Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

Dhammada News: คณะศิษย์วัดป่าเชิงเลน ขอเชิญร่วมทอดผ้าป่ามหากุศล เพื่อสร้างวัดสวนป่าบุญฤทธิ์

>>>Download Brochure <<<

อ้างอิง : http://www.suanpabunyarit.com/

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : รักษาโรควิตกกังวลสูง ซึมเศร้า และโรคย้ำคิดย้ำทำ ด้วยการภาวนา

รักษาโรควิตกกังวลสูง ซึมเศร้า และโรคย้ำคิดย้ำทำ ด้วยการภาวนา

ถาม : แพทย์จิตเวช วินิจฉัย ว่าเป็น โรควิตกกังวลสูง อาจจะซึมเศร้าร่วมด้วย และโรคย้ำคิดย้ำทำ
แล้วสามารถปฏิบัติตามแนวทางของหลวงพ่อปราโมทย์ได้ไม๊คะ?

ตอบ : ได้ซิครับ
ตอนนี้จิตแพทย์ส่วนหนึ่ง ได้ใช้การเจริญสติด้วยการให้คนไข้หัดสังเกตตัวเอง
เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้รักษาควบคู่ไปกับการทานยา

คุณ ฟังซีดีหลวงพ่อไปเรื่อยๆก่อนนะครับ
โดยให้ฟังไปเล่นๆ ฟังไปสบายๆ ไม่ต้องตั้งใจฟังให้รู้เรื่อง
ฟังด้วยใจที่ผ่อนคลาย แล้วก็ค่อยๆหัดสังเกตว่า
ฟังๆไปแล้ว ให้สังเกตว่า เราเผลอลืมฟังไปบ้างมั้ย
แต่อย่าฟังแบบบังคับจิตใจเพื่อจะไม่ให้เผลอลืมฟังนะครับ
ลองหัดแค่นี้ดูก่อนนะครับ
และถ้าหัดแล้วเครียดมาก ก็ให้หยุดพักทันทีนะครับ
เอาไว้หายเครียดแล้วค่อยหัดต่อ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่มีอะไรเป็นศัตรูของเราเท่ากับกิเลสในใจเราเอง

mp3 (for download): ไม่มีอะไรเป็นศัตรูของเราเท่ากับกิเลสในใจของเราเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ไม่มีอะไรเป็นศัตรูของเราเท่ากับกิเลส

ไม่มีอะไรเป็นศัตรูของเราเท่ากับกิเลส

หลวงพ่อปราโมทย์: เราคอยมารู้กายรู้ใจนะ รู้เข้ามาให้ถึงใจจริงๆ กิเลสจะเคลือบแฝงเข้ามาในใจเราไม่ได้ ถ้ารู้ไม่ทันนะ กิเลสจะแฝงเข้ามาในใจนะ ใจก็ตกเป็นทาสของกิเลส หาความสุขไม่ได้ ไม่มีอะไรเป็นศัตรูของเราเท่ากับกิเลสเลย มันทำใจเราให้เร่าร้อนขึ้นมา แผดเผานะ พระพุทธเจ้าบอกว่ามันเป็นไฟ ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ โลภขึ้นมา รักขึ้นมา ก็ทุกข์นะ ทุกข์เพราะความรัก โกรธขึ้นมาก็ทุกข์เพราะความโกรธ หลงไปนั้นไม่ค่อยจะรู้ทุกข์หรอก หลง.. หลงเผลอๆเพลินๆ อันนี้ดูยาก

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพุธที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๙

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๗
ลำดับที่  ๑
File: 491129
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๓๔ ถึง นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๑๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทศชาติชาดก : ชาติที่ 3 สุวรรณสาม (เมตตาบารมี)

“สุวรรณสาม แม้เขาจะถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส
แต่เขาก็ยังแผ่เมตตาจิตไปยังพวกที่ทำร้าย
โดยหาความโกรธเคืองไม่ได้นี่คือปฎิปทาของสุวรรณสามต่อไป”

ครั้งหนึ่ง มีสหายสองคนรักใคร่กันมาก ต่างก็ตั้งบ้านเรือน อยู่ใกล้เคียงกัน ไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ทั้งสองคนตั้งใจว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งมีลูกสาว อีกฝ่ายหนึ่งมีลูกชาย ก็จะให้แต่งงาน เพื่อครอบครัวทั้งสองฝ่ายจะได้ ผูกพันใกล้ชิดกันไม่มีเสื่อมคลาย อยู่ต่อมาฝ่ายหนึ่งก็มีลูกชายชื่อว่า ทุกูลกุมาร อีกฝ่ายหนึ่งมีลูกสาว ชื่อว่า ปาริกากุมารี เด็กทั้งสองมีรูป ร่างหน่าตางดงาม สติปัญญาฉลาดเฉลียว และมีจิตใจมั่นอยู่ในศีล

เมื่อเติบโตขึ้น พ่อแม่ของทั้งสองก็ตกลงจะทำตามที่เคย ตั้งใจไว้ คือให้ลูกของทั้งสองบ้านได้แต่งงานกัน แต่ทั้งทุกูลกุมารและปาริกากุมารี ต่างบอกกับพ่อแม่ ของตนว่า ไม่ต้องการแต่งงานกัน แม้จะรู้ดีว่า ฝ่ายหนึ่ง เป็นคนดี รูปร่างหน้าตางดงาม และเป็นเพื่อนสนิท มาตั้งแต่เด็กก็ตาม ในที่สุด พ่อแม่ของทั้งสองก็จัดการแต่งงานให้จนได้ แต่แม้ว่าทุกูลและปาริกาจะแต่งงานกันแล้ว ต่างยังคงประพฤติ ปฏิบัติเสมือนเป็นเพื่อนกันตลอดมา ไม่เคยประพฤติต่อกัน ฉันสามีภรรยา

ยิ่งไปกว่านั้นทั้ง สองคนมีความปราถนาตรงกัน คือประสงค์จะออกบวช ไม่อยากดำเนินชีวิตอย่างชาวบ้าน ธรรมดาซึ่ง จะต้องพัวพันอยู่กับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพื่อเป็นอาหารบ้าง เพื่อป้องกันตัวเองบ้าง เมื่อได้อ้อนวอนพ่อแม่ทั้งสองบ้านอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุด ทั้งสองก็ได้รับคำอนุญาตให้บวชได้ จึงพากัน เดินทางไปสู่ป่าใหญ่ และอธิษฐานออกบวช นุ่งห่มผ้าย้อม เปลือกไม้และไว้มวยผมอย่างดาบส บำเพ็ญ ธรรมอยู่ ณ ศาลาในป่านั้น

ด้วยความเมตตาอันมั่นคง ของทั้งสองคน บรรดาสิงสาราสัตว์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ต่างก็มีเมตตาจิตต่อกัน ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน ต่างหากินอยู่ด้วยความสุขสำราญ ต่อมาวันหนึ่ง พระอินทร์เล็งเห็นอันตรายซึ่งจะบังเกิดแก่ ทุกูลดาบสและปาริกาดาบสินี

จึงตรัสบอกแก่ ดาบสว่า “ข้าพเจ้าเล็งเห็นว่า อันตรายจะเกิดขึ้นแก่ท่าน ขอให้ท่านจงมีบุตร เพื่อเป็น ผู้ช่วยเหลือ ปรนนิบัติในยามยากลำบากเถิด”

ทุกูลดาบสจึงถามว่า “อาตมาบำเพ็ญพรตเพื่อความพ้นทุกข์ อาตมาจะมีบุตรได้อย่างไร อาตมาไม่ต้องการดำเนินชีวิต อย่างชาวโลก ที่จะทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในความทุกข์อีก”

พระอินทร์ตรัสว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องประพฤติปฏิบัติ อย่างชาวโลก แต่ท่านจำเป็นต้องมีบุตรไว้ช่วย เหลือปรนนิบัติ ขอให้เชื่อข้าพเจ้าเถิด ท่านเพียงแต่เอามือลูบท้องนางปาริกา ดาบสินี นางก็จะตั้งครรภ์ ลูกในครรภ์นางจะได้เป็นผู้ดูแล ท่านทั้งสองต่อไป”

เมื่อพระอินทร์ตรัสบอกดังนั้น ทุกูลดาบสจึงทำตาม ต่อมานางปาริกาก็ตั้งครรภ์ ครั้นครบกำหนด ก็คลอดบุตร มีผิวพรรณงดงามราวทองคำบริสุทธิ์ จึงได้ชื่อว่า “สุวรรณสาม” ปาริกาดาบสสินี เลี้ยงดู สุวรรณสามจนเติบใหญ่อยู่ในป่านั้น มีบรรดาสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิดแวดล้อมเป็นเพื่อนเล่น ตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่ สุวรรณสามหมั่นสังเกตจดจำสิ่งที่ พ่อและแม่ได้ปฏิบัติ เช่น การไปตักน้ำ ไปหา ผลไม้เป็นอาหาร เส้นทางที่ไปหาน้ำและอาหาร สุวรรณสามพยายามช่วยเหลือ พ่อและแม่ กระทำกิจกรรมต่างๆ เท่าที่จะทำได้ เพื่อให้พ่อแม่ ได้มีเวลาบำเพ็ญธรรมตามที่ประสงค์

วันหนึ่ง เมื่อทุกูลดาบสและนางปาริกา ออกไปหาผลไม้ในป่า เผอิญฝนตกหนักทั้งสองจึงหลบฝนอยู่ที่ ต้นไม้ใหญ่ใกล้ จอมปลวก โดยไม่รู้ว่าที่จอมปลวกนั้นมีงูพิษอาศัยอยู่ น้ำฝนที่ชุ่มเสื้อฝ้า และมุ่นผมของ ทั้งสองไหลหยดลงไปในรูงู งูตกใจจึงพ่นพิษออกมาป้องกันตัว พิษร้ายของงูเข้าตาทั้งสองคน ความร้ายกาจของพิษทำให้ดวงตาบอดมืดมิดไปทันที ทุกูลดาบสและนางปาริกาดาบสินี จึงไม่สามารถจะกลับไปถึง ศาลาที่พักได้ เพราะมองไม่เห็นทาง ต้องวนเวียนคลำทางอยู่แถวนั้นเอง คนทั้งสองต้องเสียดวงตา เพราะกรรมในชาติก่อน

เมื่อครั้งที่ ทุกูลดาบสเกิดเป็นหมอรักษาตา ปาริกา เกิดเป็นภรรยาของหมอนั้น วันหนึ่งหมอได้รักษาตาของเศรษฐีคนหนึ่งจนหายขาดแล้ว แต่เศรษฐีไม่ยอมจ่ายค่ารักษา

ภรรยาจึงบอกกับสามีว่า “พี่จงทำยาขึ้นอย่างหนึ่งให้มีฤทธิ์แรง แล้วเอาไปให้เศรษฐีผู้นั้น บอกว่าตายังไม่หายสนิท ขอให้ใช้ยานี้ป้ายอีก”

หมอตาทำตามที่ภรรยาบอกฝ่ายเศรษฐีเชื่อในสรรพคุณยา ของหมอ ก็ทำตาม ตาของเศรษฐีก็กลับบอด สนิทในไม่ช้าด้วย บาปที่ทำไว้ในชาติก่อน ส่งผลให้ทั้งสองคนต้องตาบอดไปในชาตินี้

ฝ่ายสุวรรณสาม คอยพ่อแม่อยู่ที่ศาลา ไม่เห็นกลับมาตามเวลา จึงออกเดินตามหา ในที่สุดก็พบพ่อแม่ วนเวียนอยู่ข้างจอมปลวก เพราะนัยน์ตาบอด หาทางกลับไม่ได้ สุวรรณสามจึงถามว่า เกิดอะไรขึ้น เมื่อพ่อแม่เล่าให้ฟัง สุวรรณสามก็ร้องไห้ แล้วก็หัวเราะ พ่อแม่จึงถามว่าเหตุใดจึงร้องไห้แล้วก็หัวเราะ เช่นนั้น

สุวรรณสาม ตอบว่า “ลูกร้องไห้เพราะเสียใจที่พ่อแม่นัยน์ตาบอด แต่หัวเราะ เพราะลูกดีใจที่ลูกจะได้ ปรนนิบัติดูแล ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ที่เลี้ยงดูลูกมา พ่อแม่อย่าเป็นทุกข์ไปเลย ลูกจะปรนนิบัติ ไม่ให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อนแต่อย่างใด”

จากนั้น สุวรรณสามก็พาพ่อแม่กลับไปยังศาลาที่พัก จัดหาเชือก มาผูกโยงไว้โดยรอบ สำหรับพ่อแม่จะได้ใช้จับเป็นราวเดินไป ทำอะไรๆ ได้สะดวกในบริเวณศาลานั้นทุกๆ วัน สุวรรณสาม จะไปตักน้ำมา สำหรับพ่อแม่ได้ดื่มได้ใช้ และไปหา ผลไม้ในป่ามาเป็นอาหารและตนเอง เวลาที่สุวรรณสามออกป่าหาผลไม้ บรรดาสัตว์ทั้งหลาย จะพากันมาแวดล้อมด้วยความไว้วางใจ เพราะสุวรรณสาม เป็นผู้มีเมตตาจิต ไม่เคยทำอันตรายแก่ฝูงสัตว์ สุวรรณสามจึงมีเพื่อนแวดล้อมเป็นบรรดา สัตว์นานาชนิด พ่อแม่ลูกทั้งสามจึงมีแต่ความสุขสงบ ปราศจาก ความทุกข์ร้อนวุ่นวายทั้งปวง

อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาแห่งเมืองพาราณสี พระนามว่า “กบิลยักขราช” เป็นผู้ชอบออกป่าล่าสัตว์ พระองค์เสด็จออกล่าสัตว์ มาจนถึงท่าน้ำที่สุวรรณสามมาตักน้ำไปให้พ่อแม่ พระราชาสังเกตเห็น รอยเท้า สัตว์ชุกชุมในบริเวณนั้น จึงซุ่มคอยจะยิงสัตว์ที่ผ่านมากินน้ำ ขณะนั้น สุวรรณสามนำหม้อน้ำมาตักน้ำไปใช้ที่ศาลาดังเช่นเคย มีฝูงสัตว์เดินตามมาด้วยมากมาย พระราชาทอดพระเนตรเห็น ก็ทรงแปลกพระทัยว่า สุวรรณสามเป็นมนุษย์หรือเทวดา เหตุใดจึง เดินมา กับฝูงสัตว์

ครั้นจะเข้าไปถามก็เกรงว่าสุวรรณสาม จะตกใจหนีไป ก็จะไม่ได้ตัวจึงคิดจะยิงด้วยธนูให้หมด กำลังก่อนแล้วค่อยจับตัวไว้ซักถาม เมื่อสุวรรณสามลงไปตักน้ำแล้ว กำลังจะเดินกลับไปศาลา พระราชากบิลยักขราชก็เล็งยิงด้วยธนูอาบยา ถูกสุวรรณสาม ที่สำตัวทะลุจากขวาไปซ้าย

สุวรรณสามล้มลงกับพื้น แต่ยังไม่ถึงตาย จึงเอ่ยขึ้นว่า “เนื้อของเรากินไม่ได้ หนังของเราเอาไปทำอะไรก็ไม่ได้ จะยิงเราทำไม คนที่ยิงเราเป็นใคร ยิงแล้วจะ ซ่อนตัวอยู่ทำไม”

กบิลยักขราชได้ยินวาจาอ่อนหวานเช่นนั้นก็ยิ่งแปลกพระทัย ทรงคิดว่า “หนุ่มน้อยนี้เป็นใครหนอ ถูกเรายิงล้มลงแล้ว ยังไม่โกรธเคือง กลับใช้ถ้อยคำอันอ่อนหวาน แทนที่จะด่าว่า ด้วยความ โกรธแค้น เราจะต้องแสดงตัวให้เขาเห็น”

คิดดังนั้นแล้ว พระราชาจึงออกจากที่ซุ่มไปประทับอยู่ข้างๆ สุวรรณสาม พลางตรัสว่า “เราชื่อกบิลยักขราช เป็นพระราชา แห่งแมืองพาราณสี เจ้าเป็นผู้ใด มาทำอะไรอยู่ในป่านี้”

สุวรรณสามตอบไปตามความจริงว่า “ข้าพเจ้าเป็นบุตรดาบส ชื่อว่าสุวรรณสาม พระองค์ยิงข้าพเจ้าด้วยธนูพิษ ได้รับ ความเจ็บปวดสาหัส พระองค์ประสงค์อะไรจึงยิงข้าพเจ้า”

พระราชาไม่กล้าตอบความจริง จึงแสร้งตรัสเท็จว่า “เราตั้งใจจะยิงเนื้อเป็นอาหาร แต่พอเจ้ามาเนื้อก็ เตลิดหนีไปหมด เราโกรธจึงยิงเจ้า “

สุวรรณสามแย้งว่า“เหตุใดพระองค์จึงตรัสอย่างนั้น บรรดาสัตว์ทั้งหลายในป่านี้ไม่เคยกลัวข้าพเจ้า ไม่เคยเตลิด หนีข้าพเจ้าเลย สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนของข้าพเจ้า”

พระราชาทรงละอายพระทัยที่ตรัสความเท็จแก่สุวรรณสาม ผู้ถูกยิงโดยปราศจากความผิด จึงตรัสตามความจริงว่า “เป็นความจริงตามที่เจ้าว่า สัตว์ทั้งหลายมิได้กลัวภัย จากเจ้าเลย เรายิงเจ้าก็เพราะความโง่เขลาของเราเอง เจ้าอยู่กับใครในป่านี้ ออกตักน้ำไปให้ใคร”

สุวรรณสามบ้วนโลหิตออกจากปาก ตอบพระราชาว่า “ข้าพเจ้าอยู่กับพ่อแม่ ซึ่งตาบอดทั้งสองคน อยู่ในศาลา ในป่านี้ ข้าพเจ้าทำหน้าที่ปรนนิบัติพ่อแม่ ดูแลหาน้ำและอาหาร สำหรับท่านทั้งสอง เมื่อข้าพเจ้า มาถูกยิงเช่นนี้ พ่อแม่ก็จะไม่มี ใครดูแลปรนนิบัติอีกต่อไป อาหารที่ศาลายังพอสำหรับ 6 วัน แต่ไม่มีน้ำ พ่อแม่ของข้าพเจ้าจะต้องอดน้ำและอาหาร เมื่อปราศจากข้าพเจ้า โอ พระราชา ความทุกข์ ความเจ็บปวด ที่เกิดจากถูกยิงด้วยธนูของท่านนั้น ยังไม่เท่าความทุกข์ ความเจ็บปวดที่เป็นห่วงพ่อแม่ของข้าพเจ้า จะต้องได้รับ ความเดือดร้อนเพราะขาดข้าพเจ้าผู้ปรนนิบัติ ต่อไปนี้พ่อแม่คงไม่ได้เห็นหน้าข้าพเจ้าอีก แล้ว” สุวรรณสามรำพันแล้วร้องไห้ด้วยความทุกข์ใจอย่างยิ่ง

พระราชาทรงได้ยินดังนั้นก็เสียพระทัยยิ่งนักว่า ได้ทำร้าย สุวรรณสามผู้มีความกตัญญูสูงสุด ผู้ไม่เคยทำอันตราย ต่อสิ่งใดเลย จึงตรัสกับสุวรรณสามว่า “ท่านอย่ากังวลไปเลย สุวรรณสาม เราจะรับดูแลปรนนิบัติพ่อแม่ของท่านให้เหมือน กับที่ท่านได้เคย ทำมา จงบอกเราเถิดว่าพ่อแม่ของท่านอยู่ที่ไหน”

สุวรรณสามได้ยินพระราชาตรัสให้สัญญาก็ดีใจ กราบทูลว่า “พ่อแม่ของข้าพเจ้าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มาก นัก ขอเชิญเสด็จไปเถิด

พระราชาตรัสถามว่า สุวรรณสามจะสั่งความไปถึงพ่อแม่ บ้างหรือไม่ สุวรรณสามจึงขอให้พระราชาบอกพ่อแม่ว่า ตนฝากกราบไหว้ลาพ่อแม่มากับพระราชา เมื่อสุวรรณสาม ประนมมือกราบลงแล้ว ก็สลบไป ด้วยธนูพิษ ลมหายใจหยุด มือเท้าและร่างกายแข็งเกร็งด้วยพิษยา

พระราชาทรงเศร้า เสียพระทัยยิ่งนัก รำลึกถึงกรรมอันหนักที่ได้ก่อขึ้นในครั้งนี้ แล้วก็ทรงระลึกได้ว่า ทางเดียวที่จะช่วยผ่อนบาปอันหนักของ พระองค์ได้ก็คือ ปฏิบัติตามวาจาที่สัญญาไว้กับสุวรรณสาม คือไป ปรนนิบัติดูแลพ่อแม่สุวรรณสาม เหมือนที่สุวรรณสามได้เคยกระทำมา พระราชากบิลยักขราชจึงนำหม้อน้ำที่สุวรรณสามตักไว้นั้น ออกเดินทางไปศาลาที่สุวรรณสามบอกไว้

ครั้นไปถึง ทุกูลดาบสได้ยินเสียงฝีเท้าพระราชา ก็ร้องถามขึ้นว่า “นั่นใครขึ้นมา ไม่ใช่สุวรรณสามลูกเราแน่ ลูกเรา เดินฝีเท้าเบา ไม่ก้าวหนักอย่างนี้”

พระราชาไม่กล้าบอกไปในทันทีว่าพระองค์ยิงสุวรรณสาม ตายแล้ว จึงบอกแต่เพียงว่า “ข้าพเจ้าเป็นพระราชา แห่งเมืองพาราณสี มาเที่ยวยิงเนื้อในป่านี้”

ดาบสจึงเชิญ ให้พระราชาเสวยผลไม้ และเล่าว่าบุตรชายชื่อสุวรรณสาม เป็นผู้ดูแลจัดหาอาหารไว้ให้ ขณะนี้สุวรรณสาม ออกไปตักน้ำ อีกสักครู่ก็คงจะกลับมาพระราชาจึงตรัสด้วยความเศร้าเสียพระทัยว่า “สุวรรณสาม ไม่กลับมาแล้ว บัดนี้สุวรรณสามถูกธนูของ ข้าพเจ้าถึงแก่ ความตายแล้ว”

ดาบสทั้งสองได้ยินดังนั้นก็เสียใจยิ่งนัก นางปาริกาดาบสินีนั้นแต่แรกโกรธ แค้นที่พระราชา ยิงสุวรรณสามตาย แต่ทุกูลดาบสได้ปลอบประโลมว่า “จงนึกว่าเป็นเวรกรรมของสุวรรณสามและของเราทั้งสองเถิด จงสำรวมจิตอย่าโกรธเคืองเลย พระราชาก็ได้ยอมรับผิดแล้ว”

พระราชาตรัสปลอบว่า “ท่านทั้งสองอย่ากังวลไปเลย ข้าพเจ้าได้สัญญากับสุวรรณสามแล้วว่าจะปรนนิบัติ ท่านทั้งสองให้เหมือนกับที่สุวรรณสามเคยทำมาทุกประการ”

ดาบสทั้งสองอ้อนวอนพระราชาให้พาไปที่สุวรรณสาม นอนตายอยู่ เพื่อจะได้สัมผัสลูบคลำลูกเป็นครั้งสุดท้าย พระราชาก็ทรงพาไป ครั้นถึงที่สุวรรณสามนอนอยู่ ปาริกาดาบสินีก็ช้อนเท่าลูกขึ้นวางบนตัก ทุกูลดาบส ก็ช้อนศีรษะสุวรรณสามประคองไว้บนตัก ต่างพากัน รำพันถึงสุวรรณสามด้วยความโศกเศร้า บังเอิญปาริกา ดาบสินีลูบคลำบริเวณหน้าอกสุวรรณสาม รู้สึกว่ายังอบอุ่นอยู่ จึงคิดว่าลูกอาจจะเพียงแต่ สลบไป ไม่ถึงตาย

นางจึงตั้ง สัตยาธิษฐานว่า “สุวรรณสามลูกเราเป็นผู้ที่ประพฤติดีตลอดมา มีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่อย่างยิ่ง เรารักสุวรรณสาม ยิ่งกว่าชีวิตของเราเอง ด้วยสัจจวาจาของเรานี้ ขอให้พิษ ธนูจงคลายไปเถิด ด้วยบุญกุศลที่สุวรรณสามได้เลี้ยงดู พ่อแม่ตลอดมา ขออานุภาพแห่งบุญจงดล บันดาลให้ สุวรรณสามฟื้นขึ้นมาเถิด” เมื่อนางต้งสัตยาธิษฐานจบ สุวรรณสามก็พลิกกายไป ข้างหนึ่งแต่ยังนอนอยู่ ทุกูลดาบสจึงตั้งสัตยาธิษฐาน เช่นเดียวกัน สุวรรณสามก็พลิกกายกลับไปอีกข้างหนึ่ง

ฝ่ายนางเทพธิดาวสุนธรี ผู้ดูแลรักษาอยู่ ณ บริเวณ เขาคันธมาทน์ ก็ได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า “เราทำหน้าที่ รักษาเขาคันธมาทน์มาเป็นเวลานาน เรารักสุวรรณสาม ผู้มีเมตตาจิต และมีความกตัญญูยิ่งกว่าใคร ด้วยสัจจวาจานี้ ขอให้พิษจงจางหายไปเถิด”

ทันใดนั้น สุวรรณสามก็พลิกกายฟื้นตื่นขึ้น หายจาก พิษธนูโดยสิ้นเชิง ยิ่งกว่านั้นดวงตาของพ่อและแม่ ของสุวรรณสามก็กลับแลเห็นเหมือนเดิม พระราชา ทรงพิศวงยิ่งนัก จึงตรัสถามว่าสุวรรณสามฟื้นขึ้นมา ได้อย่างไร

สุวรรณสามตอบพระราชาว่า “บุคคลใดเลี้ยงดูปรนนิบัติบิดามารดาด้วยความรักใคร่เอาใจใส่ เทวดาและมนุษย์ย่อมช่วยคุ้มครองบุคคลนั้น นักปราชญ์ย่อม สรรเสริญ แม้เมื่อตายไปแล้ว บุคคลนั้นก็จะได้ไปบังเกิด ในสวรรค์ เสวยผลบุญแห่งความกตัญญูกตเวทีของตน”

พระราชากบิลยักขราชได้ยินดังนั้นก็ชื่นชมโสมนัสตรัสกับ สุวรรณสามว่า “ท่านทำให้จิตใจและดวงตาของ ข้าพเจ้า สว่างไสว ข้าพเจ้ามองเห็นธรรม ต่อนี้ไป ข้าพเจ้าจะรักษาศีล จะบำเพ็ญกุศลกิจ จะไม่เบียด เบียนชีวิตสัตว์อีกแล้ว” ตรัสปฏิญญาณแล้วพระราชาก็ทรงขอขมาโทษที่ได้กระทำ ให้สุวรรณสามเดือดร้อน แล้วพระองค์ก็เสด็จ กลับพาราณสี ทรงปฏิบัติตามที่ได้ตรัสไว้ทุกประการจนตลอดพระชนม์ชีพ

ฝ่ายสุวรรณสามก็เลี้ยงดูปรนนิบัติพ่อแม่ บำเพ็ญเพียรใน ทางธรรมเมื่อสิ้นชีพก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก ร่วมกับพ่อแม่ ด้วยกุศลกรรมที่กระทำมาคือ ความเมตตากรุณาต่อมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย และความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา อันเป็นกุศลกรรมสูงสุดที่บุตรพึงกระทำต่อบิดามารดา

ติธรรม : บำเพ็ญเมตตาบารมี
ว่าด้วยเรื่องของความมีเมตตาจิต ซึ่งจะทำให้ชีวิตสุขสงบได้โดยไร้ภยันอันตรายใดๆ ธรรมนั้นคือเกราะแก้วมิให้ถูกผู้ใดทำร้ายได้เป็นแน่แท้

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน

mp 3 (for download) : ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน

หลวงพ่อปราโมทย์: เพราะฉะนั้นเราฝึกฝนตนเองนะ ฝึก เมื่อใดรู้ทุกข์แจ่มแจ้งเมื่อนั้นละสมุทัย เมื่อใดละสมุทัยเมื่อนั้นแจ้งนิโรธ เมื่อทั้ง ๓ นี้ เมื่อเดียวกันนะ เมื่อใดรู้ทุกข์เมื่อนั้นละสมุทัย เห็นมั้ย ขณะเดียวกัน เมื่อใดละสมุทัยเมื่อนั้นแจ้งนิโรธ ขณะเดียวกัน เมื่อใดรู้ทุกข์ละสมุทัยแจ้งนิโรธ เมื่อนั้นแหละ อริยมรรคล่ะ เพราะฉะนั้น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกิดขึ้นในขณะเดียวกันนั้นเอง ทำกิจของอริยสัจจ์ ๔ เสร็จในขณะเดียวกันนั้นแหละนะ ถ้าทำทีละตอนๆ วันนี้รู้ทุกข์ วันนี้ละสมุทัย วันนี้แจ้งนิโรธ ไม่จริงหรอก ของปลอมนะ

ครั้งหนึ่งนะ สมัยพุทธกาล มีพระสูตรอยู่สูตรหนึ่ง หลวงพ่อลืมชื่อไปแล้ว ลืมชื่อลืมเล่ม ใครอยากรู้เล่มไหนลองไป search ดู search คำว่า พระควัม พระควัมท่านชื่อจริงเต็มว่าอะไรนะ “พระควัมปติ” ครั้งหนึ่ง พระอรหันต์หลายองค์อยู่ด้วยกันนะ ไม่ได้อยู่กับพระพุทธเจ้า ท่านไปอยู่ด้วยกัน มีความสุขมาก พระอรหันต์ท่านอยู่ด้วยกันท่านมีความสุข เช้ามาท่านไปบิณฑบาต ในตำราไม่ได้บอกว่าไปบิณฑบาตด้วยกันหรือเปล่านะ เช้ามาท่านไปบิณฑบาต กลับมาฉันเรียบร้อย ตำราก็ไม่ได้บอกว่ามาฉันด้วยกันหรือเปล่า ท่านบอกว่า พอหลังฉันแล้วเนี่ย ท่านมานั่งคุยกัน ทำไมท่านไม่ไปนั่งสมาธิเดินจงกรม ท่านเสร็จธุระแล้วนะ พระอื่นยังเอาอย่างไม่ได้นะ ฉันเสร็จแล้วต้องไปเดินจงกรม ไปนอนไม่ได้นะ นั่งคุยไม่ได้นะ ท่านคุยกันแล้วก็มีองค์หนึ่งนะ ท่านก็ปรารภขึ้นมา เมื่อใดรู้ทุกข์ เมื่อนั้นละสมุทัย เมื่อใดละสมุทัย เมื่อนั้นแจ้งนิโรธ การรู้ทุกข์ ละสมุทัย แจ้งนิโรธ นั้นล่ะ มรรคล่ะ พระอรหันต์ที่เหลือ (กล่าว) สาธุ… ถูก แหมถูกอกถูกใจ

พระควัมปติท่านก็พูดขึ้นมา บอกว่า ผมเคยได้ยินพระพุทธเจ้าตรัสไว้นะ เมื่อใดรู้ทุกข์เป็นอันละสมุทัย แจ้งนิโรธ เจริญมรรค เมื่อไรละสมุทัยนะ ก็เป็นอันรู้ทุกข์ แจ้งนิโรธ เจริญมรรค เมื่อไรแจ้งนิโรธ ก็เป็นอันรู้ทุกข์ ละสมุทัย เจริญมรรค เมื่อไรมรรคเกิดขึ้น เจริญมรรคหมายถึงมรรคเกิดขึ้น เมื่อนั้นล่ะรู้ทุกข์ ละสมุทัย แจ้งนิโรธ เห็นมั้ยภูมิปัญญาต่างกันนะ ปัญญาของสาวกเห็นได้ด้านเดียวเอง ถ้ารู้ทุกข์ก็เป็นอันละสมุทัย แจ้งนิโรธ เกิดอริยมรรค ขึ้นมา พระพุทธเจ้ามองได้ ๔ มุม เลย เพราะว่า ๔ อันนี้เกิดด้วยกัน นี่ปัญญาตรัสรู้นะ ต่างกันมากนะ เทียบกันไม่ติดหรอก สาวกเห็นมุมเดียวก็วิเศษวิโสแล้วนะ

เพราะฉะนั้นพวกเราบุญนักหนานะ เกิดมาในแผ่นดินซึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้ายังดำรงอยู่นะ ต้องปฏิบัติธรรม ต้องศึกษาแล้วก็เอาไปปฏิบัติให้สมควรแก่ธรรม เราถึงจะได้ประโยชน์จากธรรมะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๓

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๖
Track: ๘
File: 530829B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๑๑ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : จิตเป็นวิญญาณขันธ์ จัดเป็นกองทุกข์ หรือจิตไม่เป็นขันธ์

จิตเป็นวิญญาณขันธ์ จัดเป็นกองทุกข์ หรือจิตไม่เป็นขันธ์

ถาม  : จิตเป็นวิญญาณขันธ์ จัดเป็นกองทุกข์ หรือจิตไม่เป็นขันธ์ ขอความกรุณาอาจารย์สุรวัฒน์ช่วยอธิบายด้วยครับ

ตอบ : ต้องนิยามคำว่า “จิต” ให้ชัดเจนก่อนครับว่า หมายถึงอะไร
เพราะคำนี้มีใช้ในหลายความหมาย ไม่มีนิยามความหมายที่ตายตัว
เช่น จิตของคนทั่วไปก็อย่างหนึ่ง จิตพระอรหันต์ก็อีกอย่างหนึ่ง
จึงต้องดูอีกว่ากำลังใช้คำว่า “จิต” ในการสื่อความเรื่องใด

ถ้าเป็นการเรื่อง ขันธ์ ๕ ของคนทั่วไป
จิตจะมีความหมายรวมถึง เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
ซึ่งยังเป็นขันธ์ที่เป็น อุปาทานขันธ์

ส่วนจิตพระอรหันต์ ผมก็ไม่ทราบว่าจัดเป็นขันธ์หรือไม่
ถ้าจัดเป็นขันธ์ก็คงเป็นขันธ์ที่ไม่เป็นที่ตั้งของอุปาทานอีก

แต่ในบางกรณี ก็พบการใช้คำว่า จิต ในความหมายของ วิญญานขันธ์อย่างเดียว
ส่วนตำราพระอภิธรรมจะอธิบาย จิต ว่าเป็นธรรมชาติรู้อารมณ์

ถาม : อุปาทานขันธ์ อยู่รวมใน ขันธ์ห้า ด้วยหรือยังไงครับ?

ตอบ : อุปาทานขันธ์ ก็คือ ขันธ์ ๕ ของผู้ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์
ถ้าเป็นพระอรหันต์วันใด วันนั้นขันธ์ ๕ ก็ไม่ใช่อุปทานขันธ์อีกต่อไปครับ

ส่วนวิญญาณขันธ์นั้น
ได้แก่ ขันธ์ที่ทำหน้าที่รู้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์ (รู้อารมณ์)
แต่จะเป็นผู้รู้หรือไม่นั้น ถ้าจะว่ากันง่ายๆ ก็ต้องดูว่า
ในขณะนั้นมีความตั้งมั่นในการรู้อารมณ์หรือไม่
ถ้ามีความตั้งมั่นในการรู้อารมณ์ ก็เรียกว่าผู้รู้ได้
แต่ถ้ารู้แบบไม่ตั้งมั่น ไหลไปจมแช่อารมณ์ ก็ไม่เรียกว่าผู้รู้ครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทศชาติชาดก : ชาติที่ 2 พระมหาชนก (วิริยะบารมี)

ในอดีตที่ล่วงมาแล้ว มีพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งนามว่า มหาชนก เสวยราชสมบัติในเมืองมิถิลา ท้าวเธอมีโอรสสองพระองค์ องค์หนึ่งนามว่า อริฎฐชนก อีกองค์หนึ่งมีนามว่าโปลชนก พระองค์ได้ทรงตั้งอริฎฐชนกในตำเเหน่ง อุปราช และโปลชนกในตำเเหน่ง เสนาบดี ต่อมาเมื่อท้าวเธอสวรรคตแล้ว อุปราชก็ได้ขึ้นครองแผ่นดินเสวยราชสมบัติแทน และได้แต่งตั้งเจ้าโปลชนกผู้เป็นน้องให้เป็นอุปราช ในขณะเมื่อเจ้าอริฎฐชนกเป็นอุราชอยู่นั้นก็รู้สึกว่าเป็นคนยุติธรรมดีอยู่ แต่เมื่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วหูเบา ฟังแต่ถ้อยคำคนประจบสอพลอ เพราะตามธรรมดาคนประจบสอพลอนั้น จะต้องหาเรื่องฟ้องคนนั้นคนนี้อยู่เสมอ เพราะคนไม่ทำงานแต่ก็อยากได้ความชอบ และการได้ความชอบโดยไม่ต้องทำงานวิธีง่ายที่สุดคือเหยียบย่ำผู้อื่นให้ตกแล้วตนจะได้แทนตำแหน่งนั้น

ตามธรรมดาของโลกย่อมจะมีเช่นนี้ตลอดกาล ผู้ทรงอำนาจกับความหูเบามักจะเป็นของคู่กัน ถ้าใครได้อ่านพงศาวดารจีน หรือแม้แต่ประวัติศาตร์ของไทย จะเห็นความหูเบามักจะทำไห้บ้านเมืองต้องพินาศ เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน
เจ้าอุปราชโปลชนกถูกกล่าวหาจากผู้ใกล้ชิดของพระเจ้ากรุงมิถิลาว่าจะทำการกบฎ เพราะเจ้าอุปราชทรงอำนาจในทางการเมืองมาก ครั้งแรกก็ยัง ไม่ยอมเชื่อ ครั้งที่สองก็ชักลังเล พอครั้งมี่สามก็ทรงเชื่อเอาเลย ลืมคิดว่าผู้เป็นน้องของพระองค์ที่คลานตามกันออกมาแท้ ๆ ลักษณะเช่นนี้เข้าหลักที่ว่า

“อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลักไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว”

แม้ความรักระหว่างพี่กับน้องก็ตัดได้ ถึงกับสั่งให้จับพระมหาอุปราชไปคุมขังไว้ยังที่แห่งหนึ่ง โดยหาความผิดมิได้มีคนควบคุมอยู่อย่างแข็งแรง เจ้าอุปราชถูกควบคุมโดยหาความผิดมิได้ ก็คิดจะหลบหนีออกไป จึงตั้งสัตย์อธิษฐานว่า
“ขอเดชะพระเสื้อเมืองทรงเมืองที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายตัวข้าพเจ้ามิได้คิดทรยศต่อที่ชายเลย แต่กลับถูกจับคุมขังทำโทษหาความผิดมิได้ ถ้าใจของข้าพเจ้าซื่อสัตย์ต่อพี่ชายจริงแล้ว ขอให้โซ่ตรวนขื่อคาตลอดจนประตูคุก จงเปิดให้ประจักษ์เถิด”
พอสิ้นคำอธิษฐานเท่านั้นด้วยความสัตย์สุจริตของมหาอุปราช บรรรดาเครื่องจองจำทั้งหลายก็หลุดออกจากกายของพระองค์ประตูเรือนจำก็เปิด มหาอุปราชก็เลยหนีออกจากที่นั้นไปซุ่มซ่อนอยู่ตามชายแดน

พวกพลเมืองได้ทราบข่าวอุปราชหนีออกมา และเห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินเชื่อถือแต่คำสอพลอถึงกับกำจัดน้องในไส้จึงพากันเห็นใจเจ้าอุปราช ๆ ก็ไพล่พลมากขึ้น ตอนนี้พระเจ้าแผ่นดินไม่กล้าส่งคนออกติดตามแล้ว เพราะกลัวจะเกิดศึกกลางเมืองขึ้น เพราะทราบดีว่าถ้าส่งคนออกไปจับเจ้าอุปราชก็คงจะต้องสู้จึงเลยทำเป็นใจดีไม่ติดตาม

เจ้าอุปราชรวบรวมไพล่พลได้พอสมควรแล้วก็คิดว่า
“ครั้งก่อนเราซื่อสัตย์ต่อพี่ชาย แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎถูกจับคุมขัง จนต้องทำสัตยาอธิษธานจึงหลุดพ้นออกมาได้ ต่อไปนี้เราจะต้องทำความชั่วตอบแทนพี่ชายบ้างล่ะ”
เมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้ว เจ้าโปลชนกก็รวบรวมไพล่พลเสบียงอาหาร พร้อมแล้วก็ยกกองทัพเข้ามายังมิถิลานคร บรรดาหัวเมืองรายทางรู้ว่าเป็นกอง ทัพของพระเจ้าโปลชนก ก็ไม่สู้กลับเข้าด้วยเสียอีก เจ้าโปลชนกก็เลยได้คนมากขึ้นอีก ทัพก็ยกมาได้โดยเร็วเพราะหาคนต้านทานมิได้ ตราบจนกระทั่งถึงชานพระนคร จึงมีสาส์นส่งเข้าท้ารบว่า
“พระเจ้าพี่ ครั้งก่อนหม่อมฉันไม่เคยจะคิดประทุษร้ายพระเจ้าพี่เลย แต่หม่อมฉันก็ต้องถูกจองจำทำโทษที่พระเจ้าพี่เชื่อแต่คำสอพลอ บัดนี้หม่อมฉันจะประทุษร้ายพระเจ้าพี่บ้างล่ะ ถ้าจะไม่ให้เกิดสงคราม ขอให้พระเจ้าพี่มอบราชสมบัติให้หม่อมฉันเสียโดยดี ถ้าไม่ให้ก็จงเร่งเตรียมตัวออกมาชนช้างกับหม่อมฉันในวันรุ่งขึ้น

พระเจ้าอริฎฐชนก พอมาถึงตอนนี้ก็ต้องตกกระไดพลอยโจน จึงคิดจะยกพลออกไปต่อสู้กัน แต่ในขณะนี้นพระอัครมเหสีทรงพระครรภ์อยู่ พระเจ้าอริฎฐชนกจึงตรัสเรียกมาสั่งว่า
“น้องหญิง ขึ้นชื่อว่าสงครามแล้วไม่ดีเลย เพราะมีแต่ความพินาศเท่านั้น ประดุจสาดน้ำรด กันก็ย่อมจะเปียกปอนไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
อีกประการหนึ่งเป็นเรื่องที่คาดหมายลงไปแล้วแน่นอนว่าจะชนะฝ่ายเดียวนั้นก็ไม่ได้ พี่จะยกพลออกไปสู้กับเจ้าโปลชนก หากพี่เป็นอะไรไป เจ้าจงพยายามรักษาครรภ์ให้จงดีเจ้าจงคิดถึงลูกของเราให้มาก”

แล้วก็ยกพลออกไป และก็เป็นตามลางสังหรณ์ที่พระเจ้าอริฎฐชนกคาดว่าจะแพ้ก็แพ้จริง ๆ เพราะเมื่อได้ชนช้างกับเจ้าโปลชนกก็พลาดพลั้งเสียที ถูกเจ้าโปลชนกฟันสิ้นพระชนม์กับคอช้าง ไพล่พลก็แตกกระจัดกระจายพ่ายหนีอย่างไม่เป็นกระบวน

พระเทวีได้ทราบข่าวว่าพระสวามีสิ้นพระชนม์ และประชาชนพลเมืองแตกตื่นอุ้มลูกจูงหลานหนีข้าศึก พระนางก็เก็บของมีค่าใส่ลงใน กระเช้า เอาผ้าเก่า ๆ ปิดแล้วแอาข้าวสารใส่ข้างบน แล้วแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่า ๆ ร้องไห้ฟูมฟายหลบหนีปะปนไปกับประชาชนพลเมือง โดยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
“จะหนีไปทางใดจึงจะรอดพ้นจากข้าศึก” พระนางคิดอยู่แต่ในใจ แล้วระลึกขึ้นได้ว่า
“เมืองกาลจัมปาอยู่ทางทิศเหนือกับมิถิลา ถ้าหากหลบหนีไปเมืองนี้ได้ก็ปลอดภัย” จึงพยายามดั้นด้นไปจนออกประตูด้านเหนือของเมืองได้

ด้วยบุญญาธิการของทารกในครรภ์ บันดาลให้ร้อนไปถึงพระอินทร์ เข้าลักษณะที่ว่า “ทิพย์อาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กระด้างดังศิลาประหลาดใจ จะมีเหตุมั่นแม่นในแดนดิน ” อมรินทร์เร่งคิดสงสัย จึงสอดส่องทิพย์เนตรดูเหตุภัย ก็ได้ทราบว่าพระโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ในครรภ์ของพระนางจะได้รับทุกข์ พระนางจะไปเมืองกาลจัมปาแต่ก็ไม่รู้จักหนทาง เดี๋ยวนี้ไปนั่งถามทางผู้คนที่ผ่านไปมาอยู่ ณ ศาลาพักคนเดินทางจำจะต้องอนุเคราะห์ ถ้าไม่อนุเคราะห์หัวเราจะต้องแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง เออ.? คิดดูก็น่าหนักใจแทนพระอินทร์เสียจริง ไม่ว่าคนมีบุญจะตกทุกข์ได้ยากอย่างไร เป็นต้องเดือดร้อนไปกับเขาด้วยเสมอ เวลาเขาเสวยสุขสิไม่ เคยคิดถึงพระอินทร์เลย จึงเนรมิตตนเป็นคนชรา ขับเกวียนผ่านมาทางนั้น พระนางพอเหลือบแลเห็นก็ออกปากถามทันที

“ตาจ๋า หลานอยากจะรู้ว่าเมืองกาลจัมปาอยู่ทางไหน”
“แม่หนูจะไปไหนล่ะ”
“ฉันจะไปเมืองกาลจัมปา”
“ญาติฉันมีอยู่ทางเมืองนั้น สามีออกไปรบข้าศึกก็ตายเสีย ฉันก็เลยจะพึ่งพาอาศัยญาติอยู่”
“ถ้าอย่างนั้นดีทีเดียว ตาก็จะไปเมืองกาลจัมปาเหมือนกันแม่หนูมาขึ้นเกวียนเถิด” เหมือนเทวดามาโปรด และแท้ที่จริงก็เทวดามาโปรดจริง ๆ


เมื่อขึ้นเกวียนเพราะความเหนื่อยและเพลียในการที่ระหกระเหิน พระนางก็เอนกายลงพักผ่อนและก็เลยหลับไป นางตื่นขึ้นในตอนเย็น ก็พบว่านางได้ถึงเมืองแห่งหนึ่ง จึงถามตาคนขับเกวียนว่า

ตาจ๋า เมืองที่เห็นอยู่ข้างหน้านั้นเขาเรียกว่าเมืองอะไร” “เมืองกาลจัมปาที่แม่หนูต้องการจะมานั้นเเหละ” “โอ.? ตา เขาว่าเมืองกาลจัมปาไกลตั้ง ๖๐ โยชน์ทำไมถึงเร็วนัก” “แม่หนูไม่รู้ดอก ตาเป็นคนเดินทางผ่านไปมาเสมอ ย่อมจะรู้จักทางอ้อม นี่ตามาทางลัดจึงเร็วนัก” เทวดาว่าเข้านั้น

บ้านอยู่ทางเหนือ จะต้องรีบไป ให้พระนางลงเสียตรงนี้ พระนางจึงลงจากเกวียนไปพักอยู่ที่ศาลาหน้าเมือง คิดไม่ตกว่าจะไปทางไหนดี เพราะเมืองนี้นางไม่รู้จักใครเลย
ในขณะนั้นอาจารย์ผู้ใหญ่ผู้หนึ่งพาลูกศิษย์เดินทาง ผ่านมาทางนั้น เห็นนางนั่งอยู่ในศาลาหน้าตาน่าเอ็นดูเกิดความสงสารเข้าสอบถามได้ความว่า นางหนีภัยมาจากข้าศึกมา ญาติพี่น้องก็ไม่มี
นางดูลักษณะ เห็นว่าเป็นคนดีก็ยอมไปด้วย และได้แสดงตนให้บรรดาศิษย์และคนอื่นทราบว่านางเป็นน้องของอาจารย์ผู้นั้น และได้ไปอาศัยอยู่กับอาจารย์ฐานะน้อง จวบจนกระทั่งนาง ได้คลอดบุตรว่า มหาชนก

มหาชนกเมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาไปกับเด็กทั้งปวง ถูกรังแกก็ต่อสู้ เด็กเหล่านั้นสู้ไม่ได้ วิ่งไปบอกพ่อแม่ว่าถูกเด็กลูกไม่มีพ่อทำร้ายเอา เมื่อเด็กพูดกันบ่อย ๆ มหาชนกก็เกิดสงสัย วันหนึ่งสบโอกาสจึงถามมารดาว่า
“แม่จ๋า ใครเป็นพ่อฉัน” “ก็ท่านอาจารย์นั้นเเหละเป็นบิดาของเจ้า” ครั้งแรกพระมหาชนกก็เชื่อ แต่เมื่อได้ยินพวกเด็ก ๆ ยังพูดอยู่เช่นนั้นก็เกิดสงสัย ดีร้ายมารดาเห็นจะไม่บอกกับเราจริง ๆ แม้ครั้งที่สองมหาชนกถามมารดาก็ตอบเช่นเดียวกับครั้งแรก มหาชนกจึงคิดหาอุบายจะให้มารดาบอกให้ได้ แม่จ๋า ขอให้บอกความจริงกับฉันเถิดว่า ใครเป็นพ่อของฉัน” “ก็ท่านอาจารย์ยังไงเล่าเป็นพ่อของเจ้า” “ทำไมแม่ให้ฉันเรียกว่าลุงเล่า” “เพราะอาจารย์อยากให้เรียกเช่นนั้น”


มหาชนกก็ยื่นคำขาดว่า “ถ้าแม่ไม่บอกความจริงให้ฉันทราบ ฉันจะกัดนมแม่ให้ขาดเลย” ไม่ใช่แต่พูดเปล่า ๆ มหาชนกเอาฟันดัดหัวนมมารดาจริง ๆ ด้วย แต่ไม่แรงนัก “โอ้ย ?แม่เจ็บ” มารดาอุทานออกมา “เมื่อเจ็บแม่ต้องบอกความจริงให้ฉันรู้” “เอาล่ะ แม่จะบอกให้รู้ แต่ที่ยังไม่บอกเจ้าก็เพราะเจ้ายังเล็กนักไม่สามารถทำอะไรได้ เจ้าเป็นลูก

กษัตริย์เมืองมิถิลานครบิดาของเจ้าชื่ออริฐชนก ถูกเจ้าอุปราชโปลชนกแย่งสมบัติ พ่อเจ้าตายในที่รบ มารดากำลังท้องอยู่ก็หลบหนีเซซัดมาอาศัยอยู่กับท่านอาจารย์ ณ ที่นี้”

และนับตั้งแต่นั้นมาเจ้ามหาชนกแม้จะถูกพวกเด็ก ๆ ว่าลูกไม่มีพ่อก็ไม่มีความโกรธเคือง และพยายามเล่าเรียนวิชาการทุกประเภท เพื่อต้องการจะกลับไปเอาราชสมบัติคืนให้จงได้ จวบจนกระทั่งอายุได้ ๑๖ ปี เจ้ามหาชนกก็เรียนศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการจบหมด ผิวพรรณของเจ้ามหาชนกผ่องใสเปรียบเหมือนทองคำความคิดที่จะเอาสมบัติของพ่อคืนก็มากขึ้น วันหนึ่งจึงเข้าไปถามมารดาว่า “แม่จ๋า แม่จากเมืองมาแต่ตัวหรือว่าได้สมบัติของพ่อมาบ้าง” “เจ้าถามทำไม” “เพราะว่าลูกต้องการจะเอาไปทำทุน แก้แค้นเอาสมบัติของพ่อกลับคืนมา” “แม่เอาแก้วมาด้วย ๓ ดวง เป็นแก้ววิเชียน ๑ ดวง มณีดวง ๑ แก้วมุกดาดวง ๑ แก้วทั้ง ๓ นี้ มีราคามาก หากจะมาขายก็ได้เป็นเงินเป็นจำนวนมาก พอที่จะทำทุนสำหรับเอาราชสมบัติของพ่อเจ้ากลับคืนมาได้” “ลูกต้องเอาเพียงครึ่งเดียว เพี่อจะทำทุนไปค้าขายยังสุวรรณภูมิ จะได้รวบรวมเงินทองและผู้คนเพื่อชิงเอาราชสมบัติของพระบิดากลับคืนมาให้ได้” “เจ้าอย่าไปค้าขายเลย เอาแก้วสามดวงนี้แหละขายซ่องสมผู้คนเถิด เจ้าไปไกลแม่เป็นห่วง”

เจ้ามหาชนกก็ไม่ยินยอม มารดาจึงเอาเงินทองมาให้ เจ้ามหาชนกก็ซื้อสินค้าบรรทุกสำเภาเตรียมจะไปค้าขาย ณ สุวรรณภูมิกับพวกพ่อค้ามากหน้าหลายตาด้วยกัน เมื่อจัดแจงเรียบร้อยแล้ว มหาชนกก็มาลามารดาเพื่อจะเดินทาง
“เจ้าจงเดินทางโดยสวัสดิภาพ คิดอะไรให้สมปรารถนา” มารดาเจ้ามหาชนกให้พรแถมท้ายว่า “เจ้าจงอย่าจองเวรเลยสมบัติมันเสียไปแล้ว ก็แล้วไปเถิด เรามีอยู่มีกินก็พอสมควรแล้ว” แต่เจ้ามหาชนกก็บอกว่าอยากจะเดินทางท่องเที่ยวเป็นการเปิดหูเปิดตา และจะไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ในขณะที่เจ้ามหาชนกลงเรือเพื่อเดินทางไปค้าขายยังสุวรรณภูมินั้น ก็พอกับเจ้าโปลชนกกำลังประชวรหนักอยู่ในเมืองมิถิลานคร หลังจากที่ออกเดินทางเห็นแต่น้ำกับฟ้าแล้วประมาณได้สัก ๗ วัน เรือก็ประสบเข้ากับมรสุมอย่างหนัก ผลสุดท้ายเรือบรรทุกสินค้า และผู้โดยสารก็อัปปางลงท่ามกลางเสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้กลัวตาย แต่เจ้ามหาชนกมิได้คร่ำครวญร่ำไรอย่างคนอื่นเขา กับ ๑๕ วา นับว่าเป็นระยะไกลมาก


ขณะที่เรือของเจ้ามหาชนกอับปางนั้น ก็พอดีกับเจ้าโปลชนกซึ่งครองราชสมบัติอยู่ ณ กรุงมิถิลา เสด็จสวรรคตเพราะโรคาพาธ .. เจ้ามหาชนกมิได้ท้อถอย พยายามว่ายน้ำกระเสือกกระสนเพื่อจะให้รอดจากความตาย กล่าวว่านานถึง ๗ วัน และในวันที่ ๗ กำหนด

ได้ว่าเป็นวันอุโบสถ ก็ยังได้สมาทานโดยอธิษธานอุโบสถในขณะลอยคออยู่ในทะเล ..ด้วยบุญบารมีแต่ปางบรรพ์ของเจ้ามหาชนกได้ทำไว้ให้ ร้อนถึงนางเมขลาซึ่งกล่าวว่าเป็นผู้รักษาสมุทรดังที่เล่าไว้ในรามเกียรติ์ว่า นางเมขลาเป็นพนักงานรักษาสมุทร มีแก้วประจำตัวอยู่  ๑ ดวง ถ้านางโยนขึ้นจะเห็นแสงแวววับจับตา ซึ่งเราเรียกกันว่าฟ้าแล่บ ได้ไปเล่นกับเทพบุตรและนางฟ้าในเวลานักขัตฤกษ์ได้โยนแก้วเล่นแสง แก้วนี้ส่องไปจนรามสูรเห็นก็อยากได้ จึงไปไล่หวังจะได้แก้ว แต่ก็ไม่ได้ เพระนางเมขลาเอาแก้วส่องตาทำให้หน้ามืด เลยโมโหขว้างขวานหวังจะฆ่าซึ่งก็ไม่ถูกนาง ทางมนุษย์เราเรียกฟ้าร้องและฟ้าผ่านั้นเอง นี้แหละเป็นเรื่องของนางเมขลา
เผอิญวันเรือแตกนั้นนางเมขลากำลังไปประชุมอยู่กับเทพบุตรนางฟ้า จวบจนถึงวันที่  ๘ จึงกลับมา ได้เห็นมหาชนกว่ายน้ำอยู่จึงช่วยพาขึ้นจากสมุทรมาไว้ในอุทยานของพระเจ้าโปลชนก แล้วก็กลับไปที่อยู่ เจ้ามหาชนก ก็นอนหลับอยู่ในสวน

เมื่อเจ้ามมหาชนกมาหลับอยู่ในพระราชอุทยาน นั้น พระเจ้ากรุงมิถิลาสวรรคตได้  ๗ วันนี้ ราชธิดาของเจ้าโปลชนกพยายามเลือกหาผู้สมควร ให้เสวยราชสมบัติแทนพระบิดา โดยป่าวร้องให้อำมาตย์ข้าราชการมาเฝ้านางจะเลือกเอาเป็นคู่ครอง นางก็ไม่เลือกใคร ต่อมาถึงวาระเศรษฐีคฤหบดีก็ไม่มีใครได้นาง นางจึงปรึกษากับราชปุโรหิตว่า จะทำอย่างไรดีจึงจะได้คนมาครองราชสมบัติ ราชปุโลหิตจึงทูลตอบว่า
“ข้าแต่พระแม่เจ้า ตามโบราณมาถ้าพระเจ้าแผ่นดินไม่มีบุตรชาย ถึงแก่สวรรคตแล้ว อำมาตย์ข้าราชบริพานต่างก็จะเซ่นสรวงสังเวยเทพยดาอารักษ์ เสี่ยงราชรถออกไป ถ้าราชรถไปเกยถูกผู้ใด เห็นทีบุญแล้วก็จงเชิญมาครองราชสมบัติ”


“ถ้าเช่นนั้นท่านอาจารย์จงจัดแจงทำพิธีเสี่ยงราชรถเถิด” ราชปุโรหิตจึงจัดแจงทำบวงสรวงสังเวยอธิษฐานขอไห้ได้ผู้พระทำการสืบราชสมบัติแทน แล้วเทียมรถด้วยม้ามงคลปล่อยออกไป

ม้าที่นำรถนั้นเหมือนจะมีหัวใจ หรือไม่ก็ดูเหมือนมีคนมาชักสายขับขี่ไปให้บ่ายหน้าออกประตูเมืองด้านทิศตะวันออก มุ่งหน้าตรงไปยังอุทยานที่เจ้ามหาชนกนอนหลับอยู่ ราชรถไปถึงสวนหลวงก็เลี้ยวเข้าไปภายในสวน

เมื่อถึงที่เจ้ามหาชนกนอนอยู่ ก็ไป แล่นวนอยู่สามรอบก็หยุดที่ปลายเท้าของเจ้ามหาชนก ราชปุโรหิตที่ตามราชรถไปเห็นดังนั้นจึงคิดว่า
“ถ้าชายคนนี้เป็นผู้ทีบุญ เวลาได้ยินเสียงดุริยดนตรีคงจะไม่ตื่นตกใจ ถ้าไม่มีบุญคงตื่นตกใจหนีเป็นแน่” “จึงสั่งให้ประโคมดนตรีขึ้นพร้อมกันเสียงดังกึกก้อง

เจ้ามหาชนกได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครม รู้สึกตัวตื่นขึ้นก็เปิดผ้าคลุมหน้าออกดู ก็เห็นคนชุมนุมกันอยู่มากมายก็รู้ได้ทันทีว่าเรานี่จะถึงแก่สมบัติแล้ว เลยชักผ้าปิดหน้านอนต่อไป ราชปุโรหิตจึงคลานเข้าปลายพระบาท เลิกผ้าคลุมออกพิจารณาดูเท้า แล้วประกาศแก่ชนทั้งปวงที่มาร่วมชุมนุมกันว่า “อย่าว่าแต่จะครองสมบัติในเมืองเท่านี้แม้ราชสมบัติทั้ง  ๓ ทวิป ท่านผู้นี้ก็สามาถจะครอบครองได้

แล้วจึงสั่งให้ประโคมดนตรีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ดังยิ่งกว่าคราวแรกเสียอีก เจ้ามหาชนกจึงเปิดผ้ามองดู ราชปุโรหิตจึงทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ อย่าทรงบรรทมอยู่เลย สมบัติในเมืองมิถิลานี้มาถึงแล้ว” เจ้ามหาชนกจึงครัสถามว่า
“พระเจ้าแผ่นดินของพวกท่านไปไหนเสียเล่า จึงมาหาคนอย่างเราไปเป็นพระเจ้าแผ่นดิน”
“ขอเดชะ พระราชาพระองค์ก่อนได้เสด็จสวรรคตได้ ๗ วันแล้วพระเจ้าข้า”
“พระราชโอรสของพระแผ่นดินท่านไม่มีหรือ”
“ขอเดชะ ไม่มีพระเจ้าข้า มีแต่พระราชธิดาองค์เดียวเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นเราจะรับครองราชสมบัติ”

ราชปุโรหิตจึงเอาเครื่องทรงมาถวายให้เจ้ามหาชนกทรงทำพิธีมอบราชสมบัติมอบราชบัติกัน ณ ที่นั้นเอง แล้วจึงได้เสด็จขึ้นสู่พระราชมณเฑียร

พระราชธิดาคิดจะลองดูว่าคนผู้นี้จะมีปัญญาหรือไม่จึงตรัสให้ราชบุรุษคนหนึ่งไปทูลเจ้ามหาชน ว่าพระราชธิดารับสั่งให้เสด็จเข้าไปเฝ้า แต่เจ้ามหาชนกทำเป็นไม่ใส่ใจ เพียงดำเนินชมปรางค์ปราสาท ที่นั่นก็สวย ที่นี่ก็สวย แม้พระราชธิดาจะใช้ไห้มาเชิญ  ๒ ครั้ง ก็ยังปฎิบัติเช่น

ต่อมาเมื่อได้เวลาพอสมควรแล้ว เจ้ามหาชนกก็ได้เสด็จขึ้นสู่เรือนหลวง พระราชธิดาเสด็จออกมารับถึงบันได ยื่นพระหัตถ์ให้เจ้ามหาชนก ๆ จึงจับมือ พระราชธิดาพาเข้าไปประทับภายในพร้อมกับดำรัสเรียกราชปุโรหิตแล้วถามว่า
“พระราชาของพวกท่านจวนจะสวรรคต ได้รับสั่งข้อความว่าอย่างไรไว้บ้าง”
“บอกไว้ว่ามีอะไรบ้าง”

“ขอเดชะ มีรับสั่งไว้หลายประการ”
“ข้อแรก ถ้าผู้ใดทำให้สิวลีราชธิดาของเรายินดีได้ก็ให้ยกราชสมบัติให้ผู้นั้น”
“ข้อนี้ไม่มีปัญหาแล้ว พระนางได้ยื่นมือให้เราพาเข้าในเรือนหลวงแล้ว ข้อต่อไปเล่า”
“ข้อต่อไปนี้ให้ผู้ที่รู้จักบัลลังก์  ๔ เหลี่ยม ว่าที่ใดเป็นปลายเท้าและทางใดเป็นทางศีรษะ”

พอได้ยินเจ้ามหาชนกแกล้งทำเป็นไม่สนใจ หันไปสนทนากับสิวลีราชธิดาเสีย พร้อมถอดปิ่นจากศีรษะส่งให้พระราชธิดาซึ่งนางก็รู้ได้เท่าทัน รับปิ่นแล้ววางที่บัลลังก์  ๔ เหลี่ยม แล้วหันไปถามปุโรหิต
“ท่านว่าอย่างไรข้อต่อไป”
“ข้อต่อไปคือบัลลังก์   ๔ เหลี่ยม ให้รู้จักว่าทางไหนเป็นด้านเท้าและด้านศีรษะ”
เจ้ามหาชนกชี้ไปที่ด้านปิ่นวางอยู่ พลางบอกว่า
“ทางด้านนั้นแหละเป็นด้านศีรษะ”
“ขอเดชะ ข้อที่  ๓ เรื่องประลองกำลังพะย่ะค่ะ”
“ลองอย่างไร”
“ที่เมืองนี้มีธนูอยู่คันหนึ่งต้องใช้คนถึง  ๑.๐๐๐ คน จึงจะดึงสายธนูนี้ได้ ถ้าผู้ใดโก่งคันธนูคันนี้ได้ก็ให้ราชสมบัติแก่ผู้นั้น” “ข้อนี้ไม่ยาก พวกท่านไปเอาธนูคันนั้นมา”

ราชปุโรหิตจึงให้ทหารไปเอาธนูอันใหญ่โตมโหฬารมา ณ ที่นั้น เจ้ามหาชนกก็เสด็จลงไปหยิบคันธนูขึ้นมา ประดุจว่าของเบา แล้วลองขึ้นสายโก่งดูได้อย่างง่ายดายเพระเจ้ามหาชนกทรงกำลังประดุจช้างสาร เสร็จแล้วก็ลดสายวางคันธนูลงดังเก่า
“ข้อต่อไปเป็นเรื่องของการค้นหาขุมทรัพย์”
“พระองค์ตรัสไว้อย่างไร”
“พระองค์ตรัสว่า ขุมทรัพย์แห่งหนึ่งอยู่ในที่พระอาทิตย์ขึ้น
“เวลานี้ไม่พอจะค้นหาขุมทรัพย์ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยค้นหากันเถิด”
เป็นอันว่าวันนั้นเจ้ามหาชนกได้แสดงทั้งปัญญา และกำลังปรากฎแก่มหาชนทั้งปวงแล้ว

รุ่งขึ้น เจ้ามหาชนกก็ได้ให้ประชุมราชปุโรหิต และเสนาข้าราชบริพารทั้งปวงแล้วถามว่า
“ขุมทรัพย์ข้อต้นของพระราชาว่าอย่างไร”
“ขอเดชะ” ราชปุโรหิตกล่าวว่า “ข้อแรกที่ว่าขุมทรัพย์ ที่  ๑ ของเราอยู่ในที่พระอาทิตย์ขึ้น”
“พวกท่านคิดว่าอย่วงไร”
“พวกข้าพระองค์คิดว่าขุมทรัพย์นี้คงจะอยู่ในทางทิศตะวันออกของพระราชวัง พระเจ้าข้า”
“แล้วพวกท่านทำอย่างไรต่อไป” พวกข้าพระองค์ก็พากันขุดค้นในภาคพื้นทางด้านตะวันออก ในที่ ๆ สงสัยว่าจะฝังขุมทรัพย์ไว้”
“แล้วได้ผลเป็นอย่างไร”
“ผลคือไม่พบขุมทรัพย์อะไรเลย”
“ก็เป็นอันว่าพวกท่านไม่สามารถจะค้นหาได้แล้วใช่ไหม”
“พระเจ้าข้า”
“พระราชาของพวกท่าน ยังนิมนต์พระเข้ามาในพระราชนิเวศน์เพื่อถวายทานบ้างหรือเปล่า”
“ขอเดชะ ข้อนั้นเป็นกิจวัตรประจำวันของพระราชาของพวกข้าพระองค์ทีเดียว พระองค์นิมนต์พระปัจเจกโพธิมารับอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์ทุกวัน”
“พวกท่านทราบไหมว่าพระปัจเจกโพธินั้นเวลาพระราชาของพวกท่านเสด็จไปรับที่ใด หรือให้ใครไปคอยรับ”
“ขอเดชะ พระราชาเสด็จประทับยืนคอยรับอยู่ ณ บริเวณพระลานประจำเสมอ โดยมิได้ส่งใครไปคอยรับแทนพระองค์เลย”
“ถ้าเช่นนั้นพวกท่านจงไปขุดในที่ ๆ พระราชาของพวกท่านยืนคอยรับอยู่ที่นั้นเถิด”

พวกอำมาตย์ได้ยินดังนั้นก็ให้จัดแจงจอบเสียมแล้วพาไปขุดในที่นั้น ก็พบสมบัติของพระราชาเป็นขุมแรก ก็พากันดีประหลาดใจ เมื่อกลับมาก็พากันส่งเสียงด้วยความปีติว่า
“ขอเดชะ ขุมทรัพย์ที่พระองค์ชี้ให้ขุดนั้นพบแล้วพระเจ้าข้า”
“เออ พบแล้ว ขุดขึ้นเสียให้หมด แล้วนำมาเก็บไว้ในพระคลังหลวง”
“พวกข้าพระองค์สงสัย”
“สงสัยอะไรล่ะ”
“ทำไมพระองค์จึงชี้ให้ขุดที่นั้น”

“เพราะพระปัจเจกโพธินั้นเปรียบประดุจพระอาทิตย์เมื่อท่านคอยยืนรับที่ใด ก็เเสดงว่าที่นั้นมีขุมทรัพย์อยู่ เราจึงชี้ให้ท่านขุดในที่นั้น แล้วก็ข้อต่อไปเล่าพระองค์ตรัสว่าอย่างไร”
“ขอเดชะ ข้อต่อไปพระองค์ตรัสว่า ขุมทรัพย์ในที่พระอาทิตย์อัสดง”
“แล้วพวกท่านได้ขุดค้นหากันบ้างหรือเปล่า”
“ข้อนี้เปล่าพระเจ้าข้า เพราะขุมทรัพย์ที่หนึ่งยังไม่ได้เลยคิดเสียว่าเหลวไหลมากกว่า พระเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจะบอกว่าให้เราทราบได้หรือไม่ว่าเวลาเลี้ยงดูพระปัจเจกโพธิเสร็จแล้ว เวลากลับพระปัจเจกโพธิกลับทางใด”
“ขอเดชะ เวลากลับพระปัจเจกโพธิจะกลับทางท้ายพระราชมณเฑียร”
“แล้วพระราชาของพวกท่านไปส่งเสด็จด้วยหรือเปล่า”
“ไปส่งเสด็จเป็นประจำเลยพระเจ้าค่ะ”
“เวลาไปส่งนั้น พระองค์เสด็จประทับที่ใดล่ะ”
“ เวลาไปส่งนั้น พระองค์ประทับยืน ณ สนามท้ายพระราชมณเฑียรเป็นประจำพระเจ้าข้า”
“ถ้าเช่นนั้นพวกท่านลองไปขุดที่ ๆ พระราชาเสด็จประทับยืนที่นั้นดู
พวกอำมาตย์ข้าราชบริพารก็พากันไปขุด ก็พบขุมทรัพย์เป็นครั้งที่ ๒ ก็พากันคิดประหลาดใจว่าทำไมพระราชาองค์ใหม่ของพวกเขาจึงชี้ให้ขุดได้แม่นถึงเพียงนี้ เพราะว่าพวกเขาเองพยายามขุดค้นหาจนกระทั่งคิดว่าขุมทรัพย์ดังกล่าวนี้คงเป็นเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาอย่างไร้สาระโดยไม่มีความจริง จึงพากันโห่ร้องแสดงความยินดีอย่างกึกก้องโกลาหล และพากันเข้ามากราบทูลว่าได้พบสมบัติขุมที่ ๒ แล้ว
“ขุมที่ ๓ พระราชาของพวกท่านตรัสไว้ว่าอย่างไร”
“ทรงตรัสว่า ขุมที่หนึ่งอยู่ภายใน”
“พวกท่านได้ค้นหาหรือยังว่าอยู่ที่ใด”
“พวกข้าพระเจ้าไม่ได้ค้นหา เพราะคิดว่าคงเหลวเหมือนขุมอื่น ๆ นั้นเเหละ”
“ประตูหลวง พวกท่านได้สังเกตหรือเปล่าว่ามีอะไรที่น่าสงสัยบ้าง”
“พวกข้าพระบาทไม่เคยสงสัย และไม่เคยสังเกตเสียด้วยว่าทีอะไร”
“พวกท่านลองไปขุดใกล้ ประตูพระราชนิเวศ ในบริเวณภายในประตูดูที ถ้าโชคของเรายังดีก็อาจจะตีปัญหาออก “

พวกอำมาตย์ก็พากันไปขุด ก็พบอีกตามความบอก ก็ได้กลับมากราบทูลว่าพบได้แห่งที่ ๓ แล้วตามความคาดหมาย ได้ตรัสถามถึงขุมที่ ๔ ต่อไป พวกข้าราชบริพารก็ทูลว่า “ขุมหนึ่งอยู่ภายนอก” ก็ทรงชี้ให้ขุดที่ใกล้ประตูพระราชนิเวศ แต่อยู่ภายนอกประตู ก็ได้พบอีก ข้าราชบริพานก็โห่ร้องด้วยความยินดี ว่าพระราชาใหม่ของพวกเรานี้ช่างทรงปัญญาเกินสามัญชนทีเดียว อันขุมทรัพย์นี้พวกเราเที่ยวค้นหาตามที่ต่าง ๆ จนทอดอาลัยแล้วว่าเป็นของไม่จริง นับเป็นลาภทีพวกเราได้พระราชาที่ทรงปัญญาอย่างนี้ เมื่อกราบทูลให้ทรงทราบว่าได้พบขุมทรัพย์ที่ ๔ ก็ตรัสถามว่า
“ทรงตรัสไว้เพียงเท่านี้หรืออย่างไร”
“หามิได้ พระองค์ยังตรัสไว้อีก”
“ตรัสไว้ว่า ขุมทรัพย์อีกขุมหนึ่งไม่ได้อยู่ข้างนอกและข้างใน”
“ถ้าเช่นนั้นพวกท่านจงขุดลงที่ธรณีประตูพระราชนิเวศ” เมื่อพวกอำมาตย์ราชปุโรหิตขุดลงไปที่ธรณีประตู ก็พบขุมทรัพย์ดังกล่าว
“แล้วตรัสอย่างไรอีก”
“ตรัสว่า ขุมหนึ่งอยู่ในที่ขึ้น”
“จงขุดที่ประตูขึ้นพระราชนิเวศ” พวกอำมาตย์ได้พากันขุดลงไป ก็พบขุมทรัพย์อีกขุมหนึ่งในประตูราชนิเวศ
“ตรัสว่า ขุมทรัพย์หนึ่งอยู่ในที่ลง”
“พระราชาของพวกท่านเวลาเสด็จออกจากพระราชนิเวศนั้น โดยปกติเสด็จด้วยอะไร”
“ส่วนมากพระองค์เสด็จทรงคชสาร เสด็จเที่ยวตรวจโรงทานและความทุกข์สุขของราษฎร “แล้วเสด็จกลับลงจากคชสาร ณ ที่ใด”
“ขอเดชะ เสด็จลงเกยชาลาข้างหน้า”
“พวกท่านจงไปขุดที่หน้าเกยเป็นที่เสด็จลงนั้นเถิด”

พวกอำมาตย์พากันไปขุด ก็พบขุมทรัพย์ตามที่คาดและได้ทูลให้ทราบต่อไปว่าพระราชาของพวกเขาได้ตรัสว่า
“ขุมทรัพย์ขุมหนึ่งอยู่ในระหว่างไม้สี่”
“พวกท่านเคยเห็นไม้รังหรือเปล่า”
“เคยเห็นพระเจ้าค่ะ”
“เคยมีอยู่ที่ไหนเล่า”
“อยู่ในพระราชอุทยานพระเจ้าค่ะ”
“ไม้รังนั้นมี ๔ ต้น หรือเปล่า”
“ขอเดชะ ไม้รังนั้นมีมากกว่า ๔ ต้น แต่ว่ามิได้ขึ้นเป็น ๔ เหลี่ยม ๔ มุมเลย แต่มีขึ้นเรียงรายกันไป”
“แล้วพวกท่านเข้าใจว่าอย่างไรเล่า”
“พวกข้าพระองค์คิดว่าอยู่ในพระราชอุทยานเป็นแน่พระเจ้าข้า” พวกท่านเคยขุดบ้างหรือเปล่า”
“เปล่าเลยพระเจ้าค่ะ”
“ถ้าพวกท่านไปขุดในพระราชอุทยานก็คงเหนื่อยเปล่าเพราะจะไม่พบขุมทรัพย์ในนั้นเลย”
“ถ้าอย่างนั้นจะให้ขุดที่ใดพระเจ้าค่ะ จึงจะพบขุมทรัพย์”
“ท่านจงขุดที่ทวารทั้ง ๔แห่ง ที่มีพระแท่นทำด้วยไม้รังอยู่”

พวกอำมาตย์ก็ไปขุดก็พบทั้ง ๔ แห่ง และได้ทูลต่อไปว่า “พระราชาของพวกข้าพระองค์ได้ตรัสไว้อีกว่า ขุมทรัพย์อยู่ประมาณโยชน์หนึ่ง”
“พวกท่านได้ขุดหาบ้างหรือเปล่าล่ะ”
“พวกข้าพระองค์ได้พาไปขุดในบริเวณในป่าที่ห้างจากเมืองไปประมาณโยชน์หนึ่งพระจ้าค่ะ”
“แล้วไม่พบอะไรเลยเชียวรึ”
“ไม่พบเลยพระเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นลองทดลองดูว่าเราจะคิดปัญหานั้นตกหรือไม่พวกท่านจงลองวัดจากแท่นบรรทมไปดูข้างละ ๔ ศอก แล้วลองคุดไปดูซิจะพบอะไรบ้าง”

พวกอำมาตย์ได้วัดจากทิศตะวันออกครบ ๓ ศอก แล้วก็ขุดลงไปพบขุมทรัพย์ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันตก รวม ๔ ทิศ ก็พบทั้งสิ้น จึงพากันมากราบทูล “ขอเดชะ พวกจ้าพระองค์ได้ไปขุดค้นตามที่ทรงแก้ปัญหาแล้ว ปรากฎว่าพบทุกแห่งพระเจ้าค่ะ แต่พวกข้าพระองค์ เกิดสงสัยว่าทำไมพระราชาตรัสว่าขุมทรัพย์อยู่ในโยชน์หนึ่งแต่นี้ห่างจากพระแท่นบรรทมเพียง ๔ ศอก เท่านั้น ขอพระองค์ได้โปรดให้ความแจ่มแจ้งด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นพวกท่านฟังให้ดี โยชน์หนึ่งนั้นมี ๔๐๐ ศอก ใคร ๆ ก็รู้จักด้วยกันทั้งนั้น เส้นหนึ่งที ๒๐ วา ๆ หนึ่งมี ๔ ศอก นี่ก็เป็นจำนวนใหญ่ ๆ ก็พวกท่านว่าไม่พบในโยชน์หนึ่ง เราคิดว่าศอกอันนั้นจะนับเป็นวาเป็นเส้นเป็นโยชน์นั้นมีเพียง ๔ ศอกเท่านั้น เราจึงคิดปัญหาข้อนี้เพียงแค่ ๔ ศอก”

พวกอำมาตย์ข้าราชบริพารต่างก็ส่งเสียงแสดงความยินดีกึกก้องไปทั่วพระลาน
“ปริศนาของพระราชาหมดแล้วหรือยัง”
“ยังพระเจ้าค่ะ”
“มีอะไรอีกล่ะ ว่าไปดูทีหรือ”
“พระองค์ตรัสว่า ขุมทรัพย์หนึ่งอยู่ที่ปลายงา”

เจ้ามหาชนกก็ให้ขุดที่โรงไว้คชสาร ตรงที่พญาเศวตกุญชรยืนปลายงาจรดดิน ก็ได้ดังประสงค์ และให้ขุดตามที่อำมาตย์ทั้งหลายบอกปริศนาก็ได้ดังดำรัส ข้าราชบริพารทั้งหลายพากันโห่ร้องกึกก้องสรรเสริญพระปัญญาบารมีของพระองค์เอิกเกริกไปทั่วพระนคร เมื่อไต่ถามทราบว่า หมดข้อความที่พระราชาตรัสไว้แล้วก็ให้จำหน่ายจ่ายแจกพระราชทรัพย์ โดยให้จัดสร้างโรงทาน ๖ แห่งคือ กลางเมือง แห่งหนึ่ง ที่ประตูเมืองด้านเหนือ ด้านใต้ ด้านตะวันตก ด้านตะวันออก รวม ๔ แห่ง และประตูพระราชนิเวศอีกแห่งหนึ่ง

แล้วตรัสให้คนไปรับพระมารดามาจากเมืองกาลจัมปา พร้อมกับให้รางวัลท่านอาจารย์ที่มารดาของพระองค์ไปอาศัยอยู่ ความจริงได้ปรากฎออกมาว่าพระองค์ไม่ใช่ใครอื่นเลยแท้ที่จริงเป็นพระโอรสชองพระเจ้าอริฎฐาชนกนั่นเอง แล้วจึงให้มีการสมโภชในการเสวยราชสมบัติ เมื่อออยู่พระองค์เดียวก็ทรงรำพึงว่า เพราะพระองค์ไม่ทอดทิ้งความเพียรพยายามในการที่เอาตัวรอดจากภัยอันตรายจึงได้ประสบสุขถึงเพียงนี้ ฉะนั้นเกิดเป็นคนควรพยายามเรื่อยไปจนกว่าจะสำเร็จความประสงค์ พระองค์ได้เสวยราชสมบัติอยู่ช้านาน จนมีพระโอรสทรงพระนามว่า ทีฆาวุ เมื่ออายุเจริญวัยแล้วก็ได้ตั้งให้เป็นอุปราช

วันหนึ่งเจ้าพนักงานพระอุทยาน ได้นำพืชพรรณชนิดต่าง ๆ มาถวาย ทรงถามได้ความว่า นำมาจากพระราชอุทยานก็คิดจะไปประพาส จึงตรัสสั่งให้ข้าราชบริพารจัดกระบวนไปเสด็จประพาส ในขณะที่ทรงช้างเสด็จถึงประตูสวนก็เห็นมะม่วงต้นหนึ่งมีลูกดก แลดูเต็มต้นไปทั้งต้น กำลังอยากเลยเสด็จลุกขึ้นยืนบนหลังช้าง เก็บมะม่วงลูกหนึ่งมาเสวย แล้วก็เลยเข้าไปประพาสในพระราชอุทยาน ทรงสำราญอยู่ในพระราชอุทยานนั้นจนกระทั่งเย็นจึงเสด็จออกมา พอถึงประตูสวน พระองค์ก็แปลกพระทัยเพราะปรากฎว่ามาม่วงต้นที่มีลูกเต็มไปหมดนั้น จะหาแม้แต่ลูกเดียวก็ไม่พบ แถมข้างล่างยังเต็มไปด้วยกิ่งก้านสาขาที่หัก ใบอ่อนใบแก่หล่นเกลื่อนกลาดไปทั้งบริเวณโคนต้น จึงตรัสถามผู้รักษาสวนว่าเป็นเพราะเหตุอะไรจึงเป็นเช่นนั้น เขากราบทูลให้ทราบว่า เพราะประชาชนเห็นว่ามะม่วงต้นนั้นพระองค์เสวยแล้ว เขาพากันมาเก็บ ต่างยื้อแย่งกัน สภาพของต้นมะม่วงจึงเป็นอย่างที่ทอดพระเนตรบัดนี้


พระองค์ได้ทรงสดับ จึงเกิดความคิดขึ้นว่า มะม่วงต้นนี้เพราะมีลูกจึงต้องมีสภาพเช่นนี้ ถ้าไม่มีลูกก็คงจะไม่ต้องหักยับเยินอย่างนี้ ถ้าเราไม่มีราช สมบัติเสียก็จะหาคนปองร้ายมิได้ พระราชาเสด็จพระนคร เสด็จขึ้นปราสาท. ประทับที่พระทวารปราสาท ทรงมนสิการถึงวาจาของนางมณีเมขลา ในกาลที่นางอุ้มพระมหาสัตว์ขึ้นจากมหาสมุทร. พระราชาทรงจดจำคำพูดของเทวดาไม่ได้ทุกถ้วยคำ เพราะพระสรีระเศร้าหมองด้วยน้ำเค็มตลอดเจ็ดวัน. แต่ทรงทราบว่า เทวดากล่าวชี้ว่าพระองค์จะยังเข้ามรรคาแห่งความสุขไม่ได้ หากไม่กล่าวธรรมให้สาธุชนได้สดับ.

นางมณีเมขลาให้พระองค์ตั้งสถาบันการศึกษา ให้ชื่อว่า ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย. แม้ในกาลนั้นก็จะสำเร็จกิจและได้มรรคาแห่งบรมสุข. พระมหาสัตว์ทรงดำริว่า : “ทุกบุคคลจะเป็นพ่อค้าวาณิช เกษตรกร กษัตริย์ หรือสมณะ ต้องทำหน้าที่ทั้งนั้น. อย่างไรก็ตาม ก่อนอื่นเราต้องหาทางฟื้นฟูต้นมะม่วงที่มีผล. เมื่อพระองค์ดำริฉะนี้แล้ว พอเสด็จเข้ามาถึงพระราชวังก็ตรัสเรียกอำมาตย์มาสั่งว่า
“ต่อไปนี้ไปปราสาทของเราห้ามคนไปมา นอกจากผู้ที่จะนำอาหารเข้ามาให้เราเท่านั้น เมื่อมีราชกิจใดมีมาพวกท่านจงช่วยกันพิจารณาจัดไปตามความคิด เราจะจำศีลภาวนาสักระยะหนึ่ง”


และนับแต่นั้น พระมหาชนกก็บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในพระปรางค์ประสาทมิได้เสด็จไปทางใดเลย พวกพสกนิกรทั้งหลายพากันสงสัยสนเท่ห์ว่าพระราชาของพวกเขาเสด็จไปอยู่แห่งใด เคยสนุกสนานรื่นเริงในการดูมหรสพก็มิได้มี

บัดนี้พระองค์ไปที่ใดหรือจะสิ้นพระชนม์เสียแล้ว พากันปรับทุกข์และเล่าลือไปต่าง ๆ นานา แม้จะมีเสียงเล่าลือใด ๆ แต่พระองค์ตรัสห้ามข่าวสารทั้งปวงสิ้น เมื่อบำเพ็ญสมธรรมอยู่ในปราสาทนาน ๆ เข้าก็คิดจะออกไปอยู่ป่า เพราะในพระราชวังยังมีเสียงอื้ออึงไม่มีความสงบ วันหนึ่งนายกัลบกมาเพื่อชำระพระเกศา พระมัสสุได้ทรงตรัสให้ปลงเสียทั้งหมด แล้วทรงนุ่งห่ทผ้ากาสาวะ เสด็จประทับอยู่ในปราสาท ตั้งพระทัยว่ารุ่งขึ้นจะเสด็จออกไปบำเพ็ญพรตในป่า


ในวันนั้นเองพระสิวลีเทวีผู้อัครชายา คิดว่าเรามิได้พบเห็นพระสวามีของเราถึง ๕ เดือนแล้ว ควรจะไปเยี่ยมเยือนเสียที จึงสั่งให้นางสนมกำนัลตกแต่งร่างกาย แล้วพาไป ณ ปรางค์ปราสาทของพระเจ้ามหาชนก พอย่างขึ้นบนปรางค์ปราสาทก็ให้นึกเอะใจ เพราะปรากฎว่าเส้นพระเกศาซึ่งนายภูษามาลาเก็บรวบรวมไว้ยังมิได้นำไปที่อื่น

และเครื่องทรงพระมหากษัตย์วางอยู่ และขณะนั้นก็ได้เห็นพระปัจเจกโพธิองค์หนึ่งดำเนินสวนทางลับตานางไป นางยังมิทันคิด แต่เมื่อเห็นเส้นพระเกศาและเครื่องทรง จึงคิดได้ว่าเมื่อกี้เห็นจะเป็นพระสวามีเป็นแน่ มิใช่พระปัจเจกโพธิจึงตรัสเรียกนางสนมกำนันว่า
“แม่นางทั้งหลาย พวกเราพากันติดตามพระสวามีเถิดเมื่อกี้ไม่ใช่พระปัจเจกโพธิดอก แต่เป็นพระราชสวามีของพวกเรา” พร้อมทั้งทรงกันแสงไปด้วย แล้วพากันติดตามไปก็ทันพระมหาชนก ต่างพากันร้องไห้คร่ำครวญรำพันด้วยประการต่าง ๆ แต่พระมหาชนกก็มิได้เสด็จกลับ
พระราชเทวีก็คิดอุบายให้ประชาชนพลเมืองนำเอาเชื้อไฟมากอง แล้วจุดไฟขึ้นนแทบทั่วพระนคร แล้วไปทูลเชิญให้กลับมาดับไฟเพราะพระราชวังไหม้หมด แต่พระมหาชนกก็มิได้เสด็จกลับ โดยคิดว่า
“เราเป็นบรรชิต ไม่มีสมบัติอันใด”

แม้พระราชเทวีจะทำกลอุบายประการใด พระองค์ก็หากลับไม่ คงมุ่งหน้าไปสู่ไพรพฤกษ์ข้างหน้าเท่านั้น พระราชเทวีสนมกำนัล และข้าราชบริพารพากันติดตามไปอ้อนวอนให้เสด็จกลับเข้าครองราชสมบัติดังเก่า แต่พระองค์ก็หากลับไม่ คนเหล่านั้นก็ยังติดตามเรื่อยไป

พระองค์เห็นว่ามหาชนจะทำให้การบำเพ็ญพรตของพระองค์เป็นไปไม่ได้สดวก จึงหันกลับมาขีดเส้น พร้อมกับตรัสถามว่า
“พวกท่านทั้งหลาย ใครเป็นพระเจ้าแผ่นดินของพวกท่าน”
“พระองค์เป็นพระเจ้าแผ่นดินของพวกข้าพระองค์”
“ถ้าเช่นนั้นใครข้ามเส้นนี้มาจะต้องได้รับพระราชอาญา” แล้วพระองค์ก็เสด็จต่อไป

คนทั้งหมดก็ไม่อาจจะล่วงพระราชอาญาได้ ก็ได้แต่พากันร้องไห้คร่ำครวญรำพันไปด้วยประการต่าง ๆ พระนางสิวลีถึงกับพระกันแสงกลิ้งเกลือกกันพื้นดิน
จนกระทั่งรอยขีดที่พระราชาขีดไว้ลบเลือนไป คนเหล่านั้นเห็นว่าไม่มีรอยขีดแล้ว ก็พากันติดตามไปอีก พระนารทดาบสเกรงว่าพระมหาชนกจะมีพระทัยท้อแท้ไป จึงมาปลอบใจไม่ให้คลายมานะ ที่จะปฎิบัติธรรม แล้วก็หลีกไป พระมหาชนกก็ดำเนินเรื่อยไป และพระสิวลีเทวีก็เสด็จติดตามไปเช่นเดียวกัน ตราบจนกระทั่งถึงเมืองถุนันนคร พระองค์ก็เสด็จผ่านเข้าไปในเมืองนั้น
ชายคนหนึ่งวางชิ้นเนื้อไว้บนเขียง แล้วตนเองก็หันไปทำงานอื่นเสีย สุนัขเห็นได้ท่วงทีก็วิ่งมาคาบก้อนเนื้อได้ก็วิ่งหนีไป ชายผู้เป็นเจ้าของเนื้อเห็นก็ละจากงานเสียแล้ววิ่งไล่ขับสุนัขไป เมื่อสุนัขวิ่งหนีมาพบพระมหาชนกเดินสวนทางมา อารามกลัวเลยทิ้งก้อนเนื้อเสียแล้ววิ่งหนีต่อไป พระมหาชนกคิดว่าเนื้อก้อนนี้ไม่มีเจ้าของมิได้ ก็หยิบขึ้นมาปัดดินทรายออกเสียแล้วใส่ลงบาตร แล้วเสด็จไปนั่งฉัน ณ ที่แห่งหนึ่ง พระเทวีเห็นอากัปกิริยาเช่นนั้นก็สลดใจว่า แม้แต่สมบัติพัสถานทั้งหลายท่านก็เสียสละหมดแล้ว เสวยได้แม้แต่ของเดนสุนัข เพราะฉะนั้นที่พระองค์จะกลับคืนมาครองเมืองดังเก่าไม่มีแน่แล้วแต่ด้วยความอาลัยก็ยังติดตามพระองค์เรื่อยมา

จนกระทั่งถึงเมืองถุนันนคร เห็นเด็กผู้หญิงมือข้างหนึ่งใส่กำไลสองเส้น ข้างที่มีกำไล สองข้างก็กระทบกันดังกรุ๊งกริ๊งตลอดเวลาที่เคลื่อนไหว พระมหาชนกจึงเสด็จเข้าไปตรัสถามเด็กจึงบอกว่า
“ข้างที่มีสองข้างที่ส่งเสียงดัง เพราะมันกระทบกันกระทั้งกัน ท่านเดินมาด้วยกัน ๒ คน จะไปทางใดเล่า”
พระมหาชนกได้ฟังคำกุมาริกาแล้วคิดว่า “สตรีเป็นมลทินของพรมจรรย์ ควรจะให้พระสิวลีแยกทางไปเสีย”

เมื่อถึงหนทางสองแพร่งจึงบอกกับนางว่า “น้องหญิง นับแต่นี้ต่อไปเราแยกทางกันเดินเถิด และอย่าเรียกเราเป็นสามีอีกต่อไป เจ้าจงเลือกทางเอาว่าจะไปทางใดดี”

พระนางสิวลีทรงเศร้าโศกและตรัสตอบว่า “ข้าแต่พระองค์ ข้าพระบาทมีชาติอันต่ำช้า ขอเลือกไปทางซ้าย ขอพระองค์ เสด็จไปทางขวาเถิด”

บัดนี้พระองค์ไปที่ใดหรือจะสิ้นพระชนม์เสียแล้ว พากันปรับทุกข์และเล่าลือไปต่าง ๆ นานา แม้ เมื่อพระมหาชนกแยกทางไปแล้ว พระนางมีความอาลัยก็เสด็จตามติดไปด้านเบื่องหลังอีก และเมื่อถูกตัดรอนความเยื่อใย พระนางก็ถึงล้มสลบลง แต่ก็ไม่ทำให้พระมหาชนกกลับคืนความคิดได้ คงเสด็จมุ่งหน้าต่อไปเพื่อหาความสงบสงัด จักได้บำเพ็ญพรตภาวนา เมื่อพระนางสิวลีฟื้นคืนสติขึ้นมา ก็ได้พบพระสวามีของพระนางได้เสด็จไปเสียแล้ว พระนางจึงดำริว่า ราชสมบัติทั้งปวงนี้แม้สวามีของเรายังมิได้อาลัยอาวรณ์ เราจะยินดีเพื่อประโยชน์อะไร จึงรับสั่งให้เรียกข้าราชบริพารมา แล้วอภิเษกให้เจ้าทีฆาวุเสวยราชสมบัติพระองค์เองก็เสด็จออกบรรพชา ตราบจนกระทั่งสิ้นชีพไปบังเกิดบนสวรรค์ทั้งสองพระองค์
คติของเรื่องนี้ควรกำหนด ขึ้นชื่อว่า
เป็นคนแล้ว ทำอะไรต้องหมั่นพยายามทำไป
จนกว่าชีวิตจะสิ้น ผลดีที่จะได้ก็บังเกิดขึ้นแน่นอน


เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภัยของสังสารวัฏฏ์

mp 3 (for download) : ภัยของสังสารวัฏ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ภัยของสังสารวัฏฏ์

ภัยของสังสารวัฏฏ์

หลวงพ่อปราโมทย์: เห็นมั้ยว่าปัญหา มันเป็นของคู่กับชีวิต พูดมานานแล้วนะ ปัญหามันเป็นของที่คู่กับชีวิตเรา แต่ความทุกข์เป็นส่วนเกินของชีวิต แยกกันให้ออก ปัญหามาถึงเราเมื่อไหร่ก็ได้ เราไม่ได้สร้างปัญหา ปัญหาก็มาหาเราได้นะ

ถ้ามองไกลออกไปแบบชาวพุทธ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าท่านมอง ท่านก็มองว่า ปัญหาทั้งหลายก็เป็นวิบาก เป็นผลของกรรม หนีไม่พ้นน่ะ ทุกคนต้องเจอ ขนาดพระพุทธเจ้าท่านก็เจอปัญหานะ ทีนี้ปัญหามาถึงชีวิตเมื่อไหร่ก็ได้นะ ชีวิต ไม่มีอะไรเลยก็เจ็บไข้ได้ป่วย แก่ไป ตายไป หรือคนที่เรารักต้องตายไปบ้าง พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ต้องเจอสิ่งที่ไม่รัก อะไรอย่างนี้ สมปราถนาบ้าง ไม่สมปราถนาบ้าง เนี่ย ชีวิตมันมีแต่ปัญหาอย่างนี้นานาชนิดเกิดขึ้นตลอดเวลานะ หมดเรื่องนี้ก็มีเรื่องโน้น เราจะไปหวังว่าชีวิตเราต้องไม่มีอะไรเลย สบายตลอดเวลา มันเป็นไปไม่ได้ เราไม่ได้ทำแต่ความดีล้วนๆ

ขนาดพระพุทธเจ้านะ ในวันใกล้ปรินิพพาน ท่านยังบอกเลย ท่านถ่ายเป็นโลหิตนะ ก็เป็นวิบากของท่านนะ ท่านถูกใส่ร้าย ท่านจะถูกลอบฆ่า ถูกอะไรเหล่านี้ ท่านก็อธิบายได้ว่าเป็นวิบากของท่าน แต่พวกเรา เราไม่รู้หรอกว่าวิบากที่เราเจอนี้เป็นผลจากอะไร พวกเรายังไม่มีภูมิปัญญาจะรู้ได้ แต่ที่เรารู้ได้อย่างหนึ่งก็คือ ชีวิตนี้มีปัญหาตลอดเวลา เลี่ยงไม่ได้ เราไม่ได้สร้างนะปัญหาก็วิ่งมาถึงเรา ยกตัวอย่างเราขับรถดีๆนะ คนขับรถไม่ดีก็ชนเราได้ มันอยู่ที่เราจะเตรียมความพร้อมของตนเอง ว่าเมื่อปัญหาผ่านเข้ามาในขีวิตแล้ว ทำอย่างไรจะไม่ทุกข์ เรื่องนี้เรื่องใหญ่กว่า จะหนีปัญหามันหนีไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่คนกำหนดคนเดียว ปัญหามากมายเลยที่เราไม่ใช่ผู้กำหนด

ยกตัวอย่าง บ้านเราก็อยู่ดีๆนะ ไฟไหม้บ้าน มาจากที่อื่นนะ มาไหม้บ้านเราอะไรอย่างนี้ เราไม่ได้กำหนดน่ะ ขับรถดีๆคนอื่นมาชนเรา อะไรอย่างนี้ เราไม่ได้กำหนดนะ หรือคนมาไอ มาจาม ใส่เรา เราติดเชื้อหวัดแปลกๆนะ เรากำหนดไม่ได้

เพราะฉะนั้นทำอย่างไร เวลาที่ปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ความทุกข์จะไม่เกิดขึ้น เรื่องนี้เรื่องใหญ่นะ นี่ล่ะวิถีของชาวพุทธ ปัญหามีได้แต่ว่าความทุกข์ไม่มี จิตที่ฝึกดีแล้วเนี่ย จะมีความสุข จิตที่คุ้มครองดีแล้วนะ ก็จะไม่ทุกข์ อยู่ที่เราต้องฝึกจิตฝึกใจของเรา

หลวงพ่ออยู่เฉยๆ ปัญหายังวิ่งชนเราอยู่ตลอดเลย รู้สึกมั้ย วิ่งชนตลอดเวลา ดูกรณีที่เกิดกับหลวงพ่อนะ มันเป็นตัวที่สะท้อนให้เห็นภัยของสังสารวัฏฏ์เลย ถ้าพูดอย่างชาวพุทธนะ มันไม่ใช่ความผิดของใคร ยกตัวอย่าง คนมาด่าหลวงพ่อ ก็ไม่ใช่ความผิดของเขา ถ้าพูดอย่างชาวพุทธแท้ๆเนี่ย มันเป็นความน่ากลัวของสังสารวัฏฏ์

สังสารวัฏฏ์นี้น่ากลัวจริงๆ กระทบกระทั่งกันไปอย่างนี้เองนะ กระทบกระทั่งน่ากลัว ภัยของสังสารวัฏฏ์ที่อาศัยเวียนว่ายตายเกิดอยู่นี้แหละ เลยต้องเจอกับปัญหานานาชนิด เพราะฉะนั้นเราไม่โทษใคร ถ้าจะโทษสักอย่างหนึ่งนะ โทษภัยของสังสารวัฏฏ์นี้แหละ ที่ต้องเวียนตายเวียนเกิด ทำให้ต้องเจอปัญหา เจอทุกข์ร้อนอะไรเยอะแยะไปหมด มองโลกให้กว้างๆไว้ แล้วจะพบว่าเราไม่มีศัตรูหรอก มองโลกให้กว้างขึ้นไป ไม่มีศัตรู สังสารวัฏฏ์เป็นอย่างนี้แหละ ถ้ามองด้วยความเข้าใจ มีความเมตตานะ ไม่ได้มีความโกรธความแค้น

ถ้าผู้ใดเห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ก็ต้องขวนขวาย ขวนขวาย ทำอย่างไรเราจะพ้นจากมันไปได้ ตราบใดยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ก็ไม่พ้นหรอก ปัญหา มีวิธีที่จะพ้นจากสังสารวัฏฏ์นี้ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนไว้แล้ว ธรรมะของท่านหมดจดงดงาม บริสุทธิ์ เรามีหน้าที่แค่ว่า ศึกษาให้ถ่องแท้ ทำความเข้าใจ รู้วิธีที่จะเดินตามท่านไป เมื่อรู้วิธีเดินตามท่านถ่องแท้แล้ว ก็ขยันเดิน เรียกว่าทำให้ถูก ทำให้ถูกทาง แล้วก็ทำให้พอ ถ้าทำให้ถูกด้วย ทำให้พอด้วย วันหนึ่งเราก็พ้นไปจากความวุ่นวาย วังวนอันนี้ ยังมีธาตุมีขันธ์เหลืออยู่ ก็มีปัญหาไปเรื่อยๆ สิ้นธาตุสิ้นขันธ์ไปก็สิ้นปัญหาไป ก็สบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๓


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๖
Track: ๑๗
File: 530924.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๑๘ ถึง นาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๓๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : จิตรวมคืออะไร?

จิตรวมคืออะไร?
ถาม : ขณะที่นั่งสมาธิ แล้วเกิดจิตสงบ ว่าง สว่างขึ้นมา นั้นอันนี้ สมมุติบัญญัติเรียกว่าจิตรวมใช่ไหมคะ
บางทีดูจิตก็เกิดได้เหมือนกันค่ะ แสดงว่าขณะนั้นจิตเค้าทำสมถะเองใช่ไหมคะ

ตอบ : จิตรวมจะมีอาการเหมือนการรวบตัวเข้ามา แล้วตั้งมั่นเป็นจิตที่แยกออกมาเป็นผู้รู้สภาวะ

ส่วนที่เกิดความสงบ ว่าง สว่างนั้น อาจเป็นเพียงสภาวะที่เกิดขึ้นขณะทำสมถะ
หรือยังไม่ถึงจิตรวมก็ได้ครับ เช่นบางครั้งพอเกิดความสว่าง จิตก็ไหลไปหาความสว่าง
ไม่ได้รวมเป็นจิตผู้รู้ที่เป็นคนละส่วนกับความสว่างที่เกิดขึ้นครับ

ส่วนในการดูจิต ถ้าดูแล้วเป็นสมถะ จิตก็รวมลงไปได้นานๆ
หรือถ้าในขณะนั้น จิตไม่ได้เดินสมถะอยู่
แต่เห็นสภาวะแล้วจิตเกิดสติ มีความตั้งมั่น ก็จะแยกออกมาเป็นผู้รู้ได้ชั่วขณะครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News: คนไทยไม่ทิ้งกัน บัญชีช่วยเหลือทหารผู้ประสบภัยชายแดน ไทย-กัมพูชา

คนไทยไม่ทิ้งกัน เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา หากพี่น้องชาวไทยร่วมชาติไม่ว่าจะอยู่ภาคใด ประสบภัยพิบัติหรือได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็น สึนามิ น้ำท่วมแผ่นดินไหว หรือแม้แต่สงคราม เราคนไทยก็จะช่วยเหลือกัน

ครั้งนี้ เกิดการปะทะอย่างต่อเนื่องที่ชายแดนไทยกัมพูชา ท่านสามารถโอนเงินเพื่อช่วย ค่ารักษาพยาบาลทหารและประชาชนที่บาดเจ็บจากเหตุการณ์ปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาได้

โดยโอนเงินเข้าบัญชีของโรงพยาบาลพนมดงรัก ซึ่งเป็นหน่วยหลักในการรักษาพยาบาลผู้ประสบเหตุจริงๆ

ทางทีมงานได้โทรศัพท์ไปคุยกับหัวหน้าพยาบาลเรียบร้อยแล้วครับ (27/4/2011)

ปรากฎว่าขาดแคลนผ้าทำแผลอย่างมากต้อง ใช้ผ้่าอนามัย  ในการทำแผลแทน

วอนทุกท่าน ช่วยกันบริจาคเพื่อช่วยเหล่าทหารหาญและผู้บาดเจ็บทั้งหลายด้วยครับ

ยืนยันว่าบัญชีนี้เงินจะไปช่วยเหล่าทหารชายแดนที่บาดเจ็บแน่นอนครับ

ชื่อบัญชี “เงินสวัสดิการโรงพยาบาลพนมดงรัก”

ธนาคารกรุงไทย

บัญชีออมทรัพย์

สาขา “ปราสาท” (ปราสาทเป็นชื่อ อำเภอละแวกนั้นครับ)

เลขที่ 329-0065-251

รองรับการโอนเงินจากประชาชนทั่วไป

ทั้งนี้เมื่อโอนไปแล้วสามารถระบุรายละเอียดว่าอยากช่วยค่าใช้จ่ายด้านใด

หรือสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลพนมดงรัก

โทร.044-508-242 ถึง 4 ต่อ 516

==================

ด่วน! สภากาชาดไทย รับบริจาคนมผงและของเล่นเด็ก ให้ผู้อพยพจากเหตุไทยปะทะกัมพูชา

สภา กาชาดไทย ขอรับบริจาคนมผงและของเล่นเด็ก เพื่อ ให้สำหรับเด็กที่อพยพจากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา บริเวณหมู่บ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งทางสถานีกาชาดที่ 1 จังหวัดสุรินทร์

ได้ให้ความช่วยเหลือและจัดเจ้าหน้าที่ไปดูแลประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน เบื้องต้นแล้ว และพบว่าผู้อพยพยังขาดแคลนนมผงและของเล่นสำหรับเด็กอยู่มาก

ผู้มีจิตศรัทธาบริจาค สามารถบริจาคนมผงและของเล่นเด็กเพื่อช่วยเหลือผู้อพยพจากเหตุการณ์ไทยปะทะ กัมพูชา ได้ที่ สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ถ.อังรีดูนังต์ แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กทม. หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0-2251-7853 และที่สายด่วนสภากาชาดไทย  1664

อ้

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News : ขอเชิญร่วมปฎิบัติธรรมเจริญสติ (แนวหลวงพ่อเทียน) ที่ วัดป่าสุคะโต

“จะมาสุคะโตไม่ต้องเตรียมอะไร ตั้งต้นจากศรัทธา เชื่อว่าทำดี ดี
ทำชั่ว ชั่ว ที่นี่เป็นที่ทำความดี ที่ละความชั่ว เราจะเป็นเพื่อนที่ดี
เป็นมิตรที่ดี ไม่พาหลงทิศหลงทาง ไม่ต้องเตรียมอะไรแต่ต้องมี
ศรัทธา ไม่ต้องขออนุญาตจากใคร มาได้เลย ขอให้ที่นี่เป็นบ้าน
ของเรา

มาถึงแล้วก็ไปสำนักงานลงทะเบียนอย่างองอาจว่าจะมาอยู่ที่นี่
กี่วัน กี่เดือน กี่ปี หรือไม่มีกำหนด ถ้ามีคำถามว่า “มาได้ยังไง”
ให้บอกว่า “รู้จักหลวงพ่อคำเขียน”  เท่านี้ก็พอแล้ว มาเถอะ
มีข้าวให้กิน มีที่ให้อยู่ ไม่ทอดทิ้ง

หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ

http://www.pasukato.org/home.htm

ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมเจริญสติ (แนวหลวงพ่อเทียน)
ประจำปี ๒๕๕๔

รุ่นที่ ๑ วันอาทิตย์ที่ ๙ – วันเสาร์ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๔
รุ่นที่ ๒ วันอาทิตย์ที่ ๒๐ – วันเสาร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
รุ่นที่ ๓ วันอาทิตย์ที่ ๖ – วันเสาร์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๔
รุ่นที่ ๔ วันอาทิตย์ที่ ๑๗ – วันเสาร์ที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๔
รุ่นที่ ๕ วันอาทิตย์ที่ ๘ – วันเสาร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔
รุ่นที่ ๖ วันอาทิตย์ที่ ๕ – วันเสาร์ที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๔
รุ่นที่ ๗ วันอาทิตย์ที่ ๓ – วันเสาร์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔
รุ่นที่ ๘ วันอาทิตย์ที่ ๗ – วันเสาร์ที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๔
รุ่นที่ ๙ วันอาทิตย์ที่ ๑๑ – วันเสาร์ที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๔
รุ่นที่ ๑๐ วันอาทิตย์ที่ ๙ – วันเสาร์ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๔
รุ่นที่ ๑๑ วันอาทิตย์ที่ ๒๐ – วันเสาร์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
รุ่นเข้ม วันเสาร์ที่ ๑๒ – วันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
เฉพาะผู้เคยผ่านหลักสูตร ๗ วันแล้วเท่านั้น รายละเอียด
รุ่นที่ ๑๒ วันอาทิตย์ที่ ๑๘ – วันเสาร์ที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๔

ติดต่อ พระอาจารย์ทรงศิลป์ สุจิณฺโณ หรือ โยมสุนทรี ศรีพล
โทรศัพท์ ๐๘๗-๐๒๒-๙๑๐๒ เวลา ๙.๐๐ น.- ๑๖.๐๐ น.

ข้อแนะนำ

• จัดเตรียมของใช้จำเป็นส่วนตัว
• ขวดน้ำดื่มพกพาติดตัว เพื่อเป็นการช่วยลดปริมาณขยะที่วัด
• รองเท้าแตะ
• ไฟฉาย จำเป็นมากเพราะอยู่ป่า
• นาฬิกาปลุก (ไม่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือได้ หัวหน้ากลุ่มจะเก็บโทรศัพท์)
• ที่วัดอากาศจะเย็นเกือบตลอดทั้งปี หากท่านมาในช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาว
โปรดเตรียมเครื่องกันหนาวที่จำเป็นสำหรับตัวท่านมาด้วย

การเดินทาง

๑) รถยนต์ จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข ๑ (ถนนพหลโยธิน) ถึงสระบุรี แยกขวาไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข ๒ (ถนนมิตรภาพ) แล้วแยกซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข ๒๐๑ ที่อำเภอสีคิ้ว ผ่านอำเภอด่านขุนทด อำเภอจัตุรัส เข้าสู่จังหวัดชัยภูมิ รวมระยะทางประมาณ ๓๔๒ กิโลเมตร

จากตัวเมืองชัยภูมิไปทางอุทยานแห่งชาติตาดโตน ก่อนถึงอุทยานแห่งชาติตาดโตน ให้เลี้ยวซ้าย เมื่อถึงบ้านท่าหินโงมให้เลี้ยวขวาไปตามเส้นทางสายใหญ่ ผ่านบ้านท่ามะไฟหวาน จนถึงบ้านใหม่ไทยเจริญ ระยะทาง
จากชัยภูมิ ถึงบ้านใหม่ไทยเจริญ ประมาณ ๕๐ ก.ม.

หรือจากตัวเมืองชัยภูมิไปทางอำเภอแก้งคร้อ เลยตัวอำเภอไป ๑ ก.ม. ให้เลี้ยวซ้ายตรงปั๊มน้ำมัน ปตท. แล้วไปตามเส้นทาง ผ่านบ้านโคกกุง ขึ้นเขา จนถึงบ้านใหม่ไทยเจริญ ระยะทางจากแก้งคร้อถึงบ้านใหม่ไทยเจริญ ประมาณ ๔๐ ก.ม.

๒) รถประจำทางสายกรุงเทพฯ – ชัยภูมิ เมื่อถึงชัยภูมิ ให้มาขึ้นรถสองแถวสายชัยภูมิ ท่ามะไฟหวาน ถ้าต้องการไปวัดป่าสุคะโต เมื่อถึงท่ามะไฟหวานแล้ว ให้เดินอีก ๓ ก.ม. หรือจ้างรถมอเตอร์ไซด์ไปส่งที่วัด รถสองแถวสายชัยภูมิ – ท่ามะไฟหวาน เที่ยวสุดท้ายออกเวลา ๑๖.๐๐ น.

๓) รถประจำทางสายกรุงเทพฯ – เมืองเลย (ชุมแพทัวร์ หรือแอร์เมืองเลย) ลงที่อำเภอแก้งคร้อ รถจะจอดใต้สะพานลอย จะมีป้อมตำรวจอยู่ใกล้ๆ ให้เดินไปทางร้านเซเวนฯ ประมาณ ๒๐๐ – ๓๐๐ เมตร ก่อนถึงร้านเซเวนฯ
ทางด้านขวามือจะเห็นสถานีจอดรถสองแถว มองหารถไปบ้านใหม่ไทยเจริญ ค่ารถประมาณ ๖๐ บาทให้แจ้งคนขับรถว่าให้ช่วยไปส่งที่วัดป่าสุคะโตด้วย (ซึ่งอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม)

รถสองแถวเที่ยวแรกจะออกประมาณเที่ยงกว่าๆ เที่ยวต่อไปประมาณบ่ายสามโมง เที่ยวสุดท้ายประมาณห้าโมงเย็น (ไม่แนะนำให้มาเที่ยวสุดท้ายเพราะจะเต็มไปด้วยนักเรียน) ใช้เวลาไม่แน่นอนในการเดินทางถึงวัด ขึ้นอยู่กับว่าผู้โดยสารเที่ยวนั้นจะไปลงที่ใดบ้าง รถอาจจะแวะส่งหลายหมู่บ้าน โดยปกติถ้าขับรถส่วนตัวใช้เวลาไม่เกิน
๔๐ นาที

หมายเหตุ ควรขึ้นรถจากหมอชิตไม่เกินเที่ยว ๘.๐๐ น. เพราะอาจจะไม่ทันรถสองแถวได้และ ควร
เดินทางถึงวัดไม่เกิน ๑๗.๐๐ น.

แผนที่

ดาวน์โหลดแผนที่ คลิ๊ก >>> map_wadpasukato <<<

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิปัสสนาเลยการคิด แต่บางคนต้องอาศัยการคิดกระตุ้นให้จิตเดินปัญญา

mp 3 (for download) : วิปัสสนาเลยการคิด แต่บางคนต้องอาศัยการคิดกระตุ้นให้จิตเดินปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

วิปัสสนาเลยการคิด

วิปัสสนาเลยการคิด

หลวงพ่อปราโมทย์: การที่เห็นไตรลักษณ์ด้วยการเปรียบเทียบเอานะ เมื่อก่อนยังหนุ่มตอนนี้แก่อะไรอย่างนี้ ยังไม่ขึ้นวิปัสสนาเลย นี่ เห็นไตรลักษณ์แล้วนะ แต่เป็นการเห็นด้วยการคิดเอา ไม่ใช่วิปัสสนานะ ตัวนี้เขาเรียก “สัมมัสสนญาณ” ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา ต่อเมื่อเห็นรูปนามเกิดดับต่อหน้าต่อตาได้นั้นล่ะ มันจะขึ้นวิปัสสนาจริงๆ ไม่คิดแล้วนะ วิปัสสนาเนี่ยเลยการคิดไป

แต่บางคนทำไมต้องคิดก่อน ตรงนี้ถ้าเราไม่เรียนให้ดีนะเราจะสับสน ครูบาอาจารย์บางท่าน ท่านก็บอกว่าทำความสงบแล้วให้คิดพิจารณาไป อันนั้นยังไม่ได้ขึ้นวิปัสสนา แต่เป็นการกระตุ้นให้จิตเดินปัญญา ไม่ให้จิตติดเฉย จิตสงบ จิตเฉยอยู่เฉยๆไม่เดินปัญญา เช่น สงบแล้วก็เฉยอยู่อย่างนั้น หรือตื่นขึ้นมา ตั้งมั่น รู้เนื้อรู้ตัว แล้วพอใจอยู่ในความรู้สึกตัว แล้วก็ติดอยู่ในความรู้สึกตัว ไม่เดินปัญญา อย่างนี้ครูบาอาจารย์จะกระตุ้น ให้คิดพิจารณาไป พิจารณากาย พิจารณาความตาย พิจารณา ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง อะไรอย่างนี้ พิจารณากระตุ้นให้จิตมันทำงาน ไม่ให้จิตมันติดเฉย เป็นอุบาย อุบายไม่ให้จิตติดเฉย

พอจิตมันเคยมองในมุมของไตรลักษณ์บ้างแล้วโดยคิดนำไปก่อน พอจิตมันคุ้นเคยที่จะมองในมุมของไตรลักษณ์แล้วเนี่ย ต่อไปมันจะมองได้เอง ตรงที่มันมองได้เองนี้แหละ มันจะขึ้นวิปัสสนาจริงๆล่ะ ทีนี้บางท่าน ท่านพิจารณานานนะ เป็นปีๆเลย แล้วเสร็จแล้วจิตมันเดินของมันเอง แว้บเดียวสั้นๆนะ ท่านเกิดได้ผลอะไรขึ้นมานะ ท่านก็เลยสรุปบอกว่า ได้ผลเพราะว่าคิดมายาวๆนี่เอง นะ ไม่รู้หรอกว่าได้ผลตรงที่วับเดียวนั้นน่ะ

ทีนี้ถ้าเราเรียนสักหน่อยนะ มันจะไม่ปนกัน ระหว่างสมถะกับวิปัสสนา ตรงที่ยังคิดอยู่ยังเป็นสมถะอยู่ ตรงที่เห็นตามความเป็นจริง ความเกิดดับตามความเป็นจริงนั้นขึ้นวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๓ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๖
Track: ๑๖
File: 530917B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๓๔ ถึง นาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๓๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : การรักษาศีลข้อ 4 (มุสาวาท)

การรักษาศีลข้อ 4 (มุสาวาท)

ถาม : ผมสงสัยเรื่องการรักษาศีลข้อ 4 ถ้าแค่ดูผิวเผินคืองดเว้นจากการพูดโกหก ผมก็สามารถทำได้นะครับ แต่พอจะเริ่มเข้าใจขึ้นมาว่า ที่จริงแล้วศีลข้อ 4 มีรายละเอียดมากกว่านั้น เช่น ไม่พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบ ฯลฯ ที่ว่ามาอย่างๆ หลังๆทั้งหมด ผมเป็นทั้งหมดเลยครับ บางทีจนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว ยกตัวอย่างนะครับ ผมเป็นคนชอบเล่นมุขตลก แล้วบางทีก็เล่นมุขแรงๆ แต่พอกลับมารู้สึกตัว มาทบทวนก็รู้สึกว่า นี่เราพูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ ไปแล้วนิ เป็นต้นครับ อยากให้อาจารย์ ช่วยแนะแนวทางในการถือศีลข้อ 4 ด้วยครั

ตอบ : เอาแค่ไม่พูดโกหก กับไม่พูดให้คนอื่นเดิือดร้อน เท่านี้ก็เป็นการรักษาศีลข้อ ๔ ได้แล้วครับ
ส่วนเรื่องพูดเพ้อเจ้อ ส่อเสียด คำหยาบ นั้นเป็นส่วนขยายของศีลข้อ ๔ ซึ่งค่อยๆหัดไปนะครับ
แต่ถ้าเราพูดสนุกๆ ล้อเล่น ถ้าไม่ทำให้ใครเค้าโกรธเคืองหรือไม่พอใจ ก็ไม่เป็นไร
ไม่ใช่ว่าเราต้องทำตัวเคร่งขรึมไม่พูดเล่นหัวอะไรกับใครหรอกครับ :D

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News : แนะนำบ้านจิตสบาย แหล่งเรียนรู้และภาวนาโดยการเจริญสติ

บ้านจิตสบายใช้เป็นที่แสดงธรรมด้านการเจริญสติของครูบาอาจารย์สายต่างๆ และยังเป็นสถานที่สัปปายะอันเหมาะแก่การเจริญสติ เนื่องจากสงบเงียบ แต่ไม่เปลี่ยว เดินทางสะดวก ห่างจากถนนพุทธมณฑลสาย 2 เพียง 150 เมตรเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีแหล่งข้อมูลให้ผู้สนใจได้สืบค้น อาทิ ฐานข้อมูลมัลติมีเดีย และห้องสมุดธรรมะ เป็นต้น มีการจัดอบรมด้านการเจริญสติในบางโอกาส

ผู้สนใจสามารถเข้าใช้บริการได้ทุกวัน ตั้งแต่ 9.00 – 18.00 น. หยุดวันพุธ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-448-3392 หรือ www.jitsabuy.com

บ้านจิตสบาย แหล่งเรียนรู้และภาวนาโดยการเจริญสติ

บ้านจิตสบายก่อตั้งขึ้นเพื่อตอบแทนพระคุณแก่พระรัตนตรัย ตลอดถึงครูบาอาจารย์ผู้สั่งสอนธรรมะไว้ดีแล้ว ในการเผยแผ่หลักธรรม อันมุ่งสู่ความพ้นทุกข์ในพุทธศาสนาแก่สาธารณชน โดยมุ่งเน้นในเรื่องของการเจริญสติตามหลักในสติปัฏฐานสี่ (กาย เวทนา จิต ธรรม) เพื่อประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชนผู้สนใจทั่วไป  และเก็บอนุรักษ์เพื่อถ่ายทอดสืบต่อไปจนถึงชนรุ่นหลัง

กิจกรรมของบ้านจิตสบาย

1.    เป็นสถานที่แสดงธรรมเกี่ยวกับการเจริญสติ (ท่านสามารถตรวจสอบกำหนดการแสดงธรรมต่างๆ ได้จาก ปฏิทินธรรม )
2.    เป็นสถานที่สัปปายะเพื่อการภาวนา
3.    เป็นแหล่งศึกษา และอนุรักษ์คำสอน เกี่ยวกับการเจริญสติ
4.    ผลิตสื่อธรรมะแจกตามโอกาส ได้แก่ หนังสือ และซีดี
5.    อื่นๆ สำหรับงานกุศล เช่น ถวายทาน, กิจกรรมอาสา เป็นต้น

ภายในบ้านจิตสบาย ประกอบด้วย

1.    ศาลาไตรสิกขา เป็นศาลาแสดงธรรม มีพื้นที่ภาวนาโดยรอบ

ศาลาไตรสิกขา

พระประธาน ภายในศาลาไตรสิกขา
2.    พื้นที่สำหรับการภาวนาและลานจงกรม ภายในบริเวณสวน

3.    อาคารเจริญธรรม เป็นอาคาร 2 ชั้น ประกอบด้วยห้องสมุด ห้องกรรมฐาน ห้องเอนกประสงค์ และส่วนของสำนักงาน

อาคารเจริญธรรม

ห้องกรรมฐาน

ห้องสมุดเกี่ยวกับการเจริญสติ

4.    โรงทาน สำหรับใช้รับประทานอาหารพร้อมบริเวณชำระล้างภาชนะ

เวลาทำการ 9.00 – 18.00 น. หยุดวันพุธ



แผนที่บ้านจิตสบาย

การเดินทาง
1. เข้าทางด้านถนนกาญจนภิเษก จุดสังเกตหลัก คือ สมาคมชาวปักษ์ใต้ (ตรงข้ามเนติบัณฑิตฯ)
2. มาจากถนนบรมราชชนนี เลี้ยวเข้าถนนพุทธมณฑลสาย 2
เข้าสู่ถนนสุขาภิบาลบางระมาด (ห่างจากถนนพุทธมณฑลสาย 2 ประมาณ 150 เมตร)
3. มาจากถนนเพชรเกษม เลี้ยวเข้าถนนพุทธมณฑลสาย 2
เข้าสู่ถนนสุขาภิบาลบางระมาด (ห่างจากถนนพุทธมณฑลสาย 2 ประมาณ 150 เมตร)

รถประจำทางที่ผ่าน  สาย 157, 123, ปอ.พ.79

แผนที่การเดินทาง (คลิ๊กที่รูปเพื่อขยายแผนที่)

พิกัดของบ้านจิตสบาย N 13.765402, E 100.396768




ดู บ้านจิตสบาย พุทธมณฑลสาย 2 ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News: รถตู้ฟรี (พฤษภาคม ๒๕๕๔) เพื่อไปฟังธรรมสำนักสงฆ์สวนสันติธรรม

รถตู้ฟรี เพื่อไปฟังธรรม สวนสันติธรรม

รถตู้ฟรี เพื่อไปฟังธรรม สวนสันติธรรม

ติดตาม รถตู้ฟรี เพื่อไปฟังธรรมสำนักสงฆ์สวนสันติธรรม ได้ที่นี่

รายการรถตู้ฟรี เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๔

รถตู้ฟรีรอบพิเศษ อาทิตย์ที่ 22 พค.2554 สำหรับท่านที่ต้องการไปฟังธรรม หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่บ้านจิตสบาย พุทธมณฑลสาย 2 เวลา 07.00 น. รถตู้ออกจากปั๊ม ปตท. สนามเป้า เป็นรถบริการฟรี ติดต่อ ลุงเมา 084-360-6881, 086-780-4368, 086-556-2623


หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม

ไม่มีการแสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม


รถตู้โดยกลุ่มธรรมดา.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากตารางกลุ่มธรรมดา.net

รถตู้โดยกลุ่มธรรมทาน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากตารางรถตู้โดยคณะเจ้าภาพอื่น

รถตู้โดยลุงเมา (คณะเจ้าภาพหลากหลาย) กรุณาดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากตารางรถตู้โดยคณะเจ้าภาพอื่น

รถตู้โดยชมรมพุทธศาสน์ กฟผ. กรุณาดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากตารางรถตู้โดยคณะเจ้าภาพอื่น


1. รถตู้โดยกลุ่มธรรมดา.net

พฤษภาคม พ.ศ.2554 (ดูรายการรถตู้ฟรีโดยเ้จ้าภาพท่านอื่น คลิ้กที่นี่)

วัน เวลา นัดพบ วันที่รับสมัคร
วันอาทิตย์ที่ 1 พ.ค. 54 5.00 น. ปั๊มปตท. รังสิต 18 – 28 เม.ย. 54
วันอาทิตย์ที่ 8 พ.ค. 54 5.00 น. ปั๊มปิโตรนาส เจริญนคร 25 เม.ย. – 5 พ.ค. 54
วันอังคารที่ 17 พ.ค. 54 (วันวิสาขบูชา) 5.00 น. ปั๊มเอสโซ่ สถานีอารีย์ 2 – 13 พ.ค. 54
วันเสาร์ที่ 21 พ.ค. 54 5.00 น. ปั๊มเอสโซ่ สถานีอารีย์ 9 – 18 พ.ค. 54
วันอาทิตย์ที่ 29 พ.ค. 54 5.00 น.
5.10 น.
ปั๊มเอสโซ่ บางแค
ปั๊มปตท. พระราม 2
16 – 26 พ.ค. 54

แผนที่
(คลิ้กที่ภาพ เพื่อดูแผนที่ขนาดเต็ม)

แผนที่ ปั๊มพ์ ปตท.รังสิต

แผนที่ ปั๊มพ์ ปตท.รังสิต

แผนที่ ปั๊มเอสโซ่บางแค

แผนที่ ปั๊มเอสโซ่บางแค

ปั๊มปตท.พระราม 2

ปั๊มปตท.พระราม 2


โดยมีรายละเอียดและการสำรองที่นั่ง ดัง นี้
1. กรุณาสำรองที่นั่งภายในวันเวลาที่ รับสมัคร โดยส่งชื่อ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ และจำนวนที่นั่งที่ต้องการจองมาที่

    คุณเอ้ หมายเลขโทรศัพท์: 089-445-6269 (เวลา บ่าย 2 ถึง 2 ทุ่ม ทุกวัน)
    คุณดี หมายเลขโทรศัพท์: 089-694-2994
    โดยโทรศัพท์ หรือ ส่งข้อความเท่านั้น กรุณาอย่าฝากข้อความ

2. ทางกลุ่มฯของดรับบริจาคหรือเรี่ยไร สมทบทุนทุกกรณี หากมีการเรี่ยไรจากผู้ให้บริการ จะไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มฯ และทุกท่านมีสิทธิ์ที่จะไม่ต้องสมทบทุนได้ และหากมีกรณีเช่นนี้ขอความกรุณาแจ้งมาทางเมล์ของกลุ่มฯด้วยครับ

3. หากมีปัญหาจากการให้บริการ หรือไม่ได้รับความสะดวกประการใด หรือมีข้อเสนอแนะประการใด กรุณาติดต่อมาที่ van.dhammada.net@gmail.com ได้

4. อนึ่งขอให้ทุกท่านตรงต่อเวลาและใน กรณีที่มีเหตุจำเป็นจะยกเลิกการสำรองที่นั่ง กรุณาแจ้งล่วงหน้าเพื่อให้ผู้อื่นได้ใช้สิทธิ์ในการเดินทางด้วยครับ


2. รถตู้โดยคณะเจ้าภาพอื่น

รายการรถตู้ฟรีเพิ่มเติม เพื่อเดินทางไปฟังธรรมที่สวนสันติธรรม (ดูรายการรถตู้ฟรีของ Dhammada.net คลิ้กที่นี่)

วันและเวลาออกเดินทาง จุดนัดพบ การสำรองที่นั่ง คณะเจ้าภาพ
5.30 น. อาทิตย์ที่ 2 และ 4 ของทุกเดือน Mc Donald’s ที่ แมกซ์วาลู ศรีนครินทร์
(เปิด 24 ชม.)
ติดต่อ02-717-5111
ที่คุณกบ หรือ
คุณหนิงเท่านั้น
กลุ่มธรรมทาน
5.00 น. อาทิตย์ที่ 1 ของทุกเดือน ปั๊ม ปตท สนามเป้า ข้าง ททบ. 5
ตรงข้าม รพ.พญาไท 2
ติดต่อ ลุงเมา
084-360-6881,
086-780-4368,
086-556-2623
บ้านขนมนันทวัน จ.เพชรบุรี
5.00 น. อาทิตย์ที่ 2 ของทุกเดือน บ.สาลี่เอกชัย จ.สุพรรณบุรี
5.00 น. เสาร์หรืออาทิตย์ที่ 3
ของทุกเดือน
บ.ชัยรัชการ จก.
โตโยต้า บางนา-ตราด กม. 16
5.00 น. อาทิตย์ที่ 4 ของทุกเดือน กลุ่มเพื่อน ทพญ. ยาหยี,
ทพญ. จ๊ะจ๋า,
คุณ เจษฎ์จรรย์
5.00 น. อาทิตย์ที่ 5 ของทุกเดือน (ถ้ามี) คุณสุปรียา (น้อง)
5.00 น. อาทิตย์ที่ 2 ของทุกเดือน ม.เอเชียอาคเนย์ ม.เอเชียอาคเนย์
5.00 น. เสาร์ที่ 2 ของทุกเดือน
(กรุณาสำรองที่นั่ง
ก่อน 12.00 น.ของวันพฤหัสที่ 2 ของเดือน)
หน้าป้อมยาม กฟผ. ถ.จรัญสนิทวงศ์ ติดต่อ คุณใกล้รุ่ง
080-465- 4924
เวลา 9.00-20.00 น.
ทุกวัน หรือ
mdc@egat.co.th
กิจกรรมพัฒนาจิต
อ. บางกรวย จ. นนทบุรี
ชมรมพุทธศาสน์ กฟผ.

เนื่องจากเป็นการเดินทางของหมู่คณะ ขอให้ทุกท่านตรงต่อเวลา และในกรณีที่มีเหตุจำเป็นจะยกเลิกการสำรองที่นั่ง กรุณาแจ้งยกเลิกล่วงหน้าเพื่อให้ผู้อื่นได้มีโอกาสเดินทางแทน
หมายเหตุ
1. จะไม่มีการเดินทางตามตารางข้างต้นหากวันเดินทางที่กำหนดไว้ตรงกับวันที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรมปิด
2. รอบรถตู้ข้างต้นของดรับบริจาคหรือเรี่ยไร ทุกกรณี หากญาติธรรมมีความประสงค์จะร่วมบุญ กรุณาติดต่อเจ้าภาพโดยตรง หากมีการเรี่ยไรให้ช่วยค่าใช้จ่ายจากคนขับรถตู้ ขอความกรุณาแจ้งมาทาง santi.vangroup@gmail.com
3. หากมีข้อร้องเรียน คำถาม หรือมีข้อเสนอแนะประการใด กรุณาติดต่อมาที่ santi.vangroup@gmail.com หรือ mdc@egat.co.th (ในกรณีที่เป็นรถตู้ของชมรมพุทธศาสน์ กฟผ.)

ขออนุโมทนาคณะเจ้าภาพและญาติธรรมผู้แสวงหาธรรมะทุกท่าน


เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทศชาติชาดก : ชาติที่ 1 พระเตมีย์ใบ้ (เนกขัมมะบารมี)

ในครั้งก่อนนานมาแล้ว พระเจ้ากาสิกราชครองสมบัติในเมืองพาราณสี แต่พระองค์มีราชโอรสและธิดาไม่ ด้วยกลัวว่าจะไม่มีผู้สืบสกุล จึงให้นางจันทเทวีและนางสนมทำพิธีขอพระโอรส พระอัครมเหสีก็ทรงทำตาม จึงได้ทรงครรภ์เมื่อครบกำหนดแล้วก็ทรงประสูติออกมาเป็นราชกุมาร พระเจ้ากาสิกราชทรงดีพระทัยเป็นอันมา
จัดให้การสมโภชและพระราชทานนางนมให้แก่พระราชกุมารและขนานนามว่า เตมีย์กุมารเพราะในวันประสูตินั้นฝนได้ตกทั่วทั้งพระนครและเป็นเหตุให้พระทัยของพระองค์และราษฏร์ได้รับความแช่มชื่น เรื่องความกลัวว่าราชวงค์จะสูญสียก็เป็นอันหมดไปพระเจ้ากาสิกราชทรงโปรดปรานพระราชกุมารมาก บางครั้งถึงกับอุ้มออกไปทรงว่าราชการด้วย….

วันหนึ่งขณะที่พระราชบิดาอุ้มออกไปทรงว่าราชการอยู่นั้น อำมาตย์ได้นำโจรมาให้ ทรงวินิฉัย    ๔ คนด้วยกัน พระราชาทรงสั่งให้ลงอาญาโจรเหล่านั้น..คนที่ ๑    ให้เฆี่ยนด้วยหนามหวาย และอีกคนให้เอาหอกแทงทรมานให้เจ็บปวดแสนสาหัสคน ๑    ให้เอาหลาวเสียบไว้ที้งเป็น..คน ๑    ให้คุมขังไว้

พระราชกุมารได้ทรงเห็นเช่นนั้น ก็ระลึกความหลังครั้งไปอยู่นรก ก็คิดว่าพระราชบิดาของเราทำดังนี้น่ากลัวเหลือเกิน ตายไปตกนรกแน่นอน เราเองถ้าใหญ่ขึ้นมาก็ต้องครอบครองแผ่นดิน ก็ต้องทำอย่างพระราชบิดาแน่นอน ทำอย่างไรจึงจะพ้นไปจากการต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ เทพธิดาผู้เคยเป็นมารดาของพระราชกุมารในครั้งก่อนสิงอยู่ที่เศวตฉัตร..ได้แนะนำพระราชกุมารให้ปฏิปัติ ๓ ประการคือ

๑ .   จงเป็นคนง่อย
๒.   จงเป็นคนหูหนวก
๓.   จงเป็นใบ้     แล้วจะพ้นสิ่งเหล่านี้

นับตั้งแต่นั้นมา เตมีย์ก็เริ่มปฏิบัติไม่พูดไม่จาอะไรทั้งนั้นใครมาพูดก็ทำเป็นไม่ใด้ยิน เอาอุ้มไปวางไว้ที่ไหนก็นั้งอยู่อย่างนั้น ไม่ขยับเขยื้อนไปในที่ใด พระราชบิดาทรงสงสัยว่าแต่ก่อนพระราชกุมารก็เหมือนเด็กทั่วไปรื่นเริงโลดเต้น..
เจรจาเสียงแจ้วอยู่ตลอดเวลาทำไมกลับมาเงียบขรึมไม่พุดไม่จา ใครจะพูดอะไรก็ไม่ได้ยิน คงจะเกิดโรคภัยชนิดใดขึ้นแน่ จึงให้หมอตรวจ ก็มิได้พบว่าพระราชกุมารเป็นอะไร

คงเป็นปกติทุกอย่าง ก็ทรงให้ทดลองหลายอย่างหลายประการ เป็นตันว่าให้อยู่ในที่สกปรก พระเตมีย์อดทนอยู่ได้ แม้จะหิวก็ไม่ทรงกันแสงแม้จะกลัวก็ไม่แสดงอาการอย่างไร เพราะเห็นว่าภัยในนรกร้ายแรงกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน..จึงคงเฉย ๆ ทำเอาพระราชบิดาสิ้นปัญญา
พวกอำมาตย์รับอาสาว่าจะทดลองดูก่อน ก็ทรงอนุญาติให้..ครั้งแรกเมื่อให้พระเตมีย์นั่งอยู่ในเรือนแล้วแกล้งจุดไฟเพื่อจะให้พระเตมีย์กลัว..แต่หาได้ทำให้พระเตมีย์หวาดกลัวไม่คงเป็นปกติอยู่

ทดลองอย่างนี้ตั้งปี ก็ไม่พบความผิดปกติอย่างไร ต่อไปก็ทดลองด้วยช้างตกมัน โดยนำพระราชกุมารไปประทับนั่งที่พระลาน..ให้มีเด็กห้อมล้อมหมู่มาก..แล้วให้ปล่อยช้างที่ฝึกแล้วเชือกหนึ่ง วิ่งตรงเข้าไปจะเหยียบพระราชกุมาร เด็กที่ห้อมล้อมอยู่หวาดกลัวร้องไห้พากันวิ่งหนีกระจัดกระจายไป แต่พระเตมีย์ก็คงทำเป็นไม่รู้ชี้เช่นเดิม

ทดลองอย่างนี้สิ้นเวลาตั้งปีก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไรขึ้นมา พระกุมารเคยเงียบไม่กระดุกกระดิกอย่างไรก็คงอย่างนั้นแม้ช้างจะจับพระกายขึ้นเพื่อจะฟาดก็ไม่ตกใจกลัวเพราะมุ่งหวังอย่างเดียวจะให้พ้นจากการเป็นพระเจ้าแผ่นดินให้ ต่อไปก็ทดลองด้วยงู ให้พระเตมีย์นั่งอยู่ แล้วให้ปล่อยงูมารัด ธรรมดาเด็กย่อมจะกลัวงู อย่าว่าแต่เด็กเลยผู้ใหญ่ก็เถอะ…แต่ก็ไม่ทำให้พระเตมีย์หวาดกลัวไปได้ คงนั่งเฉยทำเหมือนรูปปั้นเสีย เล่นเอาอำมาตย์เจ้าปัญญาสั่นหัว

ทดลองอย่างนี้อีกเป็นปีก็ไม่อาจจะจับพิรุธพระกุมารได้ ต่อไปให้ทดลองด้วยการให้พระเตมีย์นี่งอยู่ แล้วให้คนถือดาบวี่งมาจะทำอันตราย แต่พระกุมารทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หูไม่ได้ยิน ปากก็ไม่มีเสียง กายไม่กระดิกกระเดี้ย ทดลองอย่างนี้อีกเป็นปีก็จับอะไรพระกุมารไม่ได้.. ต่อไปก็ทดลองเสียง โดยให้พระเตมีย์นั่งอยู่พระองค์เดียว แล้วจู่ ๆ เสียงอึกทึกครึกโครมก็ดังขึ้นมาแต่พระเตมีย์คงทำไม่ได้ยินเช่นเคย การทดลองของอำมาตย์เป็นระยะทั้งสิ้น   ๗ ปี หลายปีที่ทำมาก็ไม่สามารถทำให้พระเตมีย์พูดออกมาได้ตั้งแต่   ๙ ขวบ จนกระทั่ง    ๑๖ ขวบ พระเตมีย์ก็คงทำเช่นนั้น

เมื่อวัยแรกรุ่นย่อมจะชอบใจในกามารมณ์ จึงจัดให้ให้สาวน้อย ๆ มาเล้าโลมประการใด ๆ กอดรัดบ้าง ลูบโน่นบ้างลูบนี่บ้าง จนกระทั่งเปิดโน่นให้ดูบ้าง เปิดนี่ให้ดูบ้าง จะทำอย่างไรพระเตมีย์ก็คงทำเฉยไม่รู้ไม่ชี้ทองไม่รู้ร้อนตลอดกาล….

ใครจะพูดอย่างไร จะทำอย่างไรพระเตมีย์ไม่ได้ยินทั้งนั้น ไม่ยอมเคลื่อนไหวไม่ร้องไห้เหมือนเด็ก ๆ ไม่อ้าปากส่งเสียงอะไรออกมา ผลที่สุดทั้งพระราชบิดาและอำมาตย์ลงความเห็นว่าพระกุมารคงเป็นคนกาลกิณีเสียแล้ว.. ขืนให้อยู่ต่อไปคงจะเกิดอันตรายขึ้นแก่พระองค์แก่สมบัติและแก่พระอัครมเหสี ควรจะออกไปทิ้งเสียที่ป่าช้าผีดิบนอกเมือง พระราชาก็เห็นด้วย จึงดำริจะให้เอาไปทิ้งเสีย แต่พระเทวีอัครมเหสีมาเฝ้ากราบทูลว่า
“ขอเดชะ..พระองค์ได้พระราชทานพรไว้แก่ข้าพระองค์บัดนี้หม่อมฉันจะทูลขอพรที่ได้ให้ไว้นั้น…”
“พระเทวีเธอขออะไรก็ตรัสไปถ้าไม่หลือวิสัยแล้วจะให้”
“ข้าพระองค์ขอราชสมบัติให้พระเตมีย์”
“อะไรกันพระเทวีก็เจ้าเตมีย์เป็นคนใบ้ แล้วก็หูหนวกเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้อย่างไร”
“ก็พระเตมีย์เป็นอย่างนั้น หม่อมฉันจึงขอพระราชสมบัติ”
“ไม่ได้พระเทวีเลือกอย่างอื่นเถิด”
“หม่อมฉันขอเลือกให้พระเตมีย์ครองแผ่นดินแม้ไม่มากเพียง   ๗ ปีก็พอ”
“ไม่ได้พระเทวีจะเป็นความเดือดร้อนแก่คนอื่นมากมายนัก ลูกเราไม่มีความสามารถถ้าดีอยู่อย่าว่าแต่    ๗ ปีเลย ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะให้สมบัติตลอดไป”
“ขอสัก   ๑ ปีก็แล้วกัน”
“ไม่ได้พระเทวี”
“ถ้าอย่างนั้นขอ    ๗ วัน หม่อมฉันขอให้พระเตมีย์ได้เป็นสักหน่อยเถิด”

พระเจ้ากาสิกราชก็ยอมตกลง จึงได้ให้ตกแต่งร่างกายของพระเตมีย์ในเครื่องกษัตริย์ แล้วให้เสด็จเลียบพระนครประกาศให้ประชาชนพลเมืองทั่วไปทราบว่า บัดนี้พระเตมีย์ได้เป็นกษัตริย์แม้ใคร ๆ จะทำอย่างไรพระเตมีย์ยังคงเฉย ร่างกายไม่เคลื่อนไหวเป็นเหมือนหุ่น เขาวางไว้ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ไม่พูดไม่จาอะไรทั้งสิ้น ใครจะทำอะไรก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของพระกุมารทั้งสิ้น พอครบ    ๗ วัน

พระนางจันทเทวีก็ทรงพระกันแสงเพราะครบกำหนดที่สัญญาไว้กับพระราชาแล้ว พระราชาจึงมอบพระเตมีย์กุมารให้กับนายสุนันทสารถีเอาใส่รถไปฝังเสียที่ป่าช้าดิบภายนอกเมือง นายสุนันทก็เอาพระเตมีย์ใส่ท้ายรถขับออกจากตัวเมืองไปยังป่าช้าผีดิบ แต่หารู้ไม่ว่าทางที่จะไปนั้นม้นไม่ใช่ป่าช้าผีดิบแต่เป็นป่าอีกหนึ่งต่างหาก..
ความผิดพลาดของนายสารถี นับตั้งแต่เริ่มเทียมรถม้าแล้วคือ แทนที่จะเอารถสำหรับใส่ศพ กลับเอารถมงคลมาเทียมแทนและเมื่อรับพระเตมีย์แล้วก็คิดว่าจะขับไปป่าช้าผีดิบซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกจึงเป็นอันว่านายสารถีผิดพลาดตลอดมา..

แต่การผิดพลาดนี้เป็นผลดีของพระเตมีย์

เมื่อถึงป่านอกเมือง ซึ่งนายสุนันทคิดว่าเป็นป่าช้าผีดิบ เขาก็หยุดรถหยิบจอบเสียมลงไปเพื่อจะขุดหลุมฝังพระกุมารเสีย หูของเขายังแว่วพระดำรัสของพระราชาที่ว่า
“ลูกข้าคนนี้ เป็นกาลกิณีเองจงเอาไปป่าช้าแล้วขุดหลุมสี่เหลียมให้ลึก แล้วเอาจอบทุบหัวมันเสียก่อนแล้วค่อยฝังมันทีหลัง ช่วยมันหน่อยนะอย่าให้ฝังมันต้องถูกฝังทั้งเป็นเลย

ในขณะที่นายสารถีกำลังขุดหลุมอยู่ไมไกลจากรถนี้นเอง พระเตมีย์ก็คิดว่าร่างกายของเราไมได้เคลื่อนไหวมาตั้ง  ๑๖ ปี จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ก็ทรงกายลุกขึ้นลงมาจากรถทดลองเดินไปมาอยู่ข้างรถ
“ไม่เป็นอะไร มือเท้าไม่ได้เป็นง่อยเปลี้ยเสียแต่อย่างใด แต่กำลังเล่าจะเป็นไฉน”

คิดแล้วก็จับเอางอนรถยกขึ้น..เป็นความมหัศจรรย์…พระเตมีย์ยกรถขึ้นกวัดแกว่งได้เหมือนยกเอารถตุ๊กตาเบาแสนเบาแล้วกลับวางอย่างเดิม แลเห็นนายสารถีก้มหน้าก้มตาขุดหลุมอยู่โดยไม่ทราบว่าพระองค์ได้ทำอย่างไรบ้าง จึงเดินเข้าไปยืนอยู่ใกล้ก็ไม่รู้แต่ก็ตกใจเมื่อได้ยินเสียง
“สารถีท่านขุดหลุมสี่เหลียมทำไมกัน”

เขาเหลียวหน้ามามองแต่ก็จำไม่ได้ว่าเป็นพระกุมารที่ตนนำมาคิดเสียว่าเป็นคนเดินทางผ่านมาเห็นตนกำลังขุดหลุมอยู่ก็แวะเจ้ามาสอบถามดู
“ขุดหลุมฝังคน” เขาตอบสั้น
“ฝังใครกันล่ะ?”

“ฝังลูกพระเจ้าแผ่นดิน”
“ฝังทำไมกันล่ะ?”
“เรื่องมันยืดยาวท่านอยากจะรู้ไปทำไม”
“ก็อยากจะรู้บ้างว่าคน ๆ นั้นเป็นลูกพระเจ้าแผ่นดินจะมาถูกฝังเพราะโทษอะไร” นายสารถีก็ชี้แจงว่า
“ไม่มีโทษอะไรหรอก แต่พระราชกุมารเป็นคนกาลกิณีขืนปล่อยไว้นานไปความอุบาทว์ ทั้งหลายก็จะเกิดแก่ราชสมบัติ พระเตมีย์จึงแสร้งตรัสถามต่อไปว่า
“คนกาลกิณีน่ะเป็นอย่างไร”
“ก็เป็นคนไม่ดีน่ะสิ” นายสารถีเริ่มฉุน
“ไม่ดีอย่างไร”
“เอ..ท่านนี่ควรจะไปเป็นศาลตุลาการ..แทนที่จะเป็นคนเดินทางเพราะแก่ชักเสียจริง”

พระกุมารก็ไม่ขุ่นเคือง คงมีพระดำรัสเรียบ ๆ ถามต่อไป
“ข้าพเจ้าอยากรู้จริง ๆ ก็เลยรบกวนท่านหน่อย”
“เอ๊า…อย่างนั้นคอยฟัง..คือว่าพระโอรสของเจ้านายข้าพเจ้าคนนี้ เกิดมามีลักษณะสวยงามน่าเอ็นดูอยู่หรอก แต่เสียอย่างเดียวภายหลังมาเกิดไม่พูดไม่จาแขนขาไม่ยกไม่ก้าว เสียเฉย ๆ ยังงั้นเเหละใครจะพูดอะไร หูก็แถมหนวกเสียด้วยเลยเป็นอันว่าเหมือนตุ๊กตาตัวโต ๆ ที่เขาตั้งไว้”
“แล้วอะไรอีกล่ะ”
“ก็ไม่ยังไงหรอกพระเจ้าแผ่นดินรอมาถึง   ๑๖ ปี ก็ไม่เห็นดีขึ้น เลยตัดสินให้ข้าพเจ้าเอามาฝังเสียหลุมที่ขุดนี่แหละที่จะฝังพระราชกุมาร ท่านเข้าใจหรือยัง”
“ท่านรู้ไหมว่าเราเป็นใคร” จึงมองอย่างพินิจพิจารณา แต่เขาก็จำไม่ได้เพราะผู้ที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าบัดนี้ไม่ใช่พระกุมารผู้เป็นง่อยเปลี้ยเสียแข้งขาเสียแล้ว แม้ว่าหน้าตาจะคล้ายคลึงกับพระกุมารแต่เขาก็ไม่แน่ใจนักจึงทำอ้ำอึ้งอยู่

เมื่อเห็นสารถีมองดูด้วยความสงสัยจึงประกาศตนว่า
“สารถี..เราคือเตมีย์กุมารที่ท่านจะนำมาฝัง ท่านลองพิจารณาดูเถิดว่าเป็นคนกาลกิณีหรือเปล่า..ดูสิเราเป็นง่อยหรือเปล่า”
นายสารถีได้แต่มองอย่างสงสัย แล้วเอ่ยขึ้นรำพึงกับตัวว่า
“เอ พระกุมารก็ไม่น่าเป็นไปได้ จะว่าไม่ใช่ก็กระไรอยู่”

“เราคือเตมีย์กุมาร โอรสของพระเจ้ากาสิกราชที่ท่านอาศัยเลี้ยงชีพด้วยการเป็นราชบริพารอยู่บัดนี้ อย่าสงสัยเลยท่านขุดหลุมฝังเราน่ะเป็นเรื่องไม่เป็นธรรมเลย”
“ทำไมไม่เป็นธรรม?”
“ท่านมองดูสิว่าเราเป็นคนกาลกิณีหรือเปล่า ท่านได้รับคำสั่งให้ฝังคนกาลกิณีต่างหาก”
“จริงสินะ” สารถีคิดแต่เขาก็อ้ำอึ้งอยู่ไม่รู้จะกล่าวออกว่ากระไรอีก ที่เขาจะนำไปฝังนั้นเอง เขาจึงก้มกราบที่เท้าของพระเตมีย์
“โอ้..ข้าพระบาทเป็นคนโง่เขลา ทั้งนายของตนเองก็จำไม่ได้ เหมือนปาฏิหาริย์ บันดาลให้เกิดไม่น่าเชื่อ”
“ทำไมไม่เชื่อ”
“เพราะพระองค์ไม่เคลื่อนไหวร่างกายตั้งสิบกว่าปีอวัยวะควรจะใช้ไม่ได้ ควรจะเหี่ยวแห้งไป แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่นับว่าเป็นความประหลาดมากทีเดียว”
“เมื่อท่านเห็นเราเป็นอย่างนี้แล้ว ท่านยังจะคิดฝังเราอีกหรือเปล่า”
“ไม่พะย่ะค่ะ ข้าพระบาทเลิกคิดจะทำร้ายพระองค์แล้ว ข้าพระพระองค์เข้าไปเฝ้าพระราชบิดามารดาเพื่อจะได้ครองราชสมบัติต่อไป”
“เราไม่คิดจะกลับไปสู่สถานเช่นนั้นอีก เพราะที่นั้นเป็นเหตุให้กระทำความชั่ว ซึ่งต่อไปจะทำให้บังเกิดในนรกอย่างไม่รู้จะผุดจะเกิดเมื่อไหร่ ?”

แต่นายสารถีก็ยังแสดงความดีใจ
“ถ้าข้าพระองค์นำพระองค์กลับเข้าไปได้ใคร ๆ ก็ต้องแสดงความยินดีกับพระองค์ และข้าพระองค์ก็จะได้เงินทองทรัพย์สมบัติผ้าผ่อนและแพรพรรณต่าง ๆ จากคนเหล่านี้ เป็นต้นว่า
พระราชบิดามารดาของพระองค์ก็ทรงยินดี ข้าพระองค์อาจจะได้ยศศักดิ์ บริวารและ อะไรต่าง ๆ ตามความปรารถนาเพราะ ใคร ๆ แสดงความสามารถที่จะให้พระองค์ไม่กลายเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขาเป็นคนหูหนวกเป็นใบ้มาตั้งสิบกว่าปีก็ไม่สำเร็จ แต่ข้าพระองค์กลับทำได้ เป็นความดีใจที่เหนือความดีใจทั้งหมดที่เคยมี ข้าพระองค์กำลังจะรับความสุข ไม่ต้องลำบากเช่นเดี๋ยวนี้”

“ท่านอย่าเพิ่งดีใจไปก่อนเราจะว่าให้ฟังเราเป็นคนไม่มีญาติขาดมิตร เป็นคนกำพร้า เป็นคนกาลกิณีจนเขาต้องให้ท่านเอาเราไปฝังเสียยังป่าช้าผีดิบ..ท่านนำเรากลับไปก็ไม่ดีท่านนั้นเเหละอาจจะกลายเป็นคนกาลกิณีไปก็ได้เพระใคร ๆ เขาก็เข้าใจอย่างนั้นแล้วท่านจะฝืนความนึกคิดคนอื่นได้อย่างไร เราสละแล้วด้วยประการทั้งปวง บ้านเรือนแว่นแคว้นเราไม่มี เราจะบำเพ็ญพรตรักษาศีลอยู่ในป่านี้โดยไม่กลับไปอีกแล้ว”

“พระองค์น่าจะตรัสกับพระราชบิดามารดาเสียก่อน”
“ไม่ล่ะ เราความเพียรเพื่อจะออกจากเมืองเป็นจำนวนถึง   ๑๐ กว่าปี ความตั้งใจของเราจะสำเร็จแล้ว เราจะไม่เข้าไปสู่สถานที่ทำกรรมอีกล่ะ ถ้าเราเป็นพระเจ้าแผ่นดินอาจจะอยู่ไปได้หลายสิบปี แต่เราจะต้องทำกรรมแล้วไปตกอยู่ในนรกตั้งหมื่นปี ท่านลองคิดดูว่าพระเจ้าแผ่นดินจะต้องสั่งให้เขาเฆี่ยนตี..ฆ่าคนนี้..ทำทรมานคนโน้น..ริบทรัพย์คนนั้น..ริบทรัพย์คนโน้น..วันละเท่าไร ปีละเท่าไร แล้วผลของการกระทำความชั่วนั้นจะไม่ย้อนกลับมาให้ผลเราบ้างหรือ

นายสารถีอดที่จะค้านไม่ได้
“พระเจ้าแผ่นดินจะทรงทำอย่างนั้น..ว่าโดยทางโลกยินยอมว่าเป็นความถูกต้อง เขาให้อำนาจที่จะกระทำ แต่ท่านต้องไม่ลืมนะว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ผิดจากทางโลก..แต่ทางธรรมไม่เคยยกเว้นให้ใคร ทางธรรมมีอยู่ว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ผลของการทำดีนำไปสู่สวรรค์ ผลของการทำชั่วนำไปสู่นรก”

นายสารถีจึงกราบทูลว่า
“ข้าพระองค์เป็นคนเขลา ยังคิดเป็นความสุขสบายแต่เมื่อพระองค์ดำรัสก็เห็นได้จริงคงอย่างนั้น ทุกคนต้องรักขีวิตร่างกายของตนทั้งนั้น เมื่อใดใครมาทำอันตรายก็เป็นธรรมดาต้องไม่ชอบ เมื่อพระองค์เห็นว่าโลกยุ่งมากนักจะบวช ข้าพระองค์ก็จะบวชเหมือนกัน” พระกุมารดำริว่า

“หากให้นายสารถีบวชเสีย ม้ารถก็เสียหาย และพระราชบิดามารดาคงได้รับความโทมนัสที่จะเอาฝังเสีย ถ้าให้ท่านกลับคืนไปเมืองก็จะทำให้พระองค์เสด็จมาดูเรา ได้รับความโสมนัส และบางทีพระราชบิดาจะกลับใจประพฤติชอบขึ้นมาบ้าง” จึงตรัสว่า
“เธอกลับไปส่งข่าวแก่พระราชบิดามารดาก่อนเถิดแล้วค่อยมาบวชทีหลัง เพราะบวชด้วยความเป็นหนี้ไม่ดีเลย”

นายสารถียินดีจะกลับไปทูลพระเจ้าแผ่นดิน แต่เกรงว่าเมื่อตนไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินแล้ว เมื่อเสด็จมาดูไม่พบพระกุมารก็เลยกลายเป็นว่าตนโกหก อาจจะถูกลงพระอาญาได้ จึงทูลขอพระกุมารไว้อย่าได้เสด็จไปที่อื่น ซึ่งพระกุมารก็รับคำนายสารถีถึงได้กลับไป

พระนางจันทรเทวี นับตั้งแต่นายสารถีเอาพระราชกุมารไปแล้วพระองค์ก็คอยเฝ้ามองอยู่ว่าเมื่อไรนายสารถีจะกลับมา จะได้ทราบเรื่องพระโอรสที่รักบ้าง
เมื่อเห็นนายสารถีกลับมาคนเดียวก็แน่พระทัยว่าพระราชโอรสของพระองค์สิ้นพระชนม์เสียแล้ว น้ำพระเนตรก็ไหลอาบพระปรางด้วยความโทมนัส ตรัสถามนายสารถีว่า
“พ่อสารถี ที่เอาโอรสของเราไปฝังนั้น พ่อได้รับคำสั่งเสียจากโอรสของเราอย่างไรบ้าง   และโอรสของเราได้ทำอย่างไร”
“ขอเดชะพระแม่เจ้า    ข้าพระบาทจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดกับพระราชกุมารให้ฟังตั้งแต่ต้นจนปลาย”

แล้วเขาก็เล่าตั้งเเต่นำเอาพระโอรสอออกไปขุดหลุมจะฝังพระโอรสก็กลับกลายหายจากง่อยเปลี้ยเสียขา   เจรจาได้ทรงพลกำลังยกรถที่ขี่ออกไปกวัดแกว่ง  จนกระทั่งตนได้ทราบความจริงว่าทำไมพระกุมารจึงได้ทำอย่างนั้น    แล้วเขาก็ลงท้ายว่า
“ขอเดชะ บัดนี้พระองค์ทรงผนวชอยู่ในราวเบื้องป่าบูรพาทิศเมืองนี้พระเจ้าข้า”

เท่านั้นเองพระนางก็ลิงโลดพระทัยตรัสออกมาว่า
“โอ..พ่อเตมีย์ของแม่ไม่ตายดอกหรือ เออ? ดีใจ ดีใจจริงๆ”    สองพระกรก็ทาบพระอุระ ข่มความตื้นตันไว้ในพระทัย ถึงพระกาสิกราชก็ดีพระทัยเช่นกัน

การที่พระองค์ให้เอาพระเตมีตย์ไปฝังเสียนั้น ใช่ว่าพระองค์จะชิงชังหรือรังเกลียดก็หามิได้ แท้ที่จริงเพราะพระองค์กลัวอันตรายจะเกิดกับพระราชวงศ์ ตลอดจนพระมเหสีที่รักต่างหาก     และนายสารถีก็ได้กราบทูลว่า
“พระราชกุมารทรงพระสรีระโฉมงามสง่าเหลือเกินมีสุรเสียงไพเราะตรัสออกมาน่าฟัง เหตุที่เป็นดังนั้นเพราะพระกุมารตรัสเล่าให้ฟังว่า

ทรงระลึกชาติได้ได้ว่าครั้งชาติก่อนพระองค์เคยเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ทำกรรมมีการจับกุมขังเฆี่ยนฆ่านักโทษมี ประการ ต่าง ๆ ครั้นพระองค์สวรรณคตแล้วได้ไปบังเกิดในนรกเป็นเวลานาน
เหมือนคนที่ถูกงูกัด มองเห็นสิ่งอะไรคล้ายกับงูก็ย่อมจะกลัวไปหมด ฉะนั้นข้าพระองค์เองยังอยากจะบวชอยู่ในป่านั้นด้วย แต่พระกุมารไม่ยอมให้ข้าพระองค์บวช บอกให้ข้าพระองค์กลับมาทูลเรื่องราวให้พระองค์ทั้งสองทราบเสียก่อน แล้วจึงค่อยไปบวชภายหลัง ข้าพระองค์จึงได้รีบกลับมากลาบทูลให้ทราบ หากพระองค์อยากจะเสด็จไปสถานที่นั้น ข้าพระองค์จักนำไปเอง”

พระเจ้ากาสิกราชมีพระดำรัสให้เตรียมพโยธาเพื่อจะเสด็จไปเฝ้าพระเตมีย์กุมาร ซึ่งบวชบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าด้านปราจีนทิศของเมือง แต่การเข้าไปนี้พระราชาเป็นผู้เสด็จเข้าไปก่อนเพื่อสอบถามทุกข์สุขซึ่งกันและกัน พระเทวีจึงเสด็จเข้าไป เมื่อเห็นพระโอรสเสด็จประทับนั่งอยู่ ด้วยความปลื้มปีติพระนางตรงเข้าไปกอดพระบาทของพระโอรส ทรงกันแสงสะอึกสะอึ่นแล้วถอยออกมา
“พ่อเตมีย์บริโภคแต่ใบไม้พลไม้ในป่า ทำไมจึงมีร่างกายสดใส”

พระราชาจึงถามพระเตมีย์ว่า เตมีย์กุมารจึงทูลตอบว่า
“ขอเดชะการที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุว่า สละความห่วงใยไม่ให้มาเกาะเกี่ยวจิตใจ อะไรที่ล่วงมาแล้วก็ไม่คิดเศร้าโศก ไม่คิดอยากได้สิ่งที่ยังมาไม่ถึง พยายามรักษาจิตใจในสิ่งที่เป็นปัจจุปันเท่านั้น จึงทำให้ผิวพรรณของหม่อมฉันไม่เศร้าหมอง”
“เมื่อพ่อไม่เป็นกาลกิณีแล้ว พ่อก็ควรจะกลับไปครองราชสมบัติเพื่อประโยชย์แก่ชนหมู่มากเถิด บัดนี้ก็เอาเบญจราชกกุธภัณฑ์มาด้วยแล้ว และเมื่อกลับไปถึงบ้านเมืองแล้วจะได้ ไปสู่ขอลูกกษัตริย์อื่นให้มาเป็นอัครมเหสี พระกูลวงศ์ของเราก็ไม่เสียไป”

เตมีย์กลับกล่าวตัดบทว่า
การบวชควรจะบวชเมื่อยังหนุ่มเพราะสังขารร่างกายของเราตกอยู่ในคติของธรรมดา เกิดแล้วก็เจ็บตายไปตามสภาพรู้ไม่ได้ว่าเราจะตายเมื่อใด

พระราชบิดาก็คงเห็น บางคนลูกตายก่อนพ่อแม่ น้องตายก่อนพี่ เหล่านี้แล้ว จะมัวประมาทอยู่ได้อย่างไร โลกถูกครอบงำอยู่ด้วยมฤตยู พระองค์ลองคิดดูช่างหูกเขาจะทอผ้าสักผืนหนึ่ง ทอไปทอไปข้างหน้า ก็น้อยเข้าฉันใด ชีวิตของคนเราก็เช่นนั้นพระองค์อย่ามัวประมาทอยู่เลย”

พระราชาได้สดับแล้วก็คิดจะบวชบ้าง แต่ก็คิดจะลองใจเตมีย์กุมารดูอีก ก็ตรัสชวนในราชสมบัติและยกเอากามคุณต่าง ๆ มาล่อ แต่พระเตมีย์ก็คงยืนยันเช่นนั้นพร้อมกับอธิบายถึงผลภัยของราชสมบัติมีประการต่าง ๆ ตนพระราชาตกลงพระทัยจะผนวช

จึงให้เอากลองไปตีป่าวประกาศว่าใครอยากบวชในพระราชสำนักพระเตมีย์ก็จงบวชเถิด และมิใช่แต่เท่านั้น ยังจารึกแผ่นทองคำไปติดไว้ที่เสาท้องพระโรงว่า ใครต้องการทรัพย์สมบัติใด ๆ ในคลังหลวงจงมาเอาไปเถิด

พร้อมกันนั้นก็ให้เปิดพระคลังทั้งสิบสองพระคลังเพื่อจะให้คนที่ปราถนาจะได้ขนเอา ประชาชนราษฎรพากันแตกตื่นไปบวชในพระราชสำนักพระเตมีย์ บ้านเรือนก็เปิดที้งไว้โดยไม่สนใจ ที่บริเวณสามโยชน์ เต็มไปด้วยดาบสและดาสินี บรรดารถและช้างม้าที่พระราชานำมาแต่เมืองก็ปล่อยให้ผุพัง ช้างม้าก็กลายเป็นม้าป่าช้างป่าเกลื่อนไปในป่านั้น

พระราชาที่อยู่ใกล้เคียงได้ทราบว่า กรุงพาราณสีไม่มีผู้คุ้มครองรักษา ก็ยกพหลโยธาหมายจะยึดครองเอาไว้ในอำนาจ
เมื่อมาถึงได้เห็นประกาศที่พระกาสิกราชติดไว้ ก็ทำ ให้เกิดสงสัยว่า ทำไมคนเหล่านี้จึงทิ้งสมบัติทั้งปวงเสีย ออกไปบวชอยู่ในป่าได้ บ้านเรือนราฎรก็ทิ้งไว้ ประตูเมืองก็หาคนปิดมิได้ แต่ทรัพย์สมบัติยังคงอยู่ทุกอย่าง เลยยกพหลโยธาตามออกในป่า พบพระราชาและพลเมืองบวชเป็นฤษีบำเพ็ญพรตอยู่ในป่านั้น

และเมื่อได้สดับธรรมะที่พระเตมีย์ให้โอวาทเข้าอีก เลยทำให้คิดจะหลีกเร้นออกหาความสุข พากันสละช้างม้าตลอดจนเครื่องอาวุธ บวชอยู่ในสำนักพระเตมีย์ ในบริเวณป่าดาษดา ไปด้วยรถที่ผุพังทรุดโทรม สัตว์ป่าวิ่งกันไปในป่าเกลื่อนไปหมดล้วนแต่เชื่อง ๆ รวมอยู่ใกล้ ๆ กับบรรดาฤษีเหล่านั้นก็บำเพ็ญฌานสมาบัติ ตายไปได้บังเกิดในเทวโลก

คติเรื่องนี้ที่ควรจะได้ คือการตั้งใจแน่วแน่
อยากจะได้สิ่งอันใดสมดังความตั้งใจอันนั้น
ก็พยายามจนสำเร็จและได้เห็นความ อดทน
อดกลั้นของพระเตมีย์ ซึ่งต้องทำ เป็นคนง่อย
คนใบ้ คนหูหนวกสารพัดเป็นเวลาตั้ง    ๑๐ กว่าปี
หากเราจะตั้งใจแล้วพยายามทำก็จะต้องสำเร็จจนได้
ในวันหนึ่ง เรื่องพระเตมีย์ก็จบลงด้วยความสำเร็จทุกประการฉะนี้

(เรื่องพระเจ้าสิบชาติ
เป็นเรื่องที่มาจากคัมภีร์พุทธศาสนาซึ่งมีชื่อว่า “มหานิบาตชาดก”)


เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : ปัญหาเมื่อจิตคิดในขณะทำสมาธิ

ปัญหาเมื่อจิตคิดในขณะทำสมาธิ

ถาม : เวลาผมนั้งสมาธิแล้วจิตมันไปคิด แล้วเหมือนผมจะพูดในใจว่า “จิตไปคิด” แล้วความคิดก็หายไป แล้วผมก็ดึงกลับมาที่ลมหายใจ เป็นแบบนี้สลับไปมา คือผมไม่แน่ใจว่าเป็นการบังคับหรือเปล่า แล้วแบบนี้เรียกว่าการ รู้ หรือ เปล่าครับ?

ตอบ : แวบที่รู้สึกว่าจิตคิด (ก่อนพูดว่าจิตคิด) ตรงนั้นเป็นการรู้ครับ
แต่ตรงที่พูดเป็นจิตที่หลงไปใหม่ แล้วพอพูดแล้วรู้ว่าความคิดหายไปก็เป็นการรู้
รู้แล้วก็เผลอไปดึง(บังคับ)จิต ดึงแล้วก็รู้ว่าดึงจิตกลับมาที่ลม
รู้กับเผลอจะสลับกันไปแบบนี้แหละครับ
เพราะฉะนั้นถ้าไม่เผลอไปและไม่ได้เพ่งจ้องไว้ ก็คือ รู้ ครับ

ส่วนการบังคับนั้น ถ้าเป็นการนั่งสมาธิ แรกๆ ก็ต้องบังคับจิตบ้าง
แต่พอจิตเริ่มเป็นสมถะ จิตก็จะรู้ลมเองโดยไม่ต้องคอยบังคับไว้ครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สมาธิ มี ๒ แบบ

mp 3 (for download) : สมาธิ มี ๒ แบบ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สมาธิ มี ๒ แบบ

สมาธิ มี ๒ แบบ

หลวงพ่อปราโมทย์ : สมาธิมี ๒ อัน อันหนึ่งให้จิตสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว อีกอันหนึ่งให้จิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดู อารัมมณูปนิชฌานทำให้จิตสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว ลักขณูปนิชฌานทำให้จิตตั้งมั่นขึ้นมาเห็นลักษณะคือความเป็นไตรลักษณ์ได้

ถ้ามีลักขณูปนิชฌาน สมาธิชนิดที่เห็นลักษณะได้นี้แหละ เอาไปเป็นเครื่องมือในการเจริญปัญญา ส่วนสมาธิที่ไปสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียวเป็นเครื่องมือในการพักผ่อน มีประโยชน์มั้ยพักผ่อน มี ทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่มีความสุข แห้งแล้ง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ปฏิเสธสมาธิอย่างใดอย่างหนึ่ง สมาธิที่ปฏิเสธก็คือสมาธิที่ลืมเนื้อลืมตัว เคลิ้มๆ ลืมเนื้อลืมตัว ง็อกแง็กๆ อย่างนั้นไม่ได้เรื่อง ต้องเป็นสมาธิที่ไม่ขาดสติ ถ้าขาดสติเมื่อไหร่นะ ถึงจะมีสมาธิอยู่จิตก็เป็นอกุศล

เราอย่านึกนะว่าสมาธิเกิดจากจิตที่เป็นกุศลเท่านั้น แม้จิตอกุศลก็มีสมาธิ ยกตัวอย่างคนจะไปยิงหัวคนอื่นนะ มีสมาธินะ มี ไม่งั้นยิงไม่ถูกน่ะ คนเล่นไพ่มีสมาธิมั้ย มี เห็นมั้ย คนเชียร์มวยเคยเห็นมั้ย เชียร์มวย เคยเห็นในโทรทัศน์มั้ย มันเต้นเหย็งๆเลย มันมีสมาธิในการดูมวยใช่มั้ย รู้หมดเลยนักมวยควรจะชกอย่างนี้ ควรจะเตะอย่างนี้ รู้หมดเลย เพราะชอบสอนให้นักมวยทำอย่างนั้นอย่างนี้ ตัวเองมีสมาธิจดจ่อดู ดูออก

สมาธิมันเกิดกับจิตทุกชนิดแหละ จิตที่เป็นกุศลมันก็มีสมาธิ จิตอกุศลมันก็มีสมาธิ เพราะฉะนั้นนะเราเลือกสมาธิจากจิตที่เป็นกุศลน่ะ มี ๒ จำพวก พวกหนึ่งสงบ อีกพวกหนึ่งตั้งมั่น สงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว วิธีฝึกทำอย่างไร เรารู้เราจะทำอะไร

ยกตัวอย่างเราจะทำสมถะ ทำเพื่ออะไร เพื่อสงบหรือเพื่อตั้งมั่น ทำอย่างไร อันนี้ก็ต้องรู้นะ ถ้าจะทำให้สงบ เราก็เลือกดู อารมณ์อะไรที่เราอยู่แล้วมีความสุข เราไปรู้อารมณ์อันนั้น ใครอยู่กับพุทโธมีความสุขก็อยู่กับพุทโธ ใครอยู่กับลมหายใจ อยู่กับท้องพองยุบ อยู่กับการเดินจงกรม อยู่กับการขยับมือทำจังหวะ แล้วมีความสุข เราก็ใช้อารมณ์อันนั้น เลือกเอาอารมณ์ที่มีความสุข หรือหัดดูจิตดูใจไป แล้วมีความสุข

เมื่อเช้าอาจารย์ Sup ครู Sup’K เขาไปบอก ว่าครู Sup’K เนี่ย ภาวนาหายใจเข้าก็บริกรรมนะ หายใจเข้าก็รู้ ตอนหายใจออกบริกรรมว่าหายใจออกก็รู้ ถามว่าใช้ได้มั้ย ใช้ได้ เพราะครู Sup’K แกบอกว่า แกบริกรรมแบบนี้แล้วมีความสุข จิตใจมีความสุขจิตจะสงบ จิตจะไม่หนีไปที่อื่นนะ สงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว สบาย เพราะฉะนั้นเราเลือกอารมณ์ที่เราอยู่แล้วมีความสุข แต่ต้องเป็นอารมณ์ที่เป็นกุศล ใช้ได้ทั้งสิ้นเลย จะได้จิตที่มีความสงบขึ้นมา

แล้วจิตที่ตั้งมั่นล่ะฝึกอย่างไร เราก็ฝึกไปอย่างเดิมนั้นแหละ แต่ปรับมุมมองนิดหน่อยนะ แทนที่จะน้อมจิตให้ไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวแล้วมีความสุขนะ เปลี่ยนมาเป็นคนคอยรู้ทันจิตนะ มาเป็นคนคอยรู้ทันจิต เช่นหายใจไปบริกรรมไป หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ รู้ไปบริกรรมไป จิตไหลแว้บ..ไปที่อื่นน่ะ จิตไหลแแว้บไป รู้ทัน รู้ทัน จิตมันไหลแว้บไป เรารู้ทัน อย่างนี้ เราเห็นจิ๊บเดินไปใช่มั้ย จิตเราไหลไปอยู่ที่เขา เราคอยรู้ทัน จิตมันจะหนีไปเรื่อย จิตที่หนีไปนั้นแหละเรียกว่าจิตไม่ตั้งมั่น มันหนีไป มันจะลืมเนื้อลืมตัว ลืมกายลืมใจ

เพราะฉะนั้นเรามาฝึกนะ ฝึกพุทโธไป หายใจไป หายใจอย่างเดียวหรือว่าจะหายใจไปพุทโธไปก็ได้ หายใจไปแล้วบริกรรมอย่างอื่นก็ได้ เช่น หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ แล้วแต่ถนัดนะ ไม่มีดีมีเลวกว่ากันหรอก แล้วก็คอยรู้ทันนะ หายใจไปๆ จิตหนีไปคิดน่ะ จิตไหลไปแล้ว รู้ทัน จิตไปเพ่งลมหายใจ รู้ทัน รู้ทันกริยาอาการของจิตไปเรื่อยๆ ไม่ใช่หายใจแล้วไปรู้ตัวลมหายใจนะ จะคนละแบบกัน ไม่ได้หายใจเอาความสงบ แต่หายใจแล้วคอยรู้ทันจิตที่ไม่สงบ จิตที่ฟุ้ง จิตที่ไหลไปไหลมา

วิธีนี้ก็ใช้กับกรรมฐานอย่างอื่นก็ได้นะ ยกตัวอย่างบางคนก็พุทโธๆ ไม่ได้พูดถึงลมหายใจ ไม่ได้สนใจลมหายใจเลย พุทโธลูกเดียวเลย พุทโธๆไปแล้วจิตหนีไปคิดรู้ทัน จิตหนีไปคิดรู้ทัน จิตไปเพ่งอารมณ์ เพ่งจิตนิ่งๆอยู่ ก็รู้ทัน จิตไปทำอะไรก็รู้ทัน คอยรู้ทันอย่างนี้นะ ต่อไปจิตจะกลายเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา ตรงที่รู้ทันนั้นแหละ จิตไม่ไหลไป ตรงที่จิตไม่ไหลไปนั้นแหละ จิตตั้งมั่นขึ้นมานะ เพราะฉะนั้นตั้งมั่นโดยที่ไม่ได้เจตนาให้ตั้งมั่น ตั้งมั่นโดยที่ไม่ได้บังคับให้ตั้งมั่น ถ้าเจตนาให้ตั้งมั่นเนี่ยเจือด้วยโลภะ ไม่ตั้งมั่นจริง ไปบังคับมันยิ่งเครียดใหญ่ แน่นๆ ใช้ไม่ได้

เพราะฉะนั้นสมาธิ ๒ อย่างนะ ฝึกไม่เหมือนกัน อย่างแรกรู้อารมณ์ที่สบาย มีความสุข แล้วจิตสงบอยู่ในอารมณ์อันนั้น อันนี้เอาไว้พักผ่อน อย่างที่ ๒ ก็รู้อารมณ์อย่างที่เคยรู้นั่นแหละ แล้วคอยรู้ทันที่จิต จิตไหลไปแล้วรู้ จิตไหลไปแล้วรู้ จิตจะตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ ผู้รู้ผู้ดู ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ฝึกให้ได้นะ ให้ได้ทั้งสองอย่างล่ะ ดีที่สุด อันหนึ่งเอาไว้พักผ่อน อันหนึ่งเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อการเจริญปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๓


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๖
Track: ๑๖
File: 530917B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๕๓ ถึง นาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๕๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News : ขอเชิญร่วมสานเจตนารมณ์ ของหลวงตามหาบัวในการช่วยชาติ ร่วมกับพระคุณแม่จันดีและกลุ่มกองทัพมด

ขอเชิญร่วมสานเจตนารมณ์ ของหลวงตามหาบัวในการช่วยชาติ ร่วมกับพระคุณแม่จันดีและกลุ่มกองทัพมด

โดยการบริจาคโดยตรงที่วัดป่าบ้านตาด หรือติดต่อสอบถามกลุ่มกองทัพมด โทร 080-1914227, 087-2360646

www.dharmajourney.net และ www.tdatl.com

เรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับพระคุณแม่จันดี

1. คุณแม่จันดี โลหิตดี อริยะเจ้าขนิษฐา ของหลวงตามหาบัว

2. อ้ายหมดห่วงแล้ว – เมื่อหลวงตามหาบัวสอนน้องสาว (คุณแม่จันดี) ภาวนา

3. Dhammada News: VDO อริยะเจ้าปาฎิหารย์ เมื่อเกศาหลวงตา และเล็บคุณแม่จันดีกลายเป็นพระธาตุ

4. Dhammada News: อัศจรรย์ ชมคลิป เกศาพระคุณแม่จันดีกลายเป็นพระธาตุ


เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : ปัญหาการติดซึม และใช้จิตช่วยดูเกิดดับ

ปัญหาการติดซึม และใช้จิตช่วยดูเกิดดับ

ได้ไปส่งการบ้านกับหลวงพ่อปราโมทย์ฯ ว่า รู้สึกว่าใจ ชอบนั่งสมาธิ เพราะทำให้จิตสงบและเห็นว่ามันแยกออกมาเป็น รูป,จิต,ความเจ็บปวด ในขณะที่ดูอยู่ ก็ดูเกิดดับ และดูจิตที่ไปรวมบ้าง,แยกบ้าง ซึ่งได้ถามหลวงพ่อว่า จิตติดสงบ หรือไม่

หลวงพ่อกรุณาบอกว่า ยังไม่ติดสงบ แต่ให้ระวัง ติดซึม และเห็นว่า ยังใช้จิต ช่วยในการ เห็นเกิดดับอยู่

ถาม 1.อาการของการติดซึม เป็นแบบไหนค่ะ (แต่ก็พยายามสังเกตุหลังจากกลับมาอยู่ค่ะ)?

ตอบ 1.ติดซึม หมายถึง เมื่อทำความสงบแล้ว
จิตจะไม่แคล่วคล่องว่องไว ไม่ร่าเริง ไม่อยากทำอะไร
หรือจิตจะออกไปทางเฉยๆ บื้อๆ ครับ

.
ถาม 2.จะสังเกตุอย่างไร ว่า ตอนนี้ใช้จิต ช่วยดูเกิดดับอยู่?

ตอบ 2. เวลาที่ดูความเกิดดับที่เป็นวิปัสสนาเต็มที่นั้น
จะต้องดูอยู่เฉยๆ ดูด้วยจิตที่ตั้งมั่น เห็นความเกิดดับเองโดนไม่ได้เจตนา
ไม่ใช่เราไปเจตนาที่จะใช้จิตน้อมนึกช่วย หรือไปคิดช่วย
ซึ่งการใช้จิตช่วยจะให้ช่วยได้เฉพาะช่วงแรกที่ยังหัดทำวิปัสสนาแรกๆ
แต่พอเริ่มรู้จักความเกิดดับแล้ว ต้องหัดดูอยู่ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเท่านั้น
แล้วจิตจะเห็นความเกิดดับได้เองครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 1 of 41234