Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

วิธีการเจริญสติในชีวิตประจำวัน

mp 3 (for download) : วิธีการเจริญสติในชีวิตประจำวัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม: ใจจริงก็อยากจะ เหมือนที่หลวงพ่อเคยเขียนไว้นะครับ ควรจะฝึกให้ได้ตลอด กลมกลืนกับชีวิต ไม่ใช่ว่าเวลานี้ฝึก เวลานี้ไม่ฝึก แต่มันก็โดนบั่นทอน…

หลวงพ่อปราโมทย์ : คือ เราจะฝึกใช้ชีวิตได้ เราต้องรู้หลักของการปฏิบัตินะ หัดสังเกตสภาวะไปเรื่อย จนสติมันเกิดเองในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น เริ่มต้นนี่เราหัดสังเกตสภาวะธรรม คือหัดสังเกตความรู้สึกของเราไปเรื่อยๆ สังเกตความรู้สึกของเรา แต่ละขณะๆ ไม่เหมือนกัน คือจุดตั้งต้นนี่ อย่าไปภาวนาเพื่อให้ดี ให้สุข ให้สงบ แต่ภาวนาเพื่อหัดสังเกตสภาวะ ตั้งใจไว้อย่างนี้ ว่าเราจะหัดเรียนรู้จิตใจตัวเอง จิตใจเราฟุ้งซ่าน เราก็รู้ จิตใจสงบเราก็รู้ เราคอยรู้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้เอาดีนะ ไม่ได้เอาอะไรหรอก

แต่ว่าทางที่ดีมันต้องมีรูปแบบของการปฏิบัติไว้ซักอันหนึ่ง เราจะหัดพุทโธก็ได้ หัดเดินจงกรมก็ได้ หรือจะดูท้องพองยุบก็ได้ อะไรก็ได้ซักอย่างหนึ่ง ขยับมืออย่างสายหลวงพ่อเทียนก็ได้ มีอยู่ ๑๔ จังหวะ ขยับมือ พอเราทำกรรมฐานขึ้นมาอันหนึ่งแล้ว ให้เราคอยรู้ทันใจของเรา อย่างเช่น เราพุทโธๆ อยู่ ใจเราแอบไปคิดเรื่องอื่น รู้ทันว่ามันหนีไปแล้ว หรือเราพุทโธๆ อยู่ ใจมันฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้งซ่าน ใจสงบ รู้ว่าสงบ พุทโธแล้วใจเป็นอย่างไร รู้ว่าเป็นอย่างนั้น หัดไปเรื่อยๆ อย่างนี้แล้วถึงจะเจริญสติในชีวิตประจำวันได้

การที่เราหัดดูจิตใจตัวเองนะ พุทโธแล้วก็ดูไป หลงไปก็รู้ เพ่งไว้ก็รู้ เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นกุศล อกุศล แต่ละอย่างก็รู้ จิตมันจะจำสภาวะแต่ละอย่างๆ ได้ พอมันจำสภาวะแต่ละอย่างได้แล้ว พอเรามาอยู่ในชีวิตประจำวันนี่ สภาวะที่เราจำได้แล้วเกิดขึ้น สติจะระลึกขึ้นเอง ไม่ต้องเจตนาระลึก พอสติระลึกได้เองนะ ถ้าเป็นอกุศลนะ มันจะขาดสะบั้นต่อหน้าต่อตาเลย จิตจะรู้ ตื่น เบิกบาน สงบ สะอาด สว่าง ตั้งมั่นขึ้นมาเลย

ทำไมมันอยู่ๆ มันดีฉับพลัน เพราะโดยธรรมดานั้น จิตมันดีอยู่แล้ว จิตมันมีธรรมชาติพื้นเดิมของมัน คือมันผ่องใส มันประภัสสร แต่ว่ามันหมองไป มันเศร้าหมองไปเพราะกิเลสต่างหาก ทีนี้ถ้าเรารู้ทัน กิเลสไหลแว๊บมา สติระลึกได้นะ จิตจะผ่องใสอัตโนมัติเลย สงบ สะอาด สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ขึ้นมาฉับพลันเลย เราก็จะสามารถอยู่กับโลกอย่างคนที่รู้ทันโลก ถูกโลกกัดน้อยลงๆ นะ แต่อย่าไปกัดกับโลกนะ คอยดูเอา

สวนสันติธรรม 19

500223A

24.17 – 27.02

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เราไม่ได้สู้กับอะไร เราสู้กับความเห็นผิดของตัวเอง

mp 3 (for download) : เราไม่ได้สู้กับอะไร เราสู้กับความเห็นผิดของตัวเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ที่จริงการปฏิบัติธรรมไม่ได้มีอะไรยากเลย เราชอบวาดภาพว่ามันยาก มันต้องทำอะไร จริงๆ ไม่ได้ทำอะไรหรอก หน้าที่เราคอยเรียนรู้กาย เรียนรู้ใจ เรียนรู้อย่างที่เขาเป็น รู้ไปเรื่อยๆ จนใจยอมรับความจริง เราไม่ได้สู้กับอะไรเลย เราสู้กับความเห็นผิดของตัวเอง ในเบื้องต้นนี่ เราสู้กับความเห็นผิดของตัวเอง เรามีความเห็นผิดว่ากายกับใจเป็นตัวเรา เพราะฉะนั้นเราต้องมาคอยรู้กายคอยรู้ใจบ่อยๆ จนเห็นความจริงว่าไม่ใช่ตัวเรา พอละความเห็นผิดได้ก็ชนะยกที่หนึ่งล่ะ ยกนี้สำคัญที่สุดเลยนะ ถ้าคนไหนผ่านจุดแรกนี้ได้แล้ว ที่เหลือมันจะต้องผ่านเอง อย่างไรก็ไปได้

เพราะฉะนั้นความยากลำบากที่สุดอยู่อันแรกนี้แหละ อันแรกก็คือ จะต้องละความเห็นผิดว่ากายกับใจเป็นตัวเราให้ได้ วิธีละความเห็นผิดไม่ใช่คิดเอาว่ามันไม่ใช่ตัวเรา วิธีละความเห็นผิดมีอันเดียว รู้อยู่ที่กาย รู้อยู่ที่ใจบ่อยๆ รู้ไป จนเห็นความจริงว่ามันไม่ใช่ตัวเราหรอก ไม่ได้มีอะไรลึกลับเลย เป็นเรื่องธรรมดา สมเหตุสมผล

ทีนี้ถ้าเราไปคิดจะทำอย่างโน้นทำอย่างนี้นะ เราปรุงแต่ง ปรุงแต่งฝ่ายดีไปเรื่อย พยายามบังคับกาย พยายามบังคับใจ ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่ของแท้ มันง่าย ง่ายจนยาก ง่ายจนนึกไม่ถึง ครูบาอาจารย์ สมัยก่อนหลวงพ่อเข้าไปหาครูบาอาจารย์หลายองค์ ท่านบอกนะว่า มันง่าย แล้วท่านก็บอกด้วย ไม่ต้องทำอะไร ถ้าเรามีสติขึ้นมาแล้ว เรารู้สึกตัวขึ้นมาได้ รู้กายรู้ใจได้แล้ว ให้รู้บ่อยๆ ท่านบอกมันเหมือนผลไม่ที่รอเวลาสุกงอม ถึงเวลามันสุกเอง มันร่วงหล่นของมันเอง ไม่ใช่พยายามไปทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา หลายองค์สอนมาอย่างนี้นะ สอนหลวงพ่อมาอย่างนี้ หลวงพ่อก็จำมาสอนพวกเราต่อ

จริงๆ ไม่ได้ทำอะไร รู้กาย รู้ใจ ร่างกายเคลื่อนไหวคอยรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวคอยรู้สึก เราจะเห็นเลยร่างกายมันทำงานทั้งวัน จิตใจมันทำงานทั้งวัน รู้ลงที่กาย รู้ลงที่ใจ การปฏิบัติไม่เกินกายกับใจของเรานี่เอง ถ้าเราเกินกายเกินใจของตัวเองออกไปก็ไม่สามารถละความเห็นผิดว่ากายกับใจไม่ใช่เรา

เป้าหมายแรกเลย ต้องละให้ได้ คือความเห็นผิดว่ากายกับใจเป็นเรา สู้กับความไม่เข้าใจของเราเอง อาจารย์อภิธรรมบางท่านถึงกับสอนบอกว่า ตัวศาสนาพุทธจริงๆ ไม่ใช่อะไรเลย คือตัว ‘สัมมาทิฏฐิ’ นั่นเอง ความรู้ถูกความเข้าใจถูก แล้วก็สู้กับความเข้าใจผิดของเราเอง ใหม่ๆ เราก็เข้าใจผิดว่ากายกับใจเป็นตัวเรา ก็มาเฝ้ารู้ พอเรามีสติขึ้นมาปุ๊บนี่ เราจะเห็นทันทีเลย กายนี้ไม่ใช่ตัวเรา คนไหนรู้สึกตัวเป็นจะเห็นทันทีว่ากายไม่ใช่ตัวเรา เพราะการเห็นว่ากายไม่ใช่ตัวเราเป็นเรื่องง่ายๆ รู้สึกตัวขึ้นมาก็เห็นแล้วว่ากายไม่ใช่ตัวเรา แต่จะเห็นไม่ได้ว่าจิตไม่ใช่เรา ต้องคอยรู้คอยดูไปนานๆ จะเห็นจิตเกิดดับไปเรื่อย คอยรู้คอยดูไป จนวันหนึ่งก็รู้ว่าจิตไม่ใช่เรา

ละความเห็นผิดได้ว่าขันธ์ห้าเป็นเรา ต่อไปเราก็เห็นผิดต่อไปอีก เห็นผิดอย่างอื่นลึกซึ้งต่อไปอีก เช่น เราจะเห็นจิตบอกว่า จิตนี้ถ้าเรารักษาไว้ได้ดี เราจะมีความสุข ถ้ารักษาได้ไม่ดีนะ มันจะมีความทุกข์ จิตไหลไปเกาะอารมณ์มันจะทุกข์ จิตมีความอยากมีความยึดมันจะทุกข์ จิตที่มีความรู้ ตื่น เบิกบาน ไม่ทุกข์ จะรู้สึกอย่างนี้ นี่ก็รู้สึกผิดอีก นี่ความเห็นผิดมีเยอะแยะเลย เป็นระยะๆ ไป พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่า จิตเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง ท่านสอนว่าขันธ์ห้าเป็นทุกข์ จุดสุดท้ายเลยที่จะละอวิชชา คือการเห็นว่าขันธ์ห้าเป็นทุกข์ นั่นแหละ อวิชชาคือความไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้ว่าขันธ์ห้าเป็นตัวทุกข์ เราจะรู้สึกว่ากายนี้เป็นทุกข์บ้าง เป็นสุขบ้าง จิตนี้เป็นทุกข์บ้าง เป็นสุขบ้าง

ฉะนั้นเราปฏิบัตินี่เราต่อสู้กับความหลงผิดของเรา ต่อสู้กับความไม่รู้ของเรา ตลอดสายของกายปฏิบัติเลย เบื้องต้นเลยต่อสู้กับความเห็นผิดว่ากายกับใจเป็นตัวเรา เบื้องปลายเลยต่อสู้จนกระทั่งเห็นความจริงว่าขันธ์ห้าเป็นทุกข์ กายกับใจเป็นทุกข์ ถ้าเห็นขันธ์ห้าเป็นทุกข์แล้วใจถึงจะปล่อยวางขันธ์ห้า ถ้าเห็นขันธ์ห้าเป็นทุกข์บ้าง เป็นสุขบ้าง ก็ไม่ปล่อยวาง แต่พยายามดิ้นรนหาความสุข พยายามดิ้นรนจะหนีความทุกข์

สวนสันติธรรม 12

490505A

0.46 – 5.46

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ปฎิจจสมุปบาท

mp 3 (for download) : ปฎิจจสมุปบาท

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ฝนตกแดดออกอะไรเนี่ยนะ มันมีเหตุทั้งสิ้นใช่มั้ย ไม่ตกลอยๆมาหรอก อยู่ๆไม่ตกหรอก นะ มันต้องมีเหตุมันถึงตกนะ ถ้าไม่มีเหตุมันก็ไม่ตก สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุทั้งหมดเลย ตามเหตุตามปัจจัยปรุงแต่ง

นี่คนเราไม่เข้าใจความจริงตรงนี้ ว่าทุกอย่างมันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยปรุงแต่ง เราไปอยากให้มันเป็นอย่างอื่น อย่างฝนไม่ตกอยากให้ตก ฝนตกอยากให้มันไม่ตก อะไรอย่างนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างที่อยาก มันเป็นไปเพราะมีปัจจัยปรุงแต่ง

ทีนี้ทำอย่างไรจะเห็นความจริงได้ ธรรมะที่เรื่องปัจจัย เรื่องปัจจยาการ เรื่องอะไรอย่างนี้ เรื่องปฏิจจสมุปบาท มันเป็นหลักธรรมสำคัญในศาสนาพุทธ เรื่องปฏิจจสมุปบาท ท่านสอนว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวเรา ก็ล้วนแต่สะท้อนถึงธรรมะอันนี้ทั้งสิ้นเลย

ถ้าคนใดภาวนาแล้วเข้าใจปฏิจจสมุปบาทท่อนปลายจะได้โสดาฯ ท่อนปลายก็คือ เพราะมีอายตนะจึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะจึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาจึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาจึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานจึงมีภพ เพราะมีภพจึงมีชาติ เพราะมีชาติจึงมีทุกข์

ถ้าเข้าใจปฏิจจสมุปบาทท่อนนี้ จะได้พระโสดาฯ แล้วก็ผู้ใดเข้าใจปฏิจจสมุปบาทท่อนแรก ท่อนต้นน่ะจะเป็นพระอรหันต์ รู้ว่าเพราะอวิชามีอยู่สังขารจึงมีอยู่ เพราะสังขารมีอยู่วิญญาณจึงมีอยู่ วิญญาณมีอยู่นามรูปจึงมีอยู่ เราก็ต้องค่อยๆเรียน วิธีที่จะเข้าใจปฏิจจสมุปบาททั้งสองส่วนได้ ก็คือการเจริญสตินั่นเอง เจริญสติปัฏฐานไป เพราะสติปัฏฐานทำให้เกิดปัญญา เบื้องต้น สติปัฏฐานทำให้เกิดสติ เบื้องปลายสติปัฏฐานทำให้เกิดปัญญา เห็นความจริงของรูปของนาม ของกายของใจ

อย่างพวกเราตอนนี้หัดภาวนา พวกเราหลาย หลายพันแล้วนะ หลายพันคน เรามีสติจริงๆขึ้นมา เรามีสติเราก็เห็นกายมันทำงาน เห็นจิตมันทำงาน เราเห็นได้แล้ว พอพวกเราเห็นอย่างนี้มากเข้า มากเข้า พวกเรารู้สึกมั้ย เราเริ่มเห็น เราเริ่มรู้จักปฏิจจสมุปบาท ที่หลวงพ่อบอก

เรารู้เลยว่าเนี่ยตามันกระทบรูปใช่มั้ย แล้วใจมันก็ทำงานขึ้นมา มันยินดีบ้าง มันยินร้ายบ้าง ยินดีก็อยากได้ ยินร้ายก็อยากผลัก จะอยากได้หรืออยากผลักก็คือตัณหานั่นแหละ ก็คืออยาก พอมีตัณหาเนี่ย มีความอยากใดๆเกิดขึ้น สังเกตมั้ย ยิ่งอยาก นะ ถึงกระทั่งอยาก อยากไม่เอานะ จิตใจก็ยิ่งสนใจในสิ่งนั้น ยกตัวอย่างเราเกลียดใครนะ เราสนใจคนนั้นมาก รู้สึกมั้ย ไม่อยากเจอมันเลย อยากไม่เจอมัน รวมความแล้วอยากไม่เจอมัน ยิ่งสนใจ รักใครมากก็คิดถึงมากใช่มั้ย เกลียดใครมากก็คิดถึงมาก จิตใจมันไปจดจ่อใส่ ไปยึดไปถือ ไปหยิบไปฉวย เอาสิ่งนั้นมาเป็นอารมณ์ เรียกว่าอุปาทาน เข้าไปยึดไปถือ องค์ธรรมของอุปาทานนะ ก็คือโลภะ เช่นเดียวกับตัณหานั่นแหละ องค์ธรรมอันเดียวกัน แต่อุปาทานเนี่ยคือตัณหาซึ่งมีกำลังกล้า ตัณหามันแค่ความทะยานอยากของจิต

ออ..วันนี้ยังไม่โชว์ตัว (พูดถึงไอ้เหลือง) อ๋อ..วันนี้คนน้อย ญาติโยมน้อยมันไม่ชอบคลุกคลีนะ ไม่ชอบคลุกคลีหมู่คณะ มักน้อยสันโดษ ไม่คลุกคลี วันๆไม่ยุ่งกับใคร แต่เมื่อก่อนมันงกนะ อยู่สวนโพธิ์คนมาไม่มาก ญาติโยมมา มันจะคอยสำรวจ ว่าใครเอาอะไรมา แล้วขากลับมันไปดูอีก ว่าเอาอะไรกลับ ถ้ามาหยิบฉวยของวัดไปนะ ไม่ยอม ช่างมัน อย่าไปยุ่งกับมัน

เห็นมั้ย เนี่ย ตามองเห็น หูได้ยินเสียง ตามองเห็นใช่มั้ย ใจก็วิ่งไปใส่ พอใจเรากระโดดเข้าไปจับเนี่ย มีอุปาทานละ จับอะไร จับหมาไว้ ถ้าตายตอนนี้จะเป็นอะไร… มีคำตอบใช่มั้ย ทุกอย่างมีเหตุ มีผล หมดเลย มีคำตอบในตัวเอง พอใจเราไปจับอารมณ์นะ จับไม่จับเฉยๆ สังเกตมั้ย จับแล้วลูบคลำขยำขยี้ด้วย จับแล้วมีการทำงาน พอเข้าไปจับนะมีการทำงานทางใจขึ้นมา อยากได้ก็พยายามดึงไว้ ไม่ชอบก็พยายามดันไว้ มองไม่ออกว่าชอบไม่ชอบ ก็ลูบๆคลำๆอยู่นั่นแหละ นะ ไปผลักมันนะ ก็เป็นโทสะ ไปดึงไว้ก็เป็นโลภะ มองไม่ออกว่าจะเอาไงดีก็เป็นโมหะ นี่ กิเลสก็แฝงตัวทำงานอยู่ตลอดนะ ในขณะที่จิตเราปรุงแต่ง เรียกว่า จิตมันสร้างภพ เคยได้ยินใช่มั้ย อุปาทาน เพราะอุปาทานมีอยู่ ภพจึงมีอยู่ ภพ ภพไม่จำเป็นต้องเป็นภพใหญ่ๆ เกิดเป็นคนเป็นหมาเป็นแมวอะไรอย่างนี้นะ เป็นเปรต เป็นอสุรกาย

ในความเป็นจริงแล้วจิตเราสร้างภพอยู่ตลอดเวลา ภพตัวนี้ชื่อว่า “กรรมภพ” นะ เพราะมีกรรมภพนะ คือมีการทำงานทางใจใช่มั้ย สังเกตมั้ยพอใจเราทำงานแล้ว ความรู้สึกเป็นตัวเราก็เกิดขึ้น ชาติก็เกิดขึ้น จะมีเราผุดขึ้นมา ตอนนี้พวกเราที่ภาวนากับหลวงพ่อมีใครมองเห็นแล้ว มีมั้ย อยู่ๆมี มีความเป็นตัวเราผุดขึ้นมา ความเป็นตัวเราไม่ได้มีตลอดเวลา อาศัยการกระทบกันนะ ระหว่างตากับรูป หูกับเสียงเป็นคู่ๆไป มีการกระทบกัน แล้วเกิดการทำงานทางใจ

เวทนา นะ ไม่ใช่การทำงาน เวทนาเป็นวิบาก เป็นผลที่เกิดขึ้น พอมีเวทนาแล้วเกิดตัณหาละ เกิดกิเลส ตัณหา อุปาทาน เนี่ยเป็นกิเลส เกิดภพ ภพคือการทำกรรม เกิดชาติคือความเป็นตัวเป็นตน เกิดทุกข์ขึ้นมา ชาติและทุกข์ นะ เป็นตัววิบาก เป็นตัวผล

พวกเราภาวนา เราสังเกตมั้ย อยู่ๆความเป็นตัวเราก็ผุดขึ้นมา พอรู้ทันก็หายไป ไม่มีจริง น่ะ ไม่มีจริง คนซึ่งไม่เคยภาวนารู้สึกว่าตัวเรามีจริงๆ มีจริงอย่างแน่นอน นะ ตัวเราเดี๋ยวนี้กับตัวเราเมื่อเด็กๆเป็นคนเดียวกัน แต่เมื่อมาหัดเจริญสติมากเข้ามากเข้า มากเข้า ปัญญามันเกิด มันเห็นเลย ความรู้สึกมีตัวมีตนนั้นน่ะ เกิดขึ้นเป็นคราวๆเมื่อจิตมันปรุงแต่ง จิตมันทำงาน จิตมันสร้างภพ มันก็เกิดความรู้สึกมีตัวมีตนขึ้นมา

สังเกตมั้ย ทันทีที่รู้สึกมีตัวมีตนขึ้นมาความทุกข์ทางใจจะเกิดขึ้นทันที จิตจะหนักๆแน่นๆแข็งๆ ซึมๆนะ ไม่มีความสุข ไม่มีความสบาย จิตเกิดการบีบคั้นขึ้นมา นะ จิตทีแรกไม่ได้บีบคั้นอะไร ทำงานไปตามปฏิกริยาตามธรรมดา นะ แล้วพอกิเลสตัณหาเกิดขึ้น จิตทำกรรมขึ้นมา มีตัวเราขึ้นมา ความทุกข์ก็ตามมา

แต่ถ้าเรามีสตินะ เราเห็นจิตมันทำงาน ตัวเราไม่เกิด ความทุกข์ทางใจมันจะไม่เกิด มันจะเหลือแต่ทุกข์ในขันธ์ เพราะฉะนั้นทุกข์ของตัณหา ทุกข์เพราะตัณหาเนี่ย เป็นทุกข์ทางใจ เป็นทุกข์ทางใจ เพราะฉะนั้นผู้ใดเข้าใจปฏิจจสมุปบาทท่อนปลาย จะได้พระโสดาบัน จะได้เห็นความจริงว่าตัวเราไม่มี สิ่งที่เรียกว่าตัวเรานั้น จิตมันปรุงขึ้นมาเป็นคราวๆ ตัวเราถาวรจริงๆไม่มี

ทีนี้พอได้โสดาฯแล้วเราเห็นเลย โลกนี้จะค่อนข้างแบนๆ มองโลกแล้วโลกจะราบๆแบนๆ ไม่โดดเด่น ฉูดฉาด ดึงดูดความสนใจเท่าแต่ก่อน ยิ่งได้สกิทาคานะ โลกเหมือนราบไปเลย ราบเป็นหน้ากลอง  นานๆจะมีอะไรฉูดฉาดขึ้นมาดึงดูดใจสักนิดนึง ส่วนใหญ่ก็จะเห็นไม่มีสาระอะไร ว่างๆ ไร้สาระไร้แก่นสาร ภาวนาไปต่อไปเรื่อยๆนะ ถึงวันหนึ่ง ได้เป็นพระอนาคามี เพราะว่าเห็นความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นก็คือ เห็นความจริงว่ากายนี้เป็นทุกข์ล้วนๆ แต่เดิมเห็นนะทั้งกายทั้งจิตไม่ใช่ตัวเรา เป็นพระโสดาบัน ก่อนจะเป็นพระโสดาบันเนี่ย เห็นว่ากายไม่ใช่เรา จิตยังเป็นเราอยู่ นะ ตอนจะก่อนจะได้โสดาฯ กาย กายไม่ใช่เรา จิตเป็นเรา ถูกแล้ว

พวกเราที่ภาวนารู้สึกมั้ย กายเริ่มไม่ใช่เราแล้ว แต่จิตยังเป็นเราอยู่ เพราะฉะนั้นภาวนาไปถึงจุดหนึ่งเราจะเห็นว่า กระทั่งจิตก็ไม่ใช่เรา ความเป็นเราไม่มี ความเป็นเรานั้นเป็นความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นเป็นคราวๆ ตัวเราไม่มีได้โสดาฯ นะ

ต่อมาเราก็รู้กายรู้ใจอีก ถึงมันไม่ใช่ตัวเรานะ แต่ยังรักยังหวงแหน เพราะอาศัยกายนี้ใจนี้ จึงได้สัมผัสกับโลก โลกไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเราก็จริงนะ แต่การที่ได้สัมผัสกับโลกนั้น ยังนำความสุข ความเอร็ดอร่อยมาให้ ยังเอร็ดอร่อยในกามคุณอารมณ์อยู่ เพราะมีตาจึงได้เห็นรูปที่สวย เพราะมีหูจึงได้ฟังเสียงที่เพราะๆถูกอกถูกใจ เสียงบางอันไม่เพราะนะแต่ถูกใจ

เช่นบางคนได้ยินเสียงด่า หันไป เพื่อนเราด่า จำได้ เสียงนี้ เพื่อนเราด่า ด่าเป็นสัตว์เลี้ยงนานาชนิดอะไรอย่างนี้นะ ฟังแล้วไม่โกรธใช่มั้ย ฟังแล้วโอ๊ะดีใจเสียอีก เนี่ย เห็นมั้ย ได้ยินเสียง เสียงเนี่ย เสียงบางอย่างก็เพราะ เราก็ชอบ บางอย่างไม่เพราะนะ แต่เนื้อหาสาระที่อยู่เบื้องหลังนั้นถูกใจ เราก็ชอบได้เหมือนกัน นะ บางคนถูกด่าทุกวัน มีเมีย เมียด่าทุกวัน วันไหนเมียไม่ด่ากลุ้มใจนอนไม่หลับ อยู่ที่ความคุ้นเคย

เพราะว่าอาศัยมีตา หู จมูก ลิ้น กาย จึงได้สัมผัสความเอร็ดอร่อยของโลก เพราะอาศัยว่ามีใจ จึงได้คิดถึงความเอร็ดอร่อยของโลก มันก็เลยรักและหวงแหน แต่พอเจริญสติมากเข้า มากเข้า เราเห็นว่ากายนี้มันเป็นตัวทุกข์นะ ร่างกายนี้ถูกบีบคั้นอยู่ตลอดเวลาเลย หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้ ร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ล้วนๆ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไปเลย ในกายนี้ พอเห็นอย่างนี้อย่างแจ่มแจ้ง จิตหนีไปก็รู้นะ เดี๋ยวธรรมะของหลวงพ่อก็หนีตามไปหมดหรอก ธรรมะที่หลวงพ่อเทศน์ไม่ได้มีสคริปต์นะ อยู่ที่คนฟังหรอก ไปถึงไหนแล้ว ชักหายแล้ว.. เอ้าตรวจการบ้าน เลยไม่ถึงตอนต้นเลย

โยม: กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ ตอนนี้ วันนี้มีโมหะมาก แล้วก็มีโทสะ เนื่องจากเมื่อคืนฟุ้งซ่านมาก มี..ความวิตกกังวลเนื่องจากเวทนา เกิดเวทนา ว่าก็ ก็เห็น..เห็นจิต..

หลวงพ่อปราโมทย์: เวทนาแล้ว แล้วมีตัณหามั้ย

โยม: มีเจ้าค่ะ ตัณหามันดิ้นรน จะผลัก มันไม่พอใจ

หลวงพ่อปราโมทย์: พอผลักมันแล้วเกิดการทำงานทางใจ มองเห็นมั้ย

โยม: เห็นเจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: นั่นแหละ เรียกว่าภพ รู้สึกมั้ย มันทำงานทางใจแล้วมีตัวเราขึ้นมา

โยม: เจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: นั่นเรียกว่า ชาติ แล้วก็ทุกข์

โยม: เจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: พอทุกข์แล้วทำอย่างไร ทุกข์แล้วเรารู้สึกคร่ำครวญ รู้สึกมั้ย

โยม: ใช่เจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: นี่ปฏิจจสมุปบาททั้งนั้นเลย นี่แหละ อย่างนี้และ ดูไป

โยม: เจ้าค่ะ พอ พอรู้สึกตัว ไม่ใช่ตัวเรานะ พอบีบคั้น พอความทุกข์รุนแรง ก็ดูไป เดี๋ยวก็หายไป เดี๋ยวก็เบา ทีนี้ก็ พอเผลอเป็นตัวเราเมื่อไหร่ก็ทุกข์ ทุกข์มากว่า วันนี้จะมาส่งการบ้านหลวงพ่อไม่ได้ ปวดหลังมากเจ้าค่ะ นึกว่าจะเดินไม่ไหว ก็เลย.. เห็นจิตที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา เจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ดี

โยม: แล้วมีโทสะนิดๆ ว่า ไม่น่า..

หลวงพ่อปราโมทย์: เห็นมั้ยเขาทำงานเอง

โยม: เจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: เห็นมั้ยโทสะเนี่ย แทรกมากับทุกขเวทนา

โยม: แทรกเจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: เพราะมีทุกขเวทนา โทสะจึงมี เห็นมั้ย สัมพันธ์กัน มีเหตุมีผลหมดน่ะ

โยม: เห็นชัดเลยเจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: เนี่ยเราเรียนไปจนเราเห็น เห็นแจ่มแจ้ง โอ้.. ตัวเราไม่มีหรอก ถ้ามีตัวเราด้วยความยึดถือขึ้นมา ด้วยความปรุงแต่งขึ้นมาเมื่อไหร่นะ ความทุกข์ก็ตามมา ใจก็มีปัญญามากขึ้น มากขึ้น ในที่สุด ไม่เอา ตัวเราจริงๆไม่มีหรอก นะ แล้วดูไปอีก เห็นมั้ยกายนี้ทุกข์ล้วนๆ พอมีสตินะ กายจะเป็นทุกข์ล้วนๆให้ดู

ยกตัวอย่างนะ หลวงพ่อเองน่ะ ตอนหลวงพ่อเด็กๆนะ เวลานอนเนี่ยรู้สึกเป็นการเสพสุข รู้สึกมั้ย นอนนะ กลิ้งไปกลิ้งมามีความสุข นะ เดี๋ยวนี้ไม่เคยรู้สึกว่านอนมีความสุขเลย รู้สึกนอนบรรเทาทุกข์ แล้วบรรเทาไม่ได้จริง เดี๋ยวความทุกข์ก็ตามมาอีก ต้องนอนกลิ้งไปกลิ้งมา พลิกไปพลิกมานะ เพราะความทุกข์มันบีบคั้นทั้งคืนเลย ดูลงไปนะ กายนี้มีแต่ทุกข์ล้วนๆ เนี่ย ถ้าดูอย่างนี้ได้นะ วันหนึ่งใจปิ๊งขึ้นมา กายนี้ทุกข์ล้วนๆนะ จิตไม่ยึดถือกายแล้ว พอไม่ยึดถือกายก็ไม่ยึดถือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ไม่ยึดถือในรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ จะยึดทำไม มันกระทบลงมานะ กายนี้มันมีแต่ทุกข์ ไม่ใช่ว่ากระทบแล้วมันมีสุขอะไร

อย่างตาเราเจ็บใช่มั้ย ตาเราเจ็บมากๆ อยากให้หมอผ่าเอาลูกตาออกไปเลย ไม่อยากดูแล้ว สมมุติตาเจ็บมากๆ ไม่หวงแล้ว ที่มันหวงแหนเพราะมันเอร็ดอร่อยอยู่ แต่ถ้ามันเห็นว่ามันเป็นทุกข์จริงๆนะ ไม่เอา ใจจะวาง พอวางไปนะ ได้พระอนาคาฯแล้ว พอได้พระอนาคาฯแล้ว นี่ต่อได้แล้วธรรมะ ต่อติดละ

ใจมันจะตั้งมั่นนะ เด่นดวงอยู่อย่างนั้น ทั้งวันทั้งคืนเลย นานๆมันจะหมองๆสักทีหนึ่ง หลายๆวันจะหมองๆนะ แค่หมองหน่อยๆ ทำไมหมอง เพราะมันสบายหลายๆวันนี่นะ ใจมันชักเร่าร้อนนิดๆนะ ว่า เอ.. ขี้เกียจไปมั้ง ยังไม่จบการปฏิบัติ งานยังไม่เสร็จเลย อะไรอย่างนี้ ใจมันเริ่มดิ้นรนว่าทำอย่างไรจะหลุดพ้น

พอมันดิ้นขึ้นมานะ มันหมองๆไปอีก เสร็จแล้วพอเรามีสติรู้ทันนะ ก็สดใสขึ้นมาอีก นะ อย่างนี้กลับไปกลับมานะ เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ จิตจะหมุนเวียนอยู่อย่างนั้นเอง เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ วนไปวนมา ถึงจุดสุดขีดเลย ปัญญามันแจ้งนะ ตัวจิตนี้ ตัวจิตนี้เป็นตัวทุกข์ล้วนๆนะ เป็นตัวทุกข์ล้วนๆเพราะอะไร เพราะเอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่ได้ มันเป็นของที่เจริญแล้วก็เสื่อมไป นะ แล้วเป็นของที่มีความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา นะ คนไหนถ้าทรงฌานอยู่นะ เวลาบรรลุพระอรหันต์จะเห็นทุกข์ จะบรรลุด้วยการเห็นทุกข์ เห็นจิตเป็นทุกข์

ถ้าไม่เห็นจิตเป็นทุกข์จะไม่วาง เพราะอะไร เพราะจิตมีความสุขมาก เพราะจิตทรงฌาน เพราะฉะนั้นคนซึ่งสมาธิมากๆเนี่ย ขั้นสุดท้ายจะไปบรรลุด้วยการเห็นจิตเป็นทุกข์ พวกปัญญามากก็เห็นแค่ว่ามันไม่ใช่ตัวเราหรอก นะ มันทำงานของมันเอง มันไม่ใช่ตัวเรา แล้วก็ยอมวางแล้ว นี่พวกปัญญามาก สุดท้ายก็คือปล่อยวางความยึดถือกายยึดถือจิตไป คืนกายคืนจิตให้โลก นะ คืนกายคืนจิตให้โลกไป

นิโรธมี ๕ ตัว นะ นิโรธถ้าแปลหยาบๆก็แปลว่านิพพาน ถ้าอย่างละเอียดขึ้นมาเนี่ย นิโรธไม่ใช่นิพพานทั้งหมดหรอก นิโรธอันหนึ่งนั้น เป็นการข่มไว้ ยังมีกิเลสอยู่แล้วข่มกิเลส กิเลสดับไป นิพพานตัวนี้ เรียกนิโรธตัวนี้เป็นความดับ นะ ดับ ข่มกิเลสลงไปแล้วกิเลสดับ ด้วยสมถะ ก็เป็นนิโรธชนิดหนึ่งนะ เรียก วิกขัมภนนิโรธ นี่ต้องถามฝ่ายวิชาการ เราเดี๋ยวนี้ไม่จำอะไรละ

ถ้าเรามามีสติใช่มั้ย พวกเราหลงอยู่กับโลกที่ปรุงแต่งมานาน เราเห็นของไม่สวยว่าสวย เห็นของไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นของเป็นทุกข์ว่าเป็นสุข เห็นของไม่ใช่ตัวเราว่าเป็นตัวเรา เรียกว่าวิปลาสอยู่ เรามาทำวิปัสสนานะ แก้วิปลาส แก้ด้วยธรรมะที่ตรงข้ามกัน เคยเห็นว่ามันสวยงามเนี่ย เห็นว่ามันไม่สวยงาม ละความเห็นผิดว่ามันสวยมันงามได้ เคยเห็นว่ามันเที่ยง อย่างรู้สึกว่าจิตใจของเราเที่ยงนะ จิตใจของเราเดี๋ยวนี้ กับจิตใจเราเด็กๆ คนเดิม มันเที่ยง เห็นความจริงว่าไม่เที่ยง เห็นด้วยธรรมที่ตรงข้ามกัน

เคยเห็นว่าจิตใจมีแต่ความสุขล้วนๆเลย นะ มีแต่ความสุขล้วนๆ นะ อันนี้ภูมิของพระอนาคาฯ ก็จะเห็นว่า ไม่ใช่หรอก นะ จิตใจไม่ใช่มีความสุข จิตใจเป็นทุกข์ กายก็ทุกข์ ใจก็ทุกข์ เคยเห็นว่ามันเป็นตัวเรา ทั้งกายทั้งใจนะ ก็เห็นความจริงว่าไม่มีตัวเรา ตัวเราปรุงขึ้นมาเป็นคราวๆ ปรุงความรู้สึกนะ เห็นด้วยธรรมะที่ตรงข้ามกัน นะ เรียกว่าอะไร เรียกว่า ตทังคนิโรธ ฝ่ายวิชาการนึกไม่ออก ยังนึกไม่ทัน นะ

ตรงที่เกิดอริยมรรคนะ ก็ตัดสังโยชน์ ตัดแล้วตัดเลย เลยเรียก สมุจเฉทนิโรธ นะ ต่อไปก็เรียกว่า เรียกว่าอะไร เรียกว่าอะไรช่างมันเถอะ ลืมหมดแล้ว พอใจของพวกเราแกว่งนะ ธรรมะก็หายหมดอีกแล้ว นะ ฟังธรรมะถ้าจะฟังละเอียดๆต้องใจมีสมาธิ สมาธิพอถึงจะฟังได้ เอ้า.. ว่าไป จบหรือยัง

โยม: เมื่อคืนได้เห็นกระบวนการของจิตเยอะเลย

หลวงพ่อปราโมทย์: น่าน ดีแล้ว เห็นมั้ย เห็นท่อนปลาย

โยม: เห็น เห็น

หลวงพ่อปราโมทย์: หรือเห็นท่อนต้น ถ้าเห็นท่อนต้นนะ แล้วก็แจ่มแจ้งแล้วก็จะได้เป็นพระอรหันต์ ถ้าเห็นท่อนปลายแจ่มแจ้งก็จะได้โสดาฯ ตอนนี้ยังไม่แจ่มแจ้ง ต้องดูอีก ดูซ้ำแล้วซ้ำอีกนะ ดูไป

โยม: เจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ

หมายเหตุ: นิโรธ ๕ คือ วิกขัมภนนิโรธ ตทังคนิโรธ สมุจเฉทนิโรธ ปฏิปัสสัทธินิโรธ นิสสรณนิโรธ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๑

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๖
File: 510911.mp3
ระหว่างวินาทีที่ ๖ ถึง นาทีที่ ๑๙ วินาที ๓๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อย่าประมาท ชีวิตเราเหมือนไต่ลวดอยู่บนขอบเหว

mp 3 (for download) : อย่าประมาท ชีวิตเราเหมือนไต่ลวดอยู่บนขอบเหว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : กิเลสก็คือสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา เหมือนแมงมุมชักใยขึ้นมา แล้วกิเลสนั่นแหละกลับมาครอบงำจิต แมงมุมไปติดใยตายแล้ว จิตมันแอบไปปรุงขึ้นมา ปรุงกิเลสขึ้นมานะ แล้วกิเลสก็กลับมามีอิทธิพลครอบงำจิต ต่อไปกิเลสก็มีกำลังกล้ามากขึ้นๆ คราวนี้บงการจิตได้ทั้งวันแล้ว เพราะฉะนั้นสู้แต่กิเลส ถอยไม่ได้นะ ต้องสู้ตายนะ สู้กันด้วยถึงเลือดถึงเนื้อเลย

ถ้าอ่อนแอท้อแท้ถดถอยเมื่อไหร่นะ ถอยไกลนะ ถอยไกล ไม่ใช่ถอยทีหนึ่งก้าวสองก้าวนะ มันถอยกันเป็นชาติๆ นะ ถ้าในคัมภีร์เขาจะถอยครั้งละห้าร้อยชาติ ห้าร้อยชาติ บางทีถอยนานมากเลย อย่างพระอานนท์ สมัยก่อนจะเป็นพระอานนท์ ไปทำบุญมา แล้วขอให้มีรูปงาม ขอให้หล่อ อีกชาติหนึ่งเกิดมาหล่อเฟี้ยวเลย คราวนี้ก็ไปทำผิดศีล ประพฤติผิดในกาม ท่านบอกท่านตายจากชาตินั้นท่านเวียนอยู่ในนรกเนิ่นนาน นี่มีความสุขชั่วครั้งชั่วคราวแล้วท่านไปเวียนอยู่ในนรกนาน พ้นจากนรกขึ้นมานะ ท่านมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นวัว บุญที่ทำความดีไว้นะ และก็อธิษฐานไว้ก็ส่งผลให้เป็นวัวรูปหล่อ (หัวเราะ) เป็นวัวสุดหล่อนะ ถ้าเข้าประกวดทีไรต้องชนะ สมัยโบราณเขาคงไม่ประกวดกัน งี้เวลาเจ้าของเทียมเกวียนไปไหนมาไหนวัวสาวๆ ชอบมาวิ่งตาม เจ้าของรำคาญนะเลยจับตอนไปอีก นี่ท่านบอกว่าท่านถูกตอนอยู่ห้าร้อยชาติ ห้าร้อยชาติหมายถึงถูกตอนแล้วตอนอีกอย่างงั้น ซ้ำแล้วซ้ำอีก เสร็จแล้วมาเกิดเป็นคนนะ เป็นคนที่ไม่สมประกอบละ ผิดปกติทางเพศ ท่านบอกเป็นอยู่อย่างนี้อีกนาน กว่าจะสมประกอบคืนขึ้นมาได้ ดูสิทำผิดชั่ววูบเท่านั้นนะ เวียนอยู่นับเวลาเนี่ยนับไม่ถูกเลย

หรืออย่างบางคนโกรธเศรษฐี เศรษฐีเขาไปสร้างวัด อยากไปแกล้งเศรษฐีคนนี้ ไปเผาวัดเผากุฏิของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าในอดีต เพื่อจะแก้แค้นเขานิดเดียวเท่านั้นนะไปเผาวัด ไปเผากุฏิพระพุทธเจ้า จะให้เศรษฐีนั้นเจ็บใจเพราะเป็นคนสร้างวัด เศรษฐีนั้นใจถึงนะ ดีใจใหญ่ อุ๊ย ปลื้ม จะได้สร้างอีกแล้ว ได้ถวายวัดกับพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว เศรษฐีนั้นก็ได้ผลดีไปนะ ตานั้นเป็นเปรตอยู่ช้านาน ตลอดพุทธันดรหนึ่ง ช่วงที่เว้นว่างจากพระพุทธเจ้าน่ะ ตกนรกอยู่นานนะ แล้วก็ขึ้นมาเป็นเปรตอีกเป็นพุทธันดร ความผิดชั่ววูบให้ผลยาวนะ

เราอย่าประมาท เราเดินอยู่บนขอบเหวแท้ๆ เลย เหมือนเราไต่ลวดอยู่บนขอบเหวนะไม่ใช่เดินอยู่บนพื้นเรียบๆ นะ เหมือนไต่เชือกไต่อะไรอยู่ พลาดพลั้งไม่ได้นะ ต้องสู้นะ มีคนหนึ่งรู้จักกัน ก็เคยพลาดพลั้ง เคยบวชเป็นพระ เป็นพระแล้วก็ถือศีลธรรมดานี่แหละ แต่ว่าไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร เพราะว่าสมัยโน้น ไม่มีการเรียนปริยัติหรือปฏิบัติอะไรเลย บวชกันตามประเพณีไปงั้น วันๆ อยู่ไปเรื่อยๆ นะ ตายจากชาตินั้นก็ไปเกิดเป็นวัว ไปใช้หนี้ชาวบ้านเขานะ แต่ว่าไม่ได้ทำกรรมชั่วอะไรนะ พอเป็นลูกวัวชาวบ้านก็เอามาปล่อยไว้ในวัด มาถวายวัดอีก กลับมาอยู่วัดเก่านี่แหละที่เคยเป็นพระนะ

ประมาทไม่ได้เลยนะสังสารวัฏเนี่ย พลาดแวบเดียวเนี่ยไปยาวมากเลย เหมือนเราไต่ภูเขา เราพลัดตกเหวลงมานะ ไม่ใช่ง่ายที่จะขึ้นไป ทุลักทุเลนะ ต้องเข้มแข็งนะ สู้กับกิเลสถอยไม่ได้ แต่สู้ต้องมีสติปัญญา เหมือนเราไต่เขาต้องมีสติปัญญา ไม่ใช่ไต่โง่ๆ ขึ้นไปนะ ตอนนี้เหนื่อยแล้วหยุดพัก หาชะง่อนหินพักก่อน มีเรี่ยวมีแรงค่อยไต่ใหม่ เราภาวนาไปแล้วช่วงนี้เหน็ดเหนื่อยแล้วทำสมถะ ทำความสงบ สงบแล้วจิตใจมีเรี่ยวมีแรงแล้วมาเจริญปัญญารู้กายรู้ใจอีก กระดึ๊บ ๆ ๆ ไปเรื่อยไม่ท้อถอยนะ จะยากลำบากแค่ไหนก็ถอยไม่ได้นะ เป็นโอกาสดีมากๆ ของพวกเราแล้วที่ได้เจอศาสนาพุทธนะ

สวนสันติธรรม
CD: 16
File: 25491116A.mp3
Time: 17m40 – 22m34

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สอนให้ภาวนาในปัจจุบัน

mp3 (for download): สอนให้ภาวนาในปัจจุบัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ที่นี่ไม่สอนนะแสนๆชาติ สอนให้ปัจจุบันน่ะ ทำให้ได้ก็แล้วกันเถอะ ถ้าปัจจุบันทำไม่ได้นะ อีกแสนชาติก็ไม่ทำอยู่ดีแหละ เพราะฉะนั้นต้องทำตั้งแต่ขณะนี้เลย

วิธีปฏิบัติธรรมไม่มีอะไรหรอก รู้สึกตัวขึ้นมา อย่าลืมตัว อย่าลืมกาย อย่าลืมใจ อย่าเอาแต่ฝัน ไปอยู่ในโลกของความคิด พยายามรู้สึกตัว อย่าใจลอยไป ในขณะเดียวกันอย่าไปเพ่งกายเพ่งใจไว้ แค่รู้สึกกายแค่รู้สึกใจ ไม่ใช่เพ่งกายเพ่งใจ รู้สึกเรื่อยๆ พอเรารู้สึกตัวขึ้นมา เราหลุดออกจากโลกของความคิด ความคิดนั่นแหละเป็นสิ่งที่ปิดบังความจริงไว้…

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๕ Track ที่ ๓
File: 510420
วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๑
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๒๖ ถึงนาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

มนต์กลับใจ

mp3 (for downloaded): มนต์กลับใจ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: พวกเดียรถีย์ทั้งหลายสั่งกัน บอกว่าอย่าไปคุยกับพระสมณโคดมนะ ถ้าคุยกับพระสมณโคดมแล้วเสร็จหมดเลย

ถามว่าเสร็จอะไร อะไรเป็นมนต์กลับใจ คือความสมบูรณ์ด้วยอรรถะ พยัญชนะ ด้วยเหตุด้วยผลน่ะ ของธรรมะ ของพระพุทธเจ้านั่นเอง ลำพังธรรมะของหลวงพ่อก็คงกลับใจใครไม่ได้หรอก กลับใจตัวเองยังไม่ได้เลย แต่ละคนก็มีธรรมะของตัวเองนะ บางคนชอบคิดธรรมะเอาเอง กลับใจตัวเองยังกลับไม่ได้เลย สู้กิเลสไม่ไหว ธรรมะของพระพุทธเจ้าเนี่ย คนแรกที่กลับใจได้คือตัวเราเอง

อย่างเราหัดภาวนานะ เราเป็นคนไม่มีศีลมีธรรมอะไร เราหัดภาวนาไป พอเราเห็นคุณงามความดี เห็นประโยชน์ ของการปฎิบัติธรรมขึ้นมา มันจะเกิดมีศีลมีธรรมขึ้นมาเอง จะทำกรรมชั่วอะไรเล็กๆน้อยๆก็ไม่ทำแล้วละอายใจ เห็นกิเลสที่เกิดขึ้นในจิตในใจตัวเอง เพราะฉะนั้นคนแรกเลย ที่ถูกกลับใจนะ คือตัวเราเองนี่เอง ทีนี้เมื่อเราเข้าใจธรรมะที่ถึงพร้อมด้วยเหตุด้วยผลแล้วนะ พิสูจน์ได้ทุกขั้นทุกตอน ไม่ใช่ธรรมะฟลุ๊คๆ ไม่ใช่ของฟลุ๊คๆ ทำๆไปเถอะแล้วเดี๋ยวก็แจ้งเอง เชื่อๆไปเถอะ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ท่านบอก สมบูรณ์ด้วยอรรถะคือเนื้อหา และพยัญชนะคือถ้อยคำนั่นเอง มีเหตุ มีผล สมบูรณ์อยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมะเต็มที่แล้วนะ มันจะองอาจกล้าหาญ ไม่หวั่นไหว สามารถพูดชี้แจงแสดงเหตุผลได้ กับคนซึ่งไม่ใช่พวกดื้อรั้น กับพวกดื้อรั้นก็ต้องปล่อยไป

ถ้าไม่ดื้อรั้น เป็นคนยอมรับในเหตุผลนะ ฟังแล้วจะรู้เลย ธรรมะของพระพุทธเจ้าทั้งหมดเลย เต็มไปด้วยเหตุผล เหตุผลของธรรมะเรียกว่า ‘ปัจจยาการ’ เรียก ‘อิทัปปัจจยตา’ ท่านพุทธทาสเรียกหลายอย่าง เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้ไม่มี

ทำไมท่านสอนให้รู้ทุกข์ เพราะถ้าไม่รู้ทุกข์จะเกิดสมุทัย ถ้ามีสมุทัยจิตจะมีความทุกข์ สมบูรณ์ด้วยเหตุด้วยผล พิสูจน์ได้ ไม่ใช่ตรรกะลอยๆด้วย แต่พิสูจน์ได้จริงๆ ผู้ใดมาหัดเจริญสติ พอสติตัวจริงเกิดแล้วเนี่ย เราจะอัศจรรย์ในธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ได้รู้สึกกูเก่งนะ แต่จะรู้สึกอัศจรรย์ในธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านถ่ายทอดมา ธรรมะจริงๆก็ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ธรรมะเป็นของกลาง พระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรกที่ไปค้นพบกฎของธรรมะนี้เข้า แล้วเอามาถ่ายทอดต่อ เราก็ยกย่องว่าเป็นธรรมะตามคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่ถ้าพูดเต็มยศนะ ก็คือธรรมะตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ย่อๆเลยเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าไป

พอเราภาวนาไปเราจะเห็นเลย โอ้โฮอัศจรรย์ พอเรามีสติขึ้นมาปั๊บ ความทุกข์กระเด็นหายไปจากใจเราได้ เป็นเรื่องแปลกนะ พอเรามีสติขึ้นมา เราจะเห็นเลย โลกนี้ว่างเปล่า เห็นเข้าไปได้อย่างไร แปลก จากเคยเห็นทุกสิ่งทุกอย่างมีตัวมีตน มีคน มีสัตว์ มีเรา มีเขา พอมีสติมีปัญญาที่แท้จริงเกิดขึ้น กลับเห็นโลกนี้ว่างเปล่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีคน ไม่มีเรา ไม่มีเขา มีแต่สภาวธรรมล้วนๆ ที่เป็นรูปธรรมบ้าง นามธรรมบ้าง

สภาวธรรมทั้งหลายก็ไม่เคยหยุดนิ่ง สภาวธรรมทั้งหลายเนี่ย สัมพัทธ์ เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่ง แล้วก็ไม่ใช่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตามยถากรรม แต่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุและปัจจัยของมัน เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งหลายที่ปรากฎในจักรวาลนี้ ล้วนแต่เป็นปรากฎการณ์ทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นการทำงานของสภาวธรรมที่เป็นรูปธรรม นามธรรม ทั้งสิ้น นี่เห็นเลยทั้งจักรวาล ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ มีแต่สภาวธรรมของรูปธรรมและนามธรรม มันทำงานไป มันเคลื่อนไหวไป มันเปลี่ยนแปลงไป ตลอดเวลา บังคับให้หยุดนิ่งไม่ได้ ไม่มีใครสั่งได้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามเหตุของมัน

พระพุทธเจ้าไปค้นพบสิ่งเหล่านี้เข้า เอามาสอนเรา เราก็ตามรู้ตามดู มีสติขึ้นมา พอเรามีสติขึ้นมา เราก็เห็นเลย ทุกอย่างเป็นตามเหตุตามปัจจัยของมัน พอเห็นแล้วอะไรเกิดขึ้น ใจก็ไม่ไปยึดถืออะไรในโลก ไม่ยึดถือตัวเองก่อน พอไม่ยึดถือตัวเองปั๊บ ลบตัวเองออกไปปุ๊บ ก็คือจะไม่ยึดถือสิ่งใดในโลกอีก

แต่เดิมนะ เราอยู่ในธรรมชาติ เราก็ไปขีดวงของรูปธรรมนามธรรมจำนวนหนึ่งขึ้นมา ว่านี่คือตัวเรา ทันทีที่ขีดวงของตัวเราขึ้นมันก็เกิดตัวเขาขึ้นมาอัตโนมัติเลย เหมือนเราจุดไฟขึ้นมา ก็เกิดแสงสว่างขึ้นมาอัตโนมัติเลย มีตัวเราก็มีตัวเขา มีตัวเราก็มีของเรา มีตัวเราก็มีของเขา พอลบความมีตัวเราออกไปเสียอย่างเดียวนะ อันอื่นก็สูญไปหมดเลย

หลวงปู่มั่นท่านเคยสอนนะ เหมือนนับเลข บอกว่า หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า แล้วก็ศูนย์ สะสมเข้าไปตั้งมากมาย นึกว่าจะมีอะไรมากมาย สุดท้ายศูนย์ ศูนย์ชนะนะ ถามว่าศูนย์มีค่าบวกค่าลบมั้ย ไม่มี ไม่ได้บวก ไม่ได้ลบอะไร เป็นกลาง เป็นกลาง

เพราะฉะนั้นเราคอยฝึกนะ แล้วเราจะพบว่า น่าอัศจรรย์ที่สุด จะอุทานว่า อัศจรรย์พระเจ้าข้า ถ้าเจอพระพุทธเจ้านะ ธรรมะของพระองค์ง่ายๆ อัศจรรย์ตรงนี้แหละ เหมือนเปิดของคว่ำให้หงาย (มีเสียงเครื่องแก้ว/กระเบื้องกระทบกัน) ของคว่ำเปิดให้หงาย นี่ต้องเปิดให้ดังๆ จะได้แก้ง่วง นะ ไม่ยาก เหมือนคนจุดไฟขึ้นมา หวังว่าคนที่มีตาดีๆจะมองเห็น ไม่ยากอะไร อย่างเราอยู่ในห้องมืดนะ พระพุทธเจ้าท่านจุดไฟขึ้นมา สว่าง เราก็มองเห็น จุดไฟแล้วสว่างแล้วมองเห็น ก็เรื่องธรรมดา ใช่มั้ย เรื่องง่ายๆ เพราะฉะนั้นธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนนะจึงเป็นธรรมะที่ง่ายๆ แจ่มแจ้งนักพระเจ้าข้า เหมือนเปิดของคว่ำให้หงาย ง่าย

เพราะฉะนั้นเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อสอนให้นะ ไม่ใช่ธรรมะหลวงพ่อหรอก ถ้าเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อบอกให้เนี่ย การปฎิบัติของเราจะเหลือสั้นนิดเดียว การปฎิบัติธรรมจะไม่ยาว ไม่ยืดเยื้อ ไม่ใช่ว่าจะต้องข้ามภพข้ามชาติ อีกแสนๆชาติ…

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๕ Track ที่ ๓
File: 510420
วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๑
ระหว่างวินาทีที่ ๕๕ ถึงนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๒๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความสุขจากการเจริญสติ

Mp3 (for download): ความสุขจากการเจริญสติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: เวลาเราดิ้นหาความสุขนะ เราเสียเงินเสียทองไปเพื่อหาความสุขนี้เยอะแยะเลย เช่น เราต้องเสียเงินไปทัศนาจรประเทศโน้น ประเทศนี้ นี่เสียตังค์เยอะใช่ไหม เวลาเจ็บป่วยก็เสียเงินให้หมอเยอะแยะ ใช้เงินซื้อความสุขตลอดเลย ก็ทำไมความสุขอยู่กับการเจริญสตินี่ไม่เสียสตางค์ด้วยซ้ำไป ทำไมไม่เอา ความสุขที่ดีที่วิเศษขนาดนี้ ทำไมไม่เอา ไปเอาของโกหก ความสุขในโลกของโกหกนะ มีจริงแต่ว่ามันหลอกๆ มันอยู่ชั่วครั้งชั่วคราวแล้วมันก็หายไปหมดเลย พวกเราลองนึกถึงชีวิตของเราที่ผ่านมาแต่ละคนๆ ลองนึกดูวันเวลาที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิตอยู่ตรงไหน เห็นไหมมันผ่านไปหมดแล้ว มาวันนี้มันก็อย่างนั้นๆ แหละ ไม่เห็นมันจะสุขตรงไหนเลย ทำไมเราไปพัฒนาจิตใจตัวเองให้เรามีความสุขอยู่ได้ด้วยตัวเราเองได้ มีความสุขอยู่ตลอดวันตลอดคืนนะ

วันนี้ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ไม่เป็นไร หัดเจริญสติก็มีความสุขแบบกัลยาณปุถุชน ปุถุชนที่ดี ไม่ใช่ปุถุชนเลวๆ เป็นปุถุชนที่ได้ฟังธรรมะ ปุถุชนที่ได้ลงมือปฏิบัตินี่ เป็นปุถุชนที่ดี แคนดิเดต (candidate) ไปเป็นพระอริยะในวันข้างหน้า ถ้าไม่ลงมือแล้วไม่มีวันเป็นหรอก อย่ามาคาดหวัง

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

VDO Clip: หัวใจการปฏิบัติ

>>> ชม VDO Clip: หัวใจการปฏิบัติ <<<

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

บทเรียนก่อนตาย

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หลวงพ่อสอนอะไร? หลวงพ่อสอนเหตุให้เกิดสติ

mp3 (for download) : หลวงพ่อสอนอะไร? หลวงพ่อสอนเหตุให้เกิดสติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ถ้าเมื่อไรรู้สภาวะตรงตามความเป็นจริงลงปัจจุบัน เมื่อนั้นสติก็เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าอยากให้สติเกิดนะ ไม่มีใครสั่งให้สติเกิดได้ สติเป็นอนัตตา สติเองก็ตกอยู่ใต้อนัตตา ไม่มีใครสั่งสติให้เกิด แต่ถ้ามีเหตุสติถึงจะเกิด เพราะฉะนั้นมาเรียนที่หลวงพ่อนะ ถ้ามาเรียนบ่อยๆ จะรู้เลย หลวงพ่อสอนเหตุให้เกิดสติ เหตุให้เกิดสติก็คือการที่จิตนี้จำสภาวะธรรมได้

เพราะฉะนั้นมาเรียนที่หลวงพ่อ ไม่ได้มาเรียนเรื่องอื่นหรอก เรียนเรื่องสภาวะธรรม เช่น ความโลภเป็นอย่างนี้ ความโกรธ ความหลง ฟุ้งซ่าน หดหู่ อิจฉา ดีใจ เสียใจ เป็นสุข เป็นทุกข์ หัดรู้สภาวะแต่ละอย่างๆ สภาวะอะไรเกิดขึ้นในจิตในใจคอยหัดรู้หัดดูไป ต่อไปจิตมันจำสภาวะได้ พอสติมันจำสภาวะได้นี่ พอสภาวะอันนั้นเกิดขึ้นสติจะเกิดเอง ทันทีที่สติเกิดเอง สัมมาสมาธิก็เกิดเอง จิตจะตั้งมั่นขึ้นมาเลย จิตจะรู้ ตื่น เบิกบาน จิตจะสงบ สะอาด สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ตั้งมั่นขึ้นมา แล้วก็จะเห็นสภาวะธรรมทั้งหลายเกิดแล้วก็ดับไป เกิดแล้วก็ดับไป นี่เป็นการเจริญปัญญา

เพราะฉะนั้นเราจะเรียนนี่ ต้องเรียนจนสติตัวจริงเกิด ถ้ามาเรียนที่หลวงพ่อ จะเห็นว่าหลวงพ่อไม่ได้เน้นว่าให้นั่งท่าไหน ให้เดินท่าไหน หรือว่าห้ามกินข้าว หรือว่าห้ามนอนอะไรอย่างนี้ ไม่ได้เน้นตรงนั้น เพราะจริตนิสัยคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ใครเคยทำกรรมฐานอะไรก็ทำอย่างนั้นแหละ ถนัดอะไรก็ใช้กรรมฐานอันนั้นแหละ เพียงแต่ว่าทำให้สติตัวจริงมันเกิด

ส่วนใหญ่ที่เราทำกรรมฐานแล้วสติไม่ค่อยเกิดเพราะอะไร เพราะเราชอบไปเพ่ง เราไปเพ่งใส่ตัวอารมณ์กรรมฐาน เช่น เราดูท้อง เราก็ไปเพ่งท้อง เราดูลมหายใจ เราก็ไปเพ่งลมหายใจ เราขยับมือทำจังหวะ เราก็ไปเพ่งใส่มือ เราเดินจงกรม เราก็ไปเพ่งใส่เท้า พอไปเพ่งใจมันก็แข็งๆ ทื่อๆ นะ มันจงใจปฏิบัติ สติตัวจริงไม่ได้เกิดขึ้นมา สติตัวจริงไม่เกิด จิตใจก็ไม่ตั้งมั่นมีสัมมาสมาธิ จิตไม่ตั้งมั่น ไม่อ่อนโยน ไม่นุ่มนวล ไม่คล่องแคล่วว่องไว ไม่ควรแก่การงาน

เพราะฉะนั้นเรียนกับหลวงพ่อ บางคนฟังแล้วจะงง มาใหม่ๆ จะงงนะ ว่าหลวงพ่อพูดอะไร ฟังไม่รู้เรื่อง บอกให้ก็ได้ หลวงพ่อสอนให้พวกเราหัดดูสภาวะธรรมนั่นเอง ต้องหัดรู้สภาวะธรรม สภาวะธรรมก็คือตัวรูปธรรม นามธรรม ถ้ามาเรียนที่หลวงพ่อบางคนหลวงพ่อก็สอนให้ดูกาย ทำสมาธิก่อนแล้วก็ดูกาย แต่ส่วนมากจะสอนให้ดูจิตใจตัวเอง เพราะอะไร เพราะคนที่มาที่นี่ส่วนมากเป็นพวกคิดมาก พวกทิฏฐิจริต พวกคิดมาก วันๆ นะนั่งคิดทั้งวัน พวกคิดมากเหมาะกับการดูจิต

การดูจิตนี้ให้ตามรู้ตามดูไปเลย จิตใจเราแต่ละวันไม่เหมือนกัน เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย คอยรู้คอยดูไปเรื่อย ในที่สุดจิตจะจำสภาวะธรรมได้ เมื่อจิตจำสภาวะธรรมได้แล้ว พอสภาวะธรรมใดๆ ปรากฏขึ้นมานี่สติจะเกิดเอง ไม่ต้องแกล้งให้เกิดนะ เกิดเอง สติที่เกิดเองเพราะมีเหตุคือจิตจำสภาวะได้นี่อัศจรรย์ อกุศลจะดับทันทีเลย กุศลจะเกิดขึ้นทันทีเลย อย่างเรากำลังเผลอๆ อยู่ จิตมันรู้จักว่าเผลอเป็นอย่างไร มาเรียนที่หลวงพ่อๆ ชอบไล่นะว่า เผลอไปแล้วๆ นี่เพราะอะไร เพราะเผลอนี่เป็นกิเลสที่เกิดบ่อยที่สุด ความหลง โมหะ เกิดบ่อยที่สุด ถ้าเรารู้ว่าเผลอคืออะไร เราจะปฏิบัติได้แทบทั้งวันแล้ว เพราะเราเผลอทั้งวัน

ทีนี้พอเราจำสภาวะได้ เช่น จำว่าเผลอเป็นแบบนี้ ใจเราเผลอ เราหลงไปคิดเป็นแบบนี้ พอมันเผลอไปคิดปั๊บ สติจะเกิดเลย จะระลึกได้นะว่าเผลอไปแล้ว อ้อ เผลอไปแล้วๆ นี่จิตจะตื่นขึ้นในฉับพลันโดยที่ไม่ต้องเจตนาจะตื่นเลยนะ จิตจะตื่นในฉับพลัน จะรู้สึกตัวขึ้นมาเลย ใจก็จะตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว สัมมาสมาธิก็เกิดขึ้น เราก็จะเห็นเลยทุกสิ่งล้วนแต่ไหลมาแล้วไหลไป ผ่านมาแล้วผ่านไป นี่เป็นขั้นเจริญปัญญา เพราะฉะนั้นการปฏิบัตินี่ขั้นต้นทำให้มีสติ ขั้นกลาง ขั้นปลายนี่ทำให้มีปัญญา คอยรู้ไปเรื่อย

สวนสันติธรรม 12

490505A

15.04 – 19.38

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

พระใบลานเปล่า

>>> ชม วีดีโอคลิปเรื่อง พระใบลานเปล่า(พระโปฐิลเถระ) โดยหลวงพ่อปราโมทย์ <<<

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อ่านออนไลน์ พระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ณ ศาลาลุงชิน

>>> โหลดพระธรรมเทศนา ณ ศาลาลุงชิน <<< (อยู่ในหมวด CD ศาลาลุงชิน)

สนใจอ่านของครั้งที่เท่าไหร่ คลิ๊กตรงหัวข้อครั้งนั้น >>>>>>>>>

>> ครั้งที่ 1 <<

>> ครั้งที่ 2 <<

>> ครั้งที่ 3 <<

>> ครั้งที่ 4 <<

>> ครั้งที่ 5 <<

>> ครั้งที่ 6 <<

>> ครั้งที่ 7 <<

>> ครั้งที่ 8 <<

>> ครั้งที่ 9 <<

>> ครั้งที่ 10 <<

>> ครั้งที่ 11 <<

>> ครั้งที่ 12 <<

>> ครั้งที่ 13 <<

>> ครั้งที่ 14 <<

>> ครั้งที่ 15 <<

>> ครั้งที่ 16 <<

>> ครั้งที่ 17 <<

>> ครั้งที่ 18 <<

>> ครั้งที่ 19 <<

>> ครั้งที่ 20 <<

>> ครั้งที่ 21 <<

>> ครั้งที่ 22 <<

>> ครั้งที่ 23 <<

>> ครั้งที่ 24 <<

>> ครั้งที่ 25 <<

>> ครั้งที่ 26 <<

>> ครั้งที่ 27 <<

>> ครั้งที่ 28 <<


เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อ่านประทีปส่องธรรมออนไลน์

>>>  โหลดประทีปส่องธรรม <<<

หนังสือถูกแบ่งเป็น 13 ส่วนเพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการอ่าน

ประสงค์อ่านส่วนไหน คลิ๊กส่วนนั้น >>>>>>>>

>> ส่วนที่ 1 <<

>> ส่วนที่ 2 <<

>> ส่วนที่ 3 <<

>> ส่วนที่ 4 <<

>> ส่วนที่ 5 <<

>> ส่วนที่ 6 <<

>> ส่วนที่ 7 <<

>> ส่วนที่ 8 <<

>> ส่วนที่ 9 <<

>> ส่วนที่ 10 <<

>> ส่วนที่ 11 <<

>> ส่วนที่ 12 <<

>> ส่วนที่ 13 <<

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News : แผนที่จุดแจกหนังสือกองทุนสื่อธรรม

>>> แผนที่จุดแจกหนังสือกองทุนสื่อธรรม <<<

ตอนนี้แจกหนังสือ ของ อ.สุรวัฒน์ เป็นหลักนะครับ เพื่อความสะดวกติดต่อก่อนที่จะไปรับว่ามีหนังสือที่ต้องการหรือไม่

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ค่อยๆ ทำความรู้จักสภาวะ

mp 3 (for download) : ค่อย ๆ ทำความรู้จักสภาวะ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : คอยดูบ่อยๆ นะ หัดรู้สภาวะไปเรื่อยๆ ทำความรู้จักสภาวะเพิ่มขึ้นวันละอย่างสองอย่าง นานๆ ไปเราก็จะรู้จักสภาวะเยอะ เช่น แต่แรกๆ ก็ต้องโกรธแรงๆ ถึงจะเห็น ต่อมาขัดใจเล็กๆ ก็เห็น ต่อมาอย่างเรานั่งอยู่ในศาลาร่มๆ อย่างนี้ พอเดินออกจากศาลานะ แสงสว่างจ้าๆ กระทบเปลือกตานี่โทสะยังเกิดเลย สติเราจะไวขึ้นๆ เราจะเห็นได้ละเอียดขึ้น กิเลสตัวเล็กตัวน้อยเราก็มองเห็น หัดใหม่ๆ ก็เห็นตัวโตๆ ก่อนนะ เห็นของหยาบก่อน ฝึกมากเข้าๆ จำสภาวะได้เยอะ ก็จะเห็นของละเอียด

สวนสันติธรรม 12

490505A

20.11 – 20.56

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความเป็นกลางของจิตมีหลายแบบ

mp 3 (for download) : ความเป็นกลางของจิตมีหลายแบบ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ความเป็นกลางของจิตนี่มีหลายแบบ เป็นกลางแบบซื่อบื้อ อย่างเช่นคนๆ หนึ่งถูกเขาด่าทั้งวันเลย ถูกด่าทุกวัน ตอนแรกก็โมโหนะ ถูกด่าไปเรื่อยๆ ใจเป็นกลาง เรียกว่ามันดื้อด้านไปแล้ว อย่างนี้ก็มีนะ ใช้ไม่ได้ อย่างนี้เป็นกลางแบบที่หนึ่งใช้ไม่ได้เลย กลางแบบเคยชินกับกิเลสแล้วบอกเป็นกลาง

อันที่สอง เป็นกลางเพราะสมถะ เป็นกลางเพราะเราประคองไว้ เป็นกลางเพราะเราควบคุมบังคับไว้ เช่น พอความโกรธเกิดขึ้น เราก็พุทโธ พุทโธ พุทโธ ให้หายโกรธ หรือ โกรธหนอ โกรธหนอ ให้หายโกรธ พอหายโกรธไปนี่ เราก็บอกเป็นกลาง กลางอันนี้เพราะไปรักษาไว้ ไปประคองไว้ กลางเพราะสมถะ กลางเพราะสมถะอยู่ได้นานๆ นะ อยู่ได้นาน

อันที่สาม เป็นกลางเพราะปัญญา มีศัพท์อยู่คำหนึ่งในอภิธรรม ชื่อ  ‘ตัตรมัชฌัตตตา’ หลวงพ่อเรียกไม่ค่อยถูกนะ ชื่อมันยาว ตัวนี้เป็นกลางเพราะมีปัญญา มันเกิดจากการที่เรามีสตินั่นเอง เช่นเราเห็นว่าความโกรธเกิดขึ้นมาก็ชั่วคราว ความโลภ ความหลงก็ชั่วคราว เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ความสุข ความทุกข์ กุศล อกุศล ล้วนแต่ของชั่วคราว นี่มันเกิดจากการที่เรามีสติคอยรู้สภาวะบ่อยๆ ในที่สุดเราจะเห็นเลยว่าสภาวะทั้งหมดเป็นของชั่วคราว สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว ดีก็ชั่วคราว ชั่วก็ชั่วคราว ในที่สุดใจก็เลยเป็นกลางกับสภาวะธรรม กลางชนิดนี้เป็นกลางชั้นเลิศเลยนะ กลางชนิดนี้เป็นกลางที่ใกล้กับมรรค ผล นิพพานแล้ว เป็นกลางเพราะปัญญา

ค่อยๆ ฝึกไป เป็นกลางเพราะปัญญาไม่อยู่นานนะ อยู่ทีละขณะๆ หรอก เดี๋ยวก็กลาง เดี๋ยวก็ไม่กลาง เดี๋ยวก็กลาง เดี๋ยวไม่กลางนะ ดูไปเรื่อย ในที่สุดเข้าไปสู่ความเป็นกลาง ทำไมมันไม่กลางถาวร กระทั่งภาวนาเก่งมากๆ เลยนะ จิตเข้าไปถึงสังขารุเบกขาญาณ เป็นกลางด้วยปัญญา เป็นกลางต่อสังขาร มีปัญญาเลยเป็นกลางต่อสังขาร สังขารุเบกขาญาณเองยังเป็นโลกียญาณ เสื่อม เป็นของเสื่อมได้ เพราะฉะนั้นเราภาวนานี่ เราสปีดตัวเองมาเรื่อย จนถึงสังขารุเบกขา บางคนก้าวกระโดดข้ามไปเลย อันนี้พ้นไปเลย เกิดมรรคเกิดผลไปเลย บางคนยังไม่เกิด ไปทรงตัวอยู่ที่สังขารุเบกขา ช่วงหนึ่งก็เสื่อม เสื่อมลงมาอีก เสื่อมมาอีกทำอีก ขึ้นไปอีก

เพราะฉะนั้นหน้าที่เราคอยฝึกรู้สภาวะไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดจิตเป็นกลางต่อสภาวะ ความเป็นกลางต่อสภาวะนี้ไม่ใช่กลางแบบทื่อๆ เป็นกลางด้วย มีความสุขด้วย เป็นกลางแล้วก็อิ่มเอิบไปด้วย เป็นกลางไปด้วย อิ่มเอิบไปด้วย เป็นกลางต่อสังขารแต่จิตใจนั้นอิ่มเอิบเบิกบาน เป็นสภาวะธรรมที่แปลก แต่ถ้าเป็นกลางแบบจิตใจแห้งแล้งแข็งกระด้าง อันนี้กลางจอมปลอม เช่นหลวงพ่อทำหน้าให้ดูนะ ต้องทำหน้า เราดูจิตไม่เป็นต้องทำหน้าเอา เป็นกลาง กลางนะกลาง กลางอย่างนี้กลางปลอมนะ กลางปลอม กลางแกล้งทำ

เป็นกลางจริงๆ กลางเพราะปัญญา ปัญญาเกิดจากการที่เรามีสตินั่นเอง มีสติรู้กายรู้ใจเห็นสภาวะธรรมทั้งหลายล้วนแต่ผ่านมาผ่านไป ล้วนแต่เป็นของชั่วคราว ความสุขก็ชั่วคราว ความทุกข์ก็ชั่วคราว ใจก็เป็นกลาง แต่เดิมไม่ชั่วคราว เช่น ความสุขเกิดขึ้นก็ยินดี ความทุกข์เกิดขึ้นก็ยินร้าย ไม่เป็นกลาง พอไม่เป็นกลางทำอย่างไร ให้รู้ทันอีก ความสุขเกิดขึ้นใจเรายินดี รู้ทันว่ายินดี ความยินดีก็จะดับไป อันนี้ดับเพราะการที่มีสติไปรู้เข้า ยังไม่ใช่ดับเพราะปัญญาจริงๆ โอ ธรรมะสนุกนะ มีหลายขั้นหลายตอน ค่อยๆ เรียน ค่อยๆ ฟังไป

สวนสันติธรรม 12

490505A

21.08 – 25.18

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อ่านหนังสือ อาจารย์สุรวัฒน์ ออนไลน์

>>> ดาวน์โหลดหนังสือ อ.สุรวัฒน์ <<<

อ่านหนังสือออนไลน์เล่มไหนคลิ๊กที่ปกเล่มนั้นครับ >>>>

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้ด้วยความเป็นกลางไว้

mp3 (for download) : รู้ด้วยความเป็นกลางไปเรื่อย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใครยังเอาตัวไม่รอดก็พยายามรู้กายรู้ใจนะ ไม่ได้มีอะไรยากเลย รู้กายด้วยความเป็นกลาง รู้ใจด้วยความเป็นกลาง รู้ด้วยความเป็นกลางไปเรื่อย เป็นกลางต่อกาย เป็นกลางต่อใจ เป็นกลางต่อความสุขความทุกข์ ถ้าหากไม่เป็นกลางล่ะ ไม่เป็นกลางรู้ว่าไม่เป็นกลาง เช่น เห็นความทุกข์เกิดขึ้นแล้วเกลียดมัน รู้ว่าเกลียด เห็นความสุขเกิดขึ้นแล้วพอใจ รู้ว่าพอใจ

CD: สวนสันติธรรม 12

490505B

2.38 – 3.05

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หลวงพ่อแนะนำหนังสือทางเอก (อ่านทางเอกออนไลน์)

mp3 (for download) : หลวงพ่อแนะนำหนังสือทางเอก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ในหนังสือหลวงพ่อนะ ไม่มีอะไรมากเท่าไร คล้ายๆ ที่หลวงพ่อพูดนี่แหละ เบื้องต้นก็จะบอกจุดหมายปลายทาง เป้าหมายแรกของการปฏิบัติ เป้าหมายแรกก็คือต้องเป็นพระโสดาบัน ต้องละความเห็นผิดคือกายกับใจ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติต้องรู้กายรู้ใจ บทเรียนต่อมาก็คือ หัดรู้ว่าทางที่ผิดมันเป็นอย่างไร สิ่งที่ทำให้เรารู้กายรู้ใจไม่ได้ก็มี ๒ อันนะ ใจเราหลงไปคิด หลงไป เผลอไป กับการที่ไปเพ่งเอาไว้บังคับไว้ สุดโต่ง ๒ ด้าน เป็นทางที่ผิด

บทเรียนต่อมาในหนังสือเรื่องทางเอกก็จะบอกว่า แล้วทางที่ถูกมันเกิดได้อย่างไร ทางที่ถูกนี่ไปสั่งให้เกิดไม่เกิดนะ ต้องรู้ว่าต้นทางจริงๆ อยู่ตรงไหน ที่หลวงพ่อพูดซ้ำไปซ้ำมา ต้นทางก็คือ หัดรู้สภาวะ พอเรารู้สภาวะแล้ว ต่อไปพอสภาวะเกิด สติจะเกิดเอง เมื่อสติเกิดขึ้นมานะจิตจะมีความสุข เมื่อจิตมีความสุข จิตจะมีสมาธิ สมาธิเกิดจากความสุข จิตจะตั้งมั่น เมื่อจิตมีสมาธิ จิตจะเกิดปัญญา ปัญญานี่มีสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิด ปัญญาก็คือการที่จิตมันรู้ความจริงของกายของใจ เมื่อปัญญาเกิด วิมุตติจะเกิด คือปล่อยวางความยึดถือกายยึดถือใจได้ เมื่อวิมุตติเกิดแล้วนี่ ‘วิมุตติญาณทัสสนะ’ คือความเข้าใจถึงความหลุดพ้นจะเกิดขึ้น นี่สายเส้นทางของการปฏิบัติเริ่มต้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เริ่มต้นจากการไปน้อมใจง๊อกแง๊กๆ ขาดสติอะไรอย่างนั้นนะ

เริ่มต้นของการปฏิบัติจริงๆ หัดรู้กายหัดรู้ใจไป จนกระทั่งจิตมันรู้จักสภาวะ มันจำสภาวะได้ สติเกิด พอสติเกิด ความสุขเกิด สมาธิเกิด ปัญญาวิมุตติเกิด จะเกิดไปตามลำดับ ค่อยๆ เรียนนะ มีให้อ่านนะ เอาไปอ่านดู หลังจากนั้นก็จะเล่าตัวอย่างของการปฏิบัติ เล่าตัวอย่างของการปฏิบัติที่เหมาะสำหรับคนในเมือง คือเรื่องของพระโปฐิละ พระใบลานเปล่า พระโปฐิละทำกรรมฐานด้วยการดูจิต ดูจิตเป็นวิธีง่ายๆ

ถัดจากนั้น บทต่อไปจะพูดถึงปลายทางของการปฏิบัติแล้วนะ จุดหมายปลายทางเลย ตัวนิโรธนั่นเอง ตัวนิโรธ ตัวนิพพาน ตัวสุญญตา ลองไปอ่านดูนะ แล้วบทสุดท้ายนี่แหละ เป็นบทที่หลวงพ่อจะโดนก้อนหิน คือจะเล่าถึงแนวทางปฏิบัติต่างๆ แล้วก็จะเทียบกับปริยัติให้ดู ว่าแต่ละแนวนี่มันถูกกับปริยัติไหม หรือมันไม่ถูก ทำไมหลวงพ่อไปอ้างปริยัติ เพื่อหลวงพ่อจะได้ไม่เจ็บตัว ใครบอกว่าหลวงพ่อมาคัดค้านเขานะ หลวงพ่อบอกปริยัติเขาว่าอย่างนี้ ไปอ่านนะ ไปอ่าน เผื่อโมโหหลวงพ่อจะได้ไม่มา หลวงพ่อจะได้สบายบ้าง

CD: สวนสันติธรรม 12

490505B

18.07 – 21.08

>>> Download หนังสือทางเอก <<<

อ่านหนังสือ ทางเอกออนไลน์ คลิ๊กที่ปกแต่ละบท >>>


เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อ่านออนไลน์ หนังสือธรรมะของหลวงพ่อปราโมทย์

หลวงพ่อแนะนำหนังสือ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

>>โหลดหนังสือหลวงพ่อ<<

อ่านเล่มไหน คลิ๊ก ที่ปกเล่มนั้นเลยครับ >>>>

หลวงพ่อปราโมทย์: หลักให้แม่นไว้นะ พากเพียรอดทน ฟังซีดีไป อ่านหนังสือไป ที่หลวงพ่อเขียนไว้มีให้เยอะแยะ เล่มไหนอ่านยากไปก็ไปภาวนาก่อน ไปฟังซีดี ซีดีนี่เป็นเบสิคเลย พื้นๆ พอฟังซีดีไป พอภาวนาไป พอเข้าใจก็จะอ่านหนังสือได้เขยิบขึ้นเป็นขั้นๆ

หนังสือเรื่องที่ยากที่สุด ลึกซึ้งที่สุดนะ คือเรื่อง อริยสัจ คนก็ชอบอ่านนะ แล้วก็นึกว่าเข้าใจ ไม่เข้าใจหรอก เข้าใจด้วยการคิดเอา

หนังสือพื้นๆ เลยที่เข้าใจง่าย เรื่อง แด่เธอผู้มาใหม่ อะไรพวกนี้นะ

หนังสือที่ชี้หลักของการปฏิบัติแบบย่อๆ ที่สุดนะ คือ วิถีแห่งความรู้แจ้ง ๒

หนังสือที่แจกแจงรายละเอียดของวิธีปฏิบัติ คือ ประทีปส่องธรรม และ ทางเอก แนะนำให้อ่านทางเอกมากกว่า ประทีปส่องธรรมหลวงพ่อเขียนมันเป็นเวอร์ชั่นแรก อ่านยากนิดนึง เลยพัฒนามาเป็นทางเอก กะจะให้สั้นลงนะ กลายเป็นยาวกว่าเก่า

หนังสือที่อ่านแล้วสนุกสนานเพลิดเพลินนะ คือ วิมุตติปฏิปทา พิมพ์ไปสองครั้งเลยเลิกพิมพ์เลย เอาไว้ให้พวกเราแข็งแกร่งก่อนแล้วค่อยพิมพ์แจกใหม่ ตอนนี้อินทรีย์อ่อนๆ อย่าเพิ่งไปอ่านเลย

มีให้เลือกหลายแบบนะแล้วแต่ เพราะฉะนั้นเราค่อยๆ ภาวนานะ แล้วความรู้ความเข้าใจจะมากขึ้นๆ พอเข้าใจแล้วไปอ่านจะพบเลยว่าสิ่งที่หลวงพ่อเขียนไว้บอกสภาวะอย่างซื่อๆ เลย บอกอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่ปริศนาธรรม บอกอย่างตรงไปตรงมาเลย ถ้าเข้าใจนะก็พ้นทุกข์อย่างรวดเร็วเลย พ้นจริงๆ รู้ด้วยตนเองเลย

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 1 of 512345