Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ยอมรับความจริงได้จะทุกข์น้อยลง

mp3 for download : ยอมรับความจริงได้จะทุกข์น้อยลง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: เราอย่าไปนึกว่าใจเศร้าหมองแล้วภาวนาไม่ได้นะ เศร้าหมองรู้ว่าเศร้าหมอง แต่ถ้ามันหมองมาก มันกังวลมากเนี่ย ช่วยมันพิจารณาไปเลย ว่าโลกมันเป็นอย่างนี้แหละ โลกไม่เคยสมบูรณ์อย่างที่เราต้องการ

พอใจเรายอมรับความจริงได้ว่าโลกมันเป็นอย่างนี้ โลกมันต้องมีปัญหา ใจเราจะอยู่กับมันแบบทุกข์น้อยหน่อย มีเรี่ยวมีแรงขึ้นมา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันเสาร์ที่ ๑ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
File: 530501B
ระหว่างนาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๓๕ ถึงนาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๐๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

นิพพานอะไร มีเข้ามีออก

mp3 for download : นิพพานอะไร มีเข้ามีออก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมย์ : บางคนก็น้อมจิตไปสู่ความว่างความนิ่ง แต่จิตนิ่งจิตว่าง เป็นจิตพระอรหันต์ พระอรหันต์อย่างนั้นไม่ใช่ของจริง มีเข้าๆออกๆ วันนี้นิ่งได้ สงบได้ อยู่กับความว่างได้ แต่อีกวันก็ถอยออกมาข้างนอกอีก พระอรหันต์ผลุบเข้าผลุบออกไม่ใช่ของจริง

หลวงพ่อก็เคยทำ ฝึกไปจนกระทั่งเหลือแต่รู้อันเดียวเลย เหลือแต่ธาตุรู้อันเดียวเลย ตอนฝึกทีแรกเรามีผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ มีจิตกับอารมณ์ มีสองอันใช่มั้ย ตัวนี้ไหวยุกยิกอยู่ที่หน้าอกนี่ ตัวนี้เป็นคนดูอยู่ เลยสงสัยว่าจะดูตัวไหน ดูตัวนี้?

พระพุทธเจ้าบอกให้รู้ทุกข์ ตัวนี้ล่ะทุกข์ ตัวรู้ไม่เห็นจะทุกข์เลย ตัวรู้ไม่เห็นจะทุกข์เลย หลวงปู่ดูลย์บอกให้ดูจิต เอ๊..จิตมันเป็นคนรู้ น่าจะดูตัวนี้ สองตัว มีทั้งสองตัวนี้ จะดูตัวไหน สงสัยนะ ก็พยายามสังเกต

ไปดูที่ตัวไหวๆ ไปดูเป็นเดือนไม่ขาด ไม่มีที่สิ้นสุดเลย วัฏฏะหมุนอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่ ไปเพ่งใส่ตัวรู้นะ จะเกิดตัวรู้ซ้อนตัวรู้ไปเรื่อยๆ ดูอยู่เป็นปีก็ไม่ใช่อีก หรือว่ารู้ตรงกลาง นี่..มัชฌิมา ไม่เอาตัวรู้ ไม่เอาตัวถูกรู้ มัชฌิมา เวลากำหนดจิตลงไป นั่งดู จิตเคลื่อนไป สติเนี่ยเคลื่อนไป เข้าไปที่ไหวๆกลางหน้าอก เข้าไปดู พอเคลื่อนไปพอจะแตะอารมณ์ที่กลางหน้าอกนะ ถอนขึ้นเลย ทวนเข้าหาตัวรู้ พอเข้ามาใกล้ตัวรู้นะ ไม่จับเอาตัวรู้นะ ทวนออกอีก ทวนเข้าทวนออก มันวูบลงไปตรงกลางเลย ระหว่างตัวรู้กับตัวถูกรู้ นี่ล่ะมั้งทางสายกลาง

นี่เป็นเรื่องของสมาธิทั้งนั้นเลยนะ ทางสายกลางจริงๆเป็นเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา ทางสายกลางไม่ใช่เรื่องของสมาธิ ความโง่ ความไม่รู้ ความไม่มีครูบาอาจารย์ การห่างครูบาอาจารย์นะ ใช้ลองเอา ลองอย่างนี้ไม่ใช่ ลองอย่างนี้ไม่ใช่ ลอง choice ที่สาม ไม่จับทั้งผู้รู้ ไม่จับทั้งสิ่งที่ถูกรู้เลยนะ จิตรวมลงไปนะ ว่างไปหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือเลย ไม่มีความคิดความนึกความปรุงความแต่ง มันไม่มีอะไรเลย เหลือแต่ธรรมชาติรู้อันเดียวล้วนๆเลย ดูเข้าออก-เข้าออกอยู่อย่างนี้นะ เสร็จแล้วสงสัย หื้อ..มันใช่หรือเปล่าหนอ?

ไปเจอหลวงปู่เทสก์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี – ผู้ถอด) หลวงปู่เทสก์ท่านก็บอกว่า สมาธิอย่างนี้.. ท่านพูดชัดเลยนะ สมาธิ สมาธิอย่างนี้ตอนนี้ไม่มีคนเล่นนะ ไปเล่นให้ชำนาญไว้ ไปหัดเล่นให้ชำนาญ พอได้ยินว่าสมาธิก็รีบกราบเรียนท่านเลย หลวงปู่ มันเป็นสมาธิ ผมกลัวติด ท่านบอกว่าอย่ากลัวติด ไปซ้อมให้ชำนาญ ถ้าติดอาตมาจะแก้ให้ นี่..ท่านพูดอย่างห้าวหาญเลย เพราะท่านเก่งเรื่องสมาธิไม่มีตัวจับเลย ทำไมหลวงปู่เทสก์เก่งเรื่องสมาธิ ท่านติดสมาธิอยู่ตั้งสิบกว่าปี ตัวท่านน่ะ เพราะฉะนั้นท่านชำนิชำนาญมาก ท่านบอกให้เราเล่น หลวงพ่อก็เล่นอยู่อย่างนั้น ครูบาอาจารย์บอกให้เล่นก็ลองเล่นไปเรื่อย

วันหนึ่งไปเชียงใหม่ เจอหลวงปู่บุญจันทร์ (หลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร วัดถ้ำผาผึ้ง youtube – ผู้ถอด)เข้า ไม่ได้เจอท่านหรอก ไปวัดสันติธรรม ท่านมาพักอยู่ที่นั่นพอดี ท่านให้ลูกศิษย์ของท่านที่ตามท่านมา มาดักอยู่หน้าวัด มาเรียกเราไปหาท่าน เราไม่รู้จักท่านนะ อยู่ๆก็ให้พระมาดักเรียกตัวไปเลย พอไปถึงท่านก็ถามว่าภาวนาอย่างไร พอบอกท่านว่าเนี่ย รวมลงไปตรงกลางเนี่ยนะ อู๊ย..ท่านตวาดเอา เฮ้ย! นิพพานอะไรมีเข้ามีออก ไง!จะภาวนายังไง เรานึกว่าท่านฟังเราไม่รู้เรื่อง สำเนียงมันไม่เหมือนกันนะ เราก็ฟังท่านไม่ค่อยออกนะ ท่านก็ฟังเรา อื้อ.. คงไม่ออกมั้ง เล่าซ้ำอีกที ครั้งที่สองท่านตวาดดังกว่าเก่าอีก เฮ้ย!! นิพพานอะไรมีเข้ามีออก ใจมันทิ้งเลย ไม่เอา เส้นทางนี้ไม่ใช่เส้นทางที่จะนำไปสู่มรรคผลนิพพานหรอก มันเป็นกลางจริงนะ เป็นมัชฌิมาจริงนะ แต่เป็นมัชฌิมาของสมาธิอันเดียวไม่ใช่ศีลสมาธิปัญญา ทางสายกลางนั้นเป็นทางของศีลสมาธิปัญญา ไม่ใช่แค่สมาธิ เราถูกท่านดุนะ

ตั้งแต่วันนั้นมาใจไม่เอาตรงนี้เลย ใจไม่ยอมเข้าไปที่ตรงนี้ รู้สึกว่าถ้าอยู่ตรงนี้เสียเวลา หลวงปู่เทสก์ท่านอยากให้ฝึกให้เล่นให้ชำนาญเท่านั้นเอง ท่านก็ได้บอกอยู่แล้วว่านี่คือสมาธิ ไม่ใช่ทางพ้นหรอก ที่นี้เรากลัวช้า ใจมันไม่เอาแล้ว พอหลุดจากตรงนี้นะ ท่านหัวเราะเลย เสียดัง ฮ่า ฮ่า ฮ่า หัวเราะสะใจ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า เสียงดังอย่างนี้ ท่านหัวเราะเราก็หัวเราะตามท่านไปด้วย ฮ่าๆ บ้าง นะ ท่านหยุดกึกเลยนะ พอเราหัวเราะท่านหยุดปุ๊บเลย ใจท่านนิ่งว่าง ท่านหยุดเราก็หยุด ใจเราก็เฉยเลย ท่านบอกว่า เออ! ใช้ได้ นี่ท่านลองนะ ท่านลองเราว่า จิตเราไวขนาดไหน ท่านหัวเราะเราก็หัวเราะ ท่านหยุดเราก็หยุดด้วย ท่านบอกใช้ได้ ไป ไปทำต่อเอา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
File 550106
ระหว่างนาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๒๐ ถึงนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๒๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หมูกระดาษ

mp 3 (for download) : หมูกระดาษ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สองวันนี้ หลวงพ่อคุยกับพวกที่มาอยู่วัด บอกเคยเห็น “หมูกระดาษ” ไหม? หมูกระดาษใครเคยเห็นไหม? หมูกระดาษตัวแดงๆ ต้องคนโบราณหน่อยนะถึงจะเคยเห็น  ถ้าเดี๋ยวนี้หมูพลาสติก แต่หมูพลาสติกเอามายกเคสนี้ไม่ได้   หมูํกระดาษนี้มันทำด้วยกระดาษ ค่อยๆปะนะทีละแผ่นๆ ค่อยๆปะขึ้นมา มีแม่พิมพ์สองด้าน ปะทีละด้าน เสร็จแล้วก็เอามาเย็บตรงกลาง ทากาว ทาสี สีที่โปรดคือสีแดง หมูพวกนี้ต้องสีแดง หางก็เอาอะไรทำเป็นพู่ๆหน่อย เขียนตา เขียนหู

แต่ละคนนี้เหมือนหมูกระดาษนะ พวกเราเป็นหมูกระดาษคนละตัว แต่ บางตัวก็เป็นหมากระดาษ เราปั้นขึ้นมา ถ้าเรารู้ตัวจริง มันไม่ได้มีจริง เราค่อยๆลอกเปลือกมันออก ลอกสิ่งที่เราปรุงแต่งออกไป ลอกออกไปเป็นชั้นๆ ลอกออกไปเรื่อยๆ  ถึงจุดหนึ่งจะเข้าไปถึงตัวจริงของมัน ตัวจริงของมันไม่มีอะไรเลย มันมาจากความว่างเปล่า แล้วก็สร้างขึ้นมาจนเป็นตัวเป็นตน  แต่ถ้าเมื่อไหร่เราลอกเปลือกตัวเองไปเรื่อย ลอกความปรุงแต่งไปเรื่อย จนถึงสุดท้าย ลอกชั้นในสุดออกไป ภายในมันก็เป็นความว่างๆใช่ไหม อาจจะขังอากาศอยู่ พอเปลือกกระดาษหลุดออกไปแล้ว  อากาศนั้นกระจายรวมเข้ากับอากาศข้างนอกนั่นเอง

ฉะนั้นการภาวนานี้ก็เหมือนกันนะ ถ้าจิตพ้นจากความห่อหุ้มแล้ว จิตไม่มีเปลือกห่อหุ้ม ไม่ได้สร้างภพใดๆมาห่อหุ้มมันแล้ว มันจะกลืนเข้ากับอากาศข้างนอกนั่น จะกลืนเข้ากับโลก ฉะนั้นเราภาวนาจนถึงจุดสุดท้าย จิตกับธรรมชาติที่แวดล้อมอยู่ จะกลมกลืนเข้าเป็นอันเดียวกัน

หลวงปู่ดูลย์เคยสอนหลวงพ่อ บอกว่า ถ้าวันใดเธอเห็นจิตกับสิ่งที่แวดล้อมอยู่เป็นสิ่งเดียวกันนะ เธอจะแจ่มแจ้งฉับพลันนั้นเลย เราฟังเราก็นึกว่าเป็นวิธีปฏิบัตินะ แต่ไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไร ก็ดูจิตของเราไปเรื่อย ดูไป จนกระทั่งวันหนึ่ง พอเราไม่ยึดถือจิตซะอย่างเดียว เราสลัดคืนจิต จิตกับโลกนี้กลืนเข้าด้วยกัน เป็นอันเดียวกัน  คนไหนเป็นนักดูจิตคนอื่น ไม่ใช่นักดูจิตตัวเอง  นักดูจิตคนอื่นที่ชำนาญ พอไปเจอท่านที่ภาวนาที่ปล่อยวางจิตแล้ว จะพบว่าจิตของท่านเหล่านี้กลมกลืนเข้ากับโลก กลมกลืนเป็นอันเดียวกันกับโลก แต่อันนี้เขาไม่สามารถเห็นจิตที่พ้นโลกได้ เขาเห็นแต่จิตที่กลมกลืนเข้ากับโลก เหมือนอากาศในหมูกระดาษนี้ที่รวมเข้ากับอากาศ กับโลกข้างนอก เป็นอันเดียวกันนั่นเอง  อันนี้เล่าให้ฟังเล่นๆนะ เพื่อยั่วน้ำลาย

วันหนึ่งถ้าพากเพียรไป ดูกายดูใจของเราไป เราปอกเปลือกของตัวเองออกไปจนล้อนจ้อนไม่มีอะไรเหลือเลย เราจะพบตัวจริง ของเราซึ่งไม่มีอะไรเลย  เพราะฉะนั้น เราภาวนาไปแล้วเราจะไม่ได้อะไรมา และเราจะไม่ได้เสียอะไรไป เพราะเราไม่มีอะไรอยู่ตั้งแต่้แรกแล้ว จะไม่มีอะไรเลย

จิตถัดจากนั้นจะเป็นอย่างไร จิตที่ปล่อยวางจิตไปแล้ว จะมีแต่ความสุขล้วนๆ ยืนเดินนั่งนอนมีแต่ความสุขล้วนๆเลย  เกิดอะไรขึ้น จิตจะไม่มีกระเพื่อมไหวเลย  กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับธรรมชาติ  ฉะนั้นจิตกับธรรมะก็เป็นอันเดียวกัน หลอมหลวมเข้าด้วยกัน จิตที่หลอมรวมเข้ากับธรรมแล้ว จิตกับธรรมะก็เป็นอันเดียวกัน จิตอันนั้นเรียกว่า “พระสงฆ์”  จิตอันนั้นเป็น “พระพุทธ-พุทธะ”  พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอันเดียวกัน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม เมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๓
File: 501229B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๔๗ ถึง นาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๔๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตที่ฝึกดีแล้วนำความสุขมาให้

mp 3 (for download) : จิตที่ฝึกดีแล้วนำความสุขมาให้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : คำสอนของพระพุทธเจ้านะให้ประโยชน์ให้ความสุข ทั้งปัจจุบันนะ อนาคต อนาคตพวกเรายังไปไม่ถึง เราดูครูบาอาจารย์ หลวงพ่อแต่ก่อนก็เหมือนพวกเราอย่างนี้แหละ เป็นฆราวาส ทำงานหัวปักหัวปำ แต่ว่าภาวนานะ มีเวลามีโอกาสก็ไปกราบครูบาอาจารย์ผู้เฒ่าทั้งหลาย แต่ละองค์ๆทำไมดูท่านงดงาม ท่านผ่องใส ท่านงดงาม ท่านร่มเย็น เหมือนต้นโพธิ์ต้นไทรนะ พอเข้าใกล้ก็เย็นฉ่ำ

บางองค์พิการ เข้าไปกราบ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบท่านเป็นอัมพาต ลุกไม่ได้ นอนอยู่ คนก็เยอะนะ พระก็เยอะนะ เข้าไปก็มุดๆๆเข้าไป ไปเห็นองค์ท่านนอนอยู่ เขาเอาผ้าคลุมไว้นะ โผล่หน้าออกมา นึกกราบท่าน ขอกราบพระอรหันต์ ท่านลืมตาขึ้นมา พยักหน้า ดูท่านแล้วผ่องใสจังเลย สดใสจังเลย

ยกตัวอย่างเราเห็นคนเฒ่าคนแก่นะ เจ็บไข้ได้ป่วยดูไม่ได้เลยนะ เฉา เข้าใกล้ก็เฉาไปด้วยแล้ว หรืออย่างหลวงปู่สุวัจน์ก็เป็นอัมพาตนั่งอยู่บนรถเข็นไปอยู่ริมน้ำ ท่านก็พูด “โอ้ สุขแท้น้อ สุขแท้น้อ” อะไรอย่างนี้ มีความสุข ไปเจอท่านตอนที่ท่านเป็นอัมพาตแล้วท่านกลับมาจากอเมริกาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งแรกที่เจอหลังจากท่านเป็นอัมพาต ไปที่ใกล้ๆวัดกู้ เขาเรียกว่าอะไรนะ สวนทิพย์ ก็ไปนั่งรอนะ เขาเข็นรถท่านออกมาจากห้อง โห..ดูหลวงปู่ผ่องใสจังเลย เรายังอยู่กว่าตั้งเยอะนะ แข็งแรงด้วย ยังดูมอมแมม

เนี่ย ตอนนี้เรายังมองไม่เห็นนะว่า อนาคตเราจะมีประโยชน์อย่างไร แต่ว่าเราไปเห็นครูบาอาจารย์ที่ท่านผ่านศึกมาโชกโชนแล้วเนี่ย โอ้..งามจริงๆเลย ท่านมีชีวิตอยู่อย่างที่โปร่ง เบา ผ่องใส ร่มเย็น เป็นที่พึ่งของลูกเล็กเด็กแดง นกกาทั้งหลาย มาพึ่งกัน ทำไมมีความสุขได้มากขนาดนั้น ทั้งๆที่แก่ ทั้งๆที่เจ็บ เพราะจิตที่ฝึกดีแล้วนำความสุขมาให้ เรารู้เลย โอ้..ถ้าเราฝึกไปเรื่อยๆนะ วันหนึ่งเราก็ได้ความสุขอย่างนี้มา แก่ก็สุข เจ็บก็สุข ตายก็สุขนะ

ในตำราชอบพูดถึงพระอรหันต์ ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้า ว่าเวลาที่ท่านจะปรินิพพานท่านจะผ่องใสเป็นพิเศษเลย อันนี้ครูบาอาจารย์ที่ท่านภาวนาดีก็เป็นอย่างนั้นนะ วันที่จะมรณภาพเนี่ย จะผ่องมากเลย งามมากเลย กระทั่งหลวงปู่ดูลย์ งามจนคนรู้สึก โอ้โห..ท่านแข็งแรงอย่างนี้นะ เนี่ย ท่านจะตายท่านก็ตายอย่างมีความสุข ไมได้ตายอย่างทุรนทุราย จมความทุกข์ตายไป

เนี่ยมีประโยชน์นะ มีความสุข ตั้งแต่ปัจจุบันที่เราเริ่มลงมือปฏิบัติ แค่รักษาศีลก็มีความสุข แค่ฝึกจิตให้สงบก็มีความสุข ฝึกจิตให้ตั้งมั่นก็มีความสุข หัดแยกธาตุแยกขันธ์ไปเรื่อย ตรงนี้เห็นทุกข์แล้ว เห็นทุกข์ไปเรื่อย ใจยิ่งโปร่งโล่งเบา มีความสุข ยิ่งเห็นทุกข์ยิ่งมีความสุข พอผ่านวางขันธ์ไปแล้ว โอ้.. ยิ่งมีความสุข สุขมาก กลางวันก็สุข กลางคืนก็สุข หลับอยู่ก็สุข ตื่นอยู่ก็สุข อยู่จนแก่จนเฒ่า แต่ละองค์ๆ ดูมีความสุขมาก


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
Track: ๑๕
File: 550817B
ระหว่างนาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๔๕ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๔๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความจริงของความทุกข์

mp 3 (for download) : ความจริงของความทุกข์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : นมัสการเจ้าค่ะหลวงพ่อ (หลวงพ่อปราโมทย์ : อยู่ไหน) อยู่นี่ค่ะ ไม่ได้ส่งการบ้านมาประมาณ ๙ เดือนแล้วค่ะ ช่วงที่ผ่านมา ใหญ่ๆก็มีเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจอยู่มากน่ะค่ะ แล้วทีนี้ เผลอไปทีไรใจก็จะเข้าไปอยู่ในโลกของการปรุงแต่งเรื่องที่ทำให้เราทุกข์ ซึ่ง..

หลวงพ่อปราโมทย์ : มันห้ามไม่ได้นะ (โยม : ค่ะ) เราไปห้ามมัน มันก็ไม่ฟังหรอก แต่มันไม่ได้ทุกข์ตลอดไปหรอก หนูอย่าไปกังวลเลย ไม่มีหรอกความทุกข์ถาวรนะ ความทุกข์มันก็อยู่ชั่วคราว ถึงวันหนึ่งมันก็ผ่านไป ใจเย็นๆ เดี๋ยวมันก็ไป

โยม : ค่ะ แล้วก็พอดีมีอยู่วันหนึ่ง หนูสังเกตว่าจริงๆแล้วมันเหมือนกับว่าใจมันมีความอยากที่จะเข้าไปยึดการปรุงแต่งอย่างนี้อยู่ (หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่) แล้วหนูไม่เข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่าทำไม ทั้งๆที่มันเห็นว่า ยึดเมื่อไหร่ก็ทุกข์แล้วทำไมมันยังถึงเข้าไปยึดอยู่ล่ะคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : อ้าว.. มันยังไม่รู้จริงนะ มันยังคิดว่าตัวเรามีอยู่จริงๆนะ แล้วก็มันคิดว่าถ้าเรายึดเราก็จะทุกข์นะ เพราะฉะนั้นเราอยากจะไม่ยึด อะไรอย่างนี้ ยังภาวนาไม่พอหรอก ถ้าเราภาวนาพอนะ ใจไม่ยึดถือในสิ่งแรกเลยที่จะไม่ยึดนะ ไม่ยึดจิตนะ พอไม่ยึดจิตอันเดียวก็ไม่ยึดกาย แล้วก็ไม่ยึดอะไรในโลกอีก ถ้ายังยึดอยู่ที่จิตจะยังมี(การหมายว่าเป็น-ผู้ถอด)ตัวเราอยู่นะ ยึดอยู่ อยากให้มันมีความสุข รู้สึกมั้ยว่าหนูยังอยากได้ความสุข รู้สึกมั้ย (โยม : ค่ะ) เพราะฉะนั้นยังยึดอยู่นะ ถึงอยากได้ความสุข เพราะมันมีตัวเรา เราอยากมีความสุข ใจเรายังยึดอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่ยึดหรอก ทั้งๆที่ทุกข์นั่นแหละ ก็ยังอยากให้หายทุกข์ เพราะเราไม่รู้ความจริงของชีวิต ว่าชีวิตนี้คือตัวทุกข์นะ เพราะเราจะไม่รู้ความจริงของชีวิต เราอยากให้มันหาย เราไปอยากในสิ่งซึ่งไม่มีวันมี คือเราอยากได้ความสุขในโลก มันไม่มีหรอก มันมีสำหรับคนหลง คนซึ่งมีสติปัญญาแก่รอบจริงๆ จะรู้ว่าโลกนี้ทุกข์ เพราะฉะนั้นเขาจะไม่แสวงหาความสุขในโลกนี้ เพราะไม่มี ส่วนใจหนูยังหาอยู่ รู้สึกมั้ย หนูท่องคาถาของหลวงพ่อไว้นะ “ไม่นานมันก็ผ่านไป” ท่องไว้ (โยม : ค่ะ) ใจเราสงบลงมาแล้วค่อยมาเจริญสติเจริญปัญญาใหม่ ตอนนี้ใจเราไม่มีสมาธิพอ เจริญปัญญาไม่ได้จริงหรอก เพราะมันทุกข์มาก

โยม : แล้วเวลาที่มันทุกข์ขึ้นมาค่ะหลวงพ่อ มันไม่ค่อยยอมดู แต่มันจะหนีทุกข์ (หลวงพ่อปราโมทย์ : นั่นล่ะ มันหนี) คือ มันก็รู้แล้วเหมือนกันน่ะค่ะว่า ถ้ามันวิ่งไปหาสิ่งอื่นภายนอกมาเพื่อจะดับทุกข์ มันจะไม่หายทุกข์จริงๆ แต่ว่า.. (หลวงพ่อปราโมทย์ : มันทนไม่ได้) ขา..

หลวงพ่อปราโมทย์ : มันทนดูต่อไปไม่ได้ มันก็หนีไป แล้วคนในโลกก็หนีอย่างนั้นแหละ เขาไม่กล้าหันมาเผชิญกับความทุกข์ พระพุทธเจ้านะอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ทุกข์ เป็นนักปราชญ์คนเดียวล่ะมั้งที่สอนให้รู้ทุกข์ นอกนั้นมีแต่พาหนีทุกข์ทั้งนั้นเลย

โยม : คือมันรู้อยู่เหมือนกันแหละค่ะ รู้ว่าทางดับทุกข์ก็ไม่ได้อยู่เกินกายใจนี้ออกไปน่ะค่ะ แต่มันดูเหมือนมันอ่อนกำลัง…

หลวงพ่อปราโมทย์ : มันทำไม่ได้หรอก มันทำไม่ได้นะ เพราะว่าสมาธิของเราไม่มีละ ตอนนี้ ใจเราเศร้าหมอง ใจเราฟุ้งซ่าน หนูสังเกตมั้ยเรื่องที่ทำให้เราทุกข์นะ เรายิ่งคิดถึงบ่อย เราอยากลืมแต่เรายิ่งคิด รู้สึกมั้ย เพราะในความเป็นจริงจิตเป็นอนัตตา เราสั่งจิตไม่ได้ว่าอย่าไปคิดเลย จิตจะคิด

โยม : แล้วก็หนูทำในรูปแบบสม่ำเสมอค่ะหลวงพ่อ แต่ก็คล้ายๆว่าจิตไม่มีกำลัง

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไม่มีแรงนะ หนูท่องคาถาไปก่อน “ไม่นานมันก็ผ่านไป” ไปท่องคาถาบริกรรมไว้อย่างนี้แหละ (โยม : ค่ะ) พอมันมีแรงแล้วค่อยมาทำต่อ เพราะฉะนั้นเวลาที่ปฏิบัติเนี่ย เราต้องปฏิบัติตั้งแต่ก่อนจะทุกข์นะ ถ้าทุกข์หนักอยู่แล้วเนี่ยจะภาวนาไม่ไหว มันเหมือนเวลาที่เราหัดว่ายน้ำ เราต้องหัดว่ายน้ำก่อนที่จะตกน้ำ ต้องว่ายน้ำให้เป็นก่อน เดี๋ยวเรือล่มเราจะว่ายได้ เพราะถ้าเรือล่มแล้วมาหัดว่ายน้ำจะไม่ทัน ยกตัวอย่างตอนนี้ความทุกข์เข้าถึงตัวเราแล้ว เราจะมาฝึกกรรมฐานให้พ้นทุกข์ เราไม่มีแรงพอแล้ว แต่ว่าความทุกข์ก็ไม่ใช่ของถาวร ไม่นานเขาก็ผ่านไป ไม่มีหรอกคนที่ทุกข์ตลอดกาลน่ะไม่มีหรอก

โยม : ขอบพระคุณค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ :
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ สวนสันติธรรม
เมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๐ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
File: 541210B
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่  ๓๖ ถึง นาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๐๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เราภาวนาอยู่ในภพทั้งนั้น

mp 3 (for download) : เราภาวนาอยู่ในภพทั้งนั้น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : พอรู้ทันว่าจิตติดอยู่ในภพนะ จิตมันจะหลุดเอง จิตที่มันรักที่จะพัฒนาตัวเองนะ มันจะไม่ยอมนอนค้างในภพใดภพหนึ่งนานๆนะ เพราะฉะนั้นเราสังเกตการภาวนาของเราไปเรื่อย ภาวนาแล้วมีความสุขนะ แล้วสุขมาตั้งนานแล้ว เป็นหลายวัน เป็นอาทิตย์ๆ เป็นเดือนๆเนี่ย จิตต้องติดอยู่ในภพของความสุข ความสบาย ความโล่ง ความว่าง ให้รู้ทันเลย จิตไปติดไปเกยตื้นอยู่ตรงนี้ ไปไม่รอดแล้ว ถ้ารู้ทันนะจิตมันจะถอนตัวออกมา ถอนออกมาเอง เราก็ภาวนาไปอีกนะ เดี๋ยวมันก็ไปติดอย่างอื่นอีก ก็คอยสังเกตเอา โอ้ว.. นี้เหมือนกันหลายวันแล้ว ต้องไปติดอะไรอีกแล้ว รู้ทันอีกนะ ก็ค่อยหลุดออกมา

แต่การสังเกตจิตที่ไปติดอยู่ในภพใดภพหนึ่งเนี่ย ห้ามสังเกตบ่อย ห้ามสังเกตบ่อยเพราะอะไร หลวงพ่อเคยทำ เนี่ย ไอ้เรื่องที่ไม่เอาไหน ทำมาเยอะแล้วนะ ทุกวันนี้ถึงพูดเต็มปากเต็มคำ คือพอจิตไปติดตรงนี้ปุ๊บ มันไปใช้ปัญญา ใช้การคิดพิจารณาเอา ออ..นี่เข้าไปติดอีกแล้ว สังเกตแบบไม่ให้คลาดสายตาเลย จิตไปติดตรงนี้ อ้อรู้แล้ว หลุดออกมา ไปติดตรงนี้อีก รู้แล้วหลุดออกมา ติดตรงไหน รู้แล้วหลุดๆหลุดๆไปเรื่อย ในที่สุดจิตถอนปุ๊บออกมา กลับออกมาอยู่กับโลกอย่างนี้เลย หลุดออกจากกรรมฐานด้วย

ในความเป็นจริงแล้วเวลาที่เราภาวนาเนี่ย เราภาวนาอยู่ในภพ มิใช่ภาวนาอยู่นอกภพนะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบร้อนที่จะหลุดออกจากภพทั้งหมด ไม่ใช่ไอ้นี่ก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็ไม่เอา ในที่สุดหลุดพลุ๊บออกมา กลายเป็นมนุษย์สารเลวอย่างเดิมเลย นะ ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ

เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบร้อน เอาไว้ว่าหากมันติดนานๆหลายๆวันแล้วค่อยสังเกตดู ไม่ใช่ไปคอยสังเกตว่าจิตนี้เคลื่อนไปจับตรงนี้ปุ๊บ อึ๊..เอาออกแล้วนะ นี่ก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอานะ กลายเป็นไม่เอาอะไรเลย ไม่เอาอะไรเลยนะ ก็หลุดออกมาเลย คอยสังเกตเอา แต่สังเกตสบายๆไม่รีบร้อนหรอก ภาวนาเราก็ภาวนาอยู่ในภพ ไม่ต้องกลัวติดหรอก เพราะอย่างไรก็ติด ไม่ต้องกลัวผิดหรอก เพราะอย่างไรก็ผิด ที่ทำทุกวันนี้ ผิดทั้งหมด แต่ผิดน้อยลงๆ เข้าใกล้ความจริงมากขึ้นๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะไปติดหรือว่าทำผิด ทำทีไรก็ผิด แต่ถ้าไม่ทำเลยจะผิดมากกว่า

เราก็ต้องทำนะ เรามีศีล ทำศีล ทำสมาธิ ทำปัญญา ค่อยๆฝึกค่อยพัฒนาของเราไป ถ้าใจเรารู้ทัน มันจะถอยออกมา คลายออก คลายออก เป็นระยะๆนะ มันจะไม่ไปติดอยู่ที่ใดที่หนึ่ง


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๕ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
Track: ๓
File: 520705.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๒๓ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อย่าทิ้งเวลาให้เสียเปล่า เอามาภาวนา

mp 3 (for download) : อย่าทิ้งเวลาให้เสียเปล่า เอามาภาวนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์  : วันนึงๆนะ คนเราเอาเวลาไปคิดฟุ้งซ่านเนี่ยเยอะมาก มหาศาลเลย รวมแล้วมากกว่าชั่วโมงที่เราภาวนา งั้นถ้าเราเก็บเวลาพวกนี้มาภาวนาได้นะ เราเพิ่มชั่วโมงการภาวนาขึ้นได้อีกเยอะเลย อย่างคนที่บอกว่าทำงานทั้งวัน ไม่มีเวลาภาวนา ก็ลองไปดูให้ดีนะ ถ้าแยกชีวิตออกเป็นส่วนย่อยๆออกไป มันจะมีเวลาที่ทิ้งเปล่าๆเนี่ยเยอะมากเลย เช่นเรากำลังรอแขกอยู่จะมาเจรจากับเรา ทุกอย่างเราเตรียมพร้อมแล้ว ว่างๆแล้ว ว่างก็นั่งใจลอย นั่งทำโน้นทำนี้ไป หรือเราไปที่ทำงาน บอกงานยุ่งทั้งวัน ตอนขึ้นลิฟท์ไปที่ทำงาน ยังไม่ได้ทำงาน ตอนเดินไปที่โต๊ะทำงานก็ยังไม่ได้ทำงาน ตอนนั่งเปิดกุญแจก็ยังไม่ได้ทำงาน เปิดคอมพิวเตอร์ก็ยังไม่ได้ทำงาน เนี่ยเวลาเหล่านี้นะ แต่ละวันๆเนี่ย ถ้าไปรวบรวมมานะ จะพบว่าเยอะเลย หลายชั่วโมง ก็คนเราเนี่ยสมองคนเราเนี่ย ทำงานปราดเปรียวที่สุดนะ ๔๐ นาที ๔๕ นาทีเท่านั้น เวลาที่เหลือเนี่ยเฉื่อยๆแล้ว ถูลู่ถูกังทำไปงั้นเอง

เพราะงั้นถ้าเราทำงานไปซัก ๕๐ นาทีนะ เราเบรกตัวเองนิดนึง เบรกตัวเองซัก ๕ นาที ทำความรู้สึกตัวขึ้นมา เราทำงานได้ดีกว่าเก่าอีก ยกเว้นแต่เขียนซอฟท์แวร์นะ ใจวอกแวก ออกไปภาวนาก่อนแล้วเขียนต่อไม่ถูกบางที ถ้าเราไม่ทิ้งเวลาเล็กๆน้อยๆเนี่ย เราจะไม่บ่นว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ

อย่างหลวงพ่อได้เวลาเยอะเลยนะ สมัยเป็นฆราวาส  ตื่นนอนมาเนี่ย ตอนลุกขึ้นมาเก็บที่นอน ก็ได้ปฏิบัติแล้ว เราไปอาบน้ำไปเข้าห้องน้ำ ก็ได้ปฏิบัติ แต่งตัวก็ได้ปฏิบัติ เดินทางจากบ้านไปที่ทำงาน ก็ได้ปฏิบัติอีก ไปอยู่ทำเนียบ แต่ก่อนทำงานในทำเนียบรัฐบาล ทำเนียบรัฐบาลแต่ก่อนสงบนะ สวย เช้าๆเนี่ยสงบ หลังๆนี้มีคนไปล้อมทำเนียบอยู่เรื่อยๆ พอเดินอยู่ในทำเนียบ เดินไปก็ดูต้นไม้ดูนกดูอะไร เราภาวนาไปด้วย ถึงเวลาทำงานก็ทำงานไป ทำงานไปช่วงนึงนะ จะเดินไปห้องน้ำ ก็มีสติอีกแล้ว ไม่เคยบ่นเลย ว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ เวลาไปหาครูบาอาจารย์เนี่ย เอาผลงานไปส่ง ผลงานชั้นดีด้วย ขนาดพวกพระอุปัฏฐากบางทีถาม มาถามหลวงพ่อทีหลัง โยมทำได้ไง พระทำตั้งสิบปียี่สิบปี ไม่ได้อย่างนี้ บอกผมทำทั้งวันนะ ทำตั้งแต่ตื่นเลย จนถึงนอนหลับ ยกเว้นเวลาหลับกับเวลาที่ทำงานต้องคิด มันภาวนาไม่ได้ ก็มีบ้างเราพักผ่อน ทำงานหนักๆแล้วก็ภาวนาต่อเนื่องไปเรื่อย ใจก็ต้องการพักเหมือนกันบางที ทำสมาธิหายใจเข้า หายใจออกไป บางวันมันไม่่ไหวจริงๆ แม้กระทั่งจะทำสมถะยังไม่ไหวเลย งานมันเครียดมาก งานมันหนักมาก หลวงพ่ออ่านหนังสือด้วยซ้ำไป หาหนังสือการ์ตูนมานั่งอ่าน หรือบางทีก็อ่านพระไตรปิฎกอ่านอะไร เลือกเรื่องที่ไม่เครียด ที่ไม่ซับซ้อนมาก ให้จิตใจได้พักผ่อน เดี๋ยวเดียวก็มีแรงขึ้นมา ก็พอภาวนาต่อ

งั้นถ้าเราบอกว่าเราไม่มีเวลาภาวนานะ ให้เราสำรวจตัวเองว่าเราเอาเวลาไปทิ้งที่ไหน จริงหรือที่ทำงานวันละสิบชั่วโมง ทำตลอดเวลารึ ? สิบชั่วโมงแล้วอู้ไปตั้งเยอะน่ะ หรือทำสิบสองชั่วโมงสิบสี่ชั่วโมงบางคน คนมันทำแต่มีแต่เวลา งานไม่ค่อยมี เคยเจอมั้ย ทำล่วงเวลานะ ทำในเวลาไม่ทันต้องทำล่วงเวลา เพราะตอนอยู่ในเวลาไม่ได้ทำ ดูอ่านหนังสือพิมพ์อะไรนี้ มี แล้วไปทำล่วงเวลา ทิ้งเวลาเปล่าๆ ตายเปล่าๆ น่าเสียดาย อย่างพวกเรา สมมติเรารู้ว่าปีหน้าเราจะตายแล้ว เราต้องใช้เงินเดือนละแสนนะเพื่อจะยืดชีวิต เอามั้ย บางคนเอานะ เดือนละล้านเพื่อจะยืดชีวิต ไปซักเดือนนึงก็เอา เห็นชีวิตมีค่ามาก เรารักตัวเองนะ รักชีวิต แต่ไม่ทำตัวเองให้มีค่าเลย ต่อไปนี้เราไม่ละเลย เวลาเล็กเวลาน้อยนะ เก็บมาภาวนาให้มากๆ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
Track: ๖
File: 550218.mp3
ระหว่างวินาทีที่ ๔๑ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๑๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สมาธิมี ๒ ชนิด ความตั้งมั่นมี ๓ ระดับ

mp 3 (for download) : สมาธิมี ๒ ชนิด ความตั้งมั่นมี ๓ ระดับ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : จุดที่แตกหักจุดแรกเลย ว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้มรรคผลนิพพานหรือไม่ ถ้าจิตมีแต่ความสงบนะ ไม่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่สามารถเจริญปัญญาได้จริง มรรคผลนิพพานนะเป็นเรื่องฝันเอาเลย ไม่มีทาง อันนี้ครูบาอาจารย์แต่ก่อนก็สอนไว้ แต่คนลืมไป

หลวงปู่เทศก์ท่านสอนสมาธิ ๒ ชนิด หลวงปู่เทศก์สมัยที่ท่านภาวนา ท่านเคยติดสมาธิอยู่สิบกว่าปี สิบสองสิบสามปี ใครก็แก้ให้ท่านไม่ได้ ขนาดท่านอาจารย์สิงห์ก็แก้ให้ท่านไม่ได้ ต้องไปหาหลวงปู่มั่น ตามไปทางเหนือ หลวงปู่มั่นแก้ให้ได้ การที่ท่านติดสมาธิอยู่นาน ทำให้ท่านแตกฉานเรื่องสมาธิมากเลย ท่านสามารถแยกสมาธิออกเป็น ๒ ส่วนได้ สมมติบัญญัติของท่าน ท่านเรียกว่าฌานอันนึง เรียกว่าสมาธิอันนึง

ฌานเนี่ยเป็นการเพ่งอารมณ์ ให้จิตนิ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียว นิ่งๆ สมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิต ให้้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา ถ้าตั้งมั่นก็มี ๓ ระดับ ระดับตั้งมั่นชั่วขณะเป็น”ขณิกสมาธิ” ตั้งมั่นยาวหน่อยเป็น”อุปจารสมาธิ” ตั้งมั่นลึกเลยก็ยังตั้งมั่นอยู่ในฌานเป็น”อัปปนาสมาธิ” ท่านอธิบายตัวสัมมาสมาธิตัวสมาธิที่ถูกต้องเนี่ย ท่านแยกเป็น “ขณิกสมาธิ” “อุปจารสมาธิ” “อัปปนาสมาธิ” ส่วนการเพ่งให้จิตหลบในนิ่งๆอยู่ท่านแยก ๓ ส่วน มีอย่างละ ๓ เหมือนกัน

ไม่มีใครสอนนะเรื่องเหล่านี้ แต่ท่านไปยืมศัพท์ของทางอภิธรรมมาใช้ ว่าการเพ่งแบบนึงเนี่ย ท่านเรียกภวังคุบาท จิตรวมลงไปวูบเดียวแล้วก็ถอนขึ้นมาเลย วูบนึงหมดสติไปงั้น วูบลงไปแล้วถอนขึ้นมา อันนึงท่านเรียกภวังคจารณะ มันไหลลงไปแล้วมันไปเคลื่อนๆอยู่ข้างใน สติอ่อนจิตอ่อน มันเคลื่อนอยู่ข้างในจิตไม่ตั้งมั่น ท่านเรียกภวังคจารณะ อีกอันนึงท่านเรียกภวังคุบาท ดับไปเลย อันนี้ท่านไปยืมศัพท์ทางอภิธรรมมาใช้นะ คือเจ้าของศัพท์เค้าจะยอมรับไม่ได้เพราะว่าเค้าแปลไม่ตรงกับท่าน แต่ว่ามันเห็นเลยว่า ความแตกฉานของท่านมีมากในเรื่องสมาธิเนี่ย เก่งจริงๆ

แล้วท่านก็พบว่าจิตก็มี ๒ แบบ จิตอันนึงเป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง จิตอันนึงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านก็มีศัพท์เฉพาะ ยืมศัพท์มาใช้อีกแล้ว จิตที่เป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง ท่านเรียกว่า”จิต” อันนี้เอาไปทำวิปัสสนาไม่ได้ จิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านเรียกว่า”ใจ” ท่านบอกว่าจิตอันใดใจอันนั้น ก็เป็นตัวรู้เหมือนกัน แต่ตัวรู้นึงมันเข้าไปคลุกอารมณ์ ไปหลงอารมณ์ ตัวรู้อันนึงที่เป็นใจ ตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทรงสมาธิอยู่

นี่ท่านสอนมาก่อนหลวงพ่อนะ แต่ว่าภาษาท่านคนรุ่นโน้นก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก เพราะท่านพูดเรื่องนี้ขึ้นมาในท่ามกลางวงกรรมฐาน ซึ่งมีแต่เรื่องพุทโธพิจารณากาย คนก็นึกว่าท่านภาวนาไม่เป็นซะด้วยซ้ำไป ที่จริงท่านก็ภาวนาเก่ง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
Track: ๑๗
File: 550317.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑ วินาทีที่ ๒๑ ถึง นาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๒๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สุขทุกข์ล้วนของชั่วคราว

mp3 (for download) : สุขทุกข์ล้วนของชั่วคราว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สุขทุกข์ล้วนของชั่วคราว

สุขทุกข์ล้วนของชั่วคราว

หลวงพ่อปราโมทย์ : ความทุกข์เนี่ย มันอยู่ที่ว่าเราจะปล่อยมันเอาไว้มั้ย ถ้าเราปล่อยให้มันท่วมทบท่วมท้นจิตใจของเรานะ ก็ทบทุกข์ไปอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าเราสู้ด้วยสติด้วยปัญญานะ ความทุกข์ก็เป็นของไม่เที่ยง เรื่องอะไรจะต้องไปจมอยู่กับความทุกข์ ความทุกข์มันเป็นของไม่เที่ยง มันมาได้มันก็ไปได้ อยู่ที่ว่าเราวางใจถูกต้องมั้ย

ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นในชีวิตของเรานะ ถ้าเรามองว่ามันเป็นของชั่วคราวน่ะ เราจะไม่ทุกข์เท่าไหร่หรอก เวลาที่ไม่สบายเคยนึกมั้ยว่าไม่นานก็หาย เจ็บป่วยแล้วคิดว่ามันจะหายนะ มันก็มีกำลังใจนะ ถ้าคิดว่าตายแน่ ก็ตายเร็วเลย มันอยู่ที่ใจเรานะ เข้มแข็งไว้ มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของชั่วคราวไว้

ความสุขในชีวิตของเราก็ของชั่วคราว เพราะฉะนั้นถ้าความสุขหายไปก็ไม่ต้องตกใจ ความทุกข์ในชีวิตของเราก็เป็นของชั่วคราวนะ ถ้าความทุกข์มาก็ไม่ต้องตกใจ เพราะมันชั่วคราว เนี่ยพยายามสอนตัวเองไปเรื่อยๆ

หลวงพ่อถึงสอนคาถาให้ เวลาที่พวกเรามีความทุกข์มากๆนะ “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ไม่ว่าอะไร เดี๋ยวมันก็ผ่านไป แต่พวกเราจะเอาคาถานี้ไปใช้ตอนที่ตกทุกข์ได้ยาก ตอนสบายไม่ยอมท่อง เพราะฉะนั้นตอนสบายก็ท่องไว้ด้วยนะ ว่าความสุขความสบายที่เราเจออยู่นี่ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปเหมือนกัน ไม่มีหรอกความสุขถาวร ความทุกข์ถาวรก็ไม่มี

เวลาที่เราอยากได้อะไรสักอย่างที่ได้ยาก พอได้มาเราดีใจ รู้สึกมั้ย ดีใจ สังเกตมั้ยความดีใจสั้นๆ เดี๋ยวก็หายไปแล้ว เดี๋ยวก็ไปอยากอย่างอื่นต่อ บางทีไปจีบสาวนะ อยากได้มาเป็นแฟน ได้มาไม่นานก็รู้สึก แฟนคนอื่นมันสวยกว่าแล้ว อยากให้มันผ่านไปเร็วๆ นั่งท่องคาถา มันไม่ไปอีกนะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป หือ..แต่มันอยู่นานจัง

เพราะฉะนั้นทุกอย่างในชีวิตของเรานะ หัดดูไป มีแต่ของชั่วคราวทั้งหมดเลย ถ้าคนไหนภาวนาไม่เป็นนะ ก็ท่องคาถาไป “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ความสุขมาก็ท่องคาถาไว้ “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ความทุกข์มาก็ท่องคาถาไว้ “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ถ้าคนไหนพัฒนาขึ้นไปอีก ก็มาหัดภาวนา มาดูที่ใจเรานี่แหละ ในใจเรานี่นะ ความสุขมาแล้วมันก็ไป ความทุกข์มาแล้วมันก็ไป คอยดูอยู่บ่อยๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรม ณ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: พระธรรมเทศนา ณ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
File: 541224
ระหว่างนาทีที่  ๑๐ วินาทีที่ ๐๘ ถึงนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๓๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๒๓) ถ้ามีเหตุขันธ์ก็เกิดสืบทอดไป ถ้าไม่มีเหตุขันธ์ก็ไม่เกิดสืบทอดไป

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๒๓) ถ้ามีเหตุขันธ์ก็เกิดสืบทอดไป ถ้าไม่มีเหตุขันธ์ก็ไม่เกิดสืบทอดไป

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

โยม : นมัสการหลวงพ่อครับ ผมส่งการบ้านมาหลายครั้ง ก็ยังตื่นเต้นอยู่เหมือนเดิม ความตื่นเต้นมานี่ มันยังไม่หายเลยครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ห้ามมันไม่ได้หรอก จิตมันเป็นอนัตตา

โยม : ทีนี้ การปฏิบัติที่จะมาส่งก็คือ เวลาผมทำสมาธิ แล้วผมก็สังเกตไปเรื่อยๆ ว่าอะไรปรากฎก็รู้มันๆ ทีนี้สักพักหนึ่ง มันไม่มีอะไรปรากฎ มันเงียบๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เงียบปรากฎล่ะ

โยม : ใช่ๆครับ ความเงียบปรากฎ ตรงนี้ ผมเคยถกกับคุณหมอท่านหนึ่ง คุณหมอบอกว่าจิตสงบแล้ว ผมบอกว่า คิดเรื่องเงียบ ผมมีความรู้สึกว่าคิดเรื่องเงียบอยู่

หลวงพ่อปราโมทย์ : เงียบปรากฎนะ

โยม : แล้วความเงียบ ผมก็ดูต่อไป ดูไปแล้วก็ไม่เงียบอีกแล้ว

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่ มันก็ไม่เที่ยง

โยม : แต่มันก็นานพอสมควร คือ ถ้ามันเป็นอย่างนี้บ่อยๆ เวลาที่มันเงียบ มันจะยิ่งนานขึ้นๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ก็ออกจากสมาธิแล้ว อยู่ในโลก ก็เจริญสติในชีวิตประจำวันให้มาก เท่านั้นแหละ

โยม : คราวนี้เวลาออกจากสมาธิน่ะครับ แล้วมีสติอัตโนมัติขึ้นมา เวลาที่สติอัตโนมัติค้างอยู่ มันรู้สึกได้ว่านานกว่าเดิม

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าจิตทำสมาธินะ จิตที่ทรงฌานเนี่ย สติอัตโนมัติจะอยู่นาน

โยม : อย่างนั้นเรียกว่าฌานหรือครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าจิตเข้าไปอยู่ในความนิ่ง ความว่าง ความไม่มีอะไร รู้เนื้อรู้ตัวอยู่ ก็เข้าสมาธิที่ละเอียดเข้าไปแล้วล่ะ

โยม : อีก ๒ ประเด็นนะครับ คือเวลา อย่างเหตุการณ์เมื่อคืนนี้เอง ขณะที่กำลังทำงานอยู่แล้วมันหงุดหงิดขึ้นมา ก็ดูมันไป สังเกตไปเรื่อยๆ ปรากฎว่า ความหงุดหงิดหายไปแล้ว แต่มันยังร้อนอยู่

หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ.. วิบาก กิเลส กิเลสเกิดนะ จิตก็กระทำกรรม จิตกระทำกรรมก็ต้องมีวิบาก ตรงหงุดหงิดนะก็เป็นกิเลส แล้วผลักดันให้จิตเราดิ้นรน ก็ต้องรับวิบากอีกช่วงแหละ

โยม : สภาพที่แยกธาตุแยกขันธ์อย่างนั้น ใช่มั้ยครับ แต่มัน มันไม่ได้แยกได้ตลอดเวลา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไม่เป็นไร เวลาเราทำความสงบเนี่ย ไม่ต้องแยกธาตุแยกขันธ์ เวลาเผลอ ไม่ได้แยกธาตุแยกขันธ์ เวลาที่จิตตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนะ ก็แยกธาตุแยกขันธ์ได้ มันไม่ได้เป็นตลอดนะ

โยม : ในระหว่างที่ผมกำลังสังเกต ความหงุดหงิด ผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง รู้สึกว่า มีเรา(หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ..)กำลังดูมันอยู่(หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ..)

หลวงพ่อปราโมทย์ : ดีที่เห็นนะ แสดงว่ายังไม่ใช่พระโสดาบัน ถ้าเป็นพระโสดาบันจะเห็นว่า ธรรมชาติรู้เป็นคนดูอยู่ ไม่ใช่เราดูละ

โยม : แต่ว่าเราไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา

หลวงพ่อปาโมทย์ : ไม่อยู่ตลอด

โยม : เวลาผมเผลอ เราหายไป

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ.. สักกายทิฎฐิก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน ความเห็นว่าเป็นเรา เป็นชั่วคราว เกิดเป็นคราวๆ

โยม : ผมขออีกนิดนะครับ คือ เวลาที่เรานอนหลับสนิท แล้วตื่นขึ้นมา ก็รู้สึกว่าโลกปรากฎ ทีนี้ตอนหลับสนิท สนิทจริงๆครับ ไม่มี ตรงนี้ ตรงกับที่ผมศึกษา คือว่า ตรงนี้ขออนุญาตนิดนึงครับ คือ ผมเคยอ่านเจอในพระอภิธรรมว่า เทวดาถามพระพุทธเจ้าว่า โลกมีอะไรนำไป โลกปรากฎได้อย่างไร ผมเข้าใจความหมายทำนองนี้ ใช่มั้ยครับ ผมเข้าใจถูกแล้ว? อีกอันหนึ่งนะครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : หา ทำไมเยอะนักล่ะ คนอื่นเขาจะประท้วงหรือเปล่า หือ..

โยม : ครับ ต้องขอโทษด้วยครับว่า ผม.. ต้อง.. ให้ความรู้กับเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมด้วยกัน ป้องกันไม่ให้เกิดมิจฉาทิฎฐิ คือเมื่อกี๊ผมฟังที่หลวงพ่อพูดตอนเริ่มต้น บอกว่า ถ้าเราไปมั่นใจว่าตายแล้วเกิด เป็นมิจฉาทิฎฐิ ตรงนี้หมายความว่า เราต้องมั่นใจว่า ไม่มีพระอรหันต์ใช่มั้ยครับ ถึงจะเรียกว่าไม่เป็นมิฉาทิฎฐิ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไม่ใช่ พวกเราตอนนี้ต้องคิดว่ามีพระอรหันต์ไว้ก่อน แต่พระอรหันต์ท่านไม่ได้คิดว่าท่านเป็นพระอรหันต์หรอก ของเรามันยังมี

โยม : อย่างนี้แสดงว่า ที่ผมกำลัง ตอนนี้อย่างที่ผมกำลังพูดกับลูก ผมบอกว่า ผมมั่นใจว่าตายแล้วเกิด อย่างตัวผม ผมมั่นใจว่าตายแล้วเกิด อย่างนี้เป็นมิจฉาทิฎฐิมั้ยครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าพูดกับลูกก็พูดโดยอนุโลมเอา เอาแบบนั้นก่อนนะ คือ มันจะเห็นแจ้งต่อเมื่อเห็นว่า ปัจจุบันนี้ ไม่มี ปัจจุบันนี้ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรา ไม่มีเขา ก็ปัจจุบันยังไม่มีเลย ตายแล้วจะมีหรือไม่มีอย่างนี้ ถ้ามีเหตุก็เกิด ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มี ถ้ามีเหตุขันธ์ก็เกิดสืบทอดไป ถ้าไม่มีเหตุขันธ์ก็ไม่เกิดสืบทอดไป ถ้าพูดให้ถูกก็ต้องพูดอย่างนั้น แต่ว่าสอนเด็กไม่ได้ มันยากไป ถ้าสอนลูกก็บอกว่า ตายแล้วเกิด สอนอย่างนี้ไปก่อน

โยม : ขอบคุณมากครับ

550409.44m08-49m47

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๔๔ วินาทีที่ ๘ ถึง นาทีที่ ๔๙ วินาทีที่ ๔๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

V-Clip : จิตไม่ถึงฐานติดสมถะ และกรรมฐานจากการกวาดบ้าน

จิตไม่ถึงฐานติดสมถะ และกรรมฐานจากการกวาดบ้าน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ฆราวาสเห็นทุกข์โทษของกามยาก

mp 3 (for download) : ฆราวาสเห็นทุกข์โทษของกามยาก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ฆราวาสเห็นทุกข์โทษของกามยาก

ฆราวาสเห็นทุกข์โทษของกามยาก

หลวงพ่อปราโมทย์ : เป็นพระนะกามคุณอารมณ์ไม่ค่อยมีไม่ค่อยดี เป็นพระไม่ใช่มีของอร่อยกินทุกวัน ไม่ใช่ โยมเอาของอร่อยมาถวายทุกวันนะแต่พอถึงมือพระเนี่ยมันไม่อร่อยแล้ว ของร้อนมันก็ไม่ร้อนนะของเย็นมันก็ไม่เย็น ของควรร้อนมันไม่ร้อนของควรเย็นมันไม่เย็นแถมเอาไปใส่รวมในบาตรอีกนะ คล้ายๆข้าวหมูเคยเห็นมั้ย สมัยโบราณมีเดี๋ยวนี้เค้าคงไม่เลี้ยงอย่างนั้นแล้วมั้ง เสื้อผ้าเค้าไม่ได้มีสวยงามมีอยู่ชุดเดียวแหล่ะไปรอบโลก ที่อยู่ที่กินที่นอนอะไรนะแล้วแต่เค้าจัดให้ ไม่ใช่ดิ้นรนอยากได้อย่างนู้นอยากได้อย่างนี้ งั้นเป็นพระสู้กับกามง่ายกว่าโยม พอความยินดีพอใจอยากได้ในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในสัมผัสเกิดขึ้นเนี่ย ความทุกข์ตามมาทันทีเลยเพราะมันไม่มี

เห็นมีพระองค์นึงเล่าให้หลวงพ่อฟังท่านเป็นลูกเศรษฐีอยู่ทางเชียงใหม่ลูกศิษย์หลวงปู่สิมเล่าให้ฟังว่าตอนหลังท่านไปอยู่กับหลวงปู่เทสก์เดี๋ยวนี้ไปอยู่ไหนไม่รู้ บอกท่านเป็นลูกเศรษฐีนะออกบวชเป็นลูกคนเดียวด้วย ออกบวชแล้ววันนึงไปบิณฑบาตนะเห็นคนเค้าใส่ข้าวเหนียวถั่วดำสมัยนั้นถุงนึงห้าบาทเดี๋ยวนี้เท่าไหร่ไม่รู้ ท่านอยากฉันข้าวเหนียวถั่วดำไม่มีใครใส่ซักทีเลย อยู่อย่างนั้นน่ะนานเลยนะก็ยังทนได้นะอดทน วันนึงเห็นคนเค้าใส่มีหลายถุงนะเดินรับไปตามลำดับนะมันมาหมดก่อนถึงท่านทุกทีเลย วันหนึ่งท่านได้มาเค้าใส่ข้าวเหนียวถั่วดำมาท่านดีใจวันนี้จะได้ฉันแล้ว ระบบของพระเนี่ยได้อาหารมาแล้วเทรวมกันแล้วก็ตัก ปรากฎว่าพระที่อยู่ข้างหน้าท่านก็หยิบเอาไป ท่านบอกคืนนั้นท่านร้องไห้เลยร้องไห้สลดสังเวชสงสารตัวเองนะ ทำไมเราลูกเศรษฐีแท้ๆเราต้องลำบากขนาดนี้ ข้าวเหนียวถั่วดำถุงละห้าบาทนะเป็นปีเลยยังไม่ได้ฉันเลย

นี่ เป็นพระนะสู้กับกามเนี่ยง่ายเพราะเวลากามมาเกิดขึ้นนะทุกข์มันตามมาทันที ฆราวาสเนี่ยเวลากามมันเกิดขึ้นวิ่งตอบสนองมันทันที ไม่ทันเห็นทุกข์เห็นโทษหรอก อยากกินข้าวเหนียวถั่วดำก็รีบไปเลยไปร้านขายข้าวเหนียวถั่วดำเจออย่างอื่นด้วยแถมอีก โอ้ ไม่ใช่กินแต่ข้าวเหนียวถั่วดำนะดูไปดูมาไม่เอาดีกว่าเอาอย่างอื่นดีกว่าอะไรงี้ อย่างนี้ก็มีใช่มั้ย ตั้งใจอยากจะซื้ออย่างนี้มากินใช่มั้ยไปเจออย่างอื่นเปลี่ยนใจซะอีกแล้ว มีทางเลือก ไม่เห็นทุกข์เห็นโทษจริงหรอก เพราะงั้นวันนึงๆนะใจเราเคล้าเคลียอยู่กับกามไม่เห็นทุกข์เห็นโทษ ไม่เหมือนพระนะ เป็นพระเป็นชีเป็นนักบวชนะถ้ามีความอยากอะไรขึ้นมาทีไร อยากได้รูปอยากได้เสียงอยากได้กลิ่นอยากได้รสอยากได้สัมผัสอะไรที่ดีไม่มีโอกาสเลือก เพราะงั้นความอยากเกิดขึ้นทีไรความทุกข์เกิดขึ้นทีนั้น เหมือนหลังชนกำแพงไม่มีทางถอยต้องสู้เอา ทำไงจะสลัดกิเลสกามนี่ออกจากใจให้ได้เพราะตอบสนองไม่ได้เด็ดขาดเลย เพราะงั้นภาวนาสู้กันไม่ไหวหรอกนะฆราวาสในเบื้องต้นในขั้นโสดา สกทาคาเนี่ยฆราวาสไม่แพ้พระหรอกแต่พอขั้นถึงจะขึ้นพระอนาคามีเนี่ย ฆราวาสสู้พระไม่ไหวแล้ว เพศของฆราวาสไม่เอื้ออำนวยที่จะสู้กับกามจริง

แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๒
Track: ๙
File: 541015A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๔๘ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๕๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทุกข์นานเพราะคิดซ้ำ

mp3 (for download) : ทุกข์นานเพราะคิดซ้ำ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


ทุกข์นานเพราะคิดซ้ำ

ทุกข์นานเพราะคิดซ้ำ

โยม : คือหนูสงสัยเรื่องจิตเกิดดับที่ท่านสอนน่ะค่ะ สงสัยว่าคือจิตเกิดดับเร็ว แล้วก็ในวันนึงมันเกิดดับตั้งหลายครั้งใช่มั้ยคะ (หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่) แล้วทำไมสมมติว่าเรามีความทุกข์ ทำไมมันทุกข์ไปสามวันเจ็ดวันพอมันดับแล้วทำไมมันไม่หายทุกข์ล่ะคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะเหตุ สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ  ถ้าเหตุของทุกข์ตัวนั้นยังอยู่ จิตดวงใหม่ที่เกิดมาตามเหตุของทุกข์มันก็ยังทุกข์อีก มันเป็นคนละตัวกัน หลวงพ่อเคยถามเด็กผู้หญิงคนนึงนะ เด็กผู้หญิงนั้นน่ะหน้าตาเนี่ยชอบชอปปิ้งมากเลย ตอนนั้นหลวงพ่ออยู่เมืองกาญฯใกล้ๆนี้เองนะ ถามเลยว่า เคยไปเที่ยวตามศูนย์การค้าอะไรมั้ย รู้ว่าชอบเที่ยวหน้าตาบอกยี่ห้อเลย บอกเคยๆ ความจริงไปแทบทุกวันน่ะ ถามว่า แล้วเคยมั้ยที่ไปเที่ยวศูนย์การค้าแล้วก็เกิดปวดท้องกระทันหันอะไรเงี้ย วิ่งหาห้องน้ำอะไรเงี้ยเคยมั้ย เคย

ทีแรกหลวงพ่อถามอย่างงี้ก่อนว่าใครมีความทุกข์นานๆบ้าง เค้ายกมือเลยนะว่าเค้าทุกข์นาน ถามว่าทุกข์เรื่องอะไร อกหัก ถามว่านานจริงเหรอ จริง ทุกข์อยู่ตั้งหลายวันตั้งเป็นเดือนเลยนะ เลยถามเค้าว่าไปชอปปิ้งบ้างมั้ย บอกเคย ไปชอปปิ้งแล้วเคยปวดท้องอยากหาห้องน้ำแล้วก็หาไม่ได้มีมั้ยห้องน้ำมีแต่คนอยู่อะไรนี้ บอกเคย ตอนที่วิ่งหาห้องน้ำเนี่ยอกหักมั้ย อกไม่หักหรอกแต่ว่าห้องน้ำอยู่ไหนอ่ะ มันทุกข์ขึ้นมาอีก พอเข้าห้องน้ำเรียบร้อยนะปลดทุกข์แล้ว ภาระฉุกเฉินได้รับการยกเว้นแล้วประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉิน กลับมาคิดใหม่ มึงหักอกกู ก็กลับมาทุกข์อีก เพราะนั้นความทุกข์หรือความสุขหรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนะเกิดจากเหตุทั้งสิ้น ถ้าเหตุของมันอยู่ มันยังอยู่ นั้นเราทำเหตุซ้ำก็คือการคิดในเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ ความทุกข์ก็เกิด มันเกิดใหม่ๆหรอก

ตอนนอนหลับไปฝันเรื่องนี้มั้ย ตอนหลับบางทีก็ฝันบางทีก็ไม่ฝันใช่มั้ย ลืมเรื่องทุกข์นี่แล้ว ทุกข์เที่ยงมั้ย ทุกข์ไม่เที่ยงทุกข์มีอยู่ตอนที่นั่งคิด คิดเรื่องนี้ต่างหาก นี้เราคิดเราคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่แรมเดือนแรมปีก็เลยรู้สึกว่าทุกข์นาน ถ้าเราอยู่กับปัจจุบันนะ อย่างคนมันหักอกเรานะ มันหักแว้บเดียวเอง เราทุกข์อยู่เป็นปีเพราะเราคิดซ้ำ นั้นเราอย่าไปคิดซ้ำ อยู่กับปัจจุบันไป ไม่มีความทุกข์นานๆ ไม่มี ไม่มีหรอกความสุขนานๆ มีแต่ของชั่วคราว

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ โรงพยาบาลราชบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ธรรมเทศนานอกสถานที่ โรงพยาบาลราชบุรี
File: 541207
ระหว่างนาทีที่ ๕๔ วินาทีที่ ๑๗ ถึงนาทีที่ ๕๖ วินาทีที่ ๕๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ใจที่เป็นกลาง ไม่ปฏิเสธสิ่งแวดล้อมที่มากระทบ

mp 3 (for download) : ใจที่เป็นกลาง ไม่ปฏิเสธสิ่งแวดล้อมที่มากระทบ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงปู่บุดดา ถาวโร

หลวงปู่บุดดา ถาวโร

หลวงพ่อปราโมทย์ : ร้อนมั้ย ร้อน ไม่ร้อน จริงน่ะ ไม่จริงมั้ง มีครูบาอาจารย์หลวงปู่บุดดา น่ารัก อะไรๆท่านพอดีหมดเลย ร้อนก็ร้อนพอดี หนาวก็หนาวพอดี คนทำน้ำปานะไปถวายท่าน เห็นว่าท่านแก่แล้วต้องการวิตามินซีสูง ทำให้เปรี้ยวสุดๆเลย ตัวเองไม่ได้ชิมนะ เอาไปถวายท่าน เหลืออยู่หน่อยนึงนะแอบไปชิม โห เปรี้ยว อีกวันแก้ตัวทำให้หวาน ไปถามท่านว่าเมื่อวานน้ำปานะเปรี้ยวไปมั้ย ท่านบอกเปรี้ยวพอดี ถวายอันใหม่ไปนะท่านก็ฉันตัวเองเอามาชิมทีหลังนะ โห หวานไป ไปถามท่านนะหวานไปปล่าว ท่านบอกหวานพอดี เอากับท่านสิ

ถ้าใจพอดี คือใจไม่ปฏิเสธสิ่งแวดล้อม ใจท่านไม่ปฏิเสธ สิ่งแวดล้อมจะเป็นรูปเป็นเสียงเป็นกลิ่นเป็นรสเป็นโผฏฐัพพะ สิ่งที่มากระทบร่างกายความร้อนความหนาวความอ่อนความแข็ง สิ่งแวดล้อมที่มากระทบนี้ ใจท่านเป็นกลาง

ใจเป็นกลางใจไม่ดิ้นไม่ปรุงแต่ง ถ้าใจไม่ดิ้นใจไม่ปรุงแต่งใจก็ไม่ทุกข์ มันทุกข์ขึ้นมาเพราะใจมันดิ้นรนปรุงแต่ง เกิดจากมันไม่ยอมรับความจริงของสิ่งแวดล้อม สิ่งที่มากระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่ยอม เช่นสิ่งที่มากระทบมันไม่ดี อยากให้ดี สิ่งที่มากระทบมันไม่ดี อยากให้หายไป อยากให้หาย อยากให้สิ่งที่ดีๆมากระทบ ถ้าสิ่งดีๆมากระทบแล้วอยากให้อยู่ตลอด ไม่ยอมรับความจริงว่าทุกอย่างมันก็มาแล้วก็ไปมาแล้วก็ไป ทุกอย่างจะมาหรือไม่มาเพราะมันมีเหตุ สิ่งที่มากระทบเรานั้นจะชั่วหรือจะดีนะ มันมีเหตุ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๙ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๐
Track: ๒
File: 540501A.mp3
ระหว่างวินาทีที่ ๓ ถึง นาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๑๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ต้องรู้ตัวเอง กรรมฐานแบบไหนเหมาะกับตัวเรา

mp 3 (for download) : ต้องรู้ตัวเอง กรรมฐานแบบไหนเหมาะกับตัวเรา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ต้องรู้ตัวเอง กรรมฐานแบบไหนเหมาะกับตัวเรา

ต้องรู้ตัวเอง กรรมฐานแบบไหนเหมาะกับตัวเรา

หลวงพ่อปราโมทย์ : งั้นเราต้องใช้อะไรช่วย ใช้โยนิโสมนสิการช่วย สังเกตตัวเองเอากรรมฐานอะไรที่เหมาะกับเรา อย่างหลวงพ่อสอนสังเกตมั้ยหลวงพ่อไม่ได้สอนบอกว่า กรรมฐานต้องแบบนี้ต้องแบบนี้ นึกออกมั้ย จะสอนหลักให้นะเสร็จแล้วเราต้องไปสังเกตเอาว่าเราใช้กรรมฐานอะไรแล้วเหมาะกับตัวเราเอง ทำแบบไหนจิตเราจะสงบได้สมถะกรรมฐาน หลวงพ่อสอนหลักให้ว่าถ้าจะทำสมถะกรรมฐานนะ ศีลต้องมีนะไม่มีไม่ได้ ต้องมีศีลรองรับไว้ก่อน ต้องรู้จักเลือกอารมณ์ที่ว่าอยู่กับอารมณ์อันนั้นแล้วจิตใจมีความสุข อารมณ์นั้นต้องไม่ยั่วกิเลส นี่อยู่อย่างมีความสุขแต่อยู่กับกิเลสอย่างนั้นใช้ไม่ได้ น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์​อันเดียว รู้ไปอย่างสบายๆ เคล็ดลับอยู่ที่สบายๆ

สอนหลัก ส่วนพวกเราก็ต้องไปดูเอาเอง คนนี้ไปดูไฟดูด้วยใจที่สบายๆ ถือศีลไว้ก่อนแล้วก็ไปดูไฟ ดูด้วยใจสบาย ดูแล้วชอบเห็นไฟนี้ชอบ ความจริงคนจำนวนมากชอบดูไฟนะ ยิ่งไฟไหม้นี่ชอบมากเลย พวกนี้ควรจะหัดกสิณไฟไว้นะ ใครเวลาไฟไหม้ชอบไปดูมีมั้ย ในห้องนี้มีมั้ย ยกมือให้หลวงพ่อดูซิ ไม่มีเลยเหรอ แปลก เห็นเวลาไฟไหม้ทีคนแน้นแน่นชอบดูไฟ ดูไฟมันสะบัดนะ ทำกสิณไฟก็ดูเปลวไฟนะมันไหวๆ มันจะเร้าใจสนใจ ถ้าใจชอบนะใจก็จดจ่อมีความสุข บางคนไม่ชอบดูไฟ ไปดูอย่างอื่น อย่างอาจารย์มหาวิบูลย์อยู่แม่สอด แรกๆดูไฟนะเล่นกสิณไฟ ทำกสิณไฟไว้วันนึงนะนั่งไปนั่งไป นั่งหลับตาเนี่ย โหวันนี้กสิณดีจังเลยนะได้กลิ่นไฟไหม้แล้วก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆจนเอ่ะใจลืมตานะ ไฟกำลังจะไหม้กุฏิแล้วเทียนมันล้มไปนะ หลัังจากนั้นท่านเปลี่ยนเป็นกสิณน้ำ ท่านเลยเก่งกสิณน้ำ หลวงปู่คำพันธ์ ใครเคยได้ยินชื่อหลวงปู่คำพันธ์ วัดธาตุมหาชัย เก่งปฐวีกสิณเก่งกสิณดิน

เห็นมั้ยครูบาอาจารย์แต่ละองค์นะ ลูกศิษย์อาจารย์เดียวกันแล้วนะ ครูบาอาจารย์ลงมาในรายละเอียดการปฏิบัติไม่เหมือนกันหรอก ต้องไปสำรวจตัวเองนะว่ากรรมฐานอะไรแล้วเหมาะกับตัวเอง อยู่แล้วมีความสุข อยู่แล้วรู้สึกตัวมีความสุขอยู่แล้วไม่ยั่วกิเลส ก็อยู่กับอารมณ์อันนั้นแหล่ะ ก็จะได้สมาธิได้สมถะกรรมฐาน นั้นหลวงพ่อจะสอนหลักนะ พวกเราต้องไปดูเอาเองว่าเราใช้กรรมฐานอะไรแล้วเหมาะกับตัวเอง อย่าเที่ยวเชื่อคนง่ายนะและอย่าตามอาจารย์​ หลวงพ่อทำอานาปานสติ ไม่ใช่ทุกคนต้องทำสมถะด้วยอานาปานสติ ไม่ใช่ หลวงพ่อเจริญวิปัสสนาโดยใช้จิตตานุปัสสนา ไม่ใช่ทุกคนต้องทำจิตตานุปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

CD: แสดงธรรมเทศนา สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๑
File: 540820
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๑๕ ถึงนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สันตินันทอุบาสก สุภาพบุรุษนักภาวนา : ปฎิบัติธรรมแล้วมีความสุขตรงไหน ?

ผมรู้จักนักปฏิบัติมามาก ได้เห็นบทเรียนของแต่ละคน แล้วรู้สึกเสมอว่า ระหว่างการบวช กับการปฏิบัติธรรมในเพศฆราวาสนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้ง่ายๆ เวลามีน้องๆ มาบอกกับผมว่า อยากเลิกกับแฟนเพราะคิดว่าจะไปบวชในอนาคต ผมจะไม่เคยอนุโมทนาสาธุการให้เลย มีแต่บอกว่าให้กลับไปพิจารณาให้ดีก่อน หรือบางคนจะลาออกจากงานเพื่อไปบวชตลอดชีวิต อย่างนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะยอมเห็นด้วยง่ายๆ เพราะเหตุใด

ก็เพราะเคยเห็นมาหลายรายแล้วครับ ที่เริ่มต้นด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า
ลาออกจากงานบ้าง เลิกกับแฟนบ้าง แล้วก็โกนผม ลุยเข้าวัดขอบวชเลย ประเภทยอมเอาชีวิตเข้าแลกกับพระสัทธรรม แต่กิเลสนั้นมันไม่เข้าใครออกใคร มันไม่เคยกลัวผ้าเหลือง เมื่อหักหาญกันอย่างรุนแรงไปสักช่วงหนึ่งด้วยความทุกข์ทรมาน ทั้งอดกิน อดนอน ทั้งลำบากตรากตรำต่อสู้สารพัดรูปแบบ จึงเริ่มพบความจริงว่า มรรคผลนิพพานนั้น อยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบแรงกายแรงใจที่ทุ่มเทลงไปนั้น ไม่ทราบว่าจะผลิดอกออกผลเมื่อใด คราวนี้จะทำอย่างไรดี อยู่ก็ไม่มีอนาคต ถอยก็ไม่รู้จะถอยไปไหน เพราะเวลาที่ศรัทธานั้น ลืมนึกถึงทางถอยของตนเองไปอย่างสิ้นเชิง พวกเราลองนึกถึงสภาพเช่นนี้เถอะครับ ว่ามันแย่ขนาดไหน
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะศรัทธาในพระศาสนามากเพียงใด ก็ต้องมีความสมเหตุสมผล และมองความพร้อมของตนเองให้ออกจริงๆ เสียก่อน มรรคผลนิพพานเป็นที่น่าปรารถนาก็จริง แต่ความอยากได้มรรคผลอย่างเดียว ไม่ช่วยให้เราได้มรรคผลหรอกครับ

- = การรู้จักเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุดต่างหาก กลับจะช่วยให้เราเข้าใกล้มรรคผลไปตามลำดับ = -

ในระหว่างเส้นทางเดินนั้น หากพบคนที่ควรร่วมทางไปด้วยกัน ก็เดินเป็นเพื่อนกันไป แต่หากไม่พบเพื่อนร่วมทางที่ดี ก็ควรนึกถึงภาษิตบทหนึ่งที่ว่า “เอโก จเร ขักคะ วิสานะ กัปโป – พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด” ผมปฏิบัติธรรมมาโดยในตอนเริ่มต้นระวังเรื่องศีลข้อ 4 อย่างเดียว เพราะผมมีธรรมชาติไม่รังแก ไม่ขโมย ไม่ทำผิดในกาม และไม่เสพย์สิ่งเสพติด เพียงแต่เดิมนั้นชอบพูดเล่นตลกคะนอง เพราะชอบอ่าน พล นิกร กิมหงวน มาแต่เด็ก ดังนั้นสิ่งเดียวที่คอยควบคุมตนเองคือ การพูดเพ้อเจ้อ ส่วนสิ่งอื่นๆ นอกกรอบของศีล 5 ไม่เคยบังคับตนเองเลย เช่นไปอยู่วัดป่า ก็ไม่ได้ถือศีล 8 เหมือนคนอื่นเขา หิวก็กิน ง่วงก็นอน

สิ่งที่ทำจริงจังมีเพียงการเฝ้าเรียนรู้จิตใจของตนเองไปเรื่อยๆ เท่านั้น ซึ่งก็ไม่เห็นว่าจะทุกข์ยากอะไรนักหนา ความสุขที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมนั้น ได้รับมาอย่างเป็นขั้นตอน นับตั้งแต่ความสุขของฌานสมาบัติ เวลากำหนดจิตลงไปจนไม่มีกายเหลือในความรู้สึก มีเพียงความรับรู้อันสว่างไสว หรือประณีตจนหมดความคิดนึกในบางคราว เป็นความสุขในสมาธิที่ไม่ทราบจะบรรยายอย่างไรได้ แต่เมื่อเจริญปัญญาชำนาญแล้ว ความจงใจเข้าไปเสพย์ความสุขชนิดนี้ก็หมดไป เดี๋ยวนี้ถ้าจิตจะเข้าพัก ก็พักเพียงแว้บๆ แล้วก็ออกมาทำงานต่อ เว้นแต่บางคราวที่จิตจะหลบอะไรบางอย่าง เช่นหลบการรบกวนไม่เลือกเวลาของโอปปาติกะ จิตก็จะดับเงียบหายไปเลยจนถึงเช้า พ้นจากการรบกวนสิ้นเชิง มีความสุขกับการได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในจิตใจตนเอง เห็นกลไกการทำงานของจิต เห็นความสัมพันธ์ของจิตกับอารมณ์ รู้จักกิเลส ตัณหา รู้จักขันธ์ 5 ก็เป็นความสุขความเพลิดเพลินในการเจริญปัญญา

แต่ความสุขทั้งความสงบและการเจริญปัญญานั้น ก็ยังไม่เท่ากับความสุขอีกอย่างหนึ่ง คือความรู้สึกมั่นคง รู้สึกพึ่งตนเองได้ รู้จักตนเองว่ามีที่มาและที่ไปอย่างไร เหมือนคนที่เคยหลงทาง แล้วพบทางกลับบ้าน พ้นจากความคาดเดา หรือลังเลสงสัยว่า ชีวิตคืออะไร เรามาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน จะเกิดในอบายภูมิอีกหรือไม่ ถ้าจะเปรียบอีกอย่างหนึ่งก็เหมือนคนเรือแตกในทะเล แต่ก็กระเสือกกระสนจนปลายเท้าหยั่งเข้าถึงชายฝั่ง ก็เกิดความสุข เพราะรู้สึกมั่นคงในจิตใจขึ้นมา ที่ช่วยตนเองได้แล้ว สรุปแล้ว ปฏิบัติธรรมแล้วมีความสุขมากครับ

โดย คุณ สันตินันท์ เมื่อ 14 ก.พ. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สุขทุกข์อยู่ที่ใจเราเอง

mp3 (for download) : 530228B_suffering

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สุขทุกข์อยู่ที่ใจเราเอง

สุขทุกข์อยู่ที่ใจเราเอง

โยม : พอจุดที่ไปอยู่แล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ที่ๆ มีความสุขนะเจ้าคะ มันก็ไปอินกับความเศร้าอยู่พักนึง แล้วก็มันไม่มีกำลัง

หลวงพ่อปราโมทย์ : ที่ๆ อยู่ จุดที่อยู่หมายถึงอะไร จุดข้างในนี้หรือ

โยม : ที่ๆ เลือก สถานที่ที่เลือกไปเจ้าคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : จะบอกให้ว่า จะไปอยู่ที่ไหนก็จะไม่มีความสุขหรอก เพราะว่าความทุกข์มันอยู่กับตัวเราเอง ไม่ว่าจุ๊จะย้ายไปอยู่ตรงไหน ความทุกข์ก็จะตามไป

โยม : แล้วตอนนี้มันก็ มันเหมือนเริ่มเห็นว่าจุดที่จะเลือกใหม่ มันก็กลัวเจ้าคะ ก็เลยจะกลับไปสู้กันอีกตั้งนึง

หลวงพ่อปราโมทย์ : ที่ไหนก็ทุกข์เหมือนกันนะ เราไม่ต้องกังวลมากหรอก เพราะว่าอะไร เพราะว่าที่ทุกข์มากๆ ก็เพราะใจเรานี่เอง ใจเราปฎิเสธสิ่งแวดล้อม เราไม่อยากได้อย่างนี้ เราก็ทุกข์สิ ถ้าเรารู้ทันเนี่ย โอ้ ความทุกข์มาเกิดขึ้นในใจเราเนี่ย เพราะใจเราไม่เป็นกลาง มีวิภวตัณหาเกิดขึ้น ไม่ชอบ เป็นตัณหา มีตัณหาก็ต้องมีทุกข์แหละ

โยม : จุ๊ก็เลยนับหนึ่งใหม่ พอีหนอณัฐบอกให้กระตุ้นความรู้สึกตัว ก็เลยเริ่มพยายามที่กลับมาทำ ก็เลยมากราบขอคำแนะนำหลวงพ่อค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : นั้นแหละ ก็แนะถูกแล้วนะ รู้สึกตัวไป รู้สึกบ่อยๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๓ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
File: 530228B
ระหว่างนาทีที่ ๔๓ วินาทีที่ ๐๓ ถึง นาทีที่ ๔๔ วินาทีที่ ๑๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เราไม่ได้ภาวนาเอาเจริญ เพราะเจริญไม่เที่ยง

mp3 (for download) : เราไม่ได้ภาวนาเอาเจริญ เพราะเจริญไม่เที่ยง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


โยม : กราบนมัสการครับหลวงพ่อครับ ก็ช่วงที่ผ่านมาติดหลงโลกอยู่ ก็ มันทั้งมานะอัตตา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ภาวนาดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ

โยม : ครับ แต่มันก็ยังไปหลงอยู่น่ะครับหลวงพ่อครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : อย่างน้อยเรารู้ว่าหลงบ้างนะก็ยังดี

โยม : รู้ครับ แต่ว่ามันก็เพลิดเพลิน สุขไปกับทางโลกค่อนข้างเยอะนะครับ ก็ แต่ว่าในการปฏิบัติ ก็ปฏิบัติทุกวัน สวดมนต์ทุกวันครับ ดูกายดูใจทุกวัน ก็เห็นว่าช่วงนี้พอฟังซีดีหลวงพ่อก็จะรู้ว่า มันก็มีขึ้นมีลงนะครับ ช่วงนี้ก็เป็น คงเป็นช่วงขาลงมั้งครับเดือนนี้ แต่ก็ยังพอดูออก ก็เห็นน่ะครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : สารวัตรเห็นมั้ยว่า ทั้งๆที่ขาลงแต่จิตเป็นกลางมากขึ้น ตัวนี้ดูออกมั้ย (โยม : ใช่ครับ) เพราะฉะนั้นขาขึ้นหรือขาลงไม่สำคัญนะ สำคัญที่รู้ด้วยความเป็นกลางต่างหาก เจริญกับเสื่อมเท่าเทียมกัน เราไม่ได้ภาวนาเอาเจริญหรอกเพราะเจริญไม่เที่ยง แต่ว่าพอปัญญามันแก่รอบเนี่ย จิตจะเป็นกลางต่อความเจริญและความเสื่อม ตัวนี้ต่างหากที่ทำให้ใจไม่ดิ้นรนปรุงแต่งต่อ ภาวนาดีขึ้นนะ ไม่ใช่แย่ลง

โยม : แล้วก็เห็นว่าจิตมันไม่เที่ยงนะครับ (หลวงพ่อปราโมทย์ : อ้อ ดี ) ก็เห็นตัวนี้ขึ้นมาครับหลวงพ่อครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : อย่างนั้นแหล่ะ มันค่อยคลายออกนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๐
File: 540709B
ระหว่างนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๓๓ ถึงนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๕๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตจะเสื่อมหรือเจริญก็ต้องภาวนาไปเรื่อย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

Mp3 for download: 451117B_decay2

หลวงพ่อปราโมทย์: พยายามจะให้มันดีทุกวัน กะว่าถ้ามันดีตลอดยาวๆ วันนึงเราจะรู้ธรรม ไม่รู้หรอก คนละเรื่องเลย ถ้าขืนมันดีตลอดนี่ซวยตายเลย ต้องใช้คำนี้ เพราะเราจะเกิดความหลงผิดว่าจิตนี้เป็นตัวตนของเรา บังคับได้ แต่งเอาได้ตามใจชอบ

แต่จิตมันไม่ยอมแมว (โยมผู้ส่งการบ้านหลวงพ่อ – ผู้เรียบเรียง) หรอก มันก็จะเป็นไปตามที่มันเป็นน่ะ คือเจริญแล้วเสื่อมๆ ผู้ปฏิบัติก็ตกใจ พอเสื่อมแล้วตกใจ ดิ้นใหญ่ ดิ้นพราดๆๆๆ หาทางแก้ใหญ่ แก้ไปแก้มามันดีขึ้นมาอีก โอ๊ย ฉันแก้เก่ง ความจริงไม่ต้องแก้มันก็ดีเองแหละ เพราะว่าไอ้เสื่อมมันก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน พอมันดี โอ๊ยรักษาๆ รักษายังไงก็เสื่อมอีก เพราะมันของเสื่อม

เพราะฉะนั้นจับหลักให้ดี ทำความเข้าใจให้ดี เราจะเฝ้ารู้มันแต่ละวัน วันนี้จิตเจริญรู้ว่าเจริญ เจริญแล้วเกิดภูมิใจรู้ว่าภูมิใจนะ กิเลสหลอกต่อละ วันนี้จิตเสื่อม รู้ว่าจิตเสื่อม เสื่อมแล้วเศร้าหมองก็ถูกหลอกอีกละ

ทำไปเรื่อยเลย จะเห็นแต่เจริญแล้วเสื่อมๆ ถึงจุดนึงเนี่ย ใจเรายอมรับความจริงว่าขันธ์ห้าโดยเฉพาะตัวจิตเนี่ย เป็นของที่บังคับไม่ได้หรอก นั้นน่ะคือการเข้าใจธรรมะจะเกิดขึ้นมา ต้องทำความเข้าใจตัวนี้นะ ตัวนี้ตัวสัมมาทิฐิ ให้เห็นสภาพธรรมทั้งหลายเนี่ยเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รวมทั้งจิตของเราด้วย

เพราะฉะนั้นแมวเดินจงกรมไป ทำแล้วเดินไป จิตเจริญก็เดิน เสื่อมก็เดิน เหมือนหลวงพ่อชาสอนน่ะขยันก็ปฏิบัติ ขี้เกียจก็ปฏิบัติ แต่บางคนเจ้าเล่ห์พอได้ยินหลวงพ่อสอนบอกว่าจิตเจริญแล้วเสื่อมๆนะ เขาก็เดินจงกรม 3 วัน เจริญละ ตอนนี้ไม่เดินขอไปเที่ยวก่อน เดี๋ยวมันต้องเสื่อมอีก ฉันจะดูว่ามันจะเสื่อมยังไง อย่างนี้ไม่ได้กินหรอก เพราะว่าจิตมันจะเกิดความสำคัญผิดเข้าไปอีกว่าถ้าเราทำมันก็เจริญ มันเสื่อมเพราะเราไม่ทำต่างหากล่ะ เพราะฉะนั้นมีหน้าที่ทำให้สม่ำเสมอนะ เดินไปเรื่อยๆ เดินไป จะเดินจะยืนจะนั่งอะไรก็ได้ แล้วก็คอยรู้ทันมันไปเรื่อย มันมีความสุข มันมีความทุกข์ มันเจริญมันเสื่อมรู้มันไปเรื่อยๆ เจริญกะเสื่อมมันเป็นธรรมะที่เท่าเทียมกันนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๕ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑
File: 451117B
ระหว่างนาทีที่ ๘วินาทีที่ ๑๓ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๓๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนาเก่งแค่ไหนจิตก็ต้องเสื่อม (เป็นอกุศล)

Mp3 for download: 451117B_decay

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: มาเล่าบอกกรรมฐานมันเสื่อม  เคาะๆไปแล้วจิตมันเสื่อมไปเนี่ยนะ หาทางแก้มาเป็นปีๆ แก้ไม่ตกหรอก บอกอ๋อ แก้ยังไงก็ไม่ตกหรอก ที่จริงเนี่ยเคาะไปเนี่ยนะ เคาะกระทบๆไป จิตตื่นขึ้นมาละ ต่อมากระทบอยู่อย่างเก่าเนี่ย จิตเสื่อม จิตแสดงธรรมะให้ดูแล้วว่าจิตเป็นของที่บังคับไม่ได้ เจริญได้ก็เสื่อมได้ แต่ว่าเราไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง พอเจริญแล้วเราก็ดีใจใช่มั้ย ทั้งๆที่ทำอย่างเดิมมันเสื่อมได้นี่ เสื่อมคราวนี้ไม่พอใจละ หาทางแก้ไขจะไม่ให้เสื่อม นี่กำลังทำอะไร เหมือนคนที่หาทางจะไม่ตายน่ะ เกิดแล้วจะไม่ตายน่ะ พอมันแก่ลง ตีนกาขึ้น โอ๊ยทำยังไง  ทำอะไรไม่ได้ก็ไปหลอก ดึงเอา แก้จากข้างในไม่ได้แล้วนี่

จิตก็เหมือนกัน มันเจริญได้ก็เสื่อมได้ ถ้าเข้าใจธรรมชาติตรงนี้ปั๊บนะ ไม่ยึดมั่นในความเสื่อม จิตก็ผ่านไปเลย ง่ายนิดเดียว ทีนี้พอมาเสื่อม ตกใจ ตกใจหาทางแก้กรรมฐานใหญ่ ยิ่งแก้ยิ่งไปสิ เพราะยิ่งปรุงแทนที่จะรู้ ก็เลยไม่ตื่นเลย เพราะฉะนั้นนักปฏิบัตินะ ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนนะ จิตก็ต้องเสื่อม

รู้จักหลวงตามหาบัวมั้ย เรอะ เป็นเพื่อนกับท่านเรอะถึงรู้จัก หรือว่าแค่เคยเห็น อ้อเคยเห็นท่าน บอกว่ารู้จัก หึๆ หลวงตานะ ท่านจะเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็นอะไรนี่ก็เรื่องของท่าน ไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ เดี๋ยวท่านเป็นจะเดือดร้อน ท่านบอกว่าตอนที่ท่านอาจารย์มั่นสิ้นเนี่ย  ท่านไม่มีอาจารย์ละต้องช่วยตัวเอง ท่านก็ไปปฏิบัติอยู่บนดอยธรรมเจดีย์

จิตของท่านเนี่ยเป็นผู้รู้ รู้ตัวอยู่ได้ตลอดเลย ท่านก็พยายามรักษาความรู้สึกตัวนี้้ไว้ รักษาตัวรู้ไว้ รู้ตัวไปเรื่อยไม่ให้เผลอไม่ให้หลงน่ะ จิตใจไม่เศร้าหมองเลย รู้หมด อะไรกิเลสอะไรมา เห็นหมดเลย รู้มาแล้วดับไปหมด ท่านก็พยายามจะรักษาจิตผู้รู้ให้มันอยู่ตลอดไป

วันหนึ่งท่านเริ่มสังเกตว่าจิตผู้รู้มันไม่เที่ยง มันหมองๆได้อีก พยายามทำยังไงมันก็ยังเสื่อมได้ พอรู้ว่ามันเสื่อมได้นะ หาทางแก้ยังไงก็ไม่สำเร็จนะ วันนึงก็เฉลียวใจขึ้นมาว่า โอ้ จิตมันเป็นอนัตตานี่ บังคับมันไม่ได้นี่ พอเห็นว่าจิตเป็นของบังคับไม่ได้ เลิกคิดที่จะบังคับมัน เลิกคิดที่จะให้มันดีตลอด มันจะเป็นยังไงเรื่องของมันต่างหากล่ะ ท่านปล่อยวางจิตนะ ท่านบอกว่า ตอนนั้นท่านหลุดพ้นเลย

เพราะฉะนั้น ความหลุดพ้นเนี่ยไม่ได้เกิดจากการที่เราฝึกจิตของเราให้ดี ดีจนเที่ยง ดีถาวร ไม่ใช่ แต่เกิดจากการที่เราเข้าไปเห็นความจริงของธรรมชาติ ของขันธ์น่ะ ขันธ์ห้าทั้งหมด รวมทั้งจิตด้วย มันอยู่ในวิญญาณขันธ์น่ะ ว่ามันเจริญแล้วเสื่อมๆ พอเห็นความจริงแล้วปล่อยวาง แล้วถึงจะหลุดพ้น ความหลุดพ้นเกิดจากการปล่อยวาง ความหลุดพ้นไม่ได้เกิดจากการทำสิ่งที่ไม่เที่ยงให้เที่ยง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๕ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑

File: 451117B
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๕๔ ถึง นาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๕๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 1 of 41234