งเรียนรู้และภาวนาโดยการเจริญสติ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : : การละสักกายทิฏฐิ

การละสักกายทิฏฐิ

ถ้าจะละสักกายทิฏฐื ต้องเจริญสติ เจริญปัญญา

ด้วยการรู้สภาวธรรมที่กำลังปรากฏด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง … ไม่ใช่ด้วยการคิดๆ เอาว่า ไม่มีเรา ไม่มีตัวไม่มีตน

แล้วก็ไม่ใช่ว่าต้องไม่คิดเพื่อจะได้ไม่ต้องมีเรา แต่คิดแล้วให้รู้ทันจิตที่คิด … และหากเห็นว่ามีความเป็นตัวตน มีความเป็นเราเขาปรากฏขึ้น

ก็ให้มีสติมีความตั้งมั่นรู้ไปตามที่เห็น ก็จะพบว่า ความรู้สึกว่าเป็นเราเขา เป็นตัวเป็นตน

ก็เกิดดับไปเช่นกัน ไม่มีเราไม่มีเขาไม่ตัวตนครั้งใดเลย ที่เกิดแล้วไม่ดับ … ดูเห็นอย่างนี้ก็จะเกิดปัญญาละสักกายทิฏฐิออกไปได้ ^_^

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สมาธิ ๒ ชนิด

mp3 for download : สมาธิ ๒ ชนิด

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สมาธิ ๒ ชนิด

สมาธิ ๒ ชนิด

หลวงพ่อปราโมทย์ : คนส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยน่ะ คุ้นเคยแต่สมาธิสงบ ไม่คุ้นเคยสมาธิตั้งมั่น สมาธิสงบนะ ฝึกจิตน้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่สบายอยู่อย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างพุทโธแล้วสบายก็อยู่กับพุทโธ จิตก็สงบไม่หนีไปที่อื่น จิตอยู่กับพุทโธนี่ได้สมถะ เป็นสมาธิชนิดที่หนึ่ง เป็นสมถกรรมฐาน เอาไว้นอนพักผ่อนนะให้จิตใจสดชื่นมีเรี่ยวมีแรง

สมาธิชนิดที่สองคือความตั้งมั่น เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ศัตรูของความตั้งมั่นก็คือ การหลงไปคิดนี่แหละ ให้เรารู้ทันนะจิตที่ไม่ตั้งมั่น คือจิตที่หลงไปคิด มันไม่ตั้งมั่น มันไหลไป พอเรารู้จิตไหลไปปุ๊บ มันจะตั้งขึ้นมาเอง รู้ว่าจิตไหลไปก็จะตั้งขึ้นมาเอง ไม่ต้องไปดึงไว้ ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่ารู้ทันว่าจิตหลงไปแล้ว จิตไหลไปแล้ว จิตหนีไปคิดแล้ว ไม่ต้องทำอะไรมากกว่านั้น ทันทีที่รู้ว่าจิตคิดนะ จิตรู้จะเกิดขึ้น เพราะจิตรู้กับจิตคิดนั้นเป็นสิ่งตรงข้ามกัน เพราะฉะนั้นพวกเราฝึกเรื่อยๆนะจิตหนีไปคิดแล้วรู้ จิตหนีไปคิดแล้วรู้

แต่ธรรมชาติของจิตเราหนีไปคิดมาตั้งแต่เกิด คิดตลอดปีตลอดชาติกี่ปีกี่ชาติก็ช่างคิด คิดทั้งวันคิดทั้งคืน คิดกลางคืนเรียกว่าฝัน (หมายถึงคิดตอนหลับ – ผู้ถอด) คิดกลางวันก็เรียกว่าคิด ความจริงฝันอยู่ กลางวันเรียกว่าคิด คิดกลางคืนเรียกว่าฝัน มันเป็นอย่างนี้มันเคยชิน

เพราะฉะนั้นเวลาฝัน เวลาหลงไป เวลาคิดไป คิดนาน เพราะจิตเคยชินที่จะหลง เราต้องช่วยมันนิดหนึ่ง หากรรมฐานมาสักอันหนึ่ง มาเป็นเครื่องอยู่ของจิต ใครถนัดพุทโธ แต่เดิมพุทโธให้สงบ เปลี่ยนใหม่ มาพุทโธแล้วรู้ทันจิตที่หนีไปคิด ใครถนัดรู้ลมหายใจ เคยรู้ลมหายใจแล้วจิตไปแนบอยู่กับลมหายใจ สงบนะ ก็ปรับนิดหนึ่ง หายใจไปนะ แล้วจิตหนีไปคิดแล้วคอยรู้ ฝึกอย่างนี้แทน ใครเคยดูท้องพองยุบแล้วจิตสงบนะ เรามาพัฒนาขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ดูท้องพองยุบไป จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน ทำกรรมฐานขึ้นมาสักอันหนึ่ง เอาอันที่เราเคยชินนั่นแหละ แต่ไม่ได้ทำเพื่อสงบแล้ว ต่อไปนี้ ทำเพื่อให้ตั้งมั่น ยกเว้นเวลาที่จิตใจฟุ้งซ่านนะ ก็ทำกรรมฐานเพื่อให้สงบ แต่พอสงบแล้วก็มาทำกรรมฐานอันเดิมนั้นแหละ แต่ทำเพื่อให้จิตตั้งมั่น วิธีทำให้จิตตั้งมั่นคือรู้ทันจิตที่ไหลไปคิด จิตรู้กับจิตคิดมันตรงข้ามกัน

เพราะฉะนั้นพุทโธไปจิตหนีไปคิดรู้ทัน หายใจไปจิตหนีไปคิดรู้ทัน ดูท้องพองยุบไปจิตหนีไปคิดรู้ทัน ขยับมือทำจังหวะจิตหนีไปคิดรู้ทัน เดินจงกรมยกเท้าย่างเท้าจิตหนีไปคิดรู้ทัน นี่รู้อย่างนี้บ่อยๆ แถมให้อีกอันหนึ่ง ถ้าจิตไปเพ่งก็ให้รู้ด้วย จิตเพ่งก็จิตส่งออกนอกเหมือนกัน จิตเคลื่อนไป

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า

CD: ๓๙
File: 540226A
ระหว่างนาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๕๕ ถึง นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๕๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : มือใหม่หัดรู้สึกตัว

มือใหม่หัดรู้สึกตัว

วิธีการหัดง่าย ๆ ก็ให้เอาอะไรสักอย่างเป็นที่ระลึกรู้อยู่สบาย ๆ
เช่น เอากายที่เดินเป็นสิ่งที่ให้จิตระลึกรู้ไปสบาย ๆ อย่าบังคับ อย่าเพ่งจ้อง
อนุญาตให้จิตคิดได้ อนุญาตให้จิตหลงไปอยู่กับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่กายเดินได้
ซึ่งถ้าจิตเกิดไปคิดหรือหลงไป ก็จะลืมที่จะรู้ว่ามีร่างกายกำลังเดิน
พอจิตหลงไปสักพัก ก็จะนึกได้เองว่า เมื่อกี้หลงลืมกายที่เดินไป
พอรู้ว่าหลงลืมกายที่เดินไป ก็จะกลับมารู้กายที่เดิน (รู้สึกตัว) ได้ใหม่
หัดสังเกตให้เห็นว่า เมื่อกี้หลงลืมกายดินไปเรื่อย ๆ เท่านั้นเองครับ

ส่วนในกิจกรรมอื่น ๆ ก็ใช้หลักการเดียวกัน
เช่น ถ้ากำลังฟังซีดีหลวงพ่อปราโมทย์
ก็ใช้การได้ยินเสียงเป็นตัวระลึกรู้ไปสบาย ๆ (ฟังไปสบาย ๆ)
ไม่ต้องตั้งใจฟังให้รู้เรื่อง อนุญาตให้ฟังไปคิดไปได้
พอจิตคิด ก็จะไม่ได้ยินเสียงหลวงพ่อ (ขณะคิดจะลืมฟัง)
คิดไปแล้วเดี๋ยวก็จะนึกได้เองว่า ลืมฟังไป
ก็จะเกิดรู้สึกตัวแล้วกลับมาได้ยินเสียงหลวงพ่ออีกครั้ง

ลองหัดแบบนี้ดูก่อนนะครับ
หัดไปสบาย ๆ ไม่ต้องตั้งใจมาก ค่อย ๆ หัดไป
ถ้าเกิดเพ่งไป เกิดเครียดไป ก็หยุดพักก่อน แล้วค่อย ๆ หัดนะครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

นาทีทองของสังสารวัฏ

mp 3 (for download) : นาทีทองของสังสารวัฏ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

นาทีทองของสังสารวัฏ

นาทีทองของสังสารวัฏ

หลวงพ่อปราโมทย์นาทีทองของสังสารวัฏฏ์ก็คือขณะนี้แหละ ขณะที่เราได้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ได้ฟังธรรม ในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนานนี่นะ โอกาสที่จะได้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และได้ฟังธรรมนี้ยากที่สุดเลย ยากมากนะ วันเวลาที่มีพระพุทธเจ้า มีศาสนาพุทธนี้สั้นมาก ยกตัวอย่างสมัยบางพระพุทธเจ้านะ พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู พอท่านปรินิพพานแล้วสาวกรุ่นที่สอนไว้หมดแล้วนี่ ไม่มีการสืบต่อศาสนา ขาดช่วงไปเลย อยู่ได้ ๑ เจนเนอเรชั่นเท่านั้น แต่เจนเนอเรชั่นของท่านหลายหมื่นปี เจนเนอเรชั่นของเรายุคนี้ เจนเนอรเชั่นหนึ่งจริงๆ ๓๐ ปีนะ ชั่วช่วงคนน่ะ แต่ว่าอายุคนประมาณ ๗๕ ปี

พระพุทธเจ้าของเราสอนจนถึงป่านนี้ ๒๕๐๐ กว่าปี หลายช่วงคนแล้ว ถือว่าเป็นศาสนาที่ตั้งอยู่นาน อย่าไปนึกว่า ๒๕๐๐ ปี สั้นนะ เทียบกับอายุแล้วนี่ ผ่านคนมาได้หลายรุ่น ถือว่าอายุยืนนะ อายุยืนนาน ทำไมศาสนาของท่านตั้งอยู่ได้นาน เพราะท่านบัญญัติพระธรรมวินัยไว้ มีคำสอนต่างๆมากมาย พระพุทธเจ้าบางองค์ พระวิปัสสนี พระสิขี พระเวสสภู ท่านสอนนิดหน่อยเท่าที่จำเป็น ไม่ได้บัญญัติอะไรไว้เยอะ เพราะท่านขวนขวายน้อย ที่ขวนขวายน้อยเพราะอะไร เพราะท่านคงพิจารณาแล้วว่าเอาไปหมดแล้ว ที่เหลืออยู่นี้เป็นเศษเดนแล้ว เอาไปไม่ได้ ฝากไว้คนรุ่นต่อไป

ค่อยๆเรียนนะ โอกาสที่จะได้เรียนธรรมะมีไม่มากนะ มีน้อย คอยรู้สึก รู้สึกอยู่ในกาย รู้สึกอยู่ในใจ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ก่อนฉันเช้า


CD: ธรรมเทศนา ๔ วันในสวนสันติธรรม
Track: ๕
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓๐ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๔๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : หลักในการรู้ด้วยจิตที่เป็นกลาง

หลักในการรู้ด้วยจิตที่เป็นกลาง

หมายถึงเมื่อเห็นสภาวะใด ๆ แล้ว ก็ให้รู้ไปเฉย ๆ แบบแค่รู้แท่านั้น
ซึ่งถ้ารู้เฉย ๆ ได้ แค่รู้ได้ จิตจะเป็นกลาง ไม่ยินดี-ไม่ยินร้ายต่อสภาวะที่เห็นอยู่
แต่ส่วนมากแล้ว ก็จะยังรู้ด้วยจิตที่เป็นกลางไม่ได้
พอเห็นสภาวะแล้วจิตก็จะเกิดยินดี-ยินร้ายขึ้นเอง
ถ้าเกิดยินดี-ยินร้ายขึ้น ก็ไม่ต้องจงใจจะทำให้เป็นกลาง
ให้หัดรู้จิตที่ยินดี-ยินร้าย ต่อไปเลย แล้วจิตจะพัฒนาไปสู่ความเป็นกลางได้เองครับ


เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News : สิ่งที่กระทำได้ก็คือ ให้อโหสิกรรมกับทุกคน

รายงานพิเศษ ในหนังสือพิมพ์ เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1004 ประจำวันที่ 26 สิงหาคม 2554

“สิ่งที่กระทำได้ก็คือ ให้อโหสิกรรมกับทุกคน” พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช

สิ่งที่กระทำได้ก็คือ ให้อโหสิกรรมกับทุกคน

สิ่งที่กระทำได้ก็คือ ให้อโหสิกรรมกับทุกคน

ภาพเอื้อเฟื้อจาก http://dhammayom.com

ผ่านไปเกือบปี หลังจากที่ พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช เจ้าอาวาสสำนักปฏิบัติธรรม สวนสันติธรรม จังหวัดชลบุรี ที่ถูกกล่าวหาจากคนกลุ่มหนึ่งที่เคยเป็นทั้งศิษย์ใกล้ชิดและกัลยาณมิตรร่วมทางพ้นทุกข์ในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน เรื่องผู้หญิง (อดีตภรรยาที่ออกบวช และอยู่ในสำนักเดียวกัน) ที่ดินของสวนสันติธรรม รวมไปถึงการบิดเบือนคำสอน ว่าไม่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย ผ่านการกระจายข่าวทางอินเทอร์เน็ต จนกลายเป็นข่าวใหญ่ กระทั่งได้มีการเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาตรวจสอบ ผลก็คือ ไม่พบสิ่งใดที่ขัดต่อพระธรรมวินัยและกฎหมายเลยสักอย่างเดียว ดังที่สวนสันติธรรมได้ชี้แจงไว้บนเวบไซต์ ‘วิมุตติ’ (ในล้อมกรอบ)

ล่าสุด ‘เนชั่นสุดสัปดาห์’ ได้สอบถามไปยังลูกศิษย์พระปราโมทย์ ที่ช่วยงานอาสาในสวนสันติธรรม เกี่ยวกับคดีดังกล่าว ได้ความว่า เรื่องเกี่ยวกับการสอบสวนทั้งหมดจบลงเรียบร้อย ไม่มีอะไรแล้ว ทางหลวงพ่อและสวนสันติธรรมไม่ต้องการเป็นข่าวอีก เพราะทุกวันนี้พระศาสนาบอบช้ำเหลือเกิน ท่านไม่ได้ต้องการกอบกู้ชื่อเสียงใดๆ แค่ต้องการทำงานเผยแพร่พระศาสนาเพื่อรับใช้พระศาสดาไปอย่างต่อเนื่องเท่านั้น

ช่วงที่เป็นข่าว พระปราโมทย์งดรับกิจนิมนต์ไปแสดงธรรมนอกสวนสันติธรรมเกือบหมด กระทั่งเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ท่านจึงเริ่มรับกิจนิมนต์อีกครั้ง แต่สำหรับที่สวนสันติธรรมยังคงเนืองแน่นไปด้วยสาธุชนที่หลั่งไหลกันไปฟังธรรมกันทุกวันเสาร์-อาทิตย์ตลอดปีที่ผ่านมา ไม่ว่าช่วงไหน พร้อมทั้งคอร์สปฏิบัติธรรมในสวนสันติธรรมตามวันเวลาที่กำหนดก็ยังคงมีประชาชนไปสมัครเข้าอบรมกันอย่างไม่ขาดสายจนถึงอีก 5 ปีข้างหน้า โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

แม้หลังจากผลการตรวจสอบของดีเอสไอและสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ออกมาแล้วว่าไม่มีอะไร แต่การตรวจสอบโดยพุทธบริษัทสี่กันเองยังคงดำเนินต่อไปไม่เพียงแต่สำนักนี้เท่านั้น หากใจเป็นกลางผู้ที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธ หรือผู้ปกป้องพระพุทธศาสนาจริงๆก็ต้องตรวจสอบตนเองว่ากำลังใช้พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์ส่วนตนหรือไม่ และก็ต้องช่วยกันตรวจสอบกาฝากในพระพุทธศาสนาที่แฝงมาในรูปของพุทธพาณิชย์แบบเนียนๆมากมายที่ปรากฎในสังคมไทยที่กำลังตกหลุมวัตถุนิยมกันเต็มตัวด้วยเช่นกัน

เมื่อยามบ่ายวันที่ 16 สิงหาคม 2554 ที่ผ่านมา พระปราโมทย์ ได้ไปแสดงธรรมที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในโครงการ “ฟังธรรมอบรมจิตนำสุขสู่ชีวิตและสังคม” เนื่องในโอกาสเข้าพรรษา เรื่อง “ธรรมะสำหรับประชาชนผู้ใช้กฏหมาย” ซึ่งมีนิสิต นักศึกษา ประชาชนมาฟังกันเต็มห้องประชุม

เนื้อหาการแสดงธรรมไม่ไกลออกไปจากายยาววาหนาคืบนี้ ที่จะนำสันติสุขภายในใจส่วนบุคคลมาให้ ท่านกล่าวว่า จริงๆแล้วธรรมะนั้นจำเป็นสำหรับประชาชนทุกคน ไม่เฉพาะเจาะจงกับผู้ที่ใช้กฎหมายเท่านั้น เพราะสันติภาพส่วนบุคคลที่มาจากการศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เองที่จะทำให้เกิดสันติภาพส่วนรวมในสังคมตามมา โดยมีกฎหมายเป็นเครื่องป้องกันการกระทำผิดภายนอก ส่วนธรรมะที่เริ่มต้นตั้งแต่ศีล สมาธิ และปัญญา จะเป็นเกราะคุ้มครองภายใน ป้องกันการกระทำผิดจากกาย วาจา ใจ ไม่ให้เบียดเบียนตนเอง และเบียดเบียนผู้อื่น โดยมีสติเป็นบาทฐานในการฝึกให้รู้ทันกิเลสทั้งหลาย และไม่ทำตามใจกิเลสเหล่านั้น

“มุมมองของหลวงพ่อ บ้านเมืองไม่มีกฎหมายอยู่ไม่ได้ วุ่นวายหมด หรือมีกฎหมายแต่คนไม่ทำตามก็วุ่นวายมาก กฎหมายเป็นสิ่งที่ควบคุมพฤติกรรมจากภายนอก ทุกประเทศมีกฎหมาย แต่ก็ยังมีความวุ่นวาย เพราะปัญหาใหญ่อยู่ที่ว่า คนแต่ละคนไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้”

พระปราโมทย์ ซึ่งเรียนจบปริญญาตรีและโทจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวและบรรยาวต่อมาว่า ธรรมะ เป็นการควบคุมคนจากด้านใน กฎหมายคุมจากข้างนอกมาข้างใน ถ้ามีธรรมะ ไม่มีกฎหมายคนอยู่กันได้ แต่ถ้าไม่มีกฎหมายคนอยู่กันไม่ได้เพราะไม่มีธรรมะ กฏหมายกับธรรมะจึงไปด้วยกัน

“เพราะลึกลงไปของมนุษย์คือความเห็นแก่ตัว คนเราเห็นแก่ตัวซะอย่างเดียว กฎหมายให้วิเศษอย่างไรก็ควบคุมไม่ได้ เราจึงต้องอาศัยธรรมะเป็นตัวควบคุม ศาสนาพุทธให้ความเคารพสูงสุดต่อความเป็นมนุษย์ เพราะถือว่ามนุษย์แต่ละคนสามารถพัฒนาได้ และให้อิสระด้วยในการศึกษาที่จะพัฒนาไปสู่ทางที่ดี หลักการของศาสนาพุทธบอกความจริงว่า ทำอย่างนี้จะมีผลอย่างนี้”

ท่านอธิบายว่า ยิ่งคนทำงานด้านกฎหมาย ยิ่งต้องมีธรรมะ ถ้าผู้พิพากษามีธรรมะในใจไม่เห็นแก่ตัว ก็ตัดสินด้วยความยุติธรรม

“ในสมัยพุทธกาล เกิดศาสนาพุทธใหม่ๆ ตอนนั้นไม่มีพระวินัย มีแต่ธรรมะ ก็อยู่กันได้ พอต่อมามีพระมากขึ้น มีผู้ทำผิดก็ต้องมีวินัยขึ้นมาป้องกันผู้ที่กระทำผิด เพราะฉะนั้นถ้ามีธรรมะในใจไม่ต้องกฎหมาย แต่ถ้าไม่มีธรรมะต้องมีกฎหมาย ส่วนคนที่มีกฎหมายในมือถ้ามีธรรมะก็ทำให้เกิดความยุติธรรม ถ้าใจไม่มีธรรมก็จะเกิดความลำเอียง แต่ถ้าใจมีธรรมะก็จะตัดสินด้วยความยุติธรรม ทั้งกฎหมายและธรรมะจึงเกื้อกูลกัน เพราะกฎหมายมุ่งสันติสุขในสังคม ธรรมะมุ่งสันติส่วนบุคคล เมื่อปฏิบัติไปความสงบมีมากขึ้นไปจนถึงนิพพาน ก็หมดสิ้นกิเลส เมื่อหมดสิ้นกิเลสส่วนตนก็เกื้อกูลคนทางโลกให้เห็นทุกข์จากความเห็นแก่ตัวได้ ทั้งสองอย่างจึงไปด้วยกัน ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่แค่ปรัชญา แต่เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ สามารถอธิบายได้ว่าทำไมความทุกข์ทางใจเราจึงเกิดขึ้น อธิบายได้ละเอียดยิบเลย เรื่องอย่างนี้กฎหมายตอบไม่ได้ แต่ธรรมะมีคำตอบ

ท่านอธิบายว่า การศึกษาธรรมะเริ่มต้นที่การฝึกสติ พูดง่าย แต่ทำยาก คนในโลกมีสติแบบโลกๆ อ่านหนังสือรู้เรื่องก็บอกว่ามีสติ เดินไม่ตกท่อก็บอกว่ามีสติ นั่นคือสติโลกๆ ยังไม่พอที่จะสู้กับกิเลสที่อยู่ภายในใจเรา สติสำคัญมากก็คือ สติที่จะมารู้กายรู้ใจตัวเอง ถ้าไม่เรียนรู้ตัวเองจะเห็นแก่ตัว ถ้าเรียนรู้ตัวเองจะลดละความเห็นแก่ตัวลงได้ ตามลำดับ

“สติที่มารู้กายรู้ใจตัวเอง คือหายใจเข้า รู้ หายใจออก รู้ ร่างกายนั่ง รู้ ร่างกายยืน รู้ คือฝึกไม่ให้ใจลอย ฝึกให้รู้สึกตัว คนขาดสติจะใจลอย นี่คือการปฏิบัติธรรมขั้นแรกเลย คือพยายามรู้สึกตัวบ่อยๆ เมื่อไรขาดสติดูกาย เมื่อใดขาดสติกลับมาดูจิต เมื่อมีสติก็มีโอกาสเกิดสมาธิ เกิดปัญญา ถ้ามีสติ สมาธิ ปัญญาบริบูรณ์ จิตใจจะเข้าสู่ความสงบสันติ มีความอิ่มเอิบอยู่ภายใน กลางวันก็สุข กลางคืนก็สุข ไม่ใช่กลางวันเครียด กลางคืนสุข เหมือนคนเราทุกวันนี้”

วิธีการฝึกการรู้สึกตัว ท่านสอนง่ายๆว่าให้รู้สึกตัวสบายๆ

“เราเป็นเพียงผู้ดู หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ สังเกตดู เวลาโกรธขึ้นมา แทนที่เราจะสนใจว่าใครทำให้เราโกรธ แต่ความรู้สึกตัวทำให้เราเห็นความโกรธ แต่ไม่ไปสนใจคนที่ทำให้เราโกรธ เรื่องก็จบลงได้ การที่เรามาเจริญวิปัสสนาจนกระทั่งเราเห็นความจริงว่าทุกอย่างมาแล้วก็ไป บังคับมันไม่ได้หรอก สิ่งทั้งหลายถ้ามีเหตุมันก็เกิด ถ้าหมดเหตุมันก็ดับไป เมื่อใจมันยอมรับตรงนี้ได้ มันจะมีความสุขขึ้นเยอะเลย เพราะมันยอมรับสภาวะที่กำลังปรากฎต่อหน้าต่อได้แล้ว”

เช่นเดียวกับเรื่องทั้งหลายที่ผ่านมา ท่านก็ยอมรับว่าเป็นวิบากที่ต้องพบ ไม่หนีไปไหน สุดท้ายวิบากนั้นก็จะผ่านไปเช่นเดียวกับทุกเรื่อง ดังนั้นท่นได้ชี้แจงไว้ในประกาศจากสวนสันติธรรมตอนหนึ่งว่า… ตลอดเวลาที่ผ่านมากว่า 2 ปี หลวงพ่อถูกใส่ร้ายโจมตีอยู่ตลอดเวลาด้วยเรื่องที่ขาดเหตุผลทั้งด้านข้อเท็จจริง พระธรรมวินัย และกฎหมาย

“การที่หลวงพ่อสงบนิ่ง (ทั้งที่นักกฎหมายแนะนำว่าสามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้) และทนรับการดูหมิ่นเหยียดหยามจากสังคมมาโดยตลอดหลายปีนั้น ไม่ใช่เพราะไม่สามารถอธิบายความจริงได้ เพราะทุกเรื่องสามารถอธิบายปัญหาและที่มาได้ทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะหลวงพ่อไม่ต้องการสร้างความร้าวฉานในวงการของชาวพุทธและไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องที่อาจสร้างความเสียหายให้ผู้อื่น แม้ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่เคลื่อนไหวโจมตีหลวงพ่อปราโมทย์อย่างรุนแรงเพียงใดก็ตาม สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์กระทำให้บุคคลเหล่านี้ก็คือ การให้อโหสิกรรมกับทุกคนเท่านั้น”

ประกาศสวนสันติธรรม
เรื่องบัญชีเงินฝากของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
และอุบาสิกาอรนุช สันตยากร
วันที่ 15 ตุลาคม 2553

ตามที่มีสื่อมวลชนบางสำนักเสนอข่าวว่า เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตรวจพบบัญชีเงินฝากของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช และอุบาสิกาอรนุช สันตยากร เพิ่มเติมอีก 15 บัญชีซึ่งเป็นบัญชีที่มีการปกปิดไว้และไม่ได้มีการชี้แจงก่อนหน้านั้น
สวนสันติธรรมขอให้ข้อเท็จจริงดังนี้

1. การร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษมีขึ้น 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเป็นเรื่องบัญชีของสวนสันติธรรมและการถือครองที่ดิน (ไม่มีการร้องเรียนเรื่องบัญชีส่วนตัว) สวนสันติธรรมได้ส่งมอบบัญชีของสวนสันติธรรมทั้งหมดต่อเจ้าพนักงาน และการที่ทนายความซึ่งเป็นผู้แทนของสวนสันติธรรมได้ยืนยันว่า ได้แสดงบัญชีเงินฝากทั้งหมดของสวนสันติธรรมต่อส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแล้ว เป็นการกล่าวที่ตรงต่อข้อเท็จจริง เพราะได้แสดงบัญชีทั้งหมดของสวนสันติธรรมแล้วจริง ต่อมาภายหลังจึงมีการร้องเรียนเพิ่มเติมในเรื่องบัญชีส่วนตัว ซึ่งเป็นเรื่องต่างกรรมต่างวาระกัน และสวนสันติธรรมก็ให้ความร่วมมือในการส่งมอบข้อมูลให้กับเจ้าพนักงานด้วยความยินดี เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2553 และไม่ใช่เรื่องที่กรมสอบสวนคดีพิเศษมาตรวจพบบัญชีที่ปกปิดอยู่แต่อย่างใด

2. สวนสันติธรรมไม่เคยปกปิดเรื่องที่มีบัญชีเงินฝากของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช และอุบาสิกาอรนุช สันตยากร และได้แสดงความพร้อมที่จะเปิดเผยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตรวจสอบได้เสมอ ตามประกาศสวนสันติธรรม เรื่องการกล่าวหาว่าหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ยักยอกปัจจัยบูชาธรรมจากบัญชีของสวนสันติธรรม ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2553 และก่อนหน้านั้นหลวงพ่อปราโมทย์ก็เคยกล่าวต่ออดีตกรรมการสวนสันติธรรมและสาธุชนที่เข้าไปฟังธรรมอยู่เสมอว่า หลวงพ่อมีปัจจัยที่ญาติโยมถวายเป็นการส่วนตัวอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งอาจนำไปสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมในอนาคต หรือเพื่อใช้สร้างเจดีย์และพิพิธภัณฑ์ในสวนสันติธรรม (ในขณะนั้นยังไม่มีแนวความคิดที่จะตั้งสวนสันติธรรมให้เป็นวัด) และเพื่อสร้างอุโบสถและเจดีย์ (เมื่อมีแนวความคิดที่จะตั้งวัดแล้วตั้งแต่มกราคม 2553) เรื่องที่หลวงพ่อปราโมทย์มีปัจจัยส่วนตัวเก็บไว้นี้ กระทั่งอดีตกรรมการที่ลาออกไปก็ทราบเรื่อง (ต่อมามีการบิดเบือนประเด็นเป็นเรื่องที่ว่า หลวงพ่อปราโมทย์เก็บปัจจัยไว้เพื่อจะลาสิกขาออกไปครองเรือนในอนาคต)

3. การออกข่าวว่าหลวงพ่อปราโมทย์มีบัญชีลับถึง 15 บัญชีนั้น เป็นการนำเสนอข่าวที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง และกลายเป็นประเด็นที่ถูกนำมาใช้กล่าวหาทำลายชื่อเสียงของหลวงพ่อปราโมทย์ เช่นเดียวกับการกล่าวหาในกรณีอื่นๆ นั่นเอง แท้จริงบัญชีปัจจัยของหลวงพ่อปราโมทย์ มีเพียง 4 บัญชี (เป็นชื่อของอุบาสิกาอรนุช 3 บัญชี และชื่อของหลวงพ่อปราโมทย์ 1 บัญชี) คือ
3.1 บัญชีออมทรัพย์ธนาคารกสิกรไทย สาขาศรีราชา หมายเลขบัญชี 172-2-15196-6 จำนวนเงินประมาณ 4 แสนบาท บัญชีนี้เป็นบัญชีที่ใช้เก็บปัจจัยเพื่อใช้เป็นเงินรายจ่ายฉุกเฉินของหลวงพ่อปราโมทย์ หรือของสวนสันติธรรม (หากจะมีขึ้น) แต่หากยังไม่มีการใช้จ่ายในช่วงนั้น ก็จะมีการตัดเงินฝากจากบัญชีนี้เข้าบัญชีเงินฝากประจำต่อไป
3.2 บัญชีออมทรัพย์ธนาคารกสิกรไทย สาขาศรีราชา หมายเลขบัญชี 172-2-28565-2 ในชื่อของหลวงพ่อปราโมทย์เอง จำนวนเงินประมาณ 3.6 แสนบาท ทั้งนี้จำเป็นต้องใช้ชื่อหลวงพ่อปราโมทย์ เพื่อรับเงินบริจาคในรูปของเช็คขีดคร่อม ซึ่งสั่งจ่ายในนามของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโชโดยตรง
3.3 บัญชีฝากประจำ 3 เดือน ธนาคารกสิกรไทย สาขาศรีราชา มีบัญชีเดียวแต่มียอดฝาก 2 ครั้ง จึงมี 2 หมายเลข ได้แก่ 172-3-008866-2/12 และ 172-3-008866-2/14 จำนวนเงินรวมกันประมาณ 5.5 ล้านบาท
3.4 บัญชีฝากประจำ 12 เดือน ธนาคารออมสิน สาขาศรีราชา หมายเลขบัญชี 03-2102-34-006947-4 จำนวนเงินประมาณ 2 แสนบาท

4. นอกเหนือจากบัญชีเงินฝากเหล่านี้แล้ว ยังมีสลากออมสินจำนวน 9 ล้านบาท และพันธบัตรรัฐบาลจำนวน 17 ล้านบาท เหตุที่มีการซื้อสลากออมสินและพันธบัตรรัฐบาล ก็เพื่อกระจายความเสี่ยงของเงินฝาก ซึ่งหลวงพ่อปราโมทย์ถือว่าเป็นเงินที่ต้องดูแลรักษา เพื่อใช้ทำประโยชน์ของพระศาสนาในอนาคตให้สมค่าที่สาธุชนทั้งหลายได้ถวายมา ปัจจัยเหล่านี้หลวงพ่อปราโมทย์จะนำไปใช้ส่วนตัวก็ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วท่านนำไปใช้น้อยมาก เพราะหลวงพ่อปราโมทย์ท่านดำรงชีวิตด้วยความเรียบง่ายมาโดยตลอด

5. ปัจจัยทั้งของสวนสันติธรรมและของหลวงพ่อปราโมทย์มีที่มา และแยกกันชัดเจนระหว่างเงินบริจาคของสวนสันติธรรมและของหลวงพ่อปราโมทย์ ทั้งนี้เงินบริจาคทั้งหมดที่อยู่ในบัญชีเงินฝาก สลากออมสิน และพันธบัตรรัฐบาลนั้น เป็นเงินบริจาคที่มีการถวายหลวงพ่อปราโมทย์โดยตรง ซึ่งมีที่มา 3 ช่องทางดังนี้
5.1 จากตู้รับบริจาค ถวายหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ซึ่งตู้แยกกันชัดเจนจากตู้รับบริจาคของสวนสันติธรรม
5.2 จากปัจจัยถวายกัณฑ์เทศน์หลวงพ่อปราโมทย์ เมื่อไปแสดงธรรมในสถานที่ต่าง ๆ
5.3 จากผู้มีจิตศรัทธาที่ถวายหลวงพ่อปราโมทย์โดยตรง
(กรณีนี้ก็มีความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง ว่าเงินดังกล่าวเป็นของวัด ไม่ใช่ของพระภิกษุ เพื่อหาเรื่องกล่าวร้ายต่อหลวงพ่อปราโมทย์อีกเช่นกัน)

6. ยอดเงินของสวนสันติธรรมและของหลวงพ่อปราโมทย์ แม้จะดูว่ามีมากในความรู้สึกของบุคคลทั่วไป แต่ในความเป็นจริงแล้วยังจัดว่าไม่มาก เมื่อพิจารณาในประเด็นต่อไปนี้
6.1 โครงการใช้จ่ายที่มีอยู่ เช่น การขยายพื้นที่ การเพิ่มเสนาสนะ การสร้างอุโบสถ การสร้างเจดีย์ และพิพิธภัณฑ์ นอกจากนี้ในระยะยาว หลวงพ่อปราโมทย์ยังมีโครงการที่จะปลูกป่ารอบๆ สวนสันติธรรม และการช่วยเหลือโรงพยาบาลของรัฐบางแห่ง แต่เรื่องเหล่านี้ยังไม่สามารถประกาศออกมาได้ เพราะมีทุนจำกัดอย่างยิ่ง เนื่องจากหลวงพ่อปราโมทย์ไม่เคยเรี่ยไร หรือเรียกรับเงินที่มีผู้ปวารณาจะให้แล้วก็ตาม ประกอบกับสานุศิษย์ส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางหรือมนุษย์เงินเดือน ซึ่งหลวงพ่อปราโมทย์มีความเห็นอกเห็นใจในการครองชีพ ไม่ต้องการให้ต้องรับภาระโครงการต่างๆ ของสวนสันติธรรมและของหลวงพ่อปราโมทย์ ท่านจึงพยายามอดออมและเก็บปัจจัยไว้เพื่อการทำงานในอนาคต
6.2 หากเทียบกับวัดทั่วไปที่มีกิจกรรมทางสังคมมากๆ แล้ว ปัจจัยที่สวนสันติธรรมและหลวงพ่อปราโมทย์มีอยู่ ยังจัดว่ามีจำนวนน้อยกว่ามาก แต่สวนสันติธรรมและหลวงพ่อปราโมทย์ ก็ไม่ได้ดิ้นรนที่จะแสวงหาปัจจัยเพิ่มเติม นอกเหนือจากที่ได้โดยชอบธรรมเท่านั้น

7. นอกเหนือจากปัจจัยของหลวงพ่อปราโมทย์แล้ว อุบาสิกาอรนุชยังมีเงินเก็บส่วนตัวอีกจำนวนหนึ่ง เพราะในสมัยที่ยังเป็นฆราวาส ทั้งนายปราโมทย์และนางอรนุช สันตยากร ต่างก็เป็นเจ้าหน้าที่ระดับบริหารขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เฉพาะนายปราโมทย์เองก็มีรายได้ในระดับอธิบดีของกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ไม่ได้อดอยากยากแค้นดังที่มีผู้พยายามกล่าวหาแต่อย่างใด แม้แต่ญาติธรรมที่เข้าไปศึกษาธรรมะด้วย ยังได้รับการเลี้ยงอาหารด้วยเสมอๆ และการออกบวชก็กระทำด้วยความศรัทธา ไม่ใช่ออกบวชเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพดังที่ถูกกล่าวหา อนึ่งนอกจากเงินส่วนตัวเดิมแล้ว ยังได้ขายที่ดินและทรัพย์สินที่มีอยู่ (บางส่วนก็ยกให้ญาติมิตร) อุบาสิกาอรนุชจึงมีเงินพอที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ นอกจากนี้ในแต่ละวันยังได้รับเงินและสิ่งของบริจาคจากญาติโยมทั้งหลายเนืองๆ ซึ่งส่วนหนึ่งก็นำไปทำบุญต่อไปอีก ทั้งนี้ข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีของอุบาสิกาอรนุช ก็ได้ส่งให้เจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้วเช่นกัน

8. สวนสันติธรรมขอแจ้งให้ทราบเพิ่มเติมอีก 2 เรื่องคือ
8.1 ทรัพย์สินทั้งหมดของสวนสันติธรรมยังมีที่ดินอีกแปลงหนึ่งหน้าสวนสันติธรรม เนื้อที่ 20 ไร่เศษ และได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จังหวัดชลบุรีไว้แล้วว่า เมื่อใดที่ได้รับอนุมัติให้ตั้งวัด อุบาสิกาอรนุชจะโอนที่ดินดังกล่าวให้วัดด้วย ส่วนเหตุผลที่ไม่ได้ทำสัญญายกที่ดินแปลงนี้กับนายอำเภอศรีราชา เช่นเดียวกับที่ดินแปลงหลักของสวนสันติธรรม ก็เพราะเป็นที่ดินที่มีชื่อร่วมของหลายเจ้าของ หนึ่งในจำนวนนั้นคือคุณฐิตินาถ และยังไม่สามารถแบ่งแยกเอกสารสิทธิ์ได้
8.2 กรณีที่มีผู้หยิบยกประเด็นที่นายปราโมทย์ไม่ได้จดทะเบียนหย่ากับนางอรนุช สันตยากรก่อนบวชมาโจมตีนั้น ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่เป็นการกล่าวร้ายอย่างเลื่อนลอย เพราะในความเป็นจริงทั้งด้านพระธรรมวินัยและกฎหมาย ไม่ได้กำหนดว่าฝ่ายชายจะต้องหย่าขาดจากภรรยาก่อนบวช และพระภิกษุจำนวนมากที่มีครอบครัวก่อนอุปสมบท ก็ไม่ได้หย่าขาดตามกฏหมายจากภรรยาเช่นกัน แต่เป็นการหย่าขาดจากกันตามจารีตประเพณี อย่างไรก็ตามเพื่อลดความกังขาตลอดจนการนำประเด็นดังกล่าวไปบิดเบือนในอนาคต และเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย หลวงพ่อปราโมทย์จะดำเนินการจดทะเบียนหย่ากับอุบาสิกาอรนุชต่อไป

9. ตลอดเวลาที่ผ่านมากว่า 2 ปี หลวงพ่อปราโมทย์ถูกใส่ร้ายโจมตีอยู่ตลอดเวลา ด้วยเรื่องที่ขาดเหตุผลทั้งด้านข้อเท็จจริง พระธรรมวินัย และกฎหมาย และเรื่องใดที่ข้อเท็จจริงปรากฏออกมาแล้ว ก็จะพบว่าล้วนแต่เป็นการสร้างเรื่องใส่ร้ายทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังขาดความชัดเจน ทำให้สื่อมวลชนและสาธารณชนคลางแคลงในหลวงพ่อปราโมทย์ เช่น เรื่องเหตุผลที่คุณฐิตินาถไม่พอใจหลวงพ่อปราโมทย์เป็นการส่วนตัว เรื่องที่กรรมการสวนสันติธรรม 5 คนลาออกพร้อมกันแล้วหันมาโจมตีหลวงพ่อปราโมทย์ เรื่องบุคคลและเบื้องหลังของขบวนการโจมตีหลวงพ่อปราโมทย์ และเรื่องความถูกผิดเกี่ยวกับคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ เป็นต้น

การที่หลวงพ่อปราโมทย์สงบนิ่ง (ทั้งที่นักกฎหมายแนะนำว่าสามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้) และทนรับการดูหมิ่นเหยียดหยามจากสังคมมาโดยตลอดหลายปีนั้น ไม่ใช่เพราะไม่สามารถอธิบายความจริงได้ เพราะทุกเรื่องสามารถอธิบายปัญหาและที่มาได้ทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะหลวงพ่อปราโมทย์ไม่ต้องการสร้างความร้าวฉานในวงการของชาวพุทธ และไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องที่อาจสร้างความเสียหายให้ผู้อื่น แม้ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่เคลื่อนไหวโจมตีหลวงพ่อปราโมทย์อย่างรุนแรงเพียงใดก็ตาม สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์กระทำให้กับบุคคลเหล่านี้ ก็คือการให้อโหสิกรรมกับทุกคนเท่านั้น

refer : http://wimutti.net/forum/index.php?topic=3959.0
ขอบคุณ เว็บไซต์ wimutti.net สำหรับเนื้อหาประกาศของสวนสันติธรรมที่ถูกอ้างอิงในหนังสือเนชั่นสุดสัปดาห์

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เพ่งจิตไว้ เจริญปัญญาไม่ได้

mp3 for download : เพ่งจิตไว้ เจริญปัญญาไม่ได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เพ่งจิตไว้ เจริญปัญญาไม่ได้

เพ่งจิตไว้ เจริญปัญญาไม่ได้

หลวงพ่อปราโมทย์ : จะทำวิปัสสนากรรมฐาน จะรู้กายรู้ใจตรงความเป็นจริงได้ ต้องไม่ลำเอียง จิตที่ไม่ลำเอียงก็คือจิตที่เป็นผู้รู้นั่นแหละ ไม่ใช่ผู้คิดผู้นึกผู้ปรุงผู้แต่ง ไม่ใช่ผู้วิพากษ์วิจารณ์ ไม่ใช่ผู้ตัดสิน ทำตัวเป็นแค่ผู้รู้เท่านั้นเอง นะ เรามาฝึกให้ได้จิตตัวนี้นะ

วิธีที่จะทำให้ได้จิตผู้รู้ ก็คือรู้ทันจิตที่หลงไปคิดนี่แหละ จิตเผลอ ตอนแรกพอรู้ทันว่าหลงไปคิดก็จะกลับมาเพ่ง เพ่งไปก่อนไม่เป็นไร เราก็รู้ว่าเพ่งเอา ต่อไปหลงไปคิดใหม่รู้ใหม่ หลงไปคิดใหม่รู้ใหม่ อย่าเพ่งตลอดกาล ถ้าเพ่งตลอดกาลเดี๋ยวมันไม่ยอมเผลอ ให้มันเผลอไว้ เผลอแล้วรู้ว่าเผลอดีที่สุดเลย ดีกว่าไปเพ่งไว้ไม่ยอมเผลอเลย ไปไหนไม่รอดนะ อยู่แค่นั้นแหละ กี่ปีกี่ชาติก็อยู่อย่างนั้นแหละ

มีอยู่คราวหนึ่งนะ หลวงพ่อไปเจอ มีลูกศิษย์คนหนึ่งไปซุ่มภาวนาอยู่ในที่แห่งหนึ่ง เรียนกับหลวงพ่ออยู่พักหนึ่งนะ แล้วก็ไปซุ่มอยู่เป็นปีๆเลยนะ หายไปนาน เราไปเจอเข้า จะบอกว่าบังเอิญก็ไม่มีคำว่าบังเอิญในศาสนาพุทธนะ เรียกว่ากรรมจัดสรรไปเจอกันเข้า กรรมของมันหรือของเราก็ไม่รู้ เห็นแล้วทนไม่ได้นะ มันไปเดินจงกรมนะ เราก็บอก.. เรียกชื่อเขานะ เฮ้ย..ดอกเตอร์ นึกออกมั้ย ไอ้ที่ทำอยู่ตอนนี้นะ เมื่อหลายปีก่อนก็ทำแบบนี้ อีกหลายปีข้างหน้าก็จะเป็นอย่างนี้อีกแหละ ก็เลยได้สตินะ หันมาเจริญสติแทน งั้นก็เพ่งไว้นิ่งๆ นิ่งมาหลายปีแล้วนะ ไม่มีพัฒนาการก็ยังพอใจที่จะนิ่งอยู่อย่างนั้นน่ะ

นี่นะ เพ่งอยู่ไม่เจริญหรอก ได้แต่ความสุข ความสงบ ความสบาย ได้แต่ความดี เป็นคนดีมั้ย ดี ไม่ไปเกะกะระรานใครหรอก แต่มันไม่เจริญหรอก เจริญปัญญาไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราไปเพ่งไว้ จิตนิ่งทื่อๆ นิ่ง สงบ แล้วสบาย ไม่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของรูปนาม ถ้าไม่เห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม ไม่เรียกว่าวิปัสสนากรรมฐาน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า

CD: ๓๙
File: 540226A
ระหว่างนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๑๔ ถึง นาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๓๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานนั้น เป็นจุดตั้งต้นของการเดินปัญญา

mp3 for download : จิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานนั้น เป็นจุดตั้งต้นของการเดินปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

จิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานนั้น เป็นจุดตั้งต้นของการเดินปัญญา

จิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานนั้น เป็นจุดตั้งต้นของการเดินปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ตอนนี้ออกไปหลายจังหวัด ไปเห็น เราก็ไปเทศน์ที่โน่นที่นี่ ก็พบปรากฏการณ์อันหนึ่งก็คือ ทั้งพระทั้งโยมนะ ภาวนามาถึงขั้น แยกธาตุแยกขันธ์เป็นน่ะ เยอะมาก เยอะๆ ยังไม่เคยเจอว่าทำกันได้เยอะขนาดนี้มาก่อน

ช่วงปีแรกๆที่หลวงพ่อเทศน์นะ พวกเราตื่นกันเยอะนะ จิตก็ตื่นขึ้นๆ จิตเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน นับไม่ถ้วน ตอนนี้เลยขั้นนั้นมาแล้ว พอจิตเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานแล้วนะ ก็ต้องมาฝึกแยกธาตุแยกขันธ์ เข้าสู่การเดินปัญญา จิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานนั้น เป็นจุดตั้งต้นของการเดินปัญญา ถ้าเราไม่มีจิตเป็นผู้รู้นะ เราเดินปัญญาไม่ได้ เพราะจิตที่ไม่เป็นผู้รู้มันจะเป็นสองอย่าง ถ้าไม่เป็นผู้คิดก็เป็นผู้เพ่ง จิตที่ไปหลงไปคิด แล้วเพ่ง

เพราะฉะนั้นช่วงแรกๆสอนพวกเรานะ จะสอนให้รู้จักสภาวะสองอย่าง เผลอไปกับเพ่งไว้ คนทั่วไปมันเผลอ ไม่เคยรู้เรื่องเลย หลงตลอดชีวิตไม่เคยรู้สึกตัว นักปฏิบัติก็เพ่งไม่ว่าไปที่ไหนก็เพ่งๆนะ ฝึกแบบไหนก็เพ่งทุกแบบเลย เหมือนกันหมดเลย พอเราไม่เผลอไม่เพ่งนะ ใจเราเป็นกลาง รู้ตื่นขึ้นมาได้ ค่อยๆฝึก ใจค่อย..

แต่เดิมคิดว่าการปฏิบัติธรรมต้องเพ่งเอา คนละเรื่องเลย การเพ่งจิตให้นิ่ง เป็นสมาธิชนิดทำสมถะ เรียกว่า อารัมณูปนิชฌาน เพ่งอารมณ์อันเดียว จิตแนบอยู่ในอารมณ์อันเดียวนิ่งๆ ไม่เดินปัญญา แต่การที่เรารู้ทันจิตที่เผลอไป แล้วก็ไม่ไปเพ่งไว้ จิตเผลอไปทำอะไร จิตเผลอไปคิดเป็นส่วนใหญ่ ทันทีที่เรารู้ว่าจิตเผลอไปคิดนะ หัดใหม่ๆมันจะเพ่ง ถัดจากรู้ว่าเผลอจะเพ่ง ก็ฝึกไปเรื่อย เผลออีกก็รู้แล้วก็เพ่ง เผลอแล้วก็รู้แล้วก็เพ่ง

ทีแรกจับรู้ไม่ติดหรอก มองไม่ออกว่ามีรู้มาคั่น ระหว่างเผลอกับเพ่ง ทีนี้ฝึกมาช่วงหนึ่งแล้วเริ่มเห็นน่ะ จิตเผลอไป ตรงที่รู้ว่าเผลอนี่ ไม่เผลอด้วยไม่เพ่งด้วย อยู่ตรงกลางนี่เอง ทีนี้ความรักดี กล้วจะเผลออีกก็เลยไปเพ่งเอาไว้ นักปฏิบัติ พอรู้ทันว่าเอ้า..มันเกินจากรู้ไปแล้ว เริ่มคุ้นเคยกับรู้นะ จิตเผลอไปคิดแล้วรู้ทัน จิตเผลอไปคิดแล้วรู้ทัน ไม่ไปเพ่งต่อ คราวนี้ “รู้” ค่อยเด่นขึ้นๆ

พอรู้เด่นขึ้นหลวงพ่อก็บอกว่า จิตมันตื่นแล้ว จิตตื่นแล้ว จิตตื่นเนี่ยจิตมันเข้าถึงฐานจริงๆนะ จิตเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จิตสงบ สะอาด สว่าง จิตเบา จิตนุ่มนวล อ่อนโยน คล่องแคล่วว่องไว จิตซื่อตรงในการรู้อารมณ์ จิตควรแก่การทำวิปัสสนา ควรแก่การงาน นี่ล่ะคือจิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นขึ้นมา

หลวงพ่อก็พยายามพาพวกเราเดินมาเป็นลำดับๆนะ หัดรู้เผลอรู้เพ่งก่อน จนกระทั่งในที่สุด ตัวรู้ก็ค่อยๆเด่นขึ้นๆ พอตัวรู้เด่นแล้วอย่าหยุดอยู่แค่นั้น มาเดินต่อ เรามาฝึกจนได้ตัวรู้มานี่น่ะ คล้ายๆเราเตรียมความพร้อมของจิตเพื่อการเดินวิปัสสนา เพื่อการเจริญปัญญา การเจริญปัญญาก็คือการทำวิปัสสนากรรมฐานนั่นแหละ

หลักของการเดินปัญญาก็คือ ให้มีสติ รู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงไม่เข้าไปแทรกแซง และต้องรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่น จิตที่เป็นกลาง คือจิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นนั่นเอง มิใช่จิตผู้คิดผู้นึกผู้ปรุงผู้แต่ง ไม่ใช่จิตผู้เพ่ง ให้ไปรู้ด้วยจิตที่เป็นผู้รู้ จิตที่หลุดออกจากโลกของความคิด มาอยู่ในโลกของความรับรู้ รู้กายอย่างที่เขาเป็น รู้จิตใจอย่างที่เขาเป็น เรียนรู้ทุกอย่างอย่างที่มันเป็น ทำตัวเป็นแค่คนดู ไม่เข้าไปแทรกแซง

เมื่อเราทำตัวเป็นแค่คนดูโดยไม่เข้าไปแทรกแซง เราจะเห็นความจริง ถ้าเราเป็นคนดูแล้วแทรกแซงไปด้วย จะดูไม่ตรงกับความจริง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า

CD: ๓๙
File: 540226A
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๐ ถึง นาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๔๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : ภาวนาในขณะดูทีวี

ภาวนาในขณะดูทีวี

ถาม : เรียนถามครับว่า ที่หลวงพ่อบอกว่า ตอนดูทีวีหรือคุยกับผู้อื่น ได้ยินก็ให้รู้ว่าได้ยิน ดูก็ให้รู้ว่าดู คือทำอย่างไรครับ ?

ตอบ : หมายถึง ให้รู้สึกว่าตัวเองกำลังดู กำลังฟัง
หรือให้ดูให้ฟังด้วยความรู้สึกตัวครับ
สังเกตเอานะครับว่า ตอนดูทีวี จิตไปอยู่ในทีวี หรือรู้สึกว่ามีตัวเองนั่งดูทีวี
ถ้าจิตไปอยู่ในทีวีก็คือลืมตัวไป
ถ้ารู้สึกว่ามีตัวเองนั่งดูทีวี ก็คือ รู้สึกตัว หรือรู้ว่าดูทีวีนั่นเองครับ


เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อย่าทำคนใกล้ตัวที่เรารักให้เดือดร้อน

mp3 (for download): อย่าทำคนใกล้ตัวที่เรารักให้เดือดร้อน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อย่าทำคนใกล้ตัวที่เรารักให้เดือดร้อน

อย่าทำคนใกล้ตัวที่เรารักให้เดือดร้อน

หลวงพ่อปราโมทย์ : การที่เราหัดสังเกตใจตัวเองเนี่ย เราจะได้ตั้งแต่การดำรงชีวิตอยู่ในโลก หรือการอยู่กับเพื่อนร่วมงาน อยู่กับคนในครอบครัว ถ้าเราไม่สังเกตใจตนเองนะ ก็จะมีปัญหากระทบกระทั่งกันอยู่ตลอดเวลา

หลายคนเลยที่.. ยกตัวอย่างเราอยู่กับลูกค้าใช่มั้ย เราถูกฝึก เราถูกสอน ว่าต้องยิ้มไว้ก่อน ลูกค้าร้ายแค่ไหนก็ต้องยิ้มไว้ก่อน มันเครียดนะ บางคนเราเห็นหน้ามันขับรถเข้ามาจอดใกล้ๆ เราก็เกลียดหน้ามันแล้ว มีมั้ย บางคนหน้ามันมีพรสวรรค์นะ เห็นแล้วอยากเอาอะไรยันมันออกไป

เราต้องเครียดน่ะ เราต้องเจอสิ่งที่ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ทั้งวัน ใจมันเครียด พอเครียดแล้วเราไม่มีทางระบายใช่มั้ย อยู่ในตู้.. ไปว่าเขา แป๊บเดียวก็ไปแล้ว ไม่ทันจะว่า กลับบ้านแล้ว เราก็มาระบายใส่คนที่บ้าน พ่อบ้านผู้น่าสงสารก็ต้องรับฟัง เราจะระบายอารมณ์ใส่ ระบายของสกปรกที่เราเก็บมาในแต่ละวัน หรือคุณพ่อบ้านก็ระบายของโสโครกใส่คุณแม่บ้าน

เนี่ย.. เราทำความเดือดร้อนให้กับคนใกล้ตัวของเรา แทนที่เราต้องทำอย่างนั้นนะ เรามามีสติไว้ สติสำคัญมากนะ มีสติ คอยรู้ทันจิตใจตนเอง ใจมันเครียดขึ้นมาคอยรู้ทัน ความเครียดมันจะหายไปเอง เป็นเรื่องแปลกนะ ความเครียดความทุกข์ทั้งหลายนี้ ไม่ต้องไปไล่มันหรอก แค่เรามีสติรู้ทันมันก็หายไปเองละ

ค่อยๆลองฝึกดู คอยมีสติรู้ทัน กิเลสอะไรเกิดขึ้นที่ใจคอยรู้ทัน ฝึกอย่างนี้เรื่อยๆนะ เราก็จะบริโภคน้อยลง เราจะไประบายอารมณ์ใส่คนใกล้ตัวน้อยลง คนใกล้ตัวเราเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดเลย เพราะว่าเราระบายอารมณ์ได้อย่างปลอดภัย หลายคน กับคนอื่น คนนอกบ้าน คนไกลตัวนะ เราพูดกับเขาดีๆ คนในบ้านเรา เราพูดร้ายๆได้ เรารู้สึกปลอดภัย

เราก็มาแก้ตรงนี้เสีย เราอย่าไปทำบ้านให้ร้อน อย่าไปทำคนที่เรารักให้เดือดร้อนนะ ด้วยการมาฝึกจิตฝึกใจของเรา มีสติ รู้ทันจิตของตัวเองไว้ เราก็จะไม่เก็บขยะเข้าบ้าน ชีวิตจะดีขึ้น ในทุกๆด้านเลย ลูกหลานเกเรอะไรอย่างนี้

หลวงพ่อเคยเจอนะ ผู้หญิงคนหนึ่ง ไปจับลูกมา พาลูกมาหา บอกให้หลวงพ่อช่วยอบรมลูกหน่อย เด็กคนนี้เลวที่สุดเลย เนี่ย ไม่เคยเจอเรามาก่อนเลยนะ มาถึงก็ด่าลูกต่อหน้าเราเลย เลวอย่างโน้น ฉอดๆ ฉอดๆ ฉอดๆ เราดูแล้วๆ จะแก้ปัญหาที่ลูกต้องแก้ปัญหาที่แม่ก่อนแล้วล่ะ เรามานึกดูนะ แม่อย่างนี้เราก็ไม่อยากอยู่ด้วย เลยบอกให้แม่ลองดูใจของตัวเองสิ ใจมันเครียดนะ ใจของแกวันๆหนึ่งเป็นที่ปรึกษาวัยรุ่น คอยแก้ปัญหาให้พวกวัยรุ่น แล้วเครียดน่ะ ในที่สุดเอาความเครียดมาระบายทีบ้าน ลูกเลยมีปัญหาวัยรุ่นเสียเองเลย

นี่นะ ถ้าเราไม่อยากให้ชีวิตของเราย่ำแย่ ย่ำแย่แบบนี้ เราลองมาฝึกมีสติรู้ทันจิตใจตัวเอง เห็นมั้ยหลวงพ่อวนเวียนอยู่แต่ในเรื่องให้มีสติรู้ทันใจของตัวเองนี่แหละ มีสติรู้ทันใจตัวเองนะ แล้วหนี้สินก็จะลดลง เพราะเราจะไม่บริโภคฟุ่มเฟือยไร้สาระ การปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัว คนในที่ทำงาน หรือคนที่บ้าน ก็จะดีขึ้น

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย

แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมนอกสถานที่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
File: 540216
ระหว่างนาทีที่  ๗ วินาทีที่ ๐๔ ถึง นาทีที่ ๑๐วินาทีที่ ๓๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : เที่ยวผู้หญิงผิดศีลข้อ 3 หรือไม่?

เที่ยวผู้หญิงผิดศีลข้อ 3 หรือไม่?

ถาม : ถ้าเราจ่ายเงินเพื่อการเสพกาม ซึ่งไม่ได้ไปผิดลูกผิดเมียใครเขานี่ ถือเสมือนหนึ่งว่า กินอาหารไปมื้อหนึ่งรสจัด ให้พออิ่ม สมอยาก แล้วอย่างนี้เราจะถือว่าผิดศีลข้อสามหรือไม่ครับ?

ตอบ : ถ้าไม่ได้ผิดลูกเมียใคร ไม่ผิดจารีตประเพณี ไม่ผิดกฎหมาย ก็ไม่ผิดศีล
คุณพิจารณาเอาเองนะครับว่าผิดหรือไม่ผิดศีล

แต่ที่แน่ๆ การเสพกามแม้จะไม่ได้ทำผิดศีล
ก็ทำให้จิตมัวหมอง อ่อนกำลังไปเป็นวันๆ หรือหลายวัน
แล้วก็กามนี่แหละที่ละได้ยาก ต้องภาวนากันนานทีเดียว
แล้วก็จะยิ่งนานขึ้นไปอีกถ้ายังติดใจในกามคุณ ยังมองไม่เห็นโทษของกาม
ยังปล่อยกายปล่อยใจทำตามความอยากในกามทุกครั้ง
เพราะฉะนั้นแม้จะละกามราคะไม่ได้ ก็ต้องเพียรหัดรู้ทันจิตที่อยาก
อะไรที่ไม่จำเป็นหรือไม่ควรเสพก็หัดลดหัดเว้นไปบ้างก็จะดีกว่าครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ศึกษาหลายตำราแล้วสับสน

mp3 (for download): ศึกษาหลายตำราแล้วสับสน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ศึกษาหลายตำราแล้วสับสน

ศึกษาหลายตำราแล้วสับสน

โยม : ขออนุญาตกราบเรียนหลวงพ่อนะคะ คือว่า แบบตัวเองไปศึกษามาหลายตำราค่ะ แล้วก็ บางทีก็รู้สึกว่า เอ๊…อันนี้ไม่เข้ากับเรา ก็เปลี่ยนไปเรื่อยนะคะ ตอนหลังก็มานั่ง นั่งพุทโธ ก็มีความรู้สึก ทำไมเรา เราไม่ได้สมาธิเสียที แล้วก็ มันก็จะฟุ้งไปเรื่อยน่ะคะ หรือบางทีก็เผลอหลับไปน่ะค่ะ อยากจะขอคำแนะนำ..

หลวงพ่อปราโมทย์ : คือเราจะทำอะไร เราต้องรู้ว่าเราจะทำเพื่ออะไร เราต้องรู้วัตถุประสงค์เสียก่อนนะ อย่างของคุณต้องการจะทำสมาธิเพื่ออะไร เพื่อให้สงบหรือเพื่อให้มีปัญญา จะเอาอะไร อันนี้

โยม : คือ จะให้มีเพื่อปัญญาค่ะ..

หลวงพ่อปราโมทย์ : จะให้มีเพื่อปัญญานะ แต่ก่อนจะมีปัญญาก็ต้องสงบก่อนเหมือนกัน ถ้าใจฟุ้งมากๆมันก็ไม่มีปัญญา การปฏิบัติธรรมเนี่ยต้องเข้าใจก่อน อย่างที่หลวงพ่อบอกเมื่อสักครู่นี้นะ สมาธินี้นะเกิดจากความสุข ของคุณใจมันเที่ยวแสวงหาไปเรื่อย มันอยากลอง อยากลอง ลองไปหน่อยหนึ่ง ลองแล้วเมื่อไหร่จะสงบ ก็ดิ้นต่อไปอีก เปลี่ยนวิธี เอ๊ะ ทำอย่างนี้เมื่อไหร่จะสงบ ก็เลยไม่สงบเสียที

ลองเปลี่ยนใหม่นะ ลองทำเล่นๆ แต่ทำสม่ำเสมอ จะทำอะไรก็เอาสักอันหนึ่ง จะพุทโธก็พุทโธไป จะหายใจก็หายใจ จะดูท้องพองยุบก็ดูไป เอาอะไรก็เอาสักอันหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทำแล้วบังคับใจ ทำเล่นๆ ทำไปอย่างมีความสุขนะ มันจะสงบเข้ามา พอมันสงบแล้วมาฝึกสมาธิอีกชนิดหนึ่ง สมาธิมี ๒ ชนิด สมาธิชนิดที่ ๑ สงบ สมาธิชนิดที่ ๒ ตั้งมั่น ไม่เหมือนกัน

สงบนี่นะ จิตอยู่ในอารมณ์อันเดียว จิตเป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นหนึ่ง อยู่ด้วยกัน นิ่งอยู่ บางทีก็ไหลเข้าไปรวมเป็นอันเดียวกัน บางทีก็แยกออกมา อย่างนี้เป็นสมถะ

สมาธิชนิดที่สอง จิตตั้งมั่นเป็นคนดู อารมณ์ไม่ได้เป็นหนึ่งนะ จิตเป็นหนึ่งเป็นคนดูอยู่อย่างนี้ แต่อารมณ์นี่นะ ร้อยอารมณ์ พันอารมณ์ หมื่นอารมณ์ แสนอารมณ์ก็ได้ เห็นอารมณ์เคลื่อนไหวเกิดดับตลอด ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม จิตเป็นแค่คนดูอยู่เฉยๆ เหมือนเรานั่งดูฟุตบอลอยู่บนอัฒจันทร์ เห็นนักฟุตบอลวิ่งไปวิ่งมา นี่น่ะจิตถอนตัวมาเป็นคนดู นี่เป็นสมาธิอีกชนิดหนึ่ง สมาธิชนิดนี้แหละที่จะใช้ให้เกิดปัญญา สมาธิสงบเอาไว้พักผ่อน สมาธิที่จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เป็นผู้รู้ผู้ดู อันนี้แหละถึงจะทำให้เกิดปัญญา

สมาธิมี ๒ ชนิดนะ ต้องเรียนให้ได้ทั้ง ๒ ชนิด เวลามีจำกัดนะ ไปฟังซีดีหลวงพ่อให้เยอะๆ แล้วจับสมาธิ ๒ ชนิดนี้ให้ออก แล้วแต่ละชนิดนะหลวงพ่อบอกไว้หมดเลย ฝึกอย่างไร อยากจะฝึกให้สงบนี่นะ น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุข อยู่อย่างต่อเนื่องเลย เพราะฉะนั้นย้ายสำนักไปเรื่อยๆนี่นะ ทิ้งคำว่าต่อเนื่อง แล้วก็ไม่ว่าจะจับอารมณ์อะไรขึ้นมานี่ อยากให้มันสงบ จิตไม่สงบหรอก (เพราะ)จิตไม่มีความสุข ไปเค้นมัน เห็นมั้ย

ดังนั้น ถ้าจับหลักที่หลวงพ่อสอนนะ อะไรก็สงบไปหมดล่ะ ง่ายไปหมดเลย

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมนอกสถานที่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
File: 540216
ระหว่างนาทีที่  ๔๓ วินาทีที่ ๒๕ ถึง นาทีที่ ๔๖ วินาทีที่ ๒๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : ว่าง เบา สบาย

ว่าง เบา สบาย

ถาม : ภาวนามาซักพักครับ
เริ่มรู้สึกว่ามีความ ว่าง เบา สบาย เลยสงสัยว่า
เราจะมีข้อสังเกตุยังไงครับ ระหว่าง ว่าง เบา ด้วยปัญญา
กับว่าง เบา จากการเข้าไปติดว่าง

ตอบ : ว่าง เบา ด้วยปัญญานั้น หมายถึง
ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราเป็นของเรานะครับ

ส่วนว่าง ๆ เบา ๆ แบบโล่ง ๆ ไม่มีอะไรนั้น เป็นว่างแบบโง่ ๆ
และเป็นแค่สภาวะธรรมอย่างหนึ่ง ที่ต้องหัดรู้หัดดูไปเท่านั้นเองครับ
อย่าพลาดไปหลงเอาหลงแช่ในว่าง เบา แบบโล่ง ๆ ไม่มีอะไรนะครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เดินจงกรมอย่างไร ?

mp3 (for download): เดินจงกรมอย่างไร ?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เดินจงกรมอย่างไร ?

เดินจงกรมอย่างไร ?

หลวงพ่อปราโมทย์ : เดินจงกรมหมายถึงอะไร คำว่าจงกรมจริงๆแปลว่า “ก้าวไป” เพราะฉะนั้นทุกก้าวที่เดินนั้นแหละ “จงกรม” เพียงแต่ว่าคนทั่วๆไปเขาเดินสะเปะสะปะ เดินไปแล้วจิตใจมันหนีไป เราเดินด้วยความรู้สึกตัว ทุกก้าวที่เดินด้วยความรู้สึกตัว เรียกว่าเดินจงกรม เพราะฉะนั้นจุดสำคัญไม่ใช่อยู่ที่ท่าเดินนะ จุดสำคัญอยู่ที่ความรู้สึกตัว เพราะฉะนั้นเรามาดูนะ ว่ารู้สึกตัวจริงมั้ย เอาล่ะสิ

โยม : เจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เดินไปด้วยความรู้สึกตัวนะ เคล็ดลับของการเดินจงกรมเนี่ยมันอยู่ตรงที่สุดทาง ตอนสุดทาง จะหลงไม่หลงก็ตอนที่สุดทางนั้นแหละ แต่ทางจงกรมไม่ควรยาวเกินไป ไม่ควรสั้นเกินไปนะ ถ้าสั้นไปเวียนหัว ถ้ายาวไปก็จะหลงอยู่กลางทาง อ่ะหยุดก่อน

สมมุติว่าเราจะเริ่มเดินจงกรม ทันทีที่เข้าสู่เส้นทางจงกรมนะ อย่าบังคับกาย อย่าบังคับใจ ส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัติพอคิดถึงการเดินจงกรมปุ๊บ บังคับจิตให้แข็งๆขึ้นมา จะเครียดขึ้นมา อันนี้ผิดธรรมชาติแล้ว เราต้องการดูกายทำงานดูใจทำงานอย่างที่เขาเป็น ไม่ใช่ไปเดินบังคับตัวเองจนเครียด

เพราะฉะนั้นมาถึงต้นทางเดินจงกรมนะ ทำความรู้สึกตัวให้สบาย แล้วก็เห็นร่างกายมันเดิน ไม่ใช่เดินจงกรมจะหมายถึง “เราเดิน” นะ เดินจงกรมเนี่ย เดินแล้วเห็น “ร่างกายมันเดิน” ใจเราเป็นคนดู ฝึกให้ได้อย่างนี้ ถึงจะดีที่สุด เอ้า…ลองเดินดูสิ แล้วใจเป็นคนดู ใจเป็นธรรมชาติมั้ย

โยม : เป็นธรรมชาติเจ้าค่ะ นิ่งๆนิดนึงเจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ นะ มันเกินธรรมชาติไป มันก็เป็นธรรมชาติเหมือนกัน เป็นธรรมชาติของคนที่ตื่นเต้น ถ้าตอนที่เราไปเดินสุดทางจงกรมนะ เราอย่าเพิ่งหมุนตัว เดินไปสุดทางแล้วเราก็หยุดก่อน แล้วก็หมุนตัว แล้วก็หยุดก่อน ถ้าเดินไปสุดทางแล้วหมุนตัวปั๊บนะ จิตกระเด็นหนีไปเลย เราคอยดูนะ คอยดูนะ

เนี่ยทำความรู้สึกตัวให้สบายขึ้นมาก่อน แล้วหมุนตัว ไม่เร็วไม่ช้าไป นี่แน่ใจนะว่าไม่ช้าไป พอหมุนเสร็จแล้วก็รู้สึกตัวอีก แล้วค่อยเดิน ไม่งั้นจิตมันจะเดินก่อนขา ใครเคยเห็นจิตเดินก่อนขาบ้าง

โยม : หลวงพ่อคะ นี่ถือว่าเห็นกายมันเดินหรือเป็นสมถะคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เป็นสมถะ เอ้า… ไป เดินกลับที่ไป.. เพ่งมั้ย ตอนนี้เพ่งมั้ย

โยม : เพ่งเจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ.. ก็เป็นสมถะสิ คือตราบใดที่ยังเพ่งอยู่นะ เป็นสมถะ ถ้าเห็นกายมันเดินใจเป็นคนดูนะ กายไม่ใช่เราหรอก เป็นวัตถุธาตุที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ เนี่ยเจริญปัญญา ทำวิปัสสนา

วิปัสสนาทำเพื่อถอนความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน มีเรา มีเขา เพราะฉะนั้นถ้าเมื่อไรเห็นว่าไม่มีเรานะ กายมันเดิน ไม่ใช่ “เราเดิน” กายมันนั่ง ไม่ใช่ “เรานั่ง” รู้สึกอย่างนี้จริงๆ จิตมันเดินวิปัสสนาอยู่

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมนอกสถานที่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
File: 540216
ระหว่างนาทีที่  ๖๐ วินาทีที่ ๐๕ ถึง นาทีที่ ๖๓วินาทีที่ ๐๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รถตู้ฟรี เพื่อไปฟังธรรม สวนสันติธรรม เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๕๔

รถตู้ฟรี เพื่อไปฟังธรรม สวนสันติธรรม

รถตู้ฟรี เพื่อไปฟังธรรม สวนสันติธรรม


หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม

ไม่มีการแสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม

รถตู้โดยกลุ่มธรรมดา.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากตารางกลุ่มธรรมดา.net

รถตู้โดยกลุ่มธรรมทาน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากตารางรถตู้โดยคณะเจ้าภาพอื่น

รถตู้โดยลุงเมา (คณะเจ้าภาพหลากหลาย) กรุณาดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากตารางรถตู้โดยคณะเจ้าภาพอื่น

รถตู้โดยชมรมพุทธศาสน์ กฟผ. กรุณาดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากตารางรถตู้โดยคณะเจ้าภาพอื่น

1. รถตู้โดยกลุ่มธรรมดา.net

กันยายน พ.ศ.2554 (ดูรายการรถตู้ฟรีโดยเ้จ้าภาพท่านอื่น คลิ้กที่นี่)

วัน เวลา นัดพบ วันที่รับสมัคร
วันเสาร์ที่ 3 ก.ย. 54 5.00 น. ปั๊มปตท. รังสิต 22 ส.ค. – 30 ส.ค. 54
วันอาทิตย์ที่ 11 ก.ย. 54 5.00 น. ปั๊มปิโตรนาส เจริญนคร 29 ส.ค. – 7 ก.ย. 54
วันเสาร์ที่ 17 ก.ย. 54 5.00 น. ปั๊มเอสโซ่ สถานีอารีย์ 5 – 13 ก.ย. 54
วันเสาร์ที่ 24 ก.ย. 54 5.00 น.
5.10 น.
ปั๊มเอสโซ่ บางแค
ปั๊มปตท. พระราม 2
12 – 20 ก.ย. 54

แผนที่
(คลิ้กที่ภาพ เพื่อดูแผนที่ขนาดเต็ม)

แผนที่ ปั๊มพ์ ปตท.รังสิต

แผนที่ ปั๊มพ์ ปตท.รังสิต

แผนที่ ปั๊มเอสโซ่บางแค

แผนที่ ปั๊มเอสโซ่บางแค

ปั๊มปตท.พระราม 2

ปั๊มปตท.พระราม 2


โดยมีรายละเอียดและการสำรองที่นั่ง ดัง นี้
1. กรุณาสำรองที่นั่งภายในวันเวลาที่ รับสมัคร โดยส่งชื่อ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ และจำนวนที่นั่งที่ต้องการจองมาที่

    คุณเอ้ หมายเลขโทรศัพท์: 089-445-6269 (เวลา บ่าย 2 ถึง 2 ทุ่ม ทุกวัน)
    คุณดี หมายเลขโทรศัพท์: 089-694-2994
    โดยโทรศัพท์ หรือ ส่งข้อความเท่านั้น กรุณาอย่าฝากข้อความ

2. ทางกลุ่มฯของดรับบริจาคหรือเรี่ยไร สมทบทุนทุกกรณี หากมีการเรี่ยไรจากผู้ให้บริการ จะไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มฯ และทุกท่านมีสิทธิ์ที่จะไม่ต้องสมทบทุนได้ และหากมีกรณีเช่นนี้ขอความกรุณาแจ้งมาทางเมล์ของกลุ่มฯด้วยครับ

3. หากมีปัญหาจากการให้บริการ หรือไม่ได้รับความสะดวกประการใด หรือมีข้อเสนอแนะประการใด กรุณาติดต่อมาที่ van.dhammada.net@gmail.com ได้

4. อนึ่งขอให้ทุกท่านตรงต่อเวลาและใน กรณีที่มีเหตุจำเป็นจะยกเลิกการสำรองที่นั่ง กรุณาแจ้งล่วงหน้าเพื่อให้ผู้อื่นได้ใช้สิทธิ์ในการเดินทางด้วยครับ

2. รถตู้โดยคณะเจ้าภาพอื่น

รายการรถตู้ฟรีเพิ่มเติม เพื่อเดินทางไปฟังธรรมที่สวนสันติธรรม (ดูรายการรถตู้ฟรีของ Dhammada.net คลิ้กที่นี่)

วันและเวลาออกเดินทาง จุดนัดพบ การสำรองที่นั่ง คณะเจ้าภาพ
5.30 น. อาทิตย์ที่ 2 และ 4 ของทุกเดือน Mc Donald’s ที่ แมกซ์วาลู ศรีนครินทร์
(เปิด 24 ชม.)
ติดต่อ02-717-5111
ที่คุณกบ หรือ
คุณหนิงเท่านั้น
กลุ่มธรรมทาน
5.00 น. อาทิตย์ที่ 1 ของทุกเดือน ปั๊ม ปตท สนามเป้า ข้าง ททบ. 5
ตรงข้าม รพ.พญาไท 2
ติดต่อ ลุงเมา
084-360-6881,
086-780-4368,
086-556-2623
บ้านขนมนันทวัน จ.เพชรบุรี
5.00 น. อาทิตย์ที่ 2 ของทุกเดือน บ.สาลี่เอกชัย จ.สุพรรณบุรี
5.00 น. เสาร์หรืออาทิตย์ที่ 3
ของทุกเดือน
บ.ชัยรัชการ จก.
โตโยต้า บางนา-ตราด กม. 16
5.00 น. อาทิตย์ที่ 4 ของทุกเดือน กลุ่มเพื่อน ทพญ. ยาหยี,
ทพญ. จ๊ะจ๋า,
คุณ เจษฎ์จรรย์
5.00 น. อาทิตย์ที่ 5 ของทุกเดือน (ถ้ามี) คุณสุปรียา (น้อง)
5.00 น. อาทิตย์ที่ 2 ของทุกเดือน ม.เอเชียอาคเนย์ ม.เอเชียอาคเนย์
5.00 น. เสาร์ที่ 2 ของทุกเดือน
(กรุณาสำรองที่นั่ง
ก่อน 12.00 น.ของวันพฤหัสที่ 2 ของเดือน)
หน้าป้อมยาม กฟผ. ถ.จรัญสนิทวงศ์ ติดต่อ คุณใกล้รุ่ง
080-465- 4924
เวลา 9.00-20.00 น.
ทุกวัน หรือ
mdc@egat.co.th
กิจกรรมพัฒนาจิต
อ. บางกรวย จ. นนทบุรี
ชมรมพุทธศาสน์ กฟผ.

เนื่องจากเป็นการเดินทางของหมู่คณะ ขอให้ทุกท่านตรงต่อเวลา และในกรณีที่มีเหตุจำเป็นจะยกเลิกการสำรองที่นั่ง กรุณาแจ้งยกเลิกล่วงหน้าเพื่อให้ผู้อื่นได้มีโอกาสเดินทางแทน
หมายเหตุ
1. จะไม่มีการเดินทางตามตารางข้างต้นหากวันเดินทางที่กำหนดไว้ตรงกับวันที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรมปิด
2. รอบรถตู้ข้างต้นของดรับบริจาคหรือเรี่ยไร ทุกกรณี หากญาติธรรมมีความประสงค์จะร่วมบุญ กรุณาติดต่อเจ้าภาพโดยตรง หากมีการเรี่ยไรให้ช่วยค่าใช้จ่ายจากคนขับรถตู้ ขอความกรุณาแจ้งมาทาง santi.vangroup@gmail.com
3. หากมีข้อร้องเรียน คำถาม หรือมีข้อเสนอแนะประการใด กรุณาติดต่อมาที่ santi.vangroup@gmail.com หรือ mdc@egat.co.th (ในกรณีที่เป็นรถตู้ของชมรมพุทธศาสน์ กฟผ.)

ขออนุโมทนาคณะเจ้าภาพและญาติธรรมผู้แสวงหาธรรมะทุกท่าน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News: ขอเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม สนทนาธรรมกับ คุณมาลี ปาละวงศ์ ตามแนวหลวงพ่อปราโมทย์ ในวันที่ 28 ส.ค. 54

ขอเชิญท่านผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมจิตใสใจสบาย กับ ธรรมะยามบ่าย โดย คุณมาลี ปาละวงศ์เป็นการสอนปฏิบัติธรรมตามแนวทางของพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช

ในวันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม 2554 ตั้งแต่เวลา 10.45 น. เป็นต้นไป

เหมาะสำหรับผู้สนใจในการเจริญสติตามแนวทางของการดูจิต (จิตตานุปัสสนา) เป็นรูปแบบการเสวนาธรรมแบบสบายๆ ไม่มีพิธีรีตอง เน้นให้เกิดความเข้าใจพื้นฐานที่ถูกต้อง เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้

ณ ห้องกรรมฐาน อาคารเจริญธรรม บ้านจิตสบาย พุทธมณฑลสาย 2

รถประจำทางที่ผ่าน สาย 157, 123, ปอ.พ.79

สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ 02-448-3392 เวลาทำการ 9.00 – 18.00 น. หยุดวันพุธ

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง, การเดินทางและแผนที่  >>

Dhammada News : แนะนำบ้านจิตสบาย แหล่งเรียนรู้และภาวนาโดยการเจริญสติ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : การเจริญวิปัสสนาควรทำสมถะให้ได้ในระดับใด?

การเจริญวิปัสสนาควรทำสมถะให้ได้ในระดับใด?

ถาม : เราควรทำสมถกรรมฐานให้ถึงสมาธิระดับหนึ่งแล้วค่อยดูจิตจะดีกว่าหรือไม่ครับ หรือควรดูจิตไปเลย ไม่จำเป็นต้องทำสมถกรรมฐานก็ได้ครับ ?

ตอบ : ต้องดูว่าเราเองสามารถทำสมถะได้แค่ไหน
ถ้าเป็นพวกทำสมถะจนถึงฌาน ๒ ได้ ก็ควรทำครับ
พอออกจากฌาน จะมีจิตผู้รู้เกิดต่อเนื่องกันได้นาน ๆ
และให้ใช้จิตผู้รู้นั้นไปทำวิปัสสนาต่อ
แต่ถ้าทำฌานไม่ได้ ได้แค่ทำสมถะพอจิตสงบเท่านั้น
ก็ให้ใช้สมถะเป็นเครื่องพักจิตตามโอกาส
เช่นขณะใดจิตฟุ้งซ่านมาก ก็ทำความสงบก่อน
พอจิตสงบได้ตามสมควรแล้วก็มาหัดเจริญสติทำวิปัสสนาต่อไปครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 1 of 41234