Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ถ้ามีสติอย่างเดียว แต่ขาดสัมมาสมาธิ จะไม่เกิดปัญญา และไม่มีกำลังที่จะเกิดอริยมรรค

mp 3 (for download) : ถ้ามีสติอย่างเดียว แต่ขาดสัมมาสมาธิ จะไม่เกิดปัญญา และไม่มีกำลังที่จะเกิดอริยมรรค

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เครื่องมือในการเจริญสติ เครื่องมือหลักๆ ก็คือสติ สัมมาสมาธิ คือเครื่องมือหลักๆ ผลผลิตของมันก็เป็นปัญญา พอปัญญาเกิดขึ้น ปัญญาทำหน้าที่ประหารกิเลส ทำลาย ตัดกิเลส ตัดสังโยชน์ ถ้าตัดสังโยชน์นี่เรียกว่าเป็นปัญญาในระดับอริยมรรค เพราะฉะนั้นต้องเรียนมากๆ เรื่องสติ กับสัมมาสมาธิ ต้องเรียนสองอันนี้เยอะๆ หน่อย ถ้ามีสติอย่างเดียวนะ ขาดสัมมาสมาธินี่ มันไม่มีกำลังที่จะตัดสินความรู้ สัมมาสมาธิเป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดปัญญา สัมมาสมาธิคือความตั้งมั่น ความตั้งมั่นของจิต เราจะรู้สึกว่าพอจิตมันถึงฐานของมันจริงๆ นะ มันรู้สึกเลย จิตใจตั้งมั่น จะสามารถสักว่ารู้สักว่าดูอะไรได้หมด นี้ส่วนใหญ่พวกเราจิตใจไม่ตั้งมั่น สมาธิที่พวกเรารู้จักนี่มันเป็นมิจฉาสมาธิ จิตมันชอบเข้าไปตั้งแช่ในอารมณ์ ยกตัวอย่างเวลาเรารู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใจเราชอบไหลเข้าไปอยู่ที่ลม พอรู้ลมนี่ใจก็ไหลไปอยู่ที่ลม เราไปดูท้องพองยุบ ใจไหลไปอยู่ที่ท้อง เราเดินจงกรมยกเท้าย่างเท้า ใจไหลไปอยู่ที่เท้า

บางสำนัก สายหลวงพ่อเทียนท่านขยับมือ ขยับมือ ลูกศิษย์จำนวนมากเลย ใจไหลเข้าไปอยู่ในมือ ใจไหลเข้าไปอยู่ในมือ กับไหลเข้าไปอยู่ที่ท้อง ไหลไปอยู่ที่เท้า ไหลไปอยู่ในลมหายใจ มันก็ไหลเหมือนกัน ใจไม่ตั้งมั่น พอใจไม่ตั้งมั่นนะ ปัญญาจะเกิดไม่ได้จริงหรอก ได้แต่เพ่ง ใจจะเข้าไปแนบ อยู่ในอารมณ์อันเดียว อย่างต่อเนื่อง สงบ ดีแล้วเกิดปีติ ขนลุกขนพอง ตัวลอย ตัวเบา ตัวโพรง ตัวใหญ่ ตัวหนัก มีสารพัด อาการที่แปลกๆ กว่าปกติทั้งหลาย เป็นอาการของปีติ ขนลุกขนพอง วูบๆ วาบๆ นะ เหมือนฟ้าแลบแปล๊บๆ ปล๊าบๆ อะไรอย่างนี้ มันเป็นอาการที่ใจมันทำสมถะ เข้าไปแช่ในอารมณ์นานๆ แล้วจิตใต้สำนึกก็ทำงานปรุงอะไรต่ออะไรขึ้นมา แล้วแต่มันจะชอบ บางคนปรุงเห็นผีเห็นสางอะไรก็ได้นะ บอกว่าผีหลอก จริงๆ หลอกตัวเอง

ค่อยๆ สังเกตไปใจที่ตั้งมั่นกับใจที่ไหลไป วิธีหัดง่ายๆ เลย หัดสังเกตจิตใจของเรา อย่างนั่งฟังหลวงพ่อพูดนะ เดี๋ยวใจก็ไหลไปคิด เดี๋ยวก็ตั้งใจฟัง ฟังแล้วก็ไหลไปคิด ดูออกมั้ย คุณนี่ ฟังไปแล้วก็คิดไป สลับ ดูออกมั้ย แต่เราไม่เคยเห็นจิตที่ไหลไป เพราะฉะนั้นจิตเราไม่ได้ตั้งมั่นจริง คุณลองดูท้องพองยุบซิ ลองเคยทำดูพองยุบมั้ย เคยใช่มั้ย ลองทำเหมือนที่เคยปฏิบัติ ลองเลย ทำจริงๆ ลืมหลวงพ่อซะ นี่รู้สึกมั้ย ใจเรารวมไปอยู่ที่ท้อง ใจเราเคลื่อนไปอยู่ที่ท้อง นึกออกมั้ย นี่แหละคือการทำสมถะล่ะ นะ แล้วพวกเราชอบคิดว่าวิปัสสนา ไม่ใช่วิปัสสนา จิตไม่ตั้งมั่น จิตไหลไปแล้ว ไหลไป งั้นวิธีการที่ง่ายๆ นะ ที่คุณจะดูก็คือ จิตเราไหลไปเรารู้ทันว่าไหล อย่าดึงนะ อย่าออกแรงดึงนะ ถ้าเราเห็นไหลไปแล้วเราดึงนี่ จะแน่นขึ้นมา นี่ส่งใจไปดูอีกแล้วรู้สึกมั้ย ใจเราเคลื่อนไปดู ให้รู้ว่าเราหลงไปดูแล้ว มันคล้ายๆ เราดูโทรทัศน์น่ะ หรือเราจ้องจอคอมพิวเตอร์ ในนี้เหมือนมีจอคอมพิวเตอร์อันนึง เราจ้องไปที่จอ รู้สึกมั้ยเราถลำไปที่จอ ใช้ไม่ได้นะ ที่นักปฏิบัติเกือบร้อยละร้อยพลาด ก็พลาดตรงนี้เอง จิตไม่ตั้งมั่น กับจิตตั้งแช่ เข้าไปแช่นิ่งๆ อยู่ที่ท้อง เข้าไปแช่อยู่ที่ลม เข้าไปแช่อยู่ที่เท้า ตราบใดจิตตั้งแช่ มันก็ได้แต่สมถะ สงบไปเฉยๆ แหละ  แต่ถ้าจิตตั้งมั่นนะ มันจะเห็นเลย จิตอยู่ต่างหากนะ ความคิดก็ส่วนความคิด จิตส่วนจิต รูปส่วนรูป นามส่วนนาม ไม่ก้าวก่ายกันหรอก จิตหลุดออกจากโลกของความคิดเลย แล้วก็ไม่ได้เพ่งกายไม่ได้เพ่งใจนะ แต่รู้กายรู้ใจ

รู้กายรู้ใจกับเพ่งกายเพ่งใจไม่เหมือนกัน เวลาเราเพ่งกายเพ่งใจนะ เบื้องต้นเราเกิดอยากก่อน อยากปฏิบัติ พออยากปฏิบัติเราก็จงใจกำหนดรูปกำหนดนาม เราคิดว่าถ้าเอาสติไปกำหนด สติมีหน้าที่กำหนด ถ้าเรียนอภิธรรมอย่าง อาจารย์อนัตตาจะทราบ สติไม่ได้แปลว่ากำหนด สติแปลว่าความไม่ประมาท ความไม่หลงลืม ความไม่เลื่อนลอยๆ แต่จิตใจของเราชอบเลื่อยลอย รู้สึกมั้ยลอยไปลอยมา ตอนเนี้ยลอยไปคิดแล้ว นึกออกมั้ย จิตเราลอยไปคิด เวลาที่เราไม่ได้นึกเรื่องปฏิบัติจิตเราก็ลอยไปคิด เค้าเรียกว่าขาดสติ เวลาเรานึกถึงการปฏิบัติเราก็ไปเพ่งใส่ลงไป จิตเราเคลื่อนไป จ่อนิ่งๆ ไว้ อันนั้นไม่ใช่การรู้รูปนาม แต่เป็นการเพ่ง เพ่งรูปเพ่งนาม เพ่งรูปเพ่งนามเป็นสมถะนะ หลายคนเข้าใจว่า ถ้ารู้รูปนามแล้วก็ ถ้ามีอารมณ์รูปนามแล้วต้องเป็นวิปัสสนา ไม่จำเป็นนะ ทำวิปัสสนานี่ต้องใช้อารมณ์รูปนาม ต้องรู้ อารมณ์รูปนาม อันนี้แน่นอน จะไปรู้อารมณ์บัญญัติหรือไปรู้อารมณ์นิพพานไม่ได้ ไม่ใช่วิปัสสนา แต่สมถะนี่ใช้อารมณ์บัญญัติก็ได้ อารมณ์รูปนามก็ได้ กระทั่งอารมณ์นิพพานก็ใช้ทำสมถะได้ พระอริยะเจ้าทำสมถะโดยใช้อารมณ์รูปนามก็ได้ ใช้บัญญัติก็ได้ ใช้อารมณ์นิพพานก็ได้ คนทั่วๆ ไปทำสมถะได้โดยใช้อารมณ์บัญญัติคือเรื่องราวที่คิด กับรูปนาม เพ่งรูปเพ่งนาม เป็นสมถะ งั้นอย่างที่เราเดินจงกรมแล้วใจเราไปแนบเข้าไปที่เท้านี่นะ ทำสมถะอยู่ แต่ถ้าใจของเราตั้งมั่น มันจะเห็นเลย ตัวที่เดินนี้ไม่ใช่ตัวเรา เห็นทันทีนะ นี่เราเริ่มเห็นไตรลักษณ์ ร่างกายที่เคลื่อนไหวอยู่นี่ สักแต่ว่าเคลื่อนไหว สักแต่ว่าเป็นธาตุ มันรู้ด้วยใจ รู้สึกเอา ไม่ใช่คิดนะ ถ้าคิดใช้ไม่ได้ มันรู้สึกเอาถึงความเป็นธาตุของร่างกาย รู้สึกเอาถึงความไหวของร่างกาย จะไม่รู้สึกว่าเราไหว หรือว่าธาตุนี้เป็นตัวเรา เพราะว่าเราหลุดออกจากโลกของความคิดได้แล้ว ฉะนั้นไม่ต้องบริกรรมนะ ไม่ต้องบริกรรม เมื่อไรบริกรรมเมื่อนั้นตกจากวิปัสสนาทันทีเลย อย่างเรามีสตินะ สมมติเราใจลอยไป เรามีสติระลึกได้ว่าใจลอย นี่ระลึกได้แล้ว ใช้ได้ นี่มีสติ ถ้ามีปัญญาก็จะต่อตามมาอีก เห็นเลย จิตจะใจลอยห้ามมันไม่ได้ จิตจะรู้สึกตัวสั่งไม่ได้ นี่แสดงความไม่เที่ยง แสดงอนัตตาได้ แต่ถ้าใจลอยไป รู้ว่าใจลอยปุ๊ป ดึงไว้ปั๊ป นี่เป็นสมถะนะ ใจลอยแล้วใจของเราก็ลอยตามมันไปด้วยเลย หลงไป เนี้ยหลงไป

ค่อยๆ ดูสภาวะนะ มาเรียนที่หลวงพ่อไม่ใช่เรียนปริยัตินะ หลายคนไปคุยกันบอกหลวงพ่อปราโมทย์สอนอภิธรรม หลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้เรียนอภิธรรมนะ แต่หลวงพ่อพูดเรื่องสภาวะล้วนๆ เลย อภิธรรมมันเป็นเรื่องของสภาวะล้วนๆ ต่างหากล่ะ งั้นไม่ใช่หลวงพ่อสอนอภิธรรมนะ หลวงพ่อสอนแต่เรื่องสภาวะ แต่บังเอิญๆ อภิธรรมมันคือสภาวะนั่นเอง เนี้ยสภาวะที่เราเห็นด้วยการปฏิบัตินะ กับสภาวะในตำรา อันเดียวกันน่ะ แต่สภาวะในตำราจะหยาบๆ นะ หยาบๆ อย่างโทสะนี่แยกได้ไม่กี่อย่าง พวกเราแยกได้เยอะเลย ขัดใจนิดหน่อยใช่มั้ย โมโหจนเห็นช้างเท่าหมู มีดีกรีด้วย ดีใจเสียใจ นี่แต่ละอันมันกระจายออกไป โอ้ยมีเยอะแยะ เยอะแยะเลย

หัดรู้สภาวะเรื่อยๆ แล้วสติจะเกิด หัดรู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น แล้วจิตจะตั้งมั่น ฉะนั้นหัดสองอันเนี้ย หัดรู้สภาวะไป เช่นใจเราลอยไปเรารู้ ใจเราไปคิดเรารู้ ใจเราไปเพ่งเรารู้ นะ ใจหนีไปคิดอีกแล้วทราบมั้ย นี่หลวงพ่อบอกแล้วนึกออกมั้ย คอยดูไปเรื่อยๆ นะพอใจเราไหลไป อย่าไปตั้งใจดูนะ ห้ามไปจ้องไว้ก่อน ต้องตามดู ต้องตามดูนะ ตรงนี้ก็เป็นหลักการสำคัญ

สวนสันติธรรม
CD: 16
File: 491123B.mp3
Time: 0.14 – 9.15

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เดินตามรอยเท้าพระพุทธเจ้า ตามทางที่พระพุทธองค์ทรงบอกทาง

mp 3 (for download) : เดินตามรอยเท้าพระพุทธเจ้า

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : พวกเราต้องอดทนนะอดทน พากเพียรเข้า อดทน เริ่มตั้งแต่อดทนฟัง พอฟังรู้เรื่อง รู้วิธีแล้วว่าเราจะต้องเจริญสติ รู้กายรู้ใจ ไม่เผลอลืมกายลืมใจ ไม่เพ่งกายเพ่งใจให้หยุดนิ่ง ปล่อยให้กายให้ใจมันทำงานไปแล้วเรามีสติตามดูมันไปเรื่อย ๆ นี่วิธีปฎิบัติ พอรู้แล้วเราก็ตามดูไปเรื่อย ตอนไหนจิตฟุ้งซ่านมากไป ตามดูกายดูใจไม่ออกก็ทำความสงบเข้ามา กรรมฐานที่ทำให้จิตสงบมีเยอะแยะ อะไรก็ได้ คิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงพระธรรมนะ คิดถึงครูบาอาจารย์ คิดถึงทาน คิดถึงศีล คิดถึงอะไรดี ๆ คิดถึงลมหายใจ คิดถึงร่างกายของเราเอง คิดถึงความตาย สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตใจสงบทั้งนั้น พอจิตใจเรามีกำลัง มีความสงบ มีความสบายแล้วนะ ก็มารู้สึกกาย มารู้สึกใจต่อ ร่างกายเคลื่อนไหวคอยรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวคอยรู้สึก รู้สึกไปเรื่อย ๆ พอเรารู้สึกซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อไปเราจะเห็นความจริง ทีแรกต้องรู้กายรู้ใจก่อน พอรู้กายรู้ใจไปนาน ๆ ก็จะเห็นความจริงของกายของใจ ตรงที่มีสติรู้กายรู้ใจนี่ถือว่าดีนะ มีสติแล้ว รู้กายรู้ใจ แต่ยังไม่มีปัญญา ตรงที่เห็นความจริงว่ากายนี้ใจนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาถึงจะเรียกว่ามีปัญญา พอมีปัญญาเห็นความจริง จิตจะค่อย ๆ ลดกิเลส ๆ เป็นลำดับไป พากเพียรเอานะ ที่เหลือคือพวกเราต้องช่วยตัวเองแล้ว หลวงพ่อช่วยไม่ไหวแล้วนะ ขนาดพระพุทธเจ้าท่านยังบอกว่า “ท่านเป็นแค่ผู้บอกทาง” แล้วหลวงพ่อจะเป็นแค่อะไรละ หลวงพ่อก็เป็นแค่ผู้จำทางมาบอก

“พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้บอกทาง หลวงพ่อเป็นเพียงผู้จำทางมาบอก พวกเรามีหน้าที่เดินทาง เส้นทางสายนี้ยังมีคนเดินอยู่ ยังไม่ขาดสาย ยังไม่ขาดระยะ ต้องรีบเดิน ถ้าขาดช่วงเมื่อไหร่จะหาเส้นทางนี้ได้อีกยากแสนยาก นานหนักหนากว่าจะมีผู้รู้เส้นทางนี้ขึ้นมา กว่าพระพุทธเจ้าจะค้นพบเส้นทางเส้นนี้ มีโอกาสแล้ว รู้ทางแล้ว ต้องรีบเดิน พระพุทธเจ้าเดินนำหายไปก่อนแล้ว ครูบาอาจารย์เดินตามหลังมา ยังเห็นรอยเท้าอยู่ นานไปรอยเท้านี้หายไป เพราะฉะนั้น เราต้องรีบเดินตาม  ก่อนที่รอยเท้าของท่านจะหายไปหมด”

ไม่มีอะไรมากหรอกนะ รู้สึกตัว รู้สึกตัวแล้วค่อย ๆ รู้สึกกายอย่างที่เขาเป็น รู้ใจอย่างที่เขาเป็น อย่าเเพ่งกาย อย่าเพ่งใจ อย่าไปกำหนดจดจ้อง ที่กำหนด ๆ นั้นนะ มันไม่ใช่นะ มันเป็นสมถะ  กำหนด แปลว่า กด กำหนดเป็นภาษาเขมรนะ มาจากคำว่ากดนั่นเอง กด กดไว้ ข่มไว้ ให้เรารู้ ไม่ใช่ให้เราบังคับ รู้ไปเรื่อยจนเห็นความจริง เห็นความจริงแล้วก็หลุดพ้นไป

พระพุทธเจ้าบอกว่า “เพราะเห็นตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายกำหนด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เพราะหลุดพ้นจึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีก” งานนี้เสร็จ จบแล้วนิ เสร็จกิจแล้วนี่ ก็หมดแค่นี้แหละ ที่เหลือไปทำเอาเอง

CD ศาลาลุงชินครั้งที่ ๒๑

510615

2045 – 2401

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตเรามีเปลือกคืออาสวะห่อหุ้มเอาไว้

mp 3 (for download) : จิตเรามีเปลือกคืออาสวะห่อหุ้มเอาไว้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สังเกตไหม จิตเราถูกอะไรห่อหุ้มไว้ จิตเรามีเปลือก ดูออกไหม จิตเหมือนอยู่ในแคปซูล แคปซูลที่น่ารำคาญ  จิตถูกขังอยู่ในที่แคบๆ ที่น่าอึดอัด รู้สึกไหม  เนี่ยภาวนานะ จนกระทั่งเกิดอริยมรรคครั้งที่สี่แล้ว จิตจะแตก สิ่งที่ห่อหุ้มนี้จะแตกออกมา  เหมือนกับที่หลวงพ่อพุธเคยสอนหลวงพ่อบอกว่า เมื่อจิตมันพัฒนาเต็มที่แล้ว เหมือนๆลูกไก่ที่โตเต็มที่แล้ว เจาะทำลายเปลือกออกมา ลูกไก่หลุดออกจากเปลือกไข่ฉันใด จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะฉันนั้นแหล่ะ

พวกเราวันนี้ เราภาวนาจนเราเห็นอาสวะ เราเห็นเปลือกละ แล้ววันนึงจะหลุดออกมา  อาสวะเนี่ยย้อมจิตอยู่ตลอดเวลา ดูออกไหม  อาสวะเนี่ยเป็นทางให้กิเลสอนุสัยไหลซึมซ่านเข้ามาถึงจิตถึงใจ เมื่ออาสวะขาดลงไปแล้ว จะไม่มีอะไรซึมซ่านเข้าถึงจิตใจได้อีกแล้ว  อาสวะเนี่ยคล้ายๆ รกที่่ห่อหุ้มเด็กเอาไว้ เป็นทางผ่านเข้ามาของอาหาร ของสิ่งต่างๆ เมื่อมันขาดออกจากกันแล้วนะ เด็กและรกขาดออกจากกันแล้ว มันไม่ซึมซ่านเข้ามาทางผิวกายแล้ว

ค่อยเรียนนะ ค่อยเรียนไป ค่อยฝึกไป

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน ท่านบอกท่านสอนใบไม้หนึ่งกำมือ  ธรรมะจริงๆ เหมือนใบไม้ในป่า หลวงพ่อลองเล่าใบไม้ในป่าให้ฟังบ้างนิดหน่อยนะ  สิ่งที่เราได้ไม่ใช่ใบไม้ทั้่งป่าหรอก อันนี้เป็นของเล่นของแถม  ความรู้ความเข้าใจ ไม่เท่ากันหรอกแต่ละคน  แต่สิ่งที่เท่าเทียมกันของผู้ปฏิบัติที่ทำเต็มที่แล้ว ก็คือการพ้นทุกข์พ้นกิเลส อันนี้เท่าเทียมกัน ถึงความบริสุทธิ์เท่าๆ กัน  กระทั่งพระอรหันต์องค์สุดท้ายที่เป็นสาวก ที่ไม่ได้มีของเล่นของแถมเลยกับพระพุทธเจ้า ก็ถึงความบริสุทธิ์อันเดียวกัน เท่าเทียมกัน แต่ความรู้ความเข้าใจไม่เท่ากัน  พระพุทธเจ้าปัญญาท่านมาก ท่านรู้จักใบไม้ทั้งป่า พระสาวกก็รู้น้อยลงน้อยลง จนสาวกธรรมดาเนี่ย รู้ใบไม้ในกำมือของท่าน  แต่เท่านั้นพอแล้ว อย่าโลภมากนะ  ใบไม้กำมือเดียวเนี่ย เรียนกันหลายชาติเลยละ หลายชาติ เรียนกันทั้งชีวิตเลย เอาชีวิตเข้าแลกเชียวล่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๔
File: 510324A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๕๓ ถึง นาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การหัดดูสภาวะธรรมเป็นจุดตั้งต้นที่จะทำให้เราเจริญวิปัสสนาได้

mp3 (for download) : กรอบของการปฎิบัติธรรม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : การหัดดูสภาวธรรมนี่เป็นจุดตั้งต้นที่จะทำให้เราไปเจริญวิปัสสนาได้ เพราะ การเจริญวิปัสสนาจริงๆ นี่ คือการที่เรามีสติขึ้นมา รู้กายตามความเป็นจริง รู้ใจตามความเป็นจริงได้ ถ้าเราสามารถรู้กายตามความเป็นจริง รู้ใจตามความเป็นจริง รู้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงจุดหนึ่งมันจะเกิดปัญญา มันจะเห็นความจริง ปัญญาเป็นความเข้าใจ จิตใจมันจะเข้าใจสภาวธรรมทั้งหลายนะ ทั้งกายทั้งใจ ทั้งรูปทั้งนาม ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ถ้าเข้าใจอย่างนี้ได้ ก็ปล่อยวางได้ ปล่อยวางได้ก็พ้นทุกข์ได้ จิตใจจะมีแต่ความสุขถาวรแล้วคราวนี้ การปฏิบัติจริงๆ กรอบของมันมีเท่านี้เอง

CD ศาลาลุงชินครั้งที่ ๗

491217

0.39 – 1.32

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ขันธ์เหมือนภาพลวงตา เหมือนภาพในจอหนัง

mp 3 (for download) : ขันธ์เหมือนภาพลวงตา เหมือนภาพในจอหนัง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :

การปฏิบัติจริงๆ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เราชอบไปวาดภาพให้มันเกินจริง แค่เรามีสติ เรารู้ทันการทำงานของกายของใจ โดยเฉพาะของใจ กายมันเคลื่อนไปได้เพราะว่าใจมันสั่งนั่นแหละ พอรู้ทันเข้ามาถึงจิตถึงใจนะ ถึงต้นตอของมัน แล้ววางตัวต้นตอไปได้ก็สบาย ส่วนมากเราชอบไปแก้อาการ แก้ปรากฏการณ์ซึ่งบังคับไม่ได้

คล้ายๆ เคยเห็นเขาฉายหนังกลางแปลงไหม เดี๋ยวนี้ยังมีบ้างไหม หนังตามงานวัดใครเคยเห็นไหม ทำไมต้องหนังงานวัด มันเห็นเครื่องฉาย มันมีเครื่องฉายตั้งอยู่ จออยู่โน่น คนทั้งหลายนะไปหลงภาพในจอ ทวนเข้ามาไม่ถึงต้นตอของมัน ไปเห็นตัวนางเอกในหนัง ไปไล่คว้า คว้าเงานั่นแหละ ขันธ์มันก็เหมือนภาพลวงตา ขันธ์นะเหมือนภาพลวงตา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราพบเราเห็นนั้นก็แค่ภาพลวงตาเหมือนภาพในจอหนังนั่นเอง จริงๆ เราบังคับมันไม่ได้ งั้นเราจะไปไล่ตะครุบไล่จับไล่ควบคุมขันธ์น่ะทำไม่ได้ เหมือนไล่ตะครุบภาพในจอหนัง ทำไม่ได้ ถ้าทวนกระแสเข้ามาถึงตัวต้นตอของมันคือจิตนั่นเอง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นปรุงออกไปจากจิตนั่นเอง ถ้าเราแค่เอามือปิดเครื่องฉายหนังซะ ไม่ให้ทำงานต่อ ภาพในจอทั้งหมดก็ว่างเปล่า ตามสภาพเดิมของมัน งั้นการปฏิบัติไม่ใช่นั่งแก้อาการทีละอาการ การปฏิบัติถ้าจะให้ได้ผลรวบรัดนะ เรียนรู้เข้ามาให้ถึงต้นตอของความปรุงแต่ง ถ้ารู้เข้ามาถึงต้นตอของความปรุงแต่ง มันอยู่ที่จิตนั่นเอง จิตมันปรุงแต่ง ถ้ารู้ถึงความปรุงแต่งจนความปรุงแต่งขาดไปนะ ไม่ต้องไปตามแก้อาการอีกแล้ว คนทั้งหลายได้แต่แค่พยายามแก้อาการ พยายามทำได้แค่นั้นเองเพราะสติปัญญาไม่แก่รอบ ไม่รู้ว่าวิธีจัดการกับความทุกข์ที่จะพ้นทุกข์อย่างแท้จริงนั้นคือทวนกระแสเข้ามา มาเรียนรู้ที่ต้นตอของมัน จนเราเห็นเลย กระทั่งจิตนี้ก็ไม่ใช่เรานะ คืนให้ธรรมชาติไป งั้นโยนเครื่องฉายหนังทิ้งไปด้วย ใครก็เอามาฉายอีกไม่ได้แล้ว แต่สติปัญญาของคนในโลกมันทำได้แค่ตะครุบภาพในจอหนัง เผอิญรูปภาพในจอมันยืนอยู่นิ่งๆ บางทีมันยืนคุยกันนิ่งๆ ไม่ได้เคลื่อนไหว ไปจับไว้ นึกว่าจับได้แล้ว หยุดได้ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็หนีไปอีก หนีอีกก็วิ่งไล่จับอีก โง่นะ ศาสนาพุทธเราเรียนย้อนเข้ามาหาต้นตอของมัน ต้นตอของความปรุงแต่งอยู่ที่จิตนี่เอง วันหนึ่งรู้ทันต้นตอของมันนะ คล้ายๆ เอามือไปปิดไอ้ตรงที่มันฉายไฟออกมา ภาพในจอหนังก็หายไป ไม่หลงออกไปข้างนอกแล้ว สุดท้ายนะโยนเครื่องฉายหนังลงน้ำไป สุดท้ายคือเราโยนจิตทิ้งไปนั่นเอง สลัดทิ้ง มันก็จะฉายอีกไม่ได้ ทีนี้เราเอามือปิดไว้นะ พอหมดแรงปิดมันก็ฉายอีก พวกที่เดินฌาน ไม่หลงไปกับความปรุงแต่งทางตา หู จมูก ลิ้น กายแล้ว แต่เครื่องฉายหนังยังเดินอยู่ เพียงแต่ไม่ทำงานออกไปสู่กามภพ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ปิดอยู่ หมดแรงปิดเมื่อไหร่นะ เผลอหลุดมือเมื่อไหร่นะ มันฉายออกไปอีกแล้ว พวกพรหมสำรวมจิตเข้ามานะ สำรวมจิตเข้ามา แต่ว่าจิตก็ยังปรุงแต่งอยู่ คือหนังยังฉายอยู่แต่ว่ามันไปที่จอไม่ได้เท่านั้นเอง รูปมันไปไม่ถึงจอ งั้นภาวนานะเป็นขั้นเป็นตอน คนทั้งหลายมันไล่จับเงา ไล่ในกามนั่นเอง รู้สึกสนุกสนานเอร็ดอร่อยสวยงาม รูปในจอหนังสวยกว่าตัวเครื่องฉายหนังใช่มั้ย แต่ไม่ใช่ของจริง กามก็เป็นอย่างนั้นแหละ สวยงามล่อลวงให้วิ่งไล่จับ เหมือนๆ จะได้แต่ไม่เคยได้ ไม่เคยอิ่มไม่เคยเต็มหรอก สำรวมจิตสำรวมใจเข้ามานะ ไม่ออกไปภายนอก สงบอยู่ภายใน อันนี้ก็ได้ความสงบ ได้ความสุข แก้ปัญหาได้ชั่วครั้งชั่วคราว เหมือนการทำสมถะ ถ้ามาเรียนรู้จนเราทำลายเครื่องฉายไปนะ คือเราสามารถปล่อยวางขันธ์ห้าได้ ขันธ์ห้าตัวสุดท้ายที่จะวางคือจิตนั่นเอง ตราบใดที่ยังปล่อยวางจิตไม่ได้นะ ก็จะเกิดขันธ์ห้าใหม่ๆ ขึ้นมาอีก เพราะจิตดวงเดียวนี่แหละสร้างขันธ์ห้าขึ้นมาใหม่ได้ทั้งขันธ์ห้าแน่ะ จิตดวงเดียวนี่แหละเหมือนเมล็ดพันธุ์ เดี๋ยวไปงอกเป็นต้นไม้ใหญ่ๆ ออกลูกออกหลานได้อีกเยอะแยะ งั้นเรียนเข้ามาถึงจิตถึงใจ วันหนึ่งทำลายเมล็ดพันธุ์คืออวิชชาลงไป ทำลายเชื้อพันธุ์ของมัน เป็นเมล็ดที่ไม่งอกอีกแล้ว มันก็ยังทรงรูปของเมล็ดที่ไม่งอกไปอีกช่วงหนึ่ง ต่อไปก็แตกสลายหายไป

งั้นการปฏิบัติมีความสุขอยู่ข้างหน้ามากมาย เรามัวแต่ตะครุบเงานะ อย่าหลงนะเสียเวลา ไม่ฉลาดเลย ความสุขที่เป็นภาพลวงตา พระพุทธเจ้าบอกขันธ์มันเป็นภาพลวงตา เหมือนพยับแดดนะ พยับแดด อย่างเราขับรถไปมองเห็นไกลๆ เห็นเหมือนเป็นน้ำบ้าง เห็นเหมือนไอน้ำเต้นยิบยับๆ เข้าใกล้ๆ แล้วหายไปหมดเลย ความสุขก็ล่อเราอย่างนี้แหละ ให้วิ่งไป พอเข้าไปใกล้ๆ นะก็หายไปละ ไปอยู่ข้างหน้าอีกแล้ว เราก็วนเวียนนะ น่าสงสารมาก ถ้ายังวนเวียนอยู่ก็ยังไม่รู้สึกน่าสงสารหรอก ยังรู้สึกว่าบางครั้งก็เอร็ดอร่อย สนุก บางครั้งก็เศร้าโศก บางครั้งก็ทุกข์ เดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เวียนอยู่อย่างนั้น ก็ยังพอทน รู้สึกทุกข์บ้างสุขบ้าง รู้สึกไม่ใช่เราทุกข์คนเดียว ใครๆ เขาก็เป็นอย่างนี้เหมือนๆ กันหมดทั้งโลก นี่เพราะว่าไม่มีสติปัญญาที่จะพ้นไปจากวังวนของความปรุงแต่งอันนี้ ค่อยๆ เรียนเข้ามานะ เข้ามาหาจิตหาใจตัวเอง ไม่หลงปรุงแต่งออกไปภายนอก แล้ววันหนึ่งหมดความปรุงแต่งสิ้นเชิง มันจะหมดความปรุงแต่งสิ้นเชิงเมื่อมันปล่อยวางความยึดถือจิตได้

สวนสันติธรรม
CD: 16
File: 491116A.mp3
Time: 4.39 – 11.35

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

มีสติรู้กายรู้ใจลงเป็นปัจจุบัน อย่าให้เกินนี้ออกไป

mp3 (for download) : มีสติรู้กายรู้ใจลงเป็นปัจจุบัน อย่าให้เกินนี้ออกไป

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงพ่อเคยศึกษากับท่านอาจารย์มหาบัว ท่านเคยสอนหลวงพ่อ การปฏิบัติมีนิดเดียว “มีสติรู้กายรู้ใจลงเป็นปัจจุบัน” ประโยคสั้นนิดเดียวนะ บางองค์สั้นกว่านี้อีกนะ มีหลวงปู่ทา ตอนนี้ยังอยู่ อยู่ถ้ำซับมืด “มีสติรักษาจิต” สั้นนิดเดียว หลวงปู่ดุลย์ก็สั้นนะ “ดูจิต” สั้นนิดเดียว

จริงๆ ธรรมะไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่ว่าหลักของการปฏิบัตินี่สั้นนิดเดียว ถ้ายังดูจิตไม่ได้ก็ดูกาย อย่าให้เกินกายออกไป เพราะฉะนั้น อย่างอาจารย์มหาบัวท่านสอนนะ ท่านตีกรอบเลย อย่าให้เกินกายออกไป รู้กายรู้ใจลงเป็นปัจจุบัน ลงเป็นปัจจุบันด้วยนะ ไม่ใช่กายกับใจเมื่ออดีตเมื่ออนาคตนะ รู้ลงปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นของจริง อดีตอนาคตมันไม่ใช่ของจริงแล้ว ให้รู้ลงกายรู้ใจลงเป็นปัจจุบัน อย่าให้เกินนี้ออกไป ถ้าเกินนี้ออกไปก็ไม่ใช่วิปัสสนา อย่างจะไปรู้ความว่าง ไปรู้สุญญตา รู้อะไรอย่างนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนไว้ ท่านสอนให้รู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรม ก็คือเรื่องของกายกับใจล้วนๆ นั่นเอง

CD ศาลาลุงชินครั้งที่ ๗

491217

1.35 – 2.52

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทุกข์ทางกายนั้นห้ามไม่ได้ แต่ความทุกข์ทางจิตใจเป็นสิ่งที่เราหามาเอง

mp3 (for download) : ความทุกข์ทางกายนั้นห้ามไม่ได้ แต่ความทุกข์ทางใจนั้นเป็นสิ่งที่เราหามาเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : การศึกษาธรรมะนี่คือการเรียนรู้ตัวเองจนเข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่าตัวเรา ความทุกข์มันอยู่ที่ตัวเราเองนี่เอง ความทุกข์อยู่ที่กาย ความทุกข์อยู่ที่ใจ ถ้าเราเรียนรู้ลงมาอย่างถ่องแท้นี่นะ เราจะรู้เลย ความทุกข์ทางกายนี่ห้ามไม่ได้ เป็นผลพลอยได้จากการมีร่างกาย แต่ความทุกข์ทางจิตใจนี่เป็นเรื่องที่หามาเอง หาเอาใหม่ในปัจจุบันนี่เอง เพราะฉะนั้น ความทุกข์ทางกายเป็นผลของกรรมเก่านะ ผลของกรรมเก่า ได้ร่างกายมาแล้ว แข็งแรงบ้าง ไม่แข็งแรงบ้าง แล้วแต่กรรมหล่อเลี้ยงไว้

ความทุกข์ทางจิตใจในปัจจุบันนี่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ ถ้าหากเราภาวนาเป็นนี่ เราจะขจัดต้นเหตุของความทุกข์ทางใจออกไปได้ ให้เราคอยสังเกตลงที่จิตที่ใจ การปฏิบัติ ถ้าหากเอาสั้นๆ แบบโตแล้วเรียนลัดนะ เอาแบบสั้นๆ ให้คอยสังเกตที่ใจของเราไว้ ดูซิ ความทุกข์มันมาได้อย่างไร สังเกตเข้าไปในความทุกข์มันมาได้อย่างไร เราจะเห็นเลยว่า บางทีเรานั่งอยู่เฉยๆ นะ ใจเราก็คิดถึงคนๆ หนึ่งขึ้นมา ไม่ได้เจตนาจะคิดนะ อยู่ๆ หน้าคนๆ นี้ก็โผล่ขึ้นมา พอโผล่ขึ้นมาปุ๊บ นึกได้ นังคนนี้โกงแชร์เราเมื่อสิบปีก่อนนะ สมมติ พอนึกได้ เห็นไหม ไม่ได้เจตนาจะนึกนะ มันนึกขึ้นได้เอง ทีแรก หน้ายายคนนี้โผล่ขึ้นมา ไม่ได้เจตนาที่จะนึกถึง อยู่ๆ ก็โผล่แล้วก็จำเรื่องราวขึ้นมาได้ ไม่ได้เจตนาจะจำ มันจำได้ขึ้นมา พอจำได้ปั๊บ มันโมโหขึ้นมาอีกแล้ว ความโกรธเกิดขึ้น มันก็โกรธของมันเองนะ จิตมันโกรธของมันเอง ตรงนี้ไม่เป็นไรนะ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ตั้งแต่ใจมันนึกขึ้นมา ใจมันคิดขึ้นมานะ จนกระทั่งกิเลสเกิดขึ้นมาก็ยังไม่มีปัญหาอะไร ตรงนี้เป็นเรื่องกระบวนการทำงานปกติของจิตใจนั่นเอง จิตใจมันคุ้นเคยที่จะปรุงกิเลส มันก็ปรุงกิเลส มันคุ้นเคยจะปรุงกุศลมันก็ปรุงกุศล มันปรุงของมันเอง ตรงนี้ยังไม่ใช่ปัญหาของนักปฏิบัติ เพราะฉะนั้นให้คอยดูต่อไป พอจิตใจมีความโกรธเกิดขึ้น ตรงนี้แหละที่เริ่มเป็นปัญหา คือเราจะเริ่มเกิดความยินดียินร้ายนะ เกิดความยินดียินร้ายขึ้นมา เช่น รู้สึกเกลียดนังคนนี้มากเลย เกลียดมากกว่าเก่าอีก ยิ่งคิดยิ่งแค้น แล้วก็ปรุงแต่งต่อไปว่าทำอย่างไรจะไปแก้แค้นมันได้ นี่ตัวนี้ตัวเริ่มปัญหาแล้ว จิตใจจะเริ่มมีความทุกข์ขึ้นมา

เพราะฉะนั้น ในขณะที่สภาวธรรมใดๆ เกิดขึ้น จะเป็นความสุข ความทุกข์ กุศล อกุศล สภาวธรรมที่เกิดขึ้นนี่ยังไม่ใช่ปัญหา อย่างเช่นเราเดินช้อปปิ้งไป ไปเห็นของสวยๆ อยากได้ขึ้นมา ใจมันมีโลภะขึ้นมา ตัวนี้ยังไม่ใช่ปัญหา แต่พอเกิดโลภะขึ้นมาใจมันจะดิ้น ตรงที่ใจมันเริ่มดิ้นนี่แหละเกิดปัญหา มีกิเลสขึ้นมาแล้วเกิดการกระทำกรรม เกิดการกระทำกรรม คือเกิดการดิ้นรนทางใจ ใจมันจะดิ้นๆๆ ตรงที่ใจมันดิ้นรนนี่แหละเป็นตัวปัญหาในปัจจุบันล่ะ

ทันทีที่จิตใจมันเริ่มดิ้นนะ จิตใจมันจะมีความทุกข์ จิตใจที่ดิ้นนี่เรียกว่า “ภพ” นะ ภาษาบาลีเรียกว่า ภพ (ภ-พ) ชื่อเต็มๆ ว่า กรรมภพ คือการทำงานของจิต เมื่อไรที่จิตทำงานนี่ จิตจะเกิดความทุกข์ขึ้นโดยอัตโนมัติ นักปฏิบัตินี่มีหน้าที่คอยมีสติไว้ พอตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์นะ กระทบรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ พอกระทบปั๊บ มันจะเกิดความยินดียินร้ายขึ้นมา พอมีความยินดีมีความยินร้ายขึ้นมาแล้ว จิตจะเกิดการทำงาน ตอนนี้ทำงานในปัจจุบันหรือสร้างภพในปัจจุบัน การที่รูป เสียง กลิ่น รส อะไรพวกนี้มากระทบ โผฏฐัพพะมากระทบนะ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เป็นผลของกรรมเก่า กรรมเก่าไม่ดี สิ่งที่มากระทบไม่ดี กรรมเก่าดีสิ่งที่มากระทบก็ดี แต่พอกระทบแล้วจิตเกิดความยินดียินร้ายขึ้นมา พอจิตเกิดความยินดียินร้ายนี่จิตจะทำกรรมใหม่ ตัวนี้ ตัวนี้ตัวสำคัญนะ ต้องคอยรู้ทัน

อย่างพอมันนึกถึงคนนี้ มันเกลียด อยากฆ่าเขา วางแผนฆ่าเขา นี่ใจปรุงแต่งแล้ว ใจปรุงแต่งหรือว่าโทสะเกิดขึ้นมา พอจิตไปเห็นโทสะ เสร็จแล้วไม่ชอบโทสะ อยากให้โทสะหาย รีบพิจารณาอะไรต่ออะไรใหญ่เลยนะ รีบเจริญเมตตาอะไร นี่คือการปรุงแต่งใหม่ คือกรรมใหม่ หรือว่าราคะเกิด จิตใจก็ทำงานปรุงแต่ง อะไรๆ เกิดขึ้นในใจมันจะคอยปรุงแต่งต่อ เพราะฉะนั้น ถ้าตัวสภาวธรรมเกิดขึ้นแล้ว นี่ยังไม่ใช่ตัวปัญหา ห้ามมันไม่ได้ สภาวธรรมจะเกิดนี่ ห้ามมันไม่ได้ แต่ถ้าสภาวธรรมเกิด พอจิตไปรู้เข้าแล้วนะ ทั้งรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ พอจิตไปรู้เข้าแล้ว จิตจะเกิดความยินดียินร้ายแล้วจิตทำงาน ทันทีที่จิตทำงาน จิตจะมีความทุกข์ ให้เรามีสติรู้ทันความยินดียินร้าย พอตามองเห็นเกิดความยินดียินร้ายมีสติรู้ทัน หูได้ยินเสียงนะ เช่น เค้าชมเรานี่ เรายินดี ให้รู้ท้นนะ ถ้ารู้ไม่ทัน เราจะปรุงแต่งทางใจของเราเอง ปรุงใหม่ ถ้าได้ยินคำด่า เราก็เกิดโมโหขึ้นมา มันก็ปรุงแต่งอีก ให้รู้ทันที่ความปรุงแต่งอันใหม่ ความยินดียินร้ายแล้วก็เกิดความปรุงแต่ง นี่คอยรู้ไปอย่างนี้เรื่อย มีสติรู้ไปเรื่อย จิตใจมันจะไม่ดิ้นรน จิตใจมันจะไม่ทำงาน จิตใจมันจะมีความสงบสุขในปัจจุบัน อันนี้เราสงบสุขด้วยการมีสตินะ นี่เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น

ทีนี้พอสภาวธรรมเกิดแล้วจิตยินดียินร้ายเรารู้ทัน จิตมันจะเป็นกลาง พอจิตมันเป็นกลางมันจะสามารถรู้สภาวธรรม ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งดี ทั้งชั่ว มันจะรู้ได้อย่างเป็นกลางจริงๆ มันจะเห็นความจริงของสภาวธรรมเลย สุขก็เกิดชั่วคราว แล้วก็หายไป ความทุกข์เกิดชั่วคราวแล้วก็หายไป แต่เดิมความสุขเกิดขึ้นมาก็หลงยินดี เกิดการทำงานอยากรักษาเอาไว้ หรือดิ้นรนค้นคว้าอยากให้ได้ความสุขมาอีก แต่เดิมความทุกข์เกิดขึ้นก็ยินร้าย หาทางขจัดหาทางทำลายมัน หรือหาทางป้องกันไม่ให้มันเกิดอีก มันจะเกิดการทำงานอย่างนี้ เพราะว่ายินดียินร้าย แต่ถ้าเรามีสติรู้ทันนะ จิตกระทบไปรู้ว่าความสุขเกิดขึ้น ความยินดีเกิดขึ้นรู้ทันมัน ความยินดีจะดับไป จิตจะเป็นกลางต่อความสุข มีปัญญาเห็นว่าความสุขก็เป็นของชั่วคราว ความทุกข์เกิดขึ้นมา จิตยินร้าย ไม่ชอบมัน มีสติรู้ทัน จิตใจที่ไม่ชอบความทุกข์ ปฏิเสธความทุกข์นี่ ความไม่ชอบนี่มันจะดับไป เราก็รู้ความทุกข์ตามที่มันเป็น สักพักหนึ่งก็จะเห็นเลย ความทุกข์เกิดขึ้นได้ก็ดับได้

กุศล อกุศลทั้งหลายก็เหมือนกันนะ เกิดขึ้นมาได้ ก็ดับได้ นักปฏิบัตินี่ รักกุศล พอสติระลึกได้ว่ากุศลเกิดขึ้นมาก็ยินดี อยากให้เกิดบ่อยๆ อยากให้เกิดนานๆ หาทางรักษาเอาไว้ เกิดการทำงานทางใจ จะรักษาความดีก็ทุกข์นะ ทุกข์แบบคนดี หรืออกุศลเกิดขึ้นมานี่ใจไม่ชอบนี่ นักปฏิบัติไม่ชอบก็หาทางขจัดมัน จิตใจเราก็ต้องทำงานมากขึ้นกว่าเก่าอีก แทนที่เราจะรู้ตามความเป็นจริงแล้วไม่ปรุงแต่งไม่ทำงานนะ กลายเป็นว่าเราทำงานมากกว่าเก่า ความทุกข์ก็มากกว่าเก่า คนชั่วก็ทุกข์อย่างคนชั่ว คนดีก็ทุกข์อย่างคนดี เพราะว่ายึดถือในสภาวธรรมทั้งหลายนั้น แต่ถ้าเรามีสตินะ ความเป็นกลางเกิดขึ้นกับใจเรา จิตใจเป็นกลาง เห็นความสุขก็เป็นกลาง ความทุกข์ก็เป็นกลาง กุศล อกุศลก็เป็นกลาง ในที่สุดมันจะมีปัญญาขึ้นมา เห็นว่าความสุขก็ของชั่วคราว ความทุกข์ก็ชั่วคราว กุศล อกุศลก็ชั่วคราว คือพอมีปัญญาเห็นเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิตของเราล้วนแต่ของชั่วคราวทั้งหมดเลย ต่อไปจิตมันจะไม่มีความยินดียินร้าย พอสภาวธรรมอันนั้นเกิดขึ้นมา จิตจะเป็นกลาง จิตไม่ยินดียินร้ายแล้ว แต่เดิมนี่จิตไม่มีปัญญา พอเห็นสภาวธรรมแล้วจิตจะเกิดความยินดียินร้าย เราต้องมีสติไว้สู้ มีสติไว้รู้ทัน จิตจะเป็นกลาง พอจิตเป็นกลางเราก็รู้สภาวธรรมต่อไปจนเกิดปัญญา เห็นว่าสภาวธรรมทั้งหลายเป็นของชั่วคราว ต่อไปพอสภาวธรรมเกิดขึ้นมานะ จิตเป็นกลางเองเลย ไม่มีความยินดียินร้ายเกิดขึ้น ยิ่งถ้าเราเข้าใจสภาวธรรมแจ่มแจ้งนะ จิตจะเป็นกลางมากขึ้นๆ นะ จนกระทั่งหมดความปรุงแต่งอย่างแท้จริง

CD ศาลาลุงชินครั้งที่ ๗

491217

3.20 – 12.19

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สติอัตโนมัติจะช่วยเราตอนที่จะตาย

mp 3 (for download) : สติอัตโนมัติจะช่วยเราตอนที่จะตาย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ถ้าคนไหนไม่สามารถเจริญสติในชีวิตประจำวันได้ ยังไกลต่อมรรคผลนิพพาน เพราะว่าเวลาเราทำกรรมฐาน วันหนึ่งๆ มีไม่มากเท่าไหร่หรอกที่ทำในรูปแบบ เวลาส่วนใหญ่อยู่ข้างนอกนี่แหละ ถ้าเราสามารถยืนเดินนั่งนอนอยู่ในชีวิตประจำวันแล้วก็มีสติตามรู้ความเปลี่ยนแปลงของจิตใจตัวเองได้เป็นระยะๆ นะ สติเกิดได้ทั้งวันเลย คือปฏิบัติทั้งวัน หลวงพ่อเป็นฆราวาสหลวงพ่อก็ปฏิบัติด้วยวิธีนี้เอง คือดูจิตใจตัวเอง จะมานั่งสมาธิทั้งวันอย่างตอนอยู่ไปบวชแล้วมานั่งอยู่ในวัดนะ นั่งสมาธิได้นานๆ เดินจงกรมนานๆ อยู่แต่ในรูปแบบ เป็นฆราวาสมันทำไม่ได้ ทำไม่ได้ งั้นต้องฝึกให้สามารถเจริญสติในชีวิตประจำวันได้ ถ้าเราสามารถปฏิบัติได้เฉพาะตอนทำสมาธิ ทำในรูปแบบอะไรอย่างนี้ ชีวิตเราจะแยกเป็นสองส่วน ชีวิตส่วนหนึ่งเป็นเวลาปฏิบัติ ชีวิตส่วนใหญ่เป็นเวลาไม่ได้ปฏิบัติ งั้นเหมือนเราพายเรือนะทวนน้ำไป เราพายไปห้านาทีแล้วก็นอนด้วย ชั่วโมงหนึ่งนะ มันจะไม่อยู่ที่เก่าเอา มันจะไหลลงไปต่ำกว่าเดิม

               พระพุทธเจ้าถึงบอกธรรมชาติของจิตไหลลงต่ำ อย่าประมาทเชียวนะ ไหลลงต่ำเร็วมากเลย เรานึกว่าเราแน่ๆ เราแน่ เผลอแวบเดียวลงต่ำ ถอยไม่ได้นะ ต้องสู้ มีสติในชีวิตประจำวัน ตามดูกายตามดูใจ ตื่นนอนตอนเช้าหรือว่าก่อนนอนตอนค่ำ มีเวลาเนี่ยต้องทำในรูปแบบอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ต้องทำให้ได้ ชาวพุทธนะไหว้พระสวดมนต์ทำสมาธิเดินจงกรมวันละครั้งนะ ทำไมทำไม่ได้ มุสลิมละหมาดวันละห้าครั้งเขายังทำได้เลย วันละห้าครั้งนะ ของเราหนึ่งครั้ง ไม่ได้ ต้องสู้นะ กิเลสมันจะพาขี้เกียจ ถ้าเราทำในรูปแบบทำความสงบมาดูกายดูใจนะ หัดดูสภาวะไป จิตใจหนีไปก็รู้ จิตไปเพ่งก็รู้ จิตสงบจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นสุขเป็นทุกข์ จิตโลภโกรธหลง คอยตามรู้เรื่อยๆ การทำในรูปแบบนี่เราตัดการกระทบอารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายไปก่อน มาเหลือแต่การทำงานทางใจอันเดียวนะ เช่นเรามาหายใจเข้าหายใจออกเนี่ย ใจเราหนีไปเรารู้ทัน ใจไปเพ่งรู้ทัน เรารู้ทันการทำงานทางใจอยู่ที่เดียวเลย แต่อย่าไปเพ่งใส่จิตนะ อย่าไปเพ่งใส่จิตใส่ใจ ให้เขาทำงานไป เรามีหน้าที่แค่ตามดูไปเรื่อยๆ ดูท้องพองยุบไปก็ดูจิตใจเขาทำงานไป เดี๋ยวเขาก็ไปคิดนะ คิดกระทั่งคำบริกรรมนะ บริกรรมว่าพองหนอยุบหนอ นี่ก็คือการคิดนั่นเอง ก็ให้รู้ทันว่าจิตหนีไปคิด หนีไปคิดเรื่องอื่นเราก็รู้ทัน แล้วก็ไปเพ่งใส่ท้องเราก็รู้ทัน หัดรู้สภาวะนะ ต่อไปเวลาเราอยู่ในชีวิตธรรมดา จิตจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอะไรเนี่ย เห็นหมดเลย เห็นอัตโนมัตินะ

      พวกเราเมื่อวานไม่ได้มา เมื่อวานหรือ อ้อ… ไม่ใช่ ก่อนที่จะปิด ก่อนวานซืนอีกวันหนึ่ง วันสุดท้ายที่หลวงพ่อเปิดแล้วหยุดมาสองวัน มีผู้หญิงคนหนึ่งมา ชื่อโอ่งนะ ชื่อโอ่ง หุ่นก็เหมือนโอ่งจริงๆ ภาวนาเก่งมากเลย บอกเขาไม่ได้ทำอะไร แต่กระทั่งเขานอนหลับนะ จิตมันฝันเขายังรู้เลย แล้วเขาพบว่าความฝันก็คือความคิดนั่นเอง พอไม่ดีปุ๊บ ขาดสะบั้นเลยนะ เขาจะนอนพลิกซ้ายพลิกขวาเขารู้ทั้งคืนเลย ใจเขาไหลไปคิดในความฝันนะ ไหลแวบรู้สึกเลย มีแต่ขาดปั๊บๆ ปั๊บๆ นี่แค่กลางคืนนะ ไม่ต้องพูดถึงกลางวันเลย ทำได้ทั้งวันทั้งคืนเลย ฝึกหัดมีสติอย่างที่หลวงพ่อบอกนี่แหละ ถึงจุดหนึ่งนะจะมีสติได้ทั้งวันทั้งคืน ตรงที่นอนไปแล้วยังช่วยตัวเองได้ มีสติขึ้นมาช่วยตัวเองได้นี่สำคัญนะ มันเป็นเหตุมันเป็นผลจากการที่เราฝึกเจริญสติตอนกลางวัน เราจะเอาไว้ใช้ตอนจะตายเนี่ย ความรู้อันนี้จะใช้ตอนจะตาย เวลาที่เราจะตาย จิตมันจะตัดความรับรู้กายออกไปก่อนนะ แล้วมันจะไปรู้ที่ใจอันเดียว จะมาทำกรรมฐานที่กายอันเดียว ระวังก็แล้วกันนะ กายหายไปแล้ว นาทีสุดท้ายไม่มีกายนะ จะทำยังไงทำกรรมฐานอะไร ต้องฝึกจนชำนิชำนาญ เข้ามาที่จิตอัตโนมัติให้ได้ เวลาคนเราจะตายมันจะเกิดนิมิต อันหนึ่งเรียกว่ากรรมนิมิต นิมิตถึงสิ่งที่เคยทำนะ อีกอันหนึ่งเรียกว่ากรรมอารมณ์ กรรมนิมิตเนี่ยมันจะไปนิมิตถึงเรื่องราวที่เคยทำ อีกอันหนึ่งเรียกคตินิมิตจะเห็นที่ไปข้างหน้า มีสามอัน มีกรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ คตินิมิตอารมณ์ มีสามอัน รวมความแล้วก็คือมันฝันนั่นเอง ฝันไปถึงเรื่องราวที่เคยทำมาในอดีต เช่น คนหนึ่งนะหลวงพ่อเคยรู้จัก เป็นพ่อของเพื่อน ใจดีนะ ตอนหนุ่มๆ เพื่อนมาบ้านทุกวันเลยมาสีซอกัน เล่นปี่พาทย์ เล่นสีซอ ทุกวันจะสั่งลูกน้องเชือดไก่วันละตัวเลี้ยงเพื่อน เวลาจะตายเนี่ยเกิดนิมิตเห็นไก่นะ เห็นไก่มารออยู่ข้างหน้าแล้ว บางทีก็เห็นที่ไปข้างหน้าที่จะไปเกิด เกิดเห็นไฟท่วมขึ้นมาเลย จะไปเกิดแล้วในที่ไม่ดี แต่ถ้าหากฝึกสติไว้จนชำนาญนะ พอเห็นไก่ปุ๊บใจมันย้อนดูจิตเลย มันเคยชินที่จะฆ่าไก่ พอเห็นไก่ปุ๊บ แหมมันอยากเชือดคอขึ้นมา สติเกิดวับเลย มันอยากฆ่าไก่แล้ว เห็นปั๊บนิมิตนั้นดับ ไม่ไปเกิดเป็นตรงนั้นแล้ว หรือฝันไปเห็นนรก นิมิตไปเห็นนรกปุ๊บกลัว สติระลึกถึงความกลัวปุ๊บขาดเลย นรกดับไปเลยนะ ทุกคนสร้างนรกของตัวเองนะ ทางใครทางมัน เพราะฉะนั้นนรกไม่เคยเต็ม อย่าเล่นๆ นะไม่ใช่ของหลอกเด็กนะ อย่าเล่นๆ นะ ตอนยังไม่รู้ไม่เห็น ผยอง พอรู้เห็นก็คร่ำครวญ ช่วยอะไรก็ไม่ได้ เป็นภูมิที่ช่วยไม่ได้แล้วนะ เป็นภูมิที่ช่วยไม่ได้ ไม่มีใครเข้าไปช่วยได้เลย ถ้าเป็นเปรตยังช่วยได้ ถ้าเราฝึกสติไว้ดีนะ พอนิมิตไม่ดีเกิดปุ๊บ ขาด เราจะตื่นขึ้นมาจะไปสู่สุคติ งั้นสำคัญนะ ฝึกสติในชีวิตประจำวันนี่จนมันอัตโนมัตินะ กระทั่งหลับมันก็ทำงานได้ สติปัญญาต้องฝึกเอา ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัยนะ 

 

สวนสันติธรรม
CD: 16
File: 491116B.mp3
Time: 8.14 – 15.21

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ชาวพุทธไม่กังวลถึงกรรมเก่า แต่อยู่กับปัจจุบันด้วยสติและปัญญา

mp 3 (for download) : ชาวพุทธไม่กังวลถึงกรรมเก่า แต่อยู่กับปัจจุบันด้วยสติและปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

โยม : กราบนมัสการเจ้าคะ ลูกแก้วมีวิบากกรรมมาก แล้วก็มาที่นี่เป็นครั้งแรกเจ้าคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทำไมรู้ละวิบากกรรมมาก อย่าไปเชื่อมันนะ กรรมเก่าเนี่ยมันผ่านไปแล้ว ไม่ว่ากรรมเก่าจะส่งผลมาให้เราต้องเผชิญอะไร เราทำกรรมใหม่ที่ดีไว้ ชาวพุทธเราไม่ไปกังวลถึงกรรมเก่านะ พระพุทธเจ้าบอกอดีตก็ผ่านไปแล้ว เราไม่เอาแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงมัน กรรมเก่าส่งผลให้เราต้องมาเผชิญกับสถานะการณ์ปัจจุบัน เราเผชิญกับสถานะการณ์ปัจจุบันด้วยสติด้วยปัญญา นี่เรากำลังทำกรรมใหม่ที่ดี แล้วอนาคตเราจะดีขึ้น เราจะมีความสุขมากขึ้นนะ แต่ถ้าเราไปภะวงถึงกรรมเก่าเรื่อย ใจเราจะท้อแท้ หดหู่ เราไม่สามารถสู้พัฒนาชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นได้ ลืมกรรมเก่าไปสะนะ แล้วก็มีสติอยู่ คอยรู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน การมีสติรู้กายรู้ใจลงปัจจุบันเป็นการทำกรรมใหม่ที่เป็นบุญอย่างยิ่งเลย บุญใดก็ไม่ประเสริฐเท่าบุญที่ประกอบด้วยสติด้วยปัญญา บุญที่ประกอบด้วยสติด้วยปัญญาเนี่ยจะพาให้เราพ้นทุกข์อย่างถาวรได้

งั้นหนูอยู่กับปัจจุบันนะ อย่าไปกังวลถึงอดีต อะไรเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเราทุกวันนี้ยอมรับไป สิ่งทั้งหลายที่เราเผชิญทุกวันนี้มันมีเหตุมาทั้งสิ้น มันยุติธรรมแล้ว มันสมควรที่เราต้องเจอสิ่งเหล่านี้ แต่ทุกสิ่งที่เราเจอกำลังเป็นบทเรียนสอนธรรมะเราทั้งสิ้น มันอยู่ที่เราวางใจถูกไหม ถ้าเราเจอสิ่งต่าง ๆ แล้วเราก็ท้อแท้ใจ บอกกรรมเก่าไม่ดี ใจเราผ่อนะ ก็เท่ากับเรากำลังทำกรรมใหม่ที่ไม่ดึ คือฝึกใจให้ท้อแท้ งั้นถ้ามีสภาวะที่ไม่ดึเกิดขึ้นในปัจจุบันเนี่ย อะไรไม่ดีเกิดขึ้นนะ ให้เรามีสตินะ ให้เรารู้ทัน จิตใจของเรากังวล รู้ว่ากังวล จิตใจเราอยากให้หาย รู้ว่าอยากให้หาย อยากให้มันพ้นไปเร็ว ๆ รู้ว่าอยาก ความอยากอะไรเกิดขึ้น รู้ให้ทันไปเรื่อยนะ พอความอยากดับเนี่ย เราจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยที่เราไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับมันอีกแล้ว ทุกอย่างเหมือนความฝันผ่าน ๆ  มาเท่านั้น ไม่มีสาระหรอก ความทุกข์ทั้งหลายมันจะหลุดลอยไปจากใจเรา

เชื่อหลวงพ่อนะ ฝึกนะ คนที่เรียนตามหลวงพ่อสอนเนี่ย ความทุกข์หล่นหายไปเยอะแยะเลย ชีวิตจิตใจเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเลย ในเวลาเดือนเดียวก็เปลี่ยนแล้ว เพราะฉะนั้นมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันนะ

CD สวนสันติธรรม 28

520103B

30.19 – 32.54

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อย่าประมาทในธรรม

mp 3 (for download) : อย่าประมาทในธรรม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สวนสันติธรรม
CD: 18
File: 500210.mp3
Time: 16.08 – 22.47

เราต้องกล้าหาญนะ ต้องเสียสละ อย่ามัวแต่เพลินๆ เพลินแป๊บเดียวแก่ละ แก่แล้วไม่มีเรี่ยวมีแรงจะปฏิบัติ  มันต้องพากเพียรเอาตั้งแต่ยังมีแรงอยู่ มีหลายคนเลย ตอนแข็งแรงอยู่นะ ชวนให้ปฏิบัติไม่เอา  พอเจ็บหนักมากๆ ร่อแร่ๆมาถามว่าจะภาวนายังไง  โอ จะภาวนายังไง เตรียมตายได้แล้ว  จิตใจมีแต่ทุรนทุราย ทำอะไรไม่ไหวแล้ว เหมือนไม่หัดว่ายน้ำไปก่อน ตกน้ำไปแล้วมาถามหาวิธีว่ายน้ำ ก็ตายเท่านั้นเอง

การภาวนานี้ อย่าประมาทนะ เราไม่รู้เลยว่าชีวิตเรายาวแค่ไหน ตายเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ใช่ว่าต้องแก่แล้วถึงจะตาย ถ้าเผลอๆแว๊บเดียว แก่ไปละ หรือตายไปละ เสียโอกาส  ชาติไหนจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกยังไม่แน่เลย เกิดเป็นคนยากนะ สัตว์เต็มโลกเต็มจักรวาล มีคนอยู่ไม่กี่พันล้านคน มีอนิดเดียวเอง  สัตว์เยอะแยะไปหมดเลย ในวัดหลวงพ่อนี้ สัตว์คงเยอะกว่ามนุษย์ทั้งโลกรวมกัน เยอะแยะเลย ตัวเล็กตัวน้อย

โอกาสที่จะได้เป็นคน ยากที่สุดเลย  เป็นคนแล้วสติปัญญาสมประกอบอย่างพวกเรา ยิ่งยากหนักเข้าไปอีก  จะมีสติปัญญาสมประกอบ มีกายมีใจสมประกอบแล้ว สนใจศึกษาปฏิับัติธรรม หายากนะ  ศึกษาแล้วไม่หลงไปทำอะไรผิดๆ ถูกๆ ศึกษาแล้วมาได้ศึกษาเรื่องการเจริญสติ รู้กายรู้ใจ ก็ยาก   ลงมือทำก็ยากอีก  มีคนน้อยคนที่จะทำจริงๆ  ฉนั้นจากคนหลายพันล้าน จากสัตว์จำนวนนับไ่ม่ถ้วน บีบมาเป็นคนหลายพันล้าน จนมาถึงคนที่ปฏิบัติเข้าถึงธรรม มีในหลักสิบหลักร้อยเท่านั้นเองนะ มีไม่มากหรอก น้อยเต็มที

พวกเราเป็นกลุ่มที่มีโอกาสแล้ว ให้มันบีบเข้ามาจนเป็นครีม เป็นจุดที่มีคนไม่มากแล้วที่เข้ามาได้อย่างพวกเรา  หลวงพ่อไม่แน่ใจว่าคนทั้งประเทศไทย ที่ตื่นแล้ว ถึงหมื่นคนหรือเปล่า ไม่แน่ใจตรงนี้ด้วยซ้ำไป เดินไปสำนักต่างๆ เที่ยวไปดูเรื่อยๆ นะ ไม่ค่อยมีคนที่ตื่นขึ้นมา  ที่จิตเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน สามารถรู้กายรู้ใจตรงความเป็นจริงได้ แทบไม่มี  พวกเราจำนวนมากตื่นขึ้นมา คือคนกลุ่มน้อยเต็มทีนะ

พวกเราพอมีสติขึ้นมา สิ่งสำคัญคือความต่อเนื่องต่อไปนี้ ทำเนืองๆ ทำบ่อยๆ รู้บ่อยๆ อย่าเลิก รู้เข้าไป ในกลุ่มเล็กนิดเดียวซึ่งมีจำนวนหลักพัน พวกเรามาเรียนที่หลวงพ่อที่ตื่นขึ้นมา ถ้าทำไม่ละเลย ไม่ทอดทิ้งนะ โอกาสที่จะเข้าถึงธรรมะในชีวิตนี้ก็มี แต่ถ้าจิตไม่ตื่น ไม่มีโอกาสหรอก

เมื่ออาทิตย์ก่อนไปสอน มีเด็กมาเรียนเจ็ดสิบกว่าคน เมื่อวานเขาบอกยอด ลืมไปละ  มีเยอะเหมือนกัน มีคนที่ยังไม่ตื่นห้าหกคนเอง  นอกนั้นตื่นโพลงไปหมดเลยนะ สว่างโพลงไปทั้งห้องเลย  คือสติมันเกิดอัตโนมัติแล้ว  อะไรเกิดขึ้นในกายรู้ อะไรเกิดขึ้นในจิตรู้  ถ้ามีกายเคลื่อนไหวระลึกรู้ มีจิตเคลื่อนไหว สติระลึกรู้เองอัตโนมัติ  ระลึกรู้โดยไม่ได้จงใจจะรู้เนี่ยจิตมันจะตื่น เป็นผู้รู้ผู้ตื่น จิตมีสัมมาสมาธิ ตั้งมั่นขึ้นมา

พอจิตใจตั้งมั่น อยู่กับเนื้อกับตัว  จิตอ่อน จิตเบา จิตคล่องแคล่วว่องไว จิตควรแก่การงาน จิตไม่ถูกกิเลสครอบงำ จิตซื่อๆ จิตตรงๆ จิตใจเป็นอย่างนี้แล้วเนีี่ย มีสติรู้กาย ก็เห็นกายตรงตามความเป็นจริง มีสติรู้จิต ก็เห็นจิตตรงตามความเป็นจริง พอเห็นตรงตามความจริง มันค่อยๆ ถอดถอนความเห็นผิดไป  เบื้องต้นเห็นเลยว่าไม่ใช่เรา กายกับจิตไ่ม่ใช่เรา ได้โสดาบัน  มีสติรู้เข้าไปอีก รู้เข้าไปอีกนะ สติมันไวอัตโนมัติเลย กิเลสไหวตัววั๊บ สติเห็นทันที ขาดสะบั้นตรงนั้นเลยนะ   ฝึกไปเรื่อยๆ  ต่อไปเห็นกายนี้ทุกข์ล้วนๆเลย จิตวางกายลงไป  เห็นจิตนี้เป็นทุกข์ล้วนๆ จิตวางจิตลงไป

งานนี้ฟังแล้วยากนะ ไม่ยากหรอก อดทนตั้งใจทำ สามปีเจ็ดปี ทำไป ไม่ได้นานอะไร ไม่ได้นาน  เราเรียนหนังสือตั้งสิบปียี่ิสิบปี เราก็เรียนได้ใช่ไหม  ทำไมเราจะเรียนรู้ตัวเอง ขนานไปกับการดำรงชีวิตปกติ ไม่ได้กินเวลาเรา ทำไมเราทำไม่ได้ เพราะเราไม่อยากทำเองน่ะ  เราหาข้ออ้างไม่ปฏิบัติเท่านั้นเอง   ถ้าไม่หาข้ออ้างนะ รู้ลงไป รู้กายรู้ใจ ถึงเวลาทำงานก็ทำไป ถึงเวลาต้องติดต่อกับคนอื่น ก็ติดต่อไป หมดเวลาไม่ต้องติดต่อกับใครก็มาเรียนรู้ตัวเอง ไม่เอาเวลาไปเสียเปล่าๆ

หลวงพ่อเป็นคนที่หวงเวลาที่สุดเลย ภาวนาจะใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนรู้ตัวเอง ไม่ยุ่ง กระทั่งไปหาครูบาอาจารย์ ไปประเดี๋ยวประด๋าวหรอก ไปแป๊บๆ พอรู้หลักแล้วก็กลับมาดูของเราเอง ไม่เสียเวลา

วลาของแต่ละคน เป็นทรัพยากรที่หายากนะ  หายาก  แต่ถ้าพูดอย่างหลวงปู่เทกส์นะ ท่านบอกว่าหาง่าย ตราบใดที่มีกิเลส มันก็มีอีก  อันนั้นหมายถึงหาแบบไร้ทิศทางนะ แต่จะมีเวลาที่ได้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เนี่ย อยู่ในวัยที่เหมาะสม มีสติ มีปัญญา มีศรัทธา มีความเพียร มีโอกาสได้ฟังธรรม ตั้งใจจริงที่จะปฏิบัติ  องค์ประกอบเหล่านี้หายากมาก  หลวงพ่อคิดว่าคนที่ตื่นขึ้นมาเนี่ยนะ มีไม่ถึงหมื่นคนหรอก จริงๆมีน้อยเต็มที ฉนั้นเราฟังธรรมจนกระทั่งจิตเราตื่นขึ้นมาได้นี่ ยากมาก นี่เป็นจุดแรกเลยที่ยากมาก  เราต้องเห็นสภาวะตรงตามความเป็นจริงได้โดยไม่เจตนา  จิตจึงจะตื่น  ถัดจากนั้นก็ต้องตามรู้ตามดู จนเ้ข้าไปแจ่มแจ้ง  ปล่อยวางได้นี่ยากขึ้นไปอีกนะ เหลือน้อยลงน้อยลง

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทำไมปฏิบัติแล้วความโกรธไม่ลดลง?

mp3 (for download) : anger not stable

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : การสังเกตอารมณ์ที่รู้ทัน เช่น เวลาที่เราดีใจ เสียใจ หรือโกรธ คือ หลังจากปฏิบัติแล้วไม่ได้ลดน้อยลง เพียงแต่รู้ทันว่าตอนนี้กำลังโกรธ ตอนนี้กำลังอารมณ์ไม่ดี

หลวงพ่อปราโมทย์ : เราไม่ได้ฝึกให้ลดน้อย แต่เราฝึกให้เห็นความจริงว่าทุกสิ่งเกิดแล้วดับ เห็นตรงนี้มั้ย โกรธแล้วก็ดับ โลภเกิดแล้วก็ดับ ดีใจเสียใจเกิดแล้วก็ดับเราเรียนเพื่อสิ่งนี้ต่างหาก หลวงพ่อบอกแล้วว่าเราไม่ได้เรียนเอาดี

โยม : มันดับเร็วขึ้นกว่าเดิม

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่ นั่นแหละดีแล้ว นั่นมีพัฒนาการแล้ว แต่เดิมเคยโกรธทีนึงหลายชั่วโมง เดี๋ยวนี้พอความโกรธผุดแว้บก็ขาดสะบั้นไปแล้ว ภพชาติของเราสั้นลง แทนที่จะเป็นภพขี้โมโหหลายชั่วโมงนะ ก็เป็นภพขี้โมโหหนึ่งแว้บ อะไรงี้ สังสารวัฏเราก็หดสั้นลงๆ

เพราะฉะนั้นเรียนนี่ไม่ใช่เรียนเพื่อไม่ให้โกรธ ความโกรธก็เป็นอนัตตาเหมือนกัน ถ้าเหตุของความโกรธยังมีมันจะต้องโกรธอีก เหตุของความโกรธคืออะไร อันแรกเลยคือมีอนุสัยขี้โมโห พูดภาษาไทยคือมีสันดานขี้โมโห มันคุ้นเคยที่จะโมโห มันจะโมโหบ่อย มีสันดานขี้โมโหอย่างเดียวก็ยังไม่โกรธ ต้องมีอันอื่นอีก ต้องได้กระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจถึงจะโกรธ ถ้ากระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจอย่างเดียว แต่ไม่มีอนุสัยขี้โมโห มันก็ไม่โกรธนะ เพราะงั้นความโกรธ เกิดจากเหตุตั้งหลายอย่างมาประชุมกัน แล้วก็ปรุงเป็นความโกรธขึ้นมา ถ้าเหตุของมันยังอยู่ มันยังโกรธอีก ถ้าวันนึงเราภาวนาจนอนุนัยขี้โมโหนี้หายไป มันจะไม่โกรธละ เพราะฉะนั้น เราไม่ได้เรียนเพื่อจะไปบังคับเพื่อแทรกแซงสังสารวัฏนะ ไม่ใช่ไปแทรกแซงสภาวะนะ แต่เรียนว่าทุกสิ่งเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุดับ สิ่งนั้นก็ดับ

CD สวนสันติธรรมแผ่นที่ 12

ไฟล์ 080749B

26min49-28min43

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีทำให้ใจของเราตั้งมั่น มีสัมมาสมาธิ

mp3 (for download) : วิธีทำอย่างไรใจของเราจะตั้งมั่น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : มีวิธีทำอย่างไรใจเราจะตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู ทำได้หลายอย่าง

อันแรกเลย ทำสมถะ เราจะหัดพุทโธก็ได้ หัดหายใจก็ได้ หัดไป หัดอะไรก็ได้ซักอย่างนึง แต่ว่าไม่ใช่ไปหายใจเลื่อนลอยไปเรื่อยๆ เคลิ้มๆ อย่างที่เคยทำกัน เราหัดหายใจไป แล้วเราก็ค่อยๆ ทำความรู้สึกขึ้นมา ให้เห็นเลย ร่างกายนี้กำลังหายใจอยู่ ใจเป็นคนดู ต้องอย่างนี้นะ  หรือเห็นท้องพองยุบไป ค่อยๆ รู้สึกขึ้นมา ท้องมันพอง ท้องมันยุบไป ใจเป็นคนดู ค่อยๆ รู้สึกอย่างนี้ ค่อยๆ แยกออกมา แยกตัวผู้รู้ออกมา แต่ถ้าใครทำแบบนี้เป็นวิธีขี้โกงนะ  ถ้าใครเก่งๆ ก็ทำตามสูตรเลย หายใจเข้า หายใจออก ไม่ต้องสนใจตัวผู้รู้ก่อนนะ แต่อย่าให้ขาดสติ  มีสติรู้ลมหายใจไป มีใจเป็นคนดูไปอย่างสบายๆ ดูอย่างสบาย อย่าไปเพ่งใส่มัน ฉนั้นต้องเรียนก่อนว่าเพ่งเป็นอย่างไร  ถ้าใจเราถลำลงไปเพ่งอย่างนี้ ตัวผู้รู้ไม่มีหรอก มีแต่ผู้เพ่ง ไม่ใช่ผู้รู้

ผู้รู้มันเหมือนเรายืนอยู่บนตึกสูงๆ เรามองลงมา ที่ถนนเห็นรถยนต์วิ่งเยอะแยะเลย เราไม่ได้ไปยืนกลางถนน  หรือ เหมือนอย่างเราดูฟุตบอล เราดูอยู่ข้างสนาม ดูอยู่บนอัฒจันทร์ ไม่ได้โดดลงไปอยู่ในกลางสนาม เนี่ยส่วนใหญ่จะโดดลงไปอยู่กลางสนาม เวลาไปรู้อะไร  ฉนั้นเราจะมาพุทโธ เราก็พุทโธไปสบายๆ พุทโธไป  หรือหายใจไปก็ได้นะ  ถ้าหายใจก็จะเข้าถึงสมาิธิที่ปราณีต  พุทโธก็ได้แต่สมถะ แค่อุปจาระ(สมาธิ) ได้แค่สงบนิดหน่อย

ถ้าเราหายใจเข้าหายใจออก หายใจสบายๆ หายใจออกก่อน อย่าหายใจเข้าก่อนนะ  ฝึกอานาปาณสติ ให้หายใจออกก่อน ในพระสูตรก็สอนไว้อย่างนั้น บอกภิกษุทั้งหลาย ให้คู้บัลลังก์ คู้บัลลังก์คือนั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า หายใจออกยาว รู้ว่าหายใจออกยาว  หายใจเข้ายาว รู้ว่าหายใจเข้ายาว หายใจออกก่อนเนี่ย ใจมันจะเบา ใจมันจะอ่อนโยน ใจมันจะุนุ่มนวล  ถ้าหายใจเข้าก่อนเี่นี่ย ใจมันจะแข็งๆ แข็งกระด้าง แข็งแล้วภาวนาต่อยากละ  ฉนั้นหายใจออกให้สบายนะ ให้ผ่อนคลาย พอใจผ่อนคลาย  ใจมันจะสงบ ใจมันสบาย  พอจิตใจสบาย เรารู้ลมหายใจ ตัวลมหายใจเรียกว่า ‘บริกรรมนิมิต’

รู้ลมหายใจไปนานไปนะ ใจจ่ออยู่ที่ลมอย่างสบายๆ เคล็ดลับอยู่ที่สบายนะ  พอรู้อย่างสบายๆ บริกรรมนิมิตคือลมหายใจ มันจะเปลี่ยนสภาพไปเป็นแสงสว่าง จะรู้สึกเหมือนเป็นแสงสว่างเป็นเส้นเป็นเกลียว  แสงสว่างของลมเรียกว่า ‘อุคคหนิมิต’

เรารู้อุคคหนิมิต รู้แสงสว่างนี้ไป รู้ไปเรื่อยๆ มันจะรวมขึ้นมาเป็นดวง เป็นดวงแก้ว ดวงกลมๆ ดวงสว่าง แบบนี้่เรียกว่า ‘ปฏิภาคนิมิต’ ถึงจุดนี้ เราก็ทิ้งลมหายใจนะ มาูรู้ปฏิภาคนิมิตเป็นอารมณ์ หายใจไปน่ะ ไม่ได้หยุดหายใจหรอก แต่ว่ามารู้ปฏิภาคนิมิต รู้ดวงนี้ ดวงนี้ย่อได้ ขยายได้ เล่นไปเล่นมา จิตใจมันสนุก มันมีปิติขึ้นมา มีปิติมีความสุขขึ้นมา จิตจะเข้าฌาณ อันนี้สำหรับคนที่ทำได้เต็มภูมิ

พอเข้าณาณที่หนึ่งก็มีปิติ มีความสุข ใจเป็นหนึ่ง ต่อมาสติปัญญามันแก่กล้าขึ้นไปอีก มันเห็นว่า ปิติก็ของหวือหวานะ มันดับปิติลงไป

จิตที่จะเกิดตัวผู้รู้เนี่ย เป็นจิตในฌาณที่สอง จิตในฌานที่สองนี่ดับวิตกวิจารณ์ ดับการตรึกถึงตัวนิมิตนั่นแล้ว จิตมันทรงตัวอยู่โดยที่ไม่ได้จงใจไปรู้นิมิตอีกต่อไปแล้ว ไม่ไปต้องรู้ดวงสว่างหรือลมหายใจอีกแล้ว แต่มันสงบอยู่ในตัวของมันเองนะ  เนี่ย จิตตรงนี้มันจะเกิดสภาวะธรรมอันนึง เรียกว่า ‘เอโกธิภาวะ’ ภาวะแห่งความเป็นหนึ่งขึ้นมา จะเกิดตัวผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา

ถ้าได้ตรงนี้แล้ว ก็ดูปิติไป ก็เห็นปิติเกิดแล้วก็ดับไปนะ เห็นความสุขขึ้นมาของจิต อยู่ในฌานที่สาม

ดูในความสุขเ้ข้าไปอีก ก็เห็นความสุขเกิดแล้วก็ดับไป จิตเข้าอุเบกขา ได้ฌานที่สี่ ถึงตรงนี้มันจะเหมือนไม่หายใจ เหมือนเราหายใจด้วยผิวหนังแล้ว

ทีนี้พอจิตถอยออกจากตรงนี้นะ กลับมาสู่โลกภายนอก อำนาจของสมาธิมันยังจะหล่อเลี้ยงตัวผู้รู้ไว้อีกพักนึง ใจมันจะเด่นดวงขึ้นมาเป็นตัวผู้รู้ผู้ดู ให้เอาใจที่เด่นดวงเป็นผู้รู้ผู้ดูนี้มารู้กาย เห็นร่างกายยืนเดินนั่งนอนไป ใจจะเป็นคนดูอยู่ ดูอยู่ได้เป็นวันๆ เลยเพราะกำลังของสมาธิเยอะ

ถ้าคนไหนทำตามรูปแบบเต็มขั้นเต็มภูมิของสมาธิอย่างนี้ไม่ไหว ก็ใช้วิธีขี้โกงเอาอย่างที่หลวงพ่อว่า หัดดูเอา หายใจเข้า หายใจออกเนี่ย ยังไม่ต้องมีนิมิตอะไรหรอก หายใจไปเรื่อยๆ แล้วคอยสังเกตใจของเรา สังเกตดูร่างกายมันหายใจ ใจของเราอยู่ต่างหากนะ ใจของเราเป็นแค่คนดู หรือใจมันคิด เราก็เห็นอีก ความคิดอยู่ต่างหากนะ ใจเป็นคนดู เห็นความคิดเกิดขึ้นดับไป ใจตั้งมั่นเป็นคนดู เห็นความสุขความทุกข์เกิดขึ้น หรือความปวดความเื่มื่อยเกิดขึ้น ดูลงไป ความปวดความเมื่อยก็เป็นของถูกรู้ถูกดู  ใจเป็นคนดู ฝึกอย่างนี้มันก็ได้ตัวผู้รู้ผู้ดูขึ้นมาเหมือนกัน แต่กำลังมันจะไม่ต่อเนื่องยาวนานเหมือนคนที่เขาเล่นฌาน  แต่พวกเราส่วนมากทำไม่ได้นะ ทำได้แค่นี้ก็บุญถมไปแล้ว

CD ศาลาลุงชินครั้งที่ 9

500218

8.40 – 14.16

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตที่ไม่ตั้งมั่นจะไม่เกิดอริยมรรค

mp3 (for download): จิตที่ไม่ตั้งมั่นนั้นจะไม่เกิดอริยมรรค

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :

เมื่อสองสามวันก่อนมีพระองค์หนึ่ง ท่านเป็นพระผู้ใหญ่นะ ท่านเข้าไปเยี่ยมหลวงพ่อที่วัด ที่เมืองชล ท่านก็ไปเล่าว่า ท่านอยู่ในป่า แล้วท่านก็รู้อะไรต่ออะไรเยอะแยะไปหมดเลยนะ กระทั่งเสียงของสัตว์นี้ ท่านฟังได้ ของเราก็ฟังเสียงสัตว์ได้ ใช่ไหม แต่ท่านแปลได้ ของเราก็ฟังได้นะ เสียงสัตว์ ตุ๊กแกร้องเราก็รู้นะ แต่เราไม่รู้ว่ามันร้องว่าอะไร

ท่านทำสมาธิเยอะ ท่านรู้ ท่านบอกท่านรู้อะไรต่ออะไร รู้เยอะแยะเลย วันหนึ่งไม่สบายมาก เป็นมาลาเรีย ท่านก็นอนดูร่างกายนี้ มีใจอยู่ต่างหากด้วยนะ ในขณะมีใจอยู่ต่างหาก ใจก็ไปดู เห็นร่างกายมันเจ็บป่วย ดูกาย ดูเวทนาไป เสร็จแล้วดูไปเรื่อยๆนะ จนกระทั่งความรู้สึกนี้ ทุกขเวทนาดับ หายนะ หายเจ็บ หายป่วยไปได้ แต่ท่านสงสัยว่า ท่านดูลงไปในเวทนาอะไรนี้ ก็ไม่เห็นว่ามันเป็นตัวเป็นตน แต่ทำไมไม่เกิดอริยมรรค

ที่จิตมันไม่ตัดเพราะว่าจิตไม่ตั้งมั่น ในขณะที่รู้กายนี้ จิตไหลไปอยู่ที่กาย ในขณะที่รู้เวทนานั้น จิตถลำลงไปแช่อยู่กับเวทนา จิตที่ถลำลงไปนี้จะไม่มีกำลัง ไม่มีแรงที่จะตัดสินความรู้ เพราะว่าอะไร เพราะว่าสัมมาสมาธิ หรือ จิตที่ตั้งมั่นนี้ เป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมาแท้ๆแล้ว ถึงจะละวางความยึดถือในกายในใจลงไป ถ้าใจไม่ตั้งมั่นจะไม่ตัดหรอก จะไปดูก็เห็นนะ เห็นเกิดดับไปงั้นนะ แต่ใจไม่มีกำลัง มันถลำลงไป งั้นใจที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูนี้สำคัญมาก

CD ศาลาลุงชินครั้งที่ 9

500218

6.48 – 8.39

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ถ้าปราศจากสัมมาสมาธิแล้วปัญญาจะไม่เกิด

mp3 (for download): ถ้าปราศจากสัมมาสมาธิแล้ว ปัญญาจะไม่เกิด

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ส่วนตัวสมาธินี่ จิตที่ตั้งมั่นนี่ ตัวนี้ หลายคนไม่เข้าใจคำว่าจิตที่ตั้งมั่น นึกว่าจิตที่ตั้งแบบแข็งกระด้าง แข็งๆ นึกอย่างนี้นะ อย่างนี้ไม่ใช่จิตตั้งมั่นนะ มันเป็นจิตที่แข็งกระด้าง จิตที่ตั้งมั่นนี่หมายถึงเป็นจิตที่รู้เนื้อรู้ตัวอยู่ มีความอ่อนโยนนะ มีความเบา ถ้าหนักๆ แน่นๆ แข็งๆ ใช้ไม่ได้เลย ไม่ใช่จิตที่มีสัมมาสมาธิจริงๆ จิตที่มีสัมมาสมาธิมันจะเบาๆ นะ ไม่ใช่เบาหวิวนะ แต่มันเบาแบบมันไม่มีภาระ สบาย มันมีความอ่อนโยน มีความนุ่มนวล ไม่มีกิเลส ไม่มีนิวรณ์ครอบงำ กระทั่งความอยากปฏิบัติยังไม่มีเลย ความอยากปฏิบัติก็เป็นกิเลสนะ จิตที่มันมีสัมมาสมาธินี่มันว่องไว ไม่ซึมไม่ทื่อนะ ถ้าไปนั่งแล้วก็ซึมอย่างนี้ไม่ใช่นะ นี่มิจฉาสมาธินะ

สัมมาสมาธินี่ จิตจะเบา จิตจะอ่อน จิตจะนุ่มนวล คล่องแคล่วว่องไว จิตจะสามารถรู้สภาวธรรมทั้งหลายตรงตามความเป็นจริง รู้ได้อย่างซื่อๆ รู้แล้วไม่เข้าไปแทรกแซง จิตจะตั้งมั่นสักว่ารู้สักว่าเห็นอยู่ ถ้าเรามีจิตชนิดนี้แหละ ปัญญามันถึงจะเกิด ถ้าเราไม่มีจิตที่เป็นสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้เป็นผู้ดูนะ ถึงเอาสติไปจ่อเข้าในกายในใจมันได้แต่สมถะ มันไม่เกิดปัญญา ถ้าจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ต่างหากนะ เห็นร่างกายนี้หายใจเข้า ร่างกายหายใจออก จิตเป็นคนดูอยู่ เห็นร่างกายยืนเดินนั่งนอนจิตเป็นคนดูอยู่ เห็นท้องพองยุบจิตเป็นคนดูอยู่ เห็นยกเท้าย่างเท้าอะไรอย่างนี้จิตเป็นคนดูอยู่ ต้องแยกรูปกับนามออกจากกัน ให้ใจมันตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่

หลายคนเข้าใจผิดในการปฏิบัติ อย่างไปรู้ลมหายใจนี่ไปเพ่งใส่ลมหายใจ ตั้งใจให้รู้แต่ลมหายใจอย่างเดียว ไม่ให้รู้อย่างอื่น การตั้งใจให้รู้อันใดอันหนึ่งไม่ให้รู้อย่างอื่น มันเป็นการบิดเบือนความเป็นจริง ในความเป็นจริงก็คือ ในสภาวะแต่ละสภาวะที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะ แต่ละขณะที่เกิดขึ้นนั้นมีสภาวธรรมจำนวนมาก ไม่ใช่ไปเลือกเอาอันใดอันหนึ่งนะ เพราะฉะนั้น อย่างเวลาที่เรารู้ลมหายใจเข้าออก ถ้าเราจงใจไปเพ่งใส่ลม รู้แต่ลมอย่างเดียว มันส่งเสริมอัตตานะ ไม่ใช่จะเห็นอนัตตา มันจะรู้สึกว่ากูเก่ง กูเก่ง กูบังคับจิตของกูได้ หรือจะไปเพ่งใส่ท้องอันเดียวนะ ท้องพองยุบรู้หมดเลยนะ แต่ว่าจิตใจของตัวเองนี่ลืมมันไปแล้ว มีแต่รูป ไม่มีนาม เพ่งเอาเพ่งเอา อันนี้จะส่งเสริมอัตตาไม่ใช่เห็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ในแต่ละสภาวธรรม ในแต่ละขณะมีสภาวธรรมจำนวนมากเกิดขึ้น เราก็เห็นร่างกายมันเคลื่อนไหวไป เห็นรูปมันเคลื่อนไหวไป ในขณะเดียวกันก็มีใจเป็นคนดูอยู่ มีใจเป็นคนดู เราจะเห็นเหมือนเห็นคนอื่นกำลังยืนเดินนั่งนอน เห็นคนอื่นหายใจเข้าหายใจออก ไม่ใช่เห็นตัวเรายืนเดินนั่งนอน ใจที่ตั้งมั่นขึ้นมามันจะทำให้เห็นสภาวธรรมตรงตามความเป็นจริง ว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา จิตที่มีสัมมาสมาธินี่เป็นจิตที่สำคัญมาก ถ้าปราศจากสัมมาสมาธิแล้วปัญญาจะไม่เกิด

CD ศาลาลุงชินครั้งที่ 9

500218

3.22 – 6.48

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เข้าถึงธรรมเพราะใจเลิกดิ้นรน

mp3 (for download) : รู้จนหมดแรงดิ้นรนก็จะเข้าถึงธรรม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะฉะนั้น รู้ไปนะ รู้ไป รู้จนกระทั่งหมดแรงดิ้น คนไหนจิตมีกำลังมาก ดิ้นมาก ก็ทุกข์มากหน่อย ต้องทรมาน ทุกข์จนกระทั่งจิตมันเข็ดขยาด มันก็จะหาทางหนีตลอดเวลานะ หนีอย่างไรก็หนีไม่รอดนะ ถึงวันหนึ่งมันจะยอม เออ ช่างมันเถอะ เป็นอะไรก็เป็นไป ตรงที่มันยอมนะมันจะเข้าถึงธรรมเพราะใจมันเลิกดิ้น เพราะฉะนั้น ตอนนี้ทุกข์ต่อไป ดิ้นไปเถอะ อย่างไรก็ช่วยไม่ได้ บางคนโดนอะไรนิดหน่อย ทุกข์นิดหน่อยก็เข็ดขยาดแล้วยอม บางคนมันดื้อต้องทรมาน

พระพุทธเจ้าเคยสอน การฝึกคนท่านบอกเหมือนกับฝึกม้า ม้าบางตัวเชื่อง คือจิตบางคนนี่อ่อนโยน เชื่อง ม้าอย่างนี้ท่านก็ให้กินหญ้า ให้น้ำ ให้อะไรนะ ให้พักผ่อน ถึงเวลาพาไปวิ่งก็ฝึกได้ดี ม้าบางตัวพยศมากให้อดน้ำอดหญ้าพาไปตรากตรำจนมันเข็ดขยาด เราเลือกไม่ได้นะ จิตของเราน่ะ มันจะเป็นม้าดื้อหรือมันจะเป็นม้าเชื่องเลือกไม่ได้หรอก ไม่ยอม มันไม่ยอม เพราะฉะนั้นมันต้องสู้กันเลยจนสุดฤทธิ์สุดเดช ถ้าใจถึงก็สู้ไปวันหนึ่งก็พ้น

CD สวนสันติธรรม 10

481002A

15.25 – 16.55



เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อ่านหลวงปู่ฝากไว้ผ่านเน็ท

>>>หลวงปู่ฝากไว้<<<

อ่านออนไลน์ คลิ๊กที่ปก เลยครับ >>>

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทำอย่างไรจะรู้สึกตัว?

mp3 (for download) : ทำอย่างไรจะรู้สีกตัว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หรือบางคนอยากรู้สึกตัว ทำอย่างไรจะรู้สึกตัว ทำยังไงก็ไม่รู้สึกหรอก ให้รู้สิว่าหลงเป็นอย่างไร ถ้าเมื่อไหร่ไม่หลงเมื่อนั้นก็รู้สึกตัว

CD สวนสันติธรรม 23

510126

13.52 – 14.03

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การสำรวม คืออะไร?

mp 3 (for download) : การสำรวม คืออะไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: เพราะฉะนั้นมีธุระ จะยิ้มก็ยิ้มไป จะหัวเราะก็หัวเราะไป เพื่อเอื้อเฟื้อคนที่เราคุยด้วย ถ้าเราทำหน้าอย่างนี้… สอนธรรมะ นานๆพูดคำหนึ่ง นะ เดี๋ยวคนก็ไปหมดเลย

โยม: บางที มันดูเหมือนไม่สำรวม เหมือนๆ เราล่อกแล่กเกินไป

หลวงพ่อปราโมทย์: ไม่ต้องสำรวม สำรวมไม่ใช่แปลว่า ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ สำรวมหมายถึงมีสติ นะ ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบอารมณ์แล้ว เกิดปฏิกริยายินดียินร้ายขึ้นที่จิต มีสติรู้ทัน นี้เรียกว่าสำรวม

สำรวมไม่ใช่แกล้งขรึม การแกล้งขรึมทำไปด้วยทิฎฐิ แกล้งขรึมนี่ทำไปด้วยทิฎฐินะ มีความเห็นว่าต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนี้ รู้สึกมั้ยบางทีครูบาอาจารยท่านหัวเราะนะ บางทีหัวเราะหลอกเรานะ หลวงพ่อเคยเจอทีหนึ่ง เจอท่านอาจารย์บุญจันทร์

ท่านอาจารย์บุญจันทร์นะ โอโห จิตนี้เปรียว สุดๆองค์หนึ่งเลย ไม่รู้จักท่านหรอก จะไปหาอาจารย์ทองอินทร์ที่วัดสันติธรรม พอไปถึงนะ ค่ำละ สักสองทุ่ม มีพระมาดักอยู่หน้าวัด พระหนุ่มๆ บอกวันนี้ อาจารย์บุญจันทร์มาให้ไปหาอาจารย์บุญจันทร์หน่อย เราบอกไม่ไปไม่รู้จัก จะมาหาอาจารย์ทองอินทร์ เสร็จแล้วไปคุยกับอาจารย์ทองอินทร์นะ จนดึกเลย ออกมาหนาวจัด พระยังเฝ้าอยู่อีก ยังเฝ้าอยู่บอก ไปหน่อยน่า.. อ้อนวอนเรานะ เราไม่อยากไปเลย เราไม่รู้จัก เสียอ้อนวอนไม่ได้นะ ก็ไปกับท่าน ขึ้นไป โดนอาจารย์บุญจันทร์ตะคอกเอา

“ภาวนายังไง” แก้กรรมฐานให้เรา ไม่รู้จักเลยนะ อยู่ๆเรียกตัวไป เสร็จแล้วนะพอเราเข้าใจ จิตวางหลุดภพออกมา ท่านหัวเราะนะ ท่านหัวเราะเราก็หัวเราะมั่งสิ พอท่านไม่หัวเราะ ท่านสำรวม เราก็ทำสำรวมบ้าง ท่านหัวเราะเราก็ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตามท่านไปเลยนะ ท่านหัวเราะดังเลยนะ หัวเราะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เลย พอเราหัวเราะปั๊บ หันมามองหน้าเลย เราก็หยุดปุ๊บ ใจเราก็เรียบไม่มีอะไรเลย ไม่ได้กระเพื่อมเลย ท่านบอกอย่างนี้ใช้ได้ ไปได้แล้ว แกล้งหัวเราะนะ หัวเราะเพื่ออนุเคราะห์ แล้วไงอีก จะถามแต่เรื่องนี้รึ

โยม: ให้หลวงพ่อแนะนำ หลวงพ่อแนะนำเรื่องอื่น

หลวงพ่อปราโมทย์: ลอกเปลือกตัวเองออกมา ให้ตัวจริงมันโผล่ขึ้นมา ถือศีล ๕ ไว้

โยม: ครับ

หลวงพ่อปราโมทย์: ช่วงหลังๆ พอสึกมาหลายวันเนี่ย เริ่มมีตัวปลอม เป็นผู้นำหมู่ ผู้นำคณะ ต้องสำรวมเรียบร้อย เป็นลิงไปเลย นะ มันเป็นอย่างไรรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น ไม่แกล้งนะ ไม่แกล้ง มันคือวาสนา วาสนาเนี่ยแก้ไม่ได้ ไม่ต้องแก้ พระอรหันต์แต่ละองค์ ก็มีวาสนาของตัวเอง ไม่ต้องแก้

เพราะฉะนั้นไม่ต้องแกล้งทำซึม การแกล้งทำซึม แกล้งทำสำรวม ไม่ได้ช่วยให้บรรลุมรรคผลอะไร แต่การสำรวมอินทรีย์เนี่ย จำเป็นมากเลย ต่อการบรรลุมรรคผล สำรวมอินทรีย์ไม่ใช่การแกล้งสำรวม ไม่ใช่ให้ไม่มอง ไม่ใช่ไม่ฟัง ไม่ใช่ไม่ดมกลิ่น ไม่ใช่ไม่รู้รส สำรวมอินทรีย์ก็คือ เมื่อกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วเนี่ย ยินดียินร้ายขึ้นมาให้รู้ทัน ไม่ใช่แกล้งไม่กระทบ

เคยมีพระองค์หนึ่งชื่อหลวงปู่คำพันธ์ มีใครเคยรู้จักมั้ย อยู่วัดธาตุมหาชัย ที่ปลาปาก ลูกศิษย์หลวงปู่เสาร์ ลูกศิษย์ของท่านนะ ไปภาวนากัน พรรษาหนึ่งก็กลับมา บอกว่า พรรษานี้สำรวมในรส เวลาบิณฑบาตได้อาหารมานะ เอาน้ำร้อนเทใส่ ล้างนะ ให้รสชาติจืดชืดหมดเลย แล้วก็ฉันอาหารที่จืดชืดนี้ นี่ปฏิบัติอย่างนี้ ภูมิใจ ได้สำรวม ท่านบอก ทำไมยุ่งยากอย่างนั้น เปลืองน้ำร้อน เอาน้ำร้อนราดลิ้นก็พอแล้ว เอาน้ำร้อนราดลิ้นเข้าไปเลย นี่สำรวมแบบไม่ฉลาด

สำรวมไม่ใช่ว่าไม่รู้รส สำรวมไม่ใช่ไม่รู้สัมผัสทางกาย ถ้าไม่รู้สัมผัสทางกายแล้วบรรลุง่าย พวกเป็นโรคเรื้อนจะบรรลุก่อน สำรวมทางตาด้วยการไม่เห็นแล้วบรรลุง่าย คนตาบอดก็จะบรรลุก่อน สำรวมทางหูพวกหูหนวกก็จะบรรลุก่อน ไม่ใช่

สำรวมหรือไม่สำรวมอยู่ที่ มีสติรู้ทันจิตของตนเองมั้ยเมื่อมีการกระทบอารมณ์ นะ เพราะฉะนั้นไม่แกล้งนะ ปล่อยตัวเองออกมา ปลดปล่อยตัวเองที่แท้จริงออกมาแต่มีศีล ๕ เพราะว่าตัวตนที่แท้จริงของแต่ละคน น่าเกลียดสุดๆเลย ต้องมีศีล ๕ ถ้าไม่มีศีล ๕ นะ มันจะอุบาทว์ นะ มันจะไปรังแกคนอื่น นะ แต่ละคนน่ะร้ายจริงๆ ไม่ได้แกล้งว่า หลวงพ่อก็ร้าย หลวงพ่อแต่ก่อนนะ ขี้โมโห โทสะมาก

โยม: หลวงพ่อครับ บางที พอปลดปล่อยมากแล้ว บางทีเห็นตัวเองน่าเกลียดมากเกินไป

หลวงพ่อปราโมทย์: นั่นแหละ นั่นแหละ

โยม: รู้สึก รู้สึกขัดใจมากรับไม่ค่อยได้ครับ

หลวงพ่อปราโมทย์: เออ อยากให้คนนับถือมั้ย ต้องแบบ ไม่นับถือก็อย่านับถือสิ นี่ เราอยากดูว่าจริงๆเป็นอย่างไร ถ้าเราออกแรงกดสักนิดหนึ่ง พอตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบอารมณ์นะ ตัวจริงมันจะไม่โผล่ กิเลสจะไม่แสดงขึ้นมาให้ดู เพราะฉะนั้นตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบอารมณ์แล้วตัวจริงมันแสดงขึ้นมาแล้วเราจะได้รู้ทัน นี่ราคะเกิดขึ้น โทสะเกิดขึ้น ทันทีที่อนุสัยทำงานขึ้นมาเนี่ย พอเราเห็นทัน กิเลสจะขาด

โยม: เพราะฉะนั้นเราก็ต้อง ต้องใจถึงๆยอมเป็นคนเลวให้ตัวเองดู ให้เห็นชัดๆ อย่างนี้ใช่มั้ยครับ

หลวงพ่อ: ใช่ๆ ไม่ใช่ยอมเป็นคนเลว ยอมดูความจริงของตัวเอง นะ ไม่ใช่ยอมเป็นคนเลวนะ

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๒

File: 501006A.mp3

นาทีที่  ๒๙ ถึงนาทีที่ ๓๔ วินาทีที่ ๕๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

กัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการ เป็นบุพนิมิตรของอริยมรรค

mp 3 (for download) : กัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการ เป็นบุพนิมิตรของอริยมรรค

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ทีนี้พวกเราก็อาศัย กัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ เราฟังธรรม ฟังแล้ว แค่นี้ไม่พอ เวลาที่เราไม่ได้อยู่กับครูบาอาจารย์ เราก็ต้องมีโยนิโสฯ หลวงพ่อผ่านมาได้ด้วยโยนิโสฯนะ หลวงพ่อไม่ได้ไปเกาะแข้งเกาะขาอาจารย์อยู่เลย ไปเรียนจากหลวงปู่ดูลย์เนี่ย สองครั้งเอง เรียนสองครั้งเอง ครั้งที่สามไปกราบท่าน ท่านบอกไม่ต้องมาแล้ว ให้ไปช่วยตัวเองได้ ไม่ต้องมาหาท่าน อะไรอย่างนี้

เวลาที่เหลือเนี่ย สังเกต แต่ไม่ใช่สังเกตจนฟุ้งซ่าน ตัวนี้แหมความพอดีของมันนี่ยากที่สุดที่ยากจะเข้าใจนะ คำว่าโยนิโสมนสิการนี้แปลยาก ถ้าแปลแบบปริยัติใช่มั้ย แหมเป็นการพิจารณาอย่างแยบคาย นะ หาเหตุหาผล จนรู้เหตุรู้ผลรู้สภาวะรู้สิ่งต่างๆ คล้ายๆการคิดแต่ความจริงแล้วมันเป็นความกึ่งๆคิด กึ่งๆสังเกต มันคล้ายๆการวางใจให้ถูกมุมน่ะ เหมือนการวางใจให้ถูกมุม มนสิการน่ะ มนสิการ เป็นการวางใจนะ วางใจให้ถูกแง่ถูกมุม มองให้ถูกมุม

เช่นจิตไม่ดีทุกวันเลย ทำยังไงจะดีนะ มองไม่ถูกมุมแล้ว ถ้ามองถูกมุมก็ อื้อ จิตมันไม่ใช่เรานี่ บังคับให้มันดีไม่ได้นี่ มองถูกมุมแล้ว นะ ภาษามนุษย์นะ บางทีถ่ายทอดธรรมะ ถ่ายทอดสภาวะยาก อย่างโยนิโสฯเนี่ยถ่ายทอดยากมากเลย ค่อยๆ ค่อยๆดูเอานะ สังเกต อย่างไหนถูก อย่างไหนผิด

แต่เดิมทีแรก ก่อนจะสังเกตทีแรกนะ มันจะสังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้นก่อน จิตของบางคนนะ แค่เห็นสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นแล้วก็เห็นมันดับไป พอใจแค่นี้ละ บางคนไม่พอใจ ต้องรู้เยอะกว่านี้อีก นี่มันอะไรนะ ถ้ายังไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันจะเคล้าเคลียวนเวียนกลับมาศึกษาอีก อยู่อย่างนี้ เวียนอยู่อย่างนี้ พอเข้าใจว่ามันคืออะไรแล้ว จะเริ่มสงสัยต่อ เอ… มันมาทำอะไรของมัน มีบทบาทอะไร มันจะเวียนไปศึกษาบทบาทหน้าที่ของมันนะ มีอิทธิพลยังไง มันเกิดขึ้นมาแล้วมันทำอะไรได้บ้าง

แค่นี้ยังไม่พอใจ สุดท้าย มันมาได้ยังไง มันมาได้ยังไง ตัวสภาวะอันนี้เกิดได้ยังไง ใจจะไปค้นๆนะ พอแจ้งปิ๊ง อ๋อ… เพราะอย่างนี้เองนะ รู้แจ้งแล้ว คราวนี้ไม่สนใจแล้ว ตัวนี้มาก็เห็น ยอมเห็นเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ บางคนมันเหนื่อยนะ บางคนเห็นง่ายๆก็ยอมแล้ว ทุกอย่างเกิดแล้วดับ ยอมแล้ว บางคนไม่ได้ มันต้องค้นคว้า สิ่งที่ค้นมาเนี่ย จะเป็นสิ่งที่วนเวียนอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า ลักขณาทิจตุกะ สี่อย่าง องค์ประกอบสี่อย่าง ของสภาวธรรมแต่ละอย่าง แต่ละอย่าง

องค์ประกอบสี่อย่างซึ่งมีลักษณะเป็นเบื้องต้น ลักษณะก็คือ มันมีลักษณะเฉพาะตัวยังไงที่เรียกว่า วิเสสะลักษณะ เช่นความโกรธ ความโกรธหน้าตาเป็นอย่างนี้เอง ความโลภหน้าตาเป็นอย่างนี้เอง เนี่ยลักษณะ ลักขณาทิจตุกะตัวที่หนึ่ง

ความโกรธเนี่ย เกิดขึ้นมาแล้วทำหน้าที่อะไร เนี่ย หน้าที่แผดเผาจิตให้เร่าร้อน อยากทำลาย อยากผลัก นะ เกิดขึ้นมาแล้วมีผลอย่างไร พอมันทำงานได้แล้วมันมีผลอย่างไร สุดท้ายทำไมมันถึงเกิด ถ้าแหมใคร่ครวญมากนะ อย่างนี้ก็โยนิโสฯเยอะไปหน่อย เหนื่อย แต่บางคนมันต้องทำ มันต้องทำ ถ้าไม่ทำใจไม่ผ่านหรอก จะเวียนกลับมาพิจารณาอันนี้

หลวงพ่อนะเป็นคนชนิดนี้ ชนิดหลังนี้ อะไรๆเกิดขึ้นนะ ไม่มีปล่อยให้ผ่านนะ ค้นคว้าพิจารณาอยู่นั่น มาถึงวันนี้มันเลยได้ใช้ ใช่มั้ย ใครมาถามอะไรที่ผิดๆนะ เคยผ่านมาแล้วแทบทั้งนั้นน่ะ น้อยนะ น้อยมากเลยที่ว่า พวกเราถามแล้วหลวงพ่อบอกว่าไม่เคยเห็นน่ะ ไอ้ที่มันไม่เอาไหนนะ มันผ่านมาเยอะน่ะ มันลองผิดมาเยอะนะ ลองถูกไม่มีหรอก พอหยุดลองเลยถูกเลย

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๐
File: 500505.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๓๗ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๑๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ตราบใดที่ยังเห็นว่าจิตนี้เป็นเรา ก็ต้องดิ้นรนไปเรื่อย ๆ

mp3 (for download) : ตราบใดที่ยังเห็นว่าจิตนี้เป็นเรา ก็ต้องดิ้นรนไปเรื่อย ๆ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :

CD สวนสันติธรรม 10

481002A

21.04 – 24.48

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 1 of 212