Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

พระพุทธเจ้ายังอยู่กับเรา

mp3 (for download) : พระพุทธเจ้ายังอยู่กับเรา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : อย่าลืมพระพุทธเจ้านะ อาจารย์ใหญ่ของเรา อาจารย์ใหญ่เราไม่ได้หายไปไหนนะ ทุกวันนี้ยังอยู่นะพระพุทธเจ้า คือธรรมะที่ท่านสอนไว้ยังอยู่บริบูรณ์เลยไม่เคยหายไปไหน นี่แหละคือพระพุทธเจ้าของเรา งั้นเราต้องเรียนธรรมะ ต้องศึกษาธรรมะให้ดี

CD สวนสันติธรรม 19

500310A

25.28 – 25.47

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หัวใจในการภาวนาในทางสายเอกนี้คือคำว่ารู้นั้นเอง

mp3 (for download) : หัวใจในการภาวนาในทางสายเอกนี้คือคำว่า “รู้” นั้นเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : พวกเราสังเกตไหมในสติปัฏฐานนี่ ในมหาสติปัฏฐาน พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นทางเอกทางสายเดียวนะเพื่อการพ้นทุกข์ ลองดู verb ดูกิริยาในสติปัฏฐานมีกิริยาอยู่คำเดียวเอง คำว่า ‘รู้’ มีอยู่คำเดียวนะ กิริยาจริงๆ เลย คือคำว่า ‘รู้’ นั่นเอง ที่เป็นหลักจริงๆ

ท่านบอกหายใจออกก็รู้ หายใจเข้าก็รู้ ท่านไม่ได้บอกว่าหายใจออกให้กำหนดไว้เจ็ดฐาน หกฐาน ห้าฐาน สิบฐาน ไม่มีนะ ท่านบอกหายใจออกก็รู้ หายใจเข้าก็รู้ ยืนอยู่ก็รู้ เดินอยู่ก็รู้ บางทีใช้คำว่ารู้ชัดก็มี เดินอยู่ก็รู้ชัด นั่งอยู่ก็รู้ชัด คำว่ารู้คืออะไร รู้ที่ท่านพูดมีความหมายนะ มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้ นะสอน จิตใจเป็นกุศลก็รู้ จิตใจมีความโลภก็รู้ มีความโกรธก็รู้ มีความหลงก็รู้ ฟุ้งซ่านก็รู้ หดหู่ก็รู้ สังเกตให้ดีนะ มีแต่คำว่า ‘รู้’ เต็มไปหมดเลยในสติปัฏฐาน จิตมีนิวรณ์ มีกามฉันทนิวรณ์ก็รู้ รู้ชัด มีพยาบาทนิวรณ์ก็รู้ เห็นไหม จิตมีอะไรต่ออะไรขึ้นมา ‘รู้’ ท่านสอน

เพราะฉะนั้น กิริยาที่เป็นหัวใจของการภาวนาในทางสายเอกทางสายเดียวคือคำว่า ‘รู้’ นี่เอง คำว่า ‘รู้’ มีสองนัยนะ อันแรก มีสติรู้สภาวธรรมที่กำลังปรากฏ คือรูปธรรมและนามธรรมที่กำลังปรากฏ อันที่สอง มีปัญญารู้ความจริงของสภาวะรูปและนามอันนั้น ความจริงของสภาวะรูปและนามก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา เพราะฉะนั้น คำว่า ‘รู้’ นี่ครอบคลุมนัยสองประการนี้ อันแรกรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น อันที่สองรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ตัวเรา ถ้ารู้อย่างนี้แหละถึงเป็นทางสายเอกทางสายเดียวเพื่อความพ้นทุกข์

CD สวนสันติธรรม 19

500310A

26.14 – 28.16

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ธรรมะคือธรรมดา แต่เราไปวาดภาพธรรมะเอาไว้ผิดธรรมดา

mp3 (for download) : ธรรมะคือธรรมดา แต่เราไปวาดภาพธรรมะไว้ผิดธรรมดา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : มันไม่ได้ยากเย็นเหมือนที่เราวาดภาพไว้ เราไปวาดภาพธรรมะเอาไว้ผิดธรรมดา ธรรมะคือธรรมดานั้นเอง เราเรียนธรรมดาของกาย ธรรมดาของใจ ธรรมดาของกายก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ธรรมดาของใจก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเหมือนกัน เรียนจนเห็นธรรมดา เรียนไปเรื่อย เห็นไปเรื่อย จนใจยอมรับความเป็นธรรมดาของกายของใจ ยอมรับแล้วมันไม่เที่ยงนิ ไปยินดียินร้ายอะไรกับมัน มันเป็นทุกข์นะ มันไม่ใช่เป็นสุข มันบังคับไม่ได้ มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่บังคับได้

CD สวนสันติธรรม 19

500310A

9.38 – 10.14

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อย่าทำสิ่งที่ผิดแล้วมันถูกเอง

mp3 (for download) : อย่าทำสิ่งที่ผิดแล้วมันถูกเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไม่ต้องสนใจการภาวนาที่ถูก อย่าทำสิ่งที่ผิดแล้วมันถูกเอง ถ้าพยายามจะทำให้ถูกนะมันจะไม่ถูกเลยเพราะแค่อยากจะปฎิบัติก็ผิดแล้ว อยากจะปฎิบัติก็ผิดแล้ว กิเลสแทรกแล้ว เพราะงั้นถ้าเมื่อไหร่จิตเป็นอกุศล หรือจิตเป็นกุศล จิตเป็นสุข จิตเป็นทุกข์ รู้ไปเรื่อย ๆ อย่างที่เค้าเป็นก็เรียกว่าปฎิบัติแล้ว ไม่ต้องดีก็ได้

CD สวนสันติธรรม 19

500310B

52.58 – 53.24

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การเจริญสติทำให้อนุสัยเหี่ยวแห้งไปเรื่อยๆ

mp 3 (for download) : การเจริญสติทำให้อนุสัยเหี่ยวแห้งไปเรื่อยๆ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม: ขอความเมตตาช่วยกรุณาแยกความแตกต่างระหว่างคำว่า อนุสัย กับ จริต ทีค่ะ ได้ทราบมาว่า อนุสัย นี่คือความเคยใจ และ จริต ก็คือความเคยใจ ก็มีปัญหาทั้งสองอย่างค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: คือ จริตนิสัย ‘อนุสัย’ นี่เป็นการสะสมของกิเลสไว้ สันดานที่ไม่ดีน่ะ เรียกว่า อนุสัย นะ ‘จริต’ เป็นเรื่องของความคุ้นเคย เป็นความคุ้นเคย อย่างใจเราคุ้นเคยที่จะโมโห คุ้นเคยที่จะโมโห ก็เรียกว่ามีจริตขี้โมโห มีโทสะจริต แต่มันจะมีโทสะจริตได้นี่ มันต้องมีสันดานขี้โมโหด้วย มีอนุสัยขี้โมโหด้วย เพราะฉะนั้น ตัวอนุสัยนี่จะเป็นตัวของกิเลส จริตเป็นตัวปรากฏขึ้นมาของกิเลส

โยม: หลวงพ่อคะ แล้วในกรณีนี้นะคะ คำว่า ได้ยินมาจากพระภิกษุนะคะบอกว่า การที่เราจะดับอนุสัยนี่ คงจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนอนุสัย โดยการเอาศีล สมาธิ ปัญญา เปลี่ยนอนุสัยที่เป็นกิเลสลงไปแทนใช่ไหมคะ ซึ่งเป็นลักษณะของพระอริยะขั้นสูงสุดใช่ไหมคะ คือการเปลี่ยนอนุสัยตรงนี้

หลวงพ่อปราโมทย์: อนุสัยเหรอ อนุสัยเป็นแค่กิเลสชั้นกลางๆ เท่านั้นเอง

โยม: เหรอคะ แล้วอะไรที่เป็นกิเลสที่สุด

หลวงพ่อปราโมทย์: ตัวสังโยชน์นะ ละเอียดยิ่งกว่าอนุสัยอีก ที่พระอริยะไปละ นี่ละสังโยชน์ สังโยชน์เป็นกิเลสที่ผูกมัดเราไว้ในโลก ผูกมันสัตว์ไว้ในภพ

โยม: ไม่ใช่ว่าอนุสัยเป็นส่วนที่นอนเนื่อง แล้วสังโยชน์เป็นตัวปรากฏของอนุสัย ไม่ใช่แบบนั้นเหรอคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: โอย อย่าเรียนอย่างนั้นนะ เดี๋ยวเวียนหัวตายเลย คืออย่างนี้ ในการปฏิบัติธรรมนี่ พอกิเลสผุดขึ้นมาเรามีสติรู้ทัน กิเลสก็ดับไป ทันทีที่เกิดสติไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมนี่ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อละกิเลส แต่แค่มีสติกิเลสก็ดับ ทีนี้พอกิเลสดับไปเราก็ไม่ทำตามความเคยชินเก่าๆ ที่กิเลสสอนให้ทำ ความเคยชินของเราก็ค่อยๆ เปลี่ยน อนุสัยก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไป อย่างแต่เดิมเราด่าไวมากเลย ใครมากระทบนะ เราโมโห เราด่าเลยนี่ พอกิเลสเกิดขึ้นมา โทสะเกิด เราก็ด่า อนุสัยนี่มันปรุงกิเลสหยาบขึ้นมา พอมันปรุงกิเลสหยาบขึ้นมาแล้วครอบงำใจเราได้ เราทำกรรมใหม่ มันจะสะสมอนุสัยให้มากขึ้น หลวงพ่อยกตัวอย่างนะ สมมติสาวๆ คนหนึ่งนี่บ่นไม่เป็นนะ พอแต่งงานแล้วจะบ่นเก่งขึ้นเรื่อยๆ ใช่ไหม เพราะต้องดูแลบ้าน ดูแลสามี ดูแลลูก ทีแรกก็อบรมสั่งสอนนะ ในที่สุดกลายเป็นยายแก่ขี้บ่น มันเคยชิน มันเคยชินไปเรื่อย

เพราะฉะนั้น ถ้าหากอนุสัยมันทำงานขึ้นมา แล้วเราก็ตอบสนองกิเลสไป อนุสัยจะยิ่งตัวใหญ่ขึ้น แต่ถ้าอนุสัยปรุงกิเลสขึ้นมา เรามีสติรู้ทันปั๊บ กิเลสดับไป อนุสัยลงทุนแล้วขาดทุน มันจะค่อยๆ ฝ่อไป เพราะฉะนั้นเราเจริญสตินี่ อนุสัยจะค่อยๆ เหี่ยวแห้งไปเรื่อยๆ

โยม: เพราะฉะนั้น คำว่า การเปลี่ยนอนุสัยนี่ โดยการเอาศีล สมาธิ ปัญญา ลงไปใส่นี่

หลวงพ่อปราโมทย์: มันเป็นสำนวน เป็นสำนวนนะ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เปลี่ยนอนุสัย

สวนสันติธรรม
CD: 17
File: 25500105.mp3
Time: 49.54 – 53.24

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ต้องอดทน ขันติเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

mp 3 (for download) : ต้องอดทน ขันติเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สวนสันติธรรม
CD: 18
File: 500523B.mp3
Time: 18.45 – 28.07

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อย่างไรถึงเรียกว่าตื่นครับหลวงพ่อ?

mp3 (for download) : อย่างไรถึงเรียกว่าตื่นครับหลวงพ่อ?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม: อย่างไรถึงเรียกว่าตื่นครับ ผมไม่ทราบว่าทำจิตอย่างไรดีครับหลวงพ่อ?

หลวงพ่อปราโมทย์ : คือ มันพูดยากนะว่าตื่นหน้าตาเป็นอย่างไร มันเหมือนถามหลวงพ่อว่าแอปเปิ้ลรสชาติเป็นอย่างไรนะ เคยไหมที่กำลังเผลอ ๆ อยู่แล้วรู้ว่าเผลอ กำลังใจลอยหนีไปคิดแล้วรู้ว่าหนีไปคิดแล้ว รู้ว่าเผลอไปคิดแล้ว มันจะมีภาวะแห่งความตื่นเกิดขึ้นช่วงเล็กนิดเดียวเลยสั้น ๆ มันจะตื่นขึ้นมา รู้สึกตัวขึ้นมา

คนทั่ว ๆ ไปมันตื่นเฉพาะร่างกาย แต่จิตใจจะไปอยู่ในโลกของความคิดความฝันตลอดเวลา ถ้าเมื่อไหร่เรารู้ทันว่าจิตแอบไปคิด ในพระไตรปิฎกบอกรู้ว่าวิตก รู้ในวิตก คือรู้ว่าจิตหนีไปคิด จิตจะตื่นขึ้นในฉับพลันนะ แต่ตื่นสั้นนิดเดียว ตื่นครั้งแรกยังดูไม่ออกนะ ต้องตื่นหลาย ๆ ทีจนจำสภาวะได้

CD สวนสันติธรรม 19

500310B

57.40 – 58.32

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สิ่งที่ได้จากวิปัสสนา

mp3 (for download): สิ่งที่ได้จากวิปัสสนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : “ทำวิปัสสนาแล้วสิ่งที่จะได้มาก็คืออันนี้…อันแรกเลยละความเห็นผิดว่ามีตัวเรา ในเบื้องปลายละความยึดถือในกายในใจนี้ แล้วก็ไม่ยึดถือสิ่งใดในโลก แล้วก็จะไม่ทุกข์เพราะสิ่งใดในโลกอีกแล้ว”

CD: สวนสันติธรรม 27

511115

17.31 – 17.46

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คนไม่มีศีลนั้นเปลือกนอกดูสวยงามแต่เน่าอยู่ข้างใน

mp3 (for download) : คนไม่มีศีลนั้นเปลือกนอกดูสวยงามแต่เน่าอยู่ข้างใน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณความเอื้อเฟื้อภาพจากบ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : จิตเน่าในคือพวกไม่มีศีลธรรม ก่อกรรมทำชั่ว บางคนดูถูกศีลนะ เจริญปัญญาได้แล้วไม่ต้องถือศีล เข้าใจผิด ไม่ถือศีลไม่ได้ ถ้าเราไม่ถือศีลนะปัญญาของเราจะเป็นปัญญาของมหาโจร งั้นเราต้องมีศ๊ล ถ้าเราทุศีลเมื่อไหร่นะก็เน่าอยู่ข้างใน เปลือกนอกดูสวยงามแต่เน่าอยู่ข้างใน นี่บรรลุมรรคผลไม่ได้

CD สวนสันติธรรม 19

500310B

36.15 – 36.44

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่ต้องเชื่อแต่ให้ลองดู

mp3 (for download) : ไม่ต้องเชื่อแต่ให้ลองดู

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ลองดูนะ ลองดู ไม่ต้องเชื่อนะแต่ให้ลองดู ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่อ้อนวอนให้เชื่อ แต่เป็นศาสนาที่ท้าให้ลองดู มีบทสวดมนต์อยู่อันหนึ่งบอกว่า เอหิปะสิโก พึงกล่าวกับผู้อื่นว่ามาลองดูเถิด มาลองดู

CD สวนสันติธรรม 19

500310B

25.11 – 25.31

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ปฎิบัติสมควรแก่ธรรมจนตัวเองเข้าถึงธรรมะ ถึงเรียกว่ามีบุญสมบูรณ์แบบ

mp3 (for download): ปฎิบัติสมควรแก่ธรรมถึงเรียกว่ามีบุญครบถ้วน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :

ยากเหลือเกินในสังสารวัฏ ที่จะได้ยินคำว่า วิปัสสนา แล้วก็รู้หลักของวิปัสสนา ยากมากนะ ถ้าไม่มีบุญจริง ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟังเรื่องของ วิปัสสนากรรมฐาน ก็ต้องมีบุญนะ มีบุญส่งมา ได้ยิน ได้พบสัตบุรุษ ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ ได้น้อมนำธรรมที่สัตบุรุษถ่ายทอดมาจากพระพุทะเจ้า เอาไปปฏิบัติ แล้วปฏิบัติสมควรแก่ธรรม จนตัวเองเข้าถึงธรรมะ ถึงเรียกว่า คนมีบุญร้อยเปอร์เซนต์

มีบุญเบื้องต้น ก็คือ ได้เกิดในประเทศที่มีศาสนาอยู่ อย่างคนไทยทั่วๆไปก็มีบุญได้เกิดในประเทศที่มีศาสนาอยู่ ศาสนาเราส่วนมากถ่ายทอดกันด้วยภาษาไทย อย่างคนต่างชาติมาเรียนที่วัดหลวงพ่อนะ หลวงพ่อสงสารมากเลย มันฟังกันไม่รู้เรื่อง มันเรียนยาก ยากมากเลย วัฒนธรรมอะไรก็ไม่ได้กล่อมเกลามา เพื่อจะให้เรียนรู้หลักของชาวพุทธ วัฒนธรรมก็แตกต่าง ความคิด ความเชื่ออะไรก็แตกต่าง คิดอะไรเป็นฟิสิกส์ไปหมดเลย นี่พวกเราบุญแล้วได้เกิดในแผ่นดินอย่างนี้ แค่นี้ยังไม่บุญพอ คนที่เกิดในแผ่นดินไทยเป็นมหาโจรก็มี เห็นไหม คนที่สนใจธรรมะ ได้มาฟังธรรมะ คนที่เที่ยวแสวงหาธรรมะก็เยอะนะ แต่เที่ยวแสวงเข้าวัดโน้น ออกวัดนี้ไปเรื่อยๆ มันไม่ได้ของอะไรเลย ได้ความสับสนไปด้วยซ้ำไป ถ้าได้ฟังธรรมแท้ๆ เรื่องการเจริญสติ เรื่องการทำวิปัสสนากรรมฐาน แล้วเอาไปทำได้ ถึงจะเรียกว่า คนมีบุญแท้ๆ มีบุญเต็มที่ มีบุญสมบูรณ์แบบ เพราะได้เข้าถึงธรรมะเลย ก่อนจะเข้าถึงธรรมะนะ ต้องฟังธรรมรู้เรื่องแล้วเอาไปปฏิบัติเอา

CD: สวนสันติธรรม 27

511115

10.34 – 12.29

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การปฏิบัติธรรมคล้ายขับรถ บางเวลาก็ต้องเหยียบคันเร่ง บางเวลาก็เหยียบเบรก

mp 3 (for download) : การปฏิบัติธรรมคล้ายขับรถ บางเวลาก็ต้องเหยียบคันเร่ง บางเวลาก็เหยียบเบรก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :

สมัยก่อนครูบาอาจารย์ท่านสอนสมาธินะ พอจิตใจเราสงบ เช่น เราพุทธโธ หรือ หายใจ จิตใจสงบแล้วมักจะขี้เกียจขี้คร้าน เพราะมีความสุข ท่านจะไล่ให้ออกมาพิจารณากาย หรือ ออกมาเจริญสติข้างนอกนี้ คนที่ติดในความสุข ความสงบ พอตัวเองออกมาทำงาน ไม่ชอบนะ มันเหนื่อย เหนื่อย มันคล้ายๆเรานอนมานานแล้วเลยขี้เกียจออกจากบ้าน พอออกมาแล้วรู้สึกเหนื่อยมาก รู้สึกร้อนมาก แต่พอเราออกมาทำงานไปเรื่อยๆ บางทีทำงานไปช่วงหนึ่ง เพลินกับงาน ไม่ยอมพักแล้ว คราวนี้เพลินกับงาน ครูบาอาจารย์ก็จะบอกว่า “ไปเพิ่มสมถะหน่อยช่วงนี้ ทำความสงบบ้าง พักบ้าง ให้จิตทำงานทั้งวันทั้งคืนไม่ดี ไม่มีแรง”

การปฏิบัติธรรมคล้ายๆขับรถนะ บางเวลาก็ต้องเหยียบคันเร่ง บางเวลาก็เหยียบเบรก ขาที่เหยียบคันเร่งกับขาที่เหยียบเบรกขาเดียวกัน ใช่ไหม ไม่ใช่เหยียบคันเร่งพร้อมกับเหยียบเบรก บางเวลาเราก็ต้องทำความสงบเข้ามา บางวันสงบมากแล้วนะ ก็ต้องออกมารู้กายรู้ใจ ฝืนๆมัน มันไม่อยากดู ไม่อยากรู้ เพราะว่ามันไม่สบาย

เคยอ่านประวัติท่านอาจารย์มหาบัว ท่านเล่า เคยอ่านไหม ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น บอกว่า ช่วงแรกๆไปอยู่กับหลวงปู่มั่นนะ เช้าๆหลวงปู่มั่นจะถามว่า “ท่านมหาท่านภาวนาเป็นอย่างไร ท่านบอกว่า มีความสุข ความสงบ” ทุกวันรายงานอย่างนี้ นานๆไป หลวงปู่มั่นท่านก็ดุเอานะว่า เอาแต่ความสุข ความสงบไม่ได้ ให้ออกมาพิจารณา ออกมารู้กายรู้ใจ ก็รู้ไปเถอะ พอท่านออกมาพิจารณา ท่านเริ่มต้นด้วยพิจารณากาย พิจารณาไปเรื่อย แล้วก็เพลิดเพลิน เช้าๆหลวงปู่มั่นมาถามอีก ท่านก็บอก หมู่นี้มีปัญญาดี เจริญปัญญา ทุกวันพูดแต่เจริญปัญญานะ ลืมสมถะอีก ท่านบอกจิตของท่านมันโลดโผน

เพราะฉะนั้น เราต้องดูตัวเองนะ ช่วงไหนควรเจริญปัญญา ช่วงไหนควรทำสมถะ สมถะเป็นที่พักผ่อนนะ ที่ดีไม่ใช่ไม่ดีนะ บางคนได้ยินหลวงพ่อพูด เจริญสติในชีวิตประจำวัน นึกว่าหลวงพ่อบอกไม่ต้องทำสมถะ เราทำเท่าที่เราทำได้ บางคนทำอย่างไรมันก็ทำไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลย ก็ไหว้พระสวดมนต์ไว้ก็ยังดีนะ ได้สมถะนิดๆหน่อยๆ

สวนสันติธรรม CD: 16
File: 25491104.mp3
Time: 25.55-28.33

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิปัสสนากรรมฐานทำไปเพื่ออะไร?

mp3 (for download): วิปัสสนากรรมฐานทำไปเพื่ออะไร

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ธรรมที่จะทำให้เราได้ธรรมะก็คือ วิปัสสนานั่นเอง วิปัสสนากรรมฐานทำไปเพื่ออะไร วิปัสสนากรรมฐานนะ ทำไปเพื่อถอดถอนความเห็นผิด ว่ามีตัวเรา อันนี้เบื้องต้นนะ วิปัสสนากรรมฐานเนี่ย เบื้องต้นทำไปเพื่อถอดถอนความเห็นผิด ว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวเรา วิปัสสนากรรมฐานในเบื้องปลายนั้น ทำไปเพื่อถอดถอนความยึดถือในกายในใจนี้

สองขั้นตอนนะ ไม่เหมือนกันหรอก เบื้องต้นจะละความเห็นผิดได้ โดยการทำวิปัสสนาแล้วจะละความเห็นผิด ว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวเรา มีกายมีใจนะ กายกับใจเป็นเรา มีเราอยู่ในกายในใจนี้ มีเรานอกเหนือจากกายจากใจนี้ มีตัวเราอยู่จริงๆ

เนี่ยถ้าทำวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นก็จะละความเห็นผิดว่ามีตัวเราได้

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๗
File: 511115.mp3
นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๒๙ ถึงนาทีที่ ๑๓ นาทีที่ ๓๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การปฎิบัติธรรมมี 2 ส่วน มีอะไรบ้าง?

MP3 (for download) : การปฎิบัติธรรมมี 2 ส่วน มีอะไรบ้าง?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :

ในความเป็นจริงการปฏิบัติธรรมมี ๒ ส่วนนะ ส่วนของ สมถะกรรมฐาน กับ วิปัสสนากรรมฐาน ส่วนของสมถะ ทำให้จิตใจสงบ ทำจิตให้ดี ทำจิตให้มีความสุขนะ ส่วนของวิปัสสนากรรมฐานนี้ ทำไปเพื่อให้เห็นความจริงของกายของใจ  สมถะกรรมฐานมีมาก่อนพระพุทธเจ้า ทำอย่างไรก็ไม่หลุดพ้นหรอก เพราะไม่สามารถทำให้เห็นกายเห็นใจตามความเป็นจริงได้ แต่เราก็ทำสมถะกรรมฐานเพื่อให้จิตใจมีเรี่ยวมีแรง พอจิตใจได้สงบ ได้พักผ่อน มีเรี่ยงมีแรงแล้ว มันพร้อมที่จะเจริญวิปัสสนาได้ดีนะ บางคนไม่สามารถทำสมถะได้ก็เริ่มที่วิปัสสนาไปก่อน แล้วสมถะเกิดทีหลัง เป็นไปได้ ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้

ครั้งหนึ่งพระอานนท์ท่านเคยสอนนะ สอนคนใครก็ไม่รู้จำไม่ได้แล้ว ท่านบอก “การปฏิบัติมีหลายแบบ แบบหนึ่งใช้สมถะนำ วิปัสสนาตามหลัง คือ ใช้สมาธินำปัญญา อีกแบบหนึ่ง ใช้ปัญญานำสมาธิ ทำวิปัสสนาไปเลยเดี๋ยวสมถะเกิดเอง อีกอย่างหนึ่ง ใช้สมถะแล้วก็วิปัสสนาควบคู่กันนะ ใช้สมาธิกับปัญญาควบคู่กัน เดินได้หลายแบบ” ยังมีแบบที่ ๔ นะ ไม่มีทั้งสมถะ และวิปัสสนา พวกอนาถาทั้งหลาย พวกที่ไม่ได้ภาวนา ส่วนแบบที่ไม่ได้เรื่องนี้นะ มีพวกที่ ๑ นี้ ไม่มีทั้งสมถะ และวิปัสสนา พวกที่ ๒ ทำแต่สมถะไม่ยอมทำวิปัสสนา พวกที่น่าสังเวชใจอีกพวกหนึ่ง ก็คือ พวกจะเอาแต่วิปัสสนาไม่เอาสมถะ

พระพุทธเจ้าสอนทั้ง ๒ อย่างนะ แต่ว่าเรารู้ว่าอะไรเป็นงานหลัก อะไรเป็นงานรอง อะไรเป็นงานตัวจริง อะไรเป็นงานสนับสนุน งานจริงๆของเรา ก็คือ งานวิปัสสนา รู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง สมถะเป็นงานสนับสนุน ทำให้จิตใจเราได้พักผ่อน มีเรี่ยวมีแรง เหมือนคนได้นอนพักมาเพียงพอ ไปทำมาหากิน สุขภาพแข็งแรง ทำมาหากินได้ดี สมถะก็ได้พักผ่อน พอพักผ่อนแล้วจิตใจมีเรี่ยวมีแรง แล้วก็มาเจริญปัญญา นี้บางคนทำสมถะไม่ได้ก็ไม่ต้องกังวลนะ เจริญปัญญาไปก่อน เดี๋ยวสมถะเกิดทีหลัง

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รากเหง้าของปัญหาทั้งหมดคืออวิชชา

mp 3 (for download) : รากเหง้าของปัญหาทั้งหมดคืออวิชชา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :

มันดิ้นหนีทุกข์ มันดิ้นหาความสุข มันถึงต้องทำงาน ถ้าเมื่อไหร่มันไม่ดิ้นหนีทุกข์ ไม่ดิ้นหาความสุขนะ มันก็ไม่ทำงาน นี้ทำไมมันถึงต้องดิ้นหนีทุกข์ดิ้นหาความสุข เพราะมันสำคัญมั่นหมายว่ามัน คือ ตัวเรา นั้นรากเหง้าของปัญหาทั้งหมด คือ อวิชชา เราไม่รู้ความจริง จิตใจนี้ไม่ใช่ตัวเราหรอก เราไปสำคัญมั่นหมายว่าเป็นตัวเราขึ้นมา ไปยึดถือว่าเป็นตัวเราขึ้นมา ก็อยากให้มันสุข อยากให้มันพ้นทุกข์ก็พามันดิ้นไปเรื่อย ยิ่งดิ้นยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งดิ้นนะ สัตว์ในโลกข้องอยู่ตรงนี้เอง ยิ่งดิ้นก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งดิ้นนะ ส่วนมากก็ดิ้นไปหาความสุขทางโลกๆ ตอบสนองกิเลสแล้วรู้สึกจะมีความสุข แต่พอได้มานะ ก็ไม่สะใจอีกต้องดิ้นอีก หรือ พวกเข้าวัดเข้าวา ฝึกทำความสงบนี้ เพื่อตอบสนองกิเลสตัวนี้แหล่ะ เพื่อเราจะได้มีความสุข อุตส่าห์เข้าวัดภาวนาก็เพื่อให้เรามีความสุข ไม่สามารถละความเห็นผิดว่าจิตเป็นเราได้ ไม่สามารถละความยึดถือในตัวจิตได้ นั้นการปฏิบัติจะเป็นแค่ลูบๆคลำๆไปเรื่อยๆแหล่ะ ไม่เข้าเป้าซะที ถ้าไม่เข้ามาที่จิตนะไม่ได้เป้าหรอก

หลวงปู่เทสก์ถึงขนาดสอนนะบอกว่า “ถ้าภาวนาเข้าถึงจิตถึงใจ ถึงจะได้แก่นสารของการปฏิบัติ ถ้าภาวนาไม่ถึงจิตถึงใจตัวเองนะ รู้ไม่เท่าทันจิตใจตัวเองนะ ยังอยู่ผิวๆนะ เปลือกๆ ปฏิบัติลูบๆคลำๆไปเรื่อยเลยนะ” เช่น ทำอย่างไรจิตจะสงบนะ วันนี้ทำสงบ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฟุ้งอีก มาทำอีก จิตสงบเพราะรักตัวเองนั่นแหล่ะ เพราะว่ายึดถือว่าจิตคือ ตัวเรา อยากให้มันดี นี้เป็นวิธีของคนดีนะ วิธีของคนชั่วก็วิ่งหาอารมณ์ภายนอก วิธีของคนดีก็คือ มาสำรวมจิตสำรวมใจเข้ามา ส่วนวิธีที่พระพุทธเจ้าค้นพบนะ หันหน้ามาเรียนรู้จิตใจตนเอง รู้ลงมาในกาย รู้ลงมาในใจ เพิกกายออกไปแล้วก็มาถึงจิตถึงใจ บางคนดูเข้าที่จิตได้เลยก็ดู บางคนดูเข้ามาที่จิตใจไม่ได้ ดูกายไปก่อน กายเป็นบ้านของจิต วันหนึ่งรื้อบ้านออกไปนะ เห็นเจ้าของบ้าน พอมาเห็นถึงตัวจิตตัวใจรู้เลย โอ้ ตัวนี้เองดิ้นรนแส่ส่ายหาความทุกข์ตลอดเวลา ทำไมดิ้นรนแส่ส่ายหาความทุกข์มาใส่ตัวเอง ก็มันอยากมีความสุขนะ แต่มันมีความสุขอยากด้วยวิธีที่โง่ๆ  ตะเกียกตะกายหาความสุขเข้าไป แต่ว่าได้มา คือ ความทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนเราเข้ามาดูจนเห็นความจริงเลย กายนี้ ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรานะ ดูเข้ามาตัวนี้นะ ถึงจะตัดดิ้นรนนี้ขาดออกไปได้ในวันหนึ่ง นั้นจิตใจต้องทำงานทั้งวันทั้งคืนหาความสุขไม่ได้เลยตลอดชีวิต

สวนสันติธรรม
CD: 17
File: 25491129.mp3
Time: 24.35-27.20

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ใจเราที่มีความทุกข์เพราะเรายอมรับความจริงไม่ได้

mp3 (for download): ใจเราที่มีความทุกข์เพราะเรายอมรับความจริงไม่ได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะฉะนั้นรู้สึกกายรู้สึกใจนะ กระทั่งเวลาเราจะตายขึ้นมา ดูร่างกายมันตาย แต่ใจของเราเป็นแค่คนดู ดูไปสบายๆ อะไรเกิดขึ้นในชีวิตนะรู้มันไป รู้ไปสบายๆ อย่างสมมุติว่าอยู่ๆ ตรวจร่างกาย หมอบอกเป็นมะเร็ง ทุกวันนี้คนเป็นมะเร็งเยอะมากเลย นะ หมอบอกว่าเป็นมะเร็ง เราก็ดูไปร่างกายมันเป็นมะเร็งนะ รักษาได้ก็รักษาไป รักษาไม่ได้เดี๋ยวก็ตาย ตอนจะตายก็นอนดูมันตายไป นะ ดูร่างกายมันตาย อย่าไปทุรนทุรายว่าอยากให้หาย อยากให้มันอายุยืนอะไรอย่างนี้

ถ้ามันอยู่ไม่ได้ก็ยอมรับสภาพ ถ้าเมื่อไหร่เรายอมรับสภาพนะ ใจเราจะสงบสุข ใจเราที่มีความทุกข์เพราะใจเรายอมรับความจริงไม่ได้ อย่างเราจะต้องแก่เรายอมรับไม่ได้เราก็กลุ้มใจใช่มั้ย ต้องไปหาอะไรมาทา สาวๆเนี่ยพอเริ่มใกล้วัยสามสิบชักกลุ้มใจละ ส่องกระจก อื้อตายละ ตีนกาขึ้น มีเงารางๆขึ้นมาละ นะ เป็นลางร้ายในชีวิต หาอะไรต่ออะไรมาทานะ ทาไปจนอายุสี่สิบ อื๊อ..มันเยอะกว่าเก่า ยังพากเพียรไม่เลิกยังสู้อีกนะ พออายุหกสิบแล้ว ป่วยการทาช่างมันเถอะ

ถ้าจะแก่แล้วยอมรับว่าแก่นะ ไม่กลุ้มหรอก ถ้าเจ็บยอมรับว่าเจ็บนะไม่กลุ้มหรอกนะ ถ้าจะตายต้องยอมรับว่า เออ..ร่างกายมันถึงเวลามันต้องตายก็ไม่กลุ้มหรอก เวลาเราจะต้องเจอสิ่งที่ไม่รัก เรายอมรับสภาพความจริง มันต้องเจอน่ะ คนเราต้องเจออะไรที่มันไม่ดีในชีวิตบ้าง เจอเสื่อมลาภเสื่อมยศ เจอนินทา เจอทุกข์อะไรอย่างนี้ ถ้ายอมรับได้มันก็ไม่ทุกข์นะ ถ้ายอมรับไม่ได้ก็ตัดพ้อต่อว่า ตีโพยตีพาย โทษใครไม่ได้ก็โทษดวง เอาดวงเอาอะไรมาอ้าง โทษคนอื่น ว่าคนอื่นมาทำเรา โทษโน่นโทษนี่ไป ยกเว้นโทษกิเลสตัวเองน่ะไม่โทษเลย สงวนรักษาที่สุดเลย นะ ตีโพยตีพายไป

หรือเราต้องเจอ ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เนี่ย นี่เป็นธรรมดาของโลก ไม่มีใครหรอกได้อยู่กับคนที่เรารักตลอดเวลา ถึงวันหนึ่งก็ต้องพลัดพรากใช่มั้ย มาคนเดียวไปคนเดียว ถึงเวลาก็พลัดพราก นะ ถ้าใจยอมรับไม่ได้ใช่มั้ย โอย..เสียดาย ต้องจากคนนี้ไปแล้ว จากภรรยาจากสามีไป จากลูก นะ นี่ห่วงมากเลย ตายแล้วไปเป็นเปรต เป็นเปรต ทำไมเปรตต้องคอยาว เพราะชะเง้อดูคนอื่นเขาเรื่อยๆ ชะเง้อ.. นะ  น่าสงสารนะ

แต่เปรตบางตัวสวยนะ … มีคนเล่าให้ฟัง มีคนใกล้ชิดเล่าให้ฟัง ว่าเคยเห็นเปรตพระนะ โอ้เปรตพระงดงาม พระเป็นเปรตเยอะนะ ไม่ใช่ไม่มี แต่ว่าถือศีลอยู่ ถือศีลอยู่แล้วก็สวยสดงดงาม แต่พลาดพลั้ง นะ เปรตพระนั้นหลงป่า หิวข้าว เที่ยวหาอาหาร หิวน่ะ ตายไปในขณะที่โลภะเกิด นะ ก็เป็นเปรต ยังเที่ยวเดินว่าจะหาทางออกจากป่ามาบิณฑบาตได้อย่างไร แต่ถือศีลมาดีนะ ก็เลยผ่องใสงดงาม ไม่ ไม่เกี่ยวกัน เพราะฉะนั้นเปรตสวยๆก็มีนะ เปรตน่าเกลียดก็มี คนสวยๆก็มี คนน่าเกลียดก็มี ใช่มั้ย ธรรมดา

ถ้าเมื่อไหร่ใจเรายอมรับทุกสิ่งที่มันกำลังปรากฎขึ้นในชีวิตเราได้เราจะไม่ทุกข์ อย่างคนกรุงเทพฯ ไปไหนมาไหนรถติด อยากให้ไม่ติดนะ จะทุกข์มากเลย ถ้ายอมรับสภาพว่า เออ..รถมันติดน่ะ เราก็เป็นคนหนึ่งที่ทำให้รถติดนะเพราะเพิ่มรถมาอีกคันหนึ่ง นะ ถ้ายอมรับสภาพได้ รถมันต้องติด มันก็ไม่กลุ้มนะ ยอมรับได้ว่าต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย มันก็ไม่กลุ้ม ยอมรับว่าจะต้องพบกับสิ่งที่ไม่รัก ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็ไม่กลุ้มใจ มันอยู่ที่ว่าใจเรายอมรับความจริงได้มั้ยที่กำลังปรากฎขึ้นมา ถ้าใจเรายอมรับสภาวธรรม ยอมรับความจริงที่กำลังปรากฎได้เราก็ไม่ทุกข์ ถ้ายอมรับไม่ได้ก็มีความทุกข์เกิดขึ้น

ทีนี้ทำอย่างไรจะยอมรับได้ ต้องไม่หนีความจริง นะ คอยดูกายคอยดูใจ ความทุกข์มันอยู่ที่กายที่ใจนี้แหละ คอยดูกายดูใจของตัวเองนะ อย่าดูของคนอื่น

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๗
FILE: 511204
นาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๓๓ ถึงนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News: กำหนดการเปิดสวนสันติธรรม เดือน พ.ค. 53

สวนสันติธรรม เปิดให้เข้าฟังธรรมทุก วันศุกร์ เสาร์ และ อาทิตย์ ของสัปดาห์

ประตูเปิดประมาณ 06.30 น เว้นวันพฤหัสบดีที่ 6 – 8 พ.ค. 53 วัดเปิด แต่ ปิดวันที่ 9 พ.ค. 53

เริ่มเทศน์ 07.30 -08.00 น (พักฉันเช้า) และเทศน์ต่อเวลา 08.40 – 10.00 น (จึงให้โยมออกจากวัด)

กรุณาตรวจสอบ ที่นี่ ก่อนวันเดินทาง


เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อ.สุรวัฒน์ไขปัญหาดูจิต

คำถาม

1. การดูจิตที่ หลวงพ่อปราโมทย์ สอนมานั้น คือ การดูลักษณะต่างๆที่จิตไปรับรู้ใช่ไหมครับ เช่น จิตฟุ้งซ่าน โกรธ พอใจ ยินดียินร้าย อะไรต่าง?

2. เหล่านี้ หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านเรียกว่า เจตสิก หรือเปล่าครับ แล้วเจตสิก มันต่างกับ อาการของจิต หรือเปล่าครับ?

- ตอบคำถาม

การดูจิตนั้น แรกๆก็จะเห็นว่า จิตฟุ้งซ่าน จิตมีราคะ จิตมีโทสะ จิตมีความยินดี ฯลฯ
ซึ่งเป็นการเห็นแบบที่รู้สึกว่า จิตกับเจตสิก เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่เห็นเป็นคนละส่วน
(ความฟุ้งซ่าน ราคะ โทสะ ความยินดี ฯลฯ เหล่านี้เป็นเจตสิกจิตที่เกิดร่วมกับจิตทุกดวง)
เมื่อหัดดูไปจนจำสภาวะต่างๆได้ จิตเองก็จะมีสติมีความตั้งมั่น (สติ ความตั้งมั่นก็เป็นเจตสิกเช่นกัน)
แล้วจะค่อยๆเกิดความเข้าใจว่า เจตสิกกับจิตเป็นคนละส่วนกัน
จะค่อยๆเข้าใจว่า จิตจะเป็นตัวทำหน้าที่รู้ ส่วนเจตสิกเป็นสิ่งที่เกิดร่วมกับจิตทุกดวง
เพราะฉะนั้น จึงไม่สามารถเห็นจิตล้วนๆได้
เนื่องจากจิตย่อมต้องมีเจตสิกต่างๆเกิดร่วมด้วยเสมอนั่นเอง
และจิตจะมีอาการปรากฏต่างๆกันไป ตามแต่ว่าจิตดวงนั้นจะมีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย

การดูจิต ไม่ว่าจะมองว่าเป็นการดูอาการของจิต หรือดูเจตสิก
จึงเท่ากับว่า เป็นการดูจิตที่มีอาการต่างๆ เป็นการดูจิตที่มีเจตสิกต่างๆเกิดร่วมอยู่
เพราะฉะนั้น ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า เป็นการดูอะไร
แต่ต้องเข้าใจว่า เราดูไปทำไม ดูไปเพื่ออะไร
ซึ่งการดูจิต ที่ไม่ว่าจะมีอาการอย่างไร มีเจตสิกอะไรเกิดร่วมอยู่
เราดูไปเพื่อให้เห็นว่า
จิตที่มีอาการต่างๆ จิตที่มีเจตสิกต่างๆเกิดร่วมอยู่ในแต่ละขณะนั้น
ล้วนแต่มีลักษณะที่เหมือนๆกันทุกดวงทุกขณะคือ
ล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน (เป็นไตรลักษณ์ เหมือนๆกันทุกดวง)

เมื่อเข้าใจแจ่มแจ้งในความเป็นไตรลักษณ์
ก็จะเกิดมรรค เกิดผล ปล่อยวางความเห็นผิด ปล่อยวางความยึดขันธ์ว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา
หากสามารถปล่อยวางความยึกขันธ์ได้หมดสิ้นจริงๆ
ก็จะมีสภาวะของการดำรงอยู่ของขันธ์ ที่แตกต่างไปจากเดิม
(จากที่ได้อ่านได้ฟังมา) คือขันธ์ก็ทำงานของขันธ์ไป แต่จิตจะไม่เกาะเกี่ยวอยู่กับขันธ์อีกต่อไป
หรือเป็นจิตที่พ้นจากทุกข์ (ทุกข์ก็ขันธ์อันเป็นที่ตั้งของอุปาทาน)
จิตที่พ้นจากทุกข์นี่เองที่มีชื่อเรียกกันไปว่า จิตหนึ่งบ้าง จิตเดิมแท้บ้าง
ตามแต่จะตั้งชื่อบัญญัติว่าอย่างไร

*********************************************************************

1. การจะดูจิตให้ถูกจริงๆนะ ต้องไม่จงใจใช่มั้ยครับ คือ ตอนฝึกแรกๆ ก็ต้องจงใจไปก่อน แต่ตอนหลัง ที่รู้สึกได้เองเนี่ย ต้องรู้แบบไม่จงใจเลยใช่มั้ยรับ

- ใช่ครับ

2. ได้ยินมาว่า ถ้ารู้แบบไม่จงใจได้แล้ว ก็คือ เตรียมเปิดประตูอริยมรรคแล้ว ใช่มั้ยครับ

- การรู้ได้เองโดยไม่จงใจ เป็นเบื้องต้นขอการมีสติ
มีสติได้แล้วต่อไปต้องหัดดูสภาวะด้วยความมีสติและตั้งมั่น เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ ให้เกิดปัญญา
ส่วนจะเป็นการเตรียมเปิดประตูอริยมรรคนั้น ไม่ต้องสนใจหรอกครับ
หัดมีสติรู้กายรู้ใจไปเถอะครับ สติปัญญาถึงพร้อมเมื่อไหร่แล้วก็จะเกิดอริยมรรคได้

***********************************************************************

1. โดยปกติแล้ว  สมถะ จำเป็นขนาดไหนครับ ผมเคยศึกษาจากหนังสือของ อ. (เพราะมันอ่านง่ายดี อ่านของหลวงพ่อแล้วมีศัพท์เยอะ) อ. บอกว่า ไม่ต้องทำสมาธิเลย แต่หลวงพ่อบอกว่า ต้องทำวันละนิดวันละหน่อย เลยชักไม่แน่ใจครับ

- ผมว่าผมไม่เคยเขียนหรือบอกนะครับว่า “ไม่ต้องทำสมาธิเลย”
แต่เคยบอกว่า ผมทำสมาธิไม่ได้ ทำแล้วฟุ้ง ง่วง หลับ
จึงต้องมาหัดรู้สึกตัวในชีวิตประจำวันเอา
:D
ซึ่งพอรู้สึกตัว จิตก็จะมีสมาธิ(ตั้งมั่น)ได้ชั่วขณะ
แต่ก็พอจะทำให้เห็นจิตเกิดดับได้
ส่วนหลวงพ่อจะบอกว่า อย่าทิ้งสมถะ
และบอกว่า ทุกวันให้ทำตามรูปแบบด้วย เพื่อให้จิตมีกำลังครับ

2. ในขั้นตอนของการทำสมถะนั้น มีหลักอย่างไรกันแน่ครับ ตอนที่หลวงตาท่านจิตเสื่อม ท่านว่า “จะให้จิตแนบกับคำบริกรรม ไม่ให้เผลอเลย เหมือนนักมวยบนเวที เผลอเมื่อไหร่ โดนน็อคเมื่อนั้น” อันนี้ มันจะไม่ขัดกับที่หลวงพ่อบอกว่า ใ้ห้รู้ตามความเป็นจริงเหรอครับ

- ถ้าจะทำสมถะก็ต้องจิตไปแนบอารมณ์ เพื่อให้จิตเกิดกำลังตั้งมั่นขึ้นมา
ซึ่งหากใครทำสมถะได้และต้องการทำสมถะ ก็ต้องทำไปตามขั้นตอนของการทำสมถะ
ส่วนที่หลวงพ่อบอกให้รู้ตามจริง (เช่นกรณีจิตไม่ตั้งมั่นก็ให้รู้ว่าไม่ตั้งมั่น)
เป็นการปฏิบัติสำหรับคนที่ทำสมถะไม่ได้ หรือเวลานั้นไม่เหมาะจะทำสมถะนะครับ
เช่นถ้าขับรถอยู่แล้วจะให้ทำสมถะก็คงไม่ได้
แต่สามารถรู้ได้ว่าจิตไม่ตั้งมั่น ซึ่งถ้ารู้ได้อย่างถูกต้องว่าจิตไม่ตั้งมั่น
จิตก็จะเกิดตั้งมั่นขึ้นมาชั่วขณะได้เช่นกัน

3. ถ้าทำแล้วอึดอัด ให้เลิกทำ หรือให้ทำต่อไปกันแน่ครับ เพราะเคยอ่านประวัติครูบาอาจารย์มา อย่างหลวงตา และ หลวงพ่อพุธท่านถามตอบปัญหาธรรมะ คล้ายๆกับว่า ระยะแรก มันต้องอึดอัด เป็นเรื่องปกติ คล้ายๆกับว่า เราปล่อยเด็ก(จิต)ให้มันไปตามสบายของมัน จะมาบังคับให้มันอยู่กับคำบริกรรม มันก็อึดอัดในช่วงแรกๆ หรือบางทีเราไปคาดหวังผลมากไปว่าจิตต้องสงบ หลวงพ่อพุธท่านเคยบอกว่า บางคนจิตมันจะลงเนี่ย เหมือนจะขาดใจตายก็มี ถ้าใครสติไม่พอ กลัวตายจิตมันก็ไม่รวมลง

- คุณ student ชอบแบบไหนละครับ
ถ้าชอบที่จะเห็นความอึดอัดแล้วจิตรวมลงไปเกิดสัมมาสมาธิได้
ก็ให้ทำไปแบบที่ครูบาอาจารย์ท่านทำมา
แต่ถ้าอึดแล้วจิตไม่รวมลงไป แต่กลายเป็นยิ่งเครียดมากขึ้น ยิ่งฟุ้งซ่านมากขึ้น
อันนี้ก็ไม่เหมาะที่จะทำต่อแล้วครับ เพราะจะไม่เกิดสัมมาสมาธิ
และยังเกิดอกุศลมากขึ้นไปอีก

รายละเอียดของการภาวนาของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกันนะครับ
แต่หลักต้องเหมือนกันคือ
ทำแล้วต้องเกิดสติ เกิดสัมมาสมาธิ(จิตตั้งมั่น) เห็นไตรลักษณ์ของรูปนามได้ครับ
เพราะฉะนั้นใครถนัดจะตามรอยครูบาอาจารย์ใด ก็เดินตามรอยท่านไปเถอะครับ
หากลังเลสงสัยในแนวทางก็ต้องศึกษาให้รอบคอบ แล้วก็ลองปฏิบัติดู
แนวไหนที่เราเห็นว่าถูกและสามารถปฏิบัติตามได้ ก็เลือกเอาอันนั้นแหละครับ
ไม่จำเป็นต้องมาดูจิตทุกคนหรอกครับ

**********************************************************************************

อ้างอิง : http://wimutti.net/forum/index.php?topic=2796.0

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

พระพุทธเจ้าสอนอะไร?

MP3 (for download): พระพุทธเจ้าสอนอะไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : พระพุทธเจ้าสอนให้รู้สึกตัวนะ สอนง่ายๆ ภิกษุทั้งหลายหายใจออกก็รู้สึก หายใจเข้าก็รู้สึก ใช่ไหม ภิกษุทั้งหลายยืนอยู่ก็รู้ชัดว่ายืนอยู่ เดิน นั่ง นอน รู้ชัดว่า เดิน นั่ง นอนอยู่ ภิกษุทั้งหลายมีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้ เฉยๆก็รู้ สอนง่ายๆ สอนให้รู้ ภิกษุทั้งหลายจิตมีความโกรธก็รู้ จิตไม่มีความโกรธก็รู้ จิตโลภก็รู้ จิตไม่โลภก็รู้ จิตหลงก็รู้ จิตไม่หลงก็รู้ สอนให้รู้นะ แถมท่านยืนยันซะอีกว่า สติปัฏฐาน คือ การรู้กายรู้ใจอย่างนี้ เป็นทางเอกทางเดียว เพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น ไม่มีทางที่ ๒ นะ

พวกเราเรียนไม่ดีเราก็มั่วซั่วเอา แทนที่เดินอยู่จะรู้สึก เห็นรูปมันเดิน จิตเป็นคนดู แทนที่จะรู้สึกแบบนี้นะ ก็ไปเดินให้มันผิดมนุษย์มนา เดินมีกระบวนท่าอะไรแปลกๆขึ้นมา เดินต้องมีเท่านั้นจังหวะ เท่านี้จังหวะ ไม่ใช่วิปัสสนาหรอกนะ หรือ พระพุทธเจ้าสอนให้หายใจเข้ารู้สึก หายใจออกรู้สึก ให้รู้สึกตัว ของเราก็ไปกำหนดลมหายใจให้จิตแนบอยู่กับลม ให้มันนิ่งๆอยู่กับลม ก็ใช้อะไรไม่ได้ บางทีก็กำหนดลม กระทบฐาน กระทบฐาน กระทบฐาน เรื่องของสมถะทั้งสิ้นเลย

คำสอนที่เป็นสมถะกรรมฐานนี้ มันแทรกเข้ามาในคำสอนของพระพุทธเจ้ามากมายเหลือเกิน นั้นเราต้องระมัดระวังให้ดีนะ ใครๆก็อ้างคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เวลาลงมือปฏิบัติจริงนะ มันไม่ใช่ ประโยคที่พูดบางทีเหมือนหลวงพ่อเปี๊ยบเลยนะ พูดประโยคเดียวกันเลย แต่ว่าเวลาลงมือปฏิบัติกำหนดทั้งนั้นเลย เพ่งทั้งนั้นเลยนะ ไอ้ที่จะรู้เนื้อรู้ตัวแท้ๆแทบไม่มีเลย หายากที่สุดเลย นั้นต้องระมัดระวังนะ ต้องเรียนให้ดีก่อน ไม่งั้นหลงอะไรง่ายๆ พลาดได้ง่ายๆ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คำถามของนักภาวนาเกี่ยวกับการนั่งภาวนา

MP3 (for download) : คำถามของนักภาวนาเกี่ยวกับการนั่งภาวนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 1 of 3123