Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

เมื่อสติสมาธิปัญญาเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติแล้ว ไม่มีการแบ่งแยกสายของการปฏิบัติอีกต่อไป

mp3 for download :เมื่อสติสมาธิปัญญาเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติแล้ว ไม่มีการแบ่งแยกสายของการปฏิบัติอีกต่อไป

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ฝึกเอานะ ค่อยๆดูสภาวะ สภาวธรรมนี้แหละของจริง ดูให้เห็นความจริง คือเห็นไตรลักษณ์

การปฏิบัติในเบื้องต้นน่ะ มันมีสายโน้นสายนี้ สายพุทโธ สายอาณาปานสติ สายพองยุบนะ สายโคเอนก้า สายอะไรต่ออะไร สายหลวงพ่อเทียน-ทำจังหวะ เยอะแยะไปหมดเลย นั่นเป็นเบสิคหรอก มีสาย ถ้าทำเป็นแล้วเนี่ย สติตัวจริงเกิด สมาธิตัวจริงเกิด ปัญญา เดินปัญญาได้ สติก็อัตโนมัติ สมาธิก็อัตโนมัติ ปัญญาอัตโนมัติ สติ-สมาธิ-ปัญญาอัตโนมัติแล้ว ไม่มีสายอีกต่อไปแล้ว

บางทีสติก็ระลึกรู้กาย ก็เห็นความจริงคือไตรลักษณในกาย บางทีสติระลึกรู้ในเวทนา ก็เห็นความจริงในเวทนา-เวทนาคือความสุขทุกข์ทั้งหลาย บางทีสติระลึกรู้ความปรุงแต่งที่เป็นกุศล-อกุศลในจิต ก็เห็นไตรลักษณ์ กุศลก็แสดงไตรลักษณ์ อกุศลก็แสดงไตรลักษณ์ บางทีสติระลึกรู้จิตที่เกิดดับทางทวารทั้ง ๖ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ก็เห็นจิตแสดงไตรลักษณ์

เราเลือกไม่ได้ว่าสติจะระลึกรู้กาย หรือระลึกรู้เวทนาคือความสุขทุกข์ ระลึกรู้สังขารคือความปรุงดีปรุงชั่ว หรือระลึกรู้วิญญาณ-ความรับรู้-หรือจิตทีเกิดทางทวารทั้ง ๖ คือ เกิดที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราเลือกไม่ได้ สติเป็นอนัตตา-สั่งไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่มีสายอีกต่อไปแล้ว

ถ้าสติระลึกรู้กายก็จะเห็นอะไร เห็นไตรลักษณ์ในกาย สติระลึกรู้เวทนาก็เห็นไตรลักษณ์ในเวทนา สติระลึกรู้สังขารก็เห็นไตรลักษณ์ในสังขาร สติระลึกรู้วิญญาณคือตัวจิตเอง ก็เห็นไตรลักษณ์ในจิต

ถามว่าเห็นอะไร ไม่ว่าระลึกรู้อะไรก็เห็นไตรลักษณ์ นั่นแหละถึงจะเรียกว่า “วิปัสสนา” นะ เห็นกายไม่ใช่วิปัสสนา เห็นจิตไม่ใช่วิปัสสนา เพราะฉะนั้นสายกายสายจิตอะไรก็ยังไม่ขึ้นวิปัสสนานะ ต้องเห็นไตรลักษณ์


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันเสาร์ที่ ๗ เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๕๖ ก่อนฉันเช้า
FILE : 560907B
CD : สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๕๑
ระหว่างนาที่ที่ ๓ วินาทีที่ ๓๓ ถึง นาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๕๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รูปบางอย่างเกิดจากจิตสั่ง รูปบางอย่างไม่ได้เกิดจากจิตสั่ง

mp3 for download : รูปบางอย่างเกิดจากจิตสั่ง รูปบางอย่างไม่ได้เกิดจากจิตสั่ง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ภาพจากวัดพระธาตุโกฏิแก้ว
เอื้อเฟื้อภาพโดย คุณ มโน มยา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ตอนนี้พวกเรานั่งอยู่ รู้สึกมั้ย กำลังนั่งอยู่ รู้สึกมั้ย ยากมั้ย รู้สึกเห็นร่างกายนั่ง ไม่ยาก แต่ชอบลืม ใช่มั้ย ชอบไม่รู้สึก ชอบไปคิดเรื่องอื่น ร่างกายนั่งอยู่ ไม่รู้สึก ร่างกายพยักหน้า รู้สึกมั้ย ถ้ารู้สึกจะเห็นเลย ไอ้นี่ไม่ใช่เราแล้ว เป็นอะไรตัวหนึ่ง กระดุ๊กกระดิ๊กๆไป ตามที่จิตสั่ง บางทีก็สั่งได้ บางทีก็สั่งไม่ได้นะ

รูปบางอย่างเกิดจากจิตสั่ง เรียกว่า จิตตชรูป ยกตัวอย่างรูปเคลื่อนไหว จิตเป็นคนสั่ง รูปบางอย่างเคลื่อนไหว แต่จิตไม่ได้สั่ง ยกตัวอย่างเช่นเวลาชักกระแด็กๆนะ จิตไม่ได้สั่งให้ชักเลยนะ มันชักของมันเอง

รูปเกิดได้หลายอย่าง เกิดจากกรรมก็ได้ เกิดจากสิ่งแวดล้อมก็ได้ เกิดจากอาหารก็ได้ เกิดจากจิตก็ได้

หายใจออกหายใจเข้า รู้สึกมั้ย รู้สึกไปอย่างสบายๆนะ ไม่ใช่รู้สึกแบบแปลกพิศดาร รู้สึกแบบเคร่งเครียด ไร้สาระ รู้สึกสบายๆ เกาแล้วรู้สึกมั้ย เกา เกายุกยิกๆ ผู้หญิงสาวๆสวยๆแต่งตัวดีๆนะ บางทีแคะขี้ฟันเฉยเลย นั่งฟังเทศน์ก็แคะไปเรื่อย ไม่รู้หรอก ร่างกายเคลื่อนไหวก็ไม่รู้สึก เคยเห็นคนโทรศัพท์มั้ย เดินโทรฯไป ทำท่าทางแปลกๆไปด้วย เคยเห็นมั้ย ทำท่าแปลกๆ มีร่างกายแต่เขาไม่รู้สึก

พวกเราคอยรู้สึก มีร่างกายแล้วก็คอยรู้สึกไป ร่างกายนั่งอยู่-รู้สึก ร่างกายหยุดนิ่ง-รู้สึก ร่างกายเคลื่อนไหว-รู้สึก ร่างกายหายใจออก-รู้สึก ร่างกายหายใจเข้า-รู้สึก ร่างกายยืนเดินนั่งนอน-รู้สึก รู้สึกสบายๆ แค่รู้สึก รู้สึกไปเรื่อยๆนะ ใจเราเป็นคนดูสบายๆ มันก็จะเริ่มเห็น ร่างกายไม่ใช่ตัวเราหรอก


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันเสาร์ที่ ๗ เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๕๖ ก่อนฉันเช้า
FILE : 560907A
CD : สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๕๑
ระหว่างนาที่ที่ ๑๒ วินาทีที่ ๒๐ ถึง นาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๑๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตรวมเข้ากับกายกลายเป็นกู

mp3 for download : จิตรวมเข้ากับกายกลายเป็นกู

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณภาพจาก บ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : ส่วนใครชอบทำสมาธิ มาแยกมาเรียนต่างหาก ทำสมาธิแล้วมาดูกายหลวงพ่อก็สอนได้ ไม่ยากอะไร เคยทำ ไม่ใช่ไม่เคยทำ แต่เห็นว่าคนรุ่นเราเนี่ย ฟุ้งซ่านมาก คิดมาก ดูจิตนั้นง่ายที่สุดแล้ว เพราะนั่งสมาธิไม่เป็น นั่งสมาธิไม่ได้ ดูกายไม่ได้ดีหรอก ดูกายแล้วจะไม่เห็นว่า กายกับจิตมันคนละอันกันนะ กายมันทำงานจิตเป็นคนดู มันไม่ค่อยเห็นหรอก

จิตมันจะรวมเข้ากับกายเป็นก้อนเดียวกัน พอจิตรวมเข้ากับกายแล้วมันจะกลายไปเป็นอะไร “เป็นกู” จิตรวมเข้ากับกายกลายเป็นกูนะ จิตบวกกาย เท่ากับกู มีสมการนะ เอ้า..ต่อไปให้ส่งการบ้าน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ต.บางพระ อ.ศรีราชา ชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันเสาร์ที่ ๔ เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕
File: 550804B
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
ระหว่างนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๕๐ ถึงนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๓๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เชื่อพระพุทธเจ้าก็ต้องตั้งใจภาวนา

mp3 for download : เชื่อพระพุทธเจ้าก็ต้องตั้งใจภาวนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณภาพจากบ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : เมื่อจิตของเราถอยตัวออกมาเป็นคนดูแล้วนะ เราก็มาเจริญปัญญาต่อ ถ้าไม่เจริญปัญญาจะยังไม่ใช่เนื้อแท้ในธรรมะของพระพุทธเจ้าหรอกนะ เพราะลักษณะธรรมะของพระพุทธเจ้าคือ มักน้อย สันโดษ ไม่คลุกคลี เป็นไปเพื่อความมีศีล เพื่อความมีสมาธิ เพื่อความมีปัญญา และสุดท้ายก็คือต้องหลุดพ้นในเวลาอันสั้นด้วย

ไม่ใช่ว่าทำไปชาตินี้แล้วอีกแสนชาติถึงจะบรรลุนะ นั่นสิ้นหวังเกินไปนะ ไม่ใช่คำสอนแท้ๆของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านสอนท่านเน้นปัจจุบันนะ ทุกวันนี้มีการไปสอนกันนะว่า ยุคนี้ไม่มีพระอรหันต์ ยุคนี้ไม่มีพระอริยะแล้ว ต้องรอพระศรีอริยเมตตรัย พระพุทธเจ้าบอกเองแหละว่า ตราบใดที่โลกยังมีผู้เจริญสติปัฏฐานอยู่ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ เราจะเชื่อใครนะ เชื่อพระพุทธเจ้าก็ต้องตั้งใจภาวนานะ ทำมรรคผลให้เกิดขึ้นในชีวิตนี้ อย่าท้อแท้สิ้นหวังกับคำสอนเลื่อนๆลอยๆว่าไม่มีโอกาสจะบรรลุมรรคผลแล้ว ทำให้ถูกแล้วก็ทำให้มากพอนะ ก็ได้เองแหละ

เพราะฉะนั้น เมื่อใจเราตั้งมั่นแล้วนะ เราก็จะดูกายมันทำงาน ดูใจมันทำงาน เราจะเห็นเลยว่า ร่างกายไม่ใช่จิตใจ ร่างกายเหมือนเปลือก เหมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง จิตเป็นคนดู กายไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายนี้ถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา หายใจเข้าก็ทุกข์หายใจออกก็ทุกข์ ยืนเดินนั่งนอนมีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเลย

มาดูจิตดูใจด้วยจิตที่ตั้งมั่นก็จะเห็นว่า ความสุขความทุกข์ กุศล-อกุศลทั้งหลาย ไม่ใช่จิตหรอก เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป จิตเป็นคนไปรู้ไปเห็นเข้านะ และทั้งหมดนั้นเป็นของไม่เที่ยง ความสุขความทุกข์ กุศล-อกุศลทั้งหลาย เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็บังคับไม่ได้ สั่งให้สุขก็ไม่ได้ ห้ามทุกข์ก็ไม่ได้ สั่งให้ดีก็ไม่ได้ ห้ามชั่วก็ไม่ได้ บังคับมันไม่ได้ กระทั่งตัวจิตที่เป็นตัวรู้เองก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด เดี๋ยวก็รู้สึกตัว เดี๋ยวก็หลงไป ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์เหมือนกัน ไม่เที่ยงเหมือนกัน สุดท้ายก็จะเห็นแต่สิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่มีอะไรเที่ยงสักอย่างเดียว แม้กระทั่งตัวจิตเอง ไม่มีอะไรสักอย่างเดียวที่บังคับได้ แม้กระทั่งตัวจิตเอง

แต่ถ้าเราไปทำสมถะเพ่ง เราจะรู้สึกว่า จิตนี้เป็นตัวเรา จิตเป็นอัตตา เราบังคับได้

แต่ถ้าเดินปัญญา ทำวิปัสสนา อย่างที่ว่าเนี่ย จะเห็นเลยว่า “สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไป เป็นธรรมดา” สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไร สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือตัวทุกข์เท่านั้นเอง ไม่มีอย่างอื่นเลย ถ้าเห็นว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับจะเป็นพระโสดาบัน ถ้าเห็นว่ามีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ที่ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์ที่ดับไป ขันธ์ทั้งหลายเป็นตัวทุกข์ จะเป็นพระอรหันต์นะ

เพราะฉะนั้นเราก็ต้องปฏิบัติอย่างนี้ และจะได้ผลในเวลาไม่นาน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓๐ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๙
File: 560209A
ระหว่างนาทีที่ ๓๒ วินาทีที่ ๔๘ ถึงนาทีที่ ๓๕ วินาทีที่ ๓๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันสันตติ

mp3 for download :ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันสันตติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เวลาที่จิตเป็นผู้รู้ขึ้นมาแล้ว แยกขันธ์ได้แล้ว เวลาดูรูปดูแบบหนึ่งนะ เวลาดูนามธรรมดูอีกแบบหนึ่ง ดูรูปเป็นปัจจุบันขณะ ดูนามธรรมเป็นปัจจุบันสันตติ คนละอันกัน

ปัจจุบันขณะ ขณะสดๆร้อนๆนี้เลย ปัจจุบันสันตติ สืบเนื่องกับปัจจุบัน ยกตัวอย่างดูจิตเนี่ย จิตหลง เรารู้ว่าจิตหลง ตรงที่รู้ว่าจิตหลงนั้นจิตไม่หลงแล้ว ตัวที่หลงไปมันดับไปสดๆร้อนๆ เราเกิดตัวรู้ว่าหลง ติดๆกันขึ้นมา อย่างนี้เรียกว่ามีปัจจุบันสันตติ ไม่เหมือนกัน ถ้าดูรูปนั้นดูปัจจุบันเลย ตัวที่เคลื่อนไหวอยู่นี้ ไม่ใช่เรา นี่ต้องค่อยๆเรียนไปนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒o เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

File: 550120
CD : สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
ระหว่างนาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๔๖ ถึงนาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๒๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คำว่า “อารมณ์” ในพระพุทธศาสนา หมายถึงสิ่งที่ถูกรู้

mp3 (for download) : คำว่า “อารมณ์” ในพระพุทธศาสนา หมายถึงสิ่งที่ถูกรู้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : มันจะมีสองอย่างเกิดร่วมกัน ก็คือจิต ซึ่งเป็นผู้รู้ กับอารมณ์ คำว่าอารมณ์เนี่ยเป็นศัพท์เฉพาะเป็นเทคนิคอลเทอมของพระพุทธเจ้านะ คำว่าอารมณ์ไม่ใช่ Emotion อารมณ์หมายถึง Objective หมายถึงสิ่งที่จิตไปรู้เข้า

เพราะฉะนั้นมันจะมีผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ มี Ojectvie กับ Subjective จะมี ๒ ตัว เกิดร่วมกันเสมอ ไม่เกิดตัวเดียวหรอก เราพยายามแยก ๒ ตัวนี้ออกจากกัน ร่างกายยืนเดินนั่งนอนนี้เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า จิตซึ่งเป็นคนที่ไปรู้ร่างกายที่ยืนเดินนั่งนอนนั้น เป็นคนละส่วนกับร่างกาย ค่อยๆหัดอย่างนี้

นั่งไปนานมันปวดมันเมื่อยก็เห็นอีก ความปวดความเมื่อยเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ความปวดความเมื่อยไม่ใช่ร่างกาย ร่างกายมันนั่งมาก่อน ความปวดความเมื่อยมันมาทีหลัง เพราะฉะนั้นเป็นคนละอันกัน ความปวดความเมื่อยไม่ใช่ร่างกายหรอก และความปวดความเมื่อยก็ไม่ใช่จิต เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า พอมันปวดก็อย่าเพิ่งขยับ นั่งดูมันไปเรื่อย หัดแยกไป ร่างกายอยู่ส่วนหนึ่งความปวดความเมื่อยอยู่ส่วนหนึ่ง จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ส่วนหนึ่ง อย่าเพิ่งเปลี่ยนอิริยาบถ อดทนไว้ก่อน อยากได้ของดีเบื้องต้นทนไว้หน่อย

พอนั่งไปนานมันปวดมากนะ ใจมันเริ่มทุรนทุราย ใจมันเริ่มกระสับกระส่าย เริ่มกังวล นั่งนานๆจะเป็นอัมพาตมั้ย นั่งนานๆถ้าจะไม่ดี อะไรอย่างนี้ เปลี่ยนอิริยาบถเสียเถิด หลวงพ่อปราโมทย์บอกให้ทางสายกลาง นั่งนานไปทรมานเป็นอัตตกิลมถานุโยค นี่กิเลสหลอกทั้งนั้นเลย จิตมันดิ้นรนแล้ว ความฟุ้งซ่านของจิตมันเกิด พอมันเจ็บปวดมากๆนะ จิตมันฟุ้งซ่าน เราก็ดูลงไป ความฟุ้งซ่านเนี่ย ไม่ใช่ความเจ็บปวด ความเจ็บปวดมันอยู่ที่ร่างกาย ความฟุ้งซ่านมันอยู่ที่ใจเรา เพราะฉะนั้นความเจ็บปวดกับความฟุ้งซ่านเป็นคนละขันธ์กัน คนละอันกัน ความฟุ้งซ่านไม่ใช่ร่างกาย ไม่ใช่ความเจ็บปวด ไม่ใช่เวทนา ไม่ใช่จิต แต่เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒o เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

File: 550120
CD : สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
ระหว่างนาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๕ ถึงนาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูรูปกับดูนามนั้น ดูเป็นปัจจุบันไม่เหมือนกัน

mp3 (for download) : ดูรูปกับดูนามนั้น ดูเป็นปัจจุบันไม่เหมือนกัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณความเอื้อเฟื้อภาพจากบ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะฉะนั้นการดูจิตดูใจนะ เราจะดูตามหลังไปเรื่อยๆ ตามไปติดๆ เนี่ยบางคนบอกว่าหลวงพ่อปราโมทย์สอนผิด ไม่ดูปัจจุบัน ดูรูปกับดูนามนั้น คำว่าปัจจุบันนั้นไม่เหมือนกัน

ถ้าดูร่างกายนะเขาเรียกว่าปัจจุบันขณะคือในขณะนี้เลย ถ้าดูนามธรรมเนี่ยใช้ปัจจุบันสันตติ คือส่วนที่สืบเนื่องกับปัจจุบัน ทำไมดูปัจจุบันแท้ๆไม่ได้ ยกตัวอย่างเห็นจิตมีโทสะเนี่ย จะรู้ว่ากำลังมีโทสะ รู้ไม่ได้ เพราะทันทีที่สติเกิด โทสะดับไปเรียบร้อยแล้ว มันเลยเป็นการตามหลังตลอด

พระพุทธเจ้าก็สอนอย่างนั้นนะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตมีราคะ ให้รู้ว่ามีราคะ เห็นมั้ยราคะเกิดก่อนแล้วค่อยรู้ว่ามีราคะ จิตไม่มีราคะ ก็รู้ว่าไม่มีราคะ ความไม่มีราคะเกิดก่อนเพราะราคะดับไป แล้วก็ค่อยรู้เอา ดูกรภิกษุทั้งหลายจิตมีโทสะ โทสะเกิดแล้วก็ค่อยรู้ ค่อยรู้ว่ามีโทสะ เห็นมั้ยจิตไม่มีโทสะ ก็รู้ว่าไม่มีโทสะ กิเลสเกิดไปก่อน แล้วรู้ทีหลัง ตามหลังอย่างนี้แหละ

ค่อยๆหัดนะ หัดไปเรื่อย จนใจฉลาดขึ้น ดูความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง ดูกายจะเห็นตัวทุกข์ได้ชัด ถ้าดูจิตจะเห็นอนิจจังและอนัตตาได้ชัด ดูจิตนั้นดูให้เห็นตัวทุกข์ได้ยาก แต่ว่าบางคนเนี่ยจะต้องเห็นจิตเป็นตัวทุกข์นะ ถึงจะข้ามภพข้ามชาติได้ พวกที่ทรงสมาธิมากๆเนี่ย เวลาจะบรรลุพระอรหันต์เนี่ย จะต้องบรรลุด้วยการเห็นจิตเป็นตัวทุกข์


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันเสาร์ที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖

File: 551208A
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๒๘ ถึงนาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้ อย่างเป็นวิหารธรรม

mp3 for download : รู้ อย่างเป็นวิหารธรรม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :ส่วนไม่ยากอะไร เฝ้ารู้ความปรุงไป ดูไป ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ก็มีแต่รูปกับนาม ให้หาอารมณ์อันใดอันหนึ่งนะ ที่เหมาะกับเรา จะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้ ดูกาย ดูเวทนา ดูจิต ดูธรรมก็ได้ อะไรก็ได้ รู้อย่างเป็นวิหารธรรม เป็นเครื่องอยู่ของจิต

เรารู้กาย ยกตัวอย่างเช่นเรารู้ลมหายใจ รู้ลมหายใจแบบเป็นวิหารธรรม เป็นเครื่องอยู่ของจิต ไม่ได้ไปเพ่งห้ามจิตเคลื่อนไปจากลมหายใจ ไม่ใช่ อันนั้นไม่ขึ้นวิปัสสนาหรอก รู้ลมหายใจพอเป็นเครื่องอยู่ของจิต รู้ไปเพื่อจะแผดเผากิเลส เรียกว่า อาตาปี ไม่ใช่รู้ไปเพื่อหาความสุขความสบาย รู้ไปเพื่อจะสู้กับกิเลส มีสัมปชัญญะ รู้ว่าเรารู้ลมหายใจนี้เพื่ออะไร มีสติ ไม่หลงลืมลมหายใจนี้

ถ้ารู้ไปเรื่อย.. ก็จะถอดถอนความยินดียินร้ายในโลกออก เรียกว่า อาตาปี สัมปชาโน สติมา วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสะ ถอดถอนความยินดียินร้ายในโลก ไม่ยึด

เพราะฉะนั้นเรารู้กายรู้ใจไปนะ รู้แบบเป็นเครื่องอยู่ ไม่ได้อยู่แบบเป็นคุกขังจิต ไม่ได้ห้ามจิตเคลื่อนไปจากร่างกาย ห้ามจิตเคลื่อนไปจากเวทนา ไม่ได้บังคับจิตให้นิ่งให้ว่าง ไม่ใช่ รู้เพียงแต่สักว่าอาศัยรู้เท่านั้นเอง เพื่อที่จะได้เห็นว่ามันไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑o เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๓


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๗
File: 531010B
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๕๓ ถึงนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๓๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คำสอนของหลวงปู่มั่นที่บอกแก่หลวงปู่สุวัจน์

mp3 for download : คำสอนของหลวงปู่มั่นที่บอกแก่หลวงปู่สุวัจน์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไปเจอหลวงปู่สุวัจน์ (พระโพธิธรรมาจารย์ หลวงปู่ สุวัจน์ สุวโจ) หลวงปู่สุวัจน์ก็เคยเล่าว่า หลวงปู่มั่นสอนท่าน ท่านเข้าไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอกว่า ดูจิตได้ให้ดูจิต ดูจิตไม่ได้ให้ดูกาย ดูจิตก็ไม่ได้ดูกายก็ไม่ได้ ให้ทำความสงบไว้ ทำสมถะ ทำสมถะก็เพื่อให้มีแรง ดูกายเพื่อให้เห็นจิต ดูจิตเพื่อให้รู้แจ้ง ท่านสอนกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นถ้าตัดตรงเข้ามารู้ถึงจิตถึงใจได้ ไม่เสียเวลา

ถามว่าถ้ารู้จิตแล้วจะรู้กายมั้ย จะปล่อยวางกายได้มั้ย ได้แน่นอน เพราะว่าผู้ที่ไปยึดกายก็คือจิต ผู้ที่จะปล่อยวางกายก็คือจิต ทีนี้บางท่าน ท่านดูกายไป ท่านเห็นกายนี้เป็นของไม่ดี เป็นตัวทุกข์อะไรอย่างนี้นะ ก็ปล่อย

แต่ถ้าดูจิตนะ จะเห็นว่าถ้าจิตไปยึดกาย จิตจะทุกข์ อย่างนี้ก็ปล่อยเหมือนกัน ก็เลิกยึดเหมือนกัน มองมาจากคนละด้านนะ เพราะมันอิงอาศัยกัน ใครไปยึดกาย ก็จิตนั่นแหละ เป็นผู้ไปยึด ทำไมจิตไปยึดกาย เพราะจิตมันโง่ มันโง่ได้ ๒ ด้าน

ด้านหนึ่งมันโง่เพราะมันไม่รู้ว่ากายเป็นตัวทุกข์ เพราะฉะนั้นถ้ามาดูกายจะเห็นแจ้งว่ากายเป็นตัวทุกข์ ก็ปล่อยกาย อีกด้านหนึ่ง มันโง่ มันไม่รู้ว่าถ้ามันไปยึดกายแล้วมันจะทุกข์ ถ้ามันไม่โง่ตรงนี้นะ มันยึดกายหรอก มันก็ปล่อยกาย

เห็นมั้ยมันเดินได้นะ ถ้าภาวนาเป็นแล้วจะรู้เลย การปฏิบัตินั้นทำอะไรก็ถูกน่ะ ถ้าภาวนาไม่เป็นนะ ทำอะไรก็ผิดหมดน่ะ มันผิดหลักผิดเกณฑ์ไปหมด เพราะฉะนั้นจริงๆไม่ใช่ของยากของลึกลับพิศดาร ต้องแนวนี้เท่านั้น ต้องแนวนี้เท่านั้น อย่างนั้นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนของอาจารย์แต่ละท่านๆไป


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑o เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๓


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๗
File: 531010B
ระหว่างนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๐ ถึงนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๔๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

พิจารณากายเพื่อให้เข้าถึงจิต

mp3 for download : พิจารณากายเพื่อให้เข้าถึงจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมย์ :ครูบาอาจารย์นะ สมัยท่านหนุ่มๆ ส่วนมากท่านสอนเรื่องกาย พอสุดท้ายปลายทางก็ลงมาที่จิตทั้งนั้นเลย แต่ละองค์ๆที่เคยเจอ

ยกตัวอย่างหลวงปู่เทสก์นะ หลวงปู่เทสก์ท่านอายุมาก หลวงพ่อเข้าไปหาท่าน ท่านสอนแต่เรื่องจิตนะ หลวงปู่ดูลย์สอนแต่เรื่องจิตแล้ว อาจารย์มหาบัว ตอนที่เข้าไปท่านก็ไม่ค่อยสอนแล้ว ไม่ค่อยสอน หลวงปู่เหรียญไปหาท่านทีแรก ท่านพูดแต่กาย พุทโธพิจารณากาย หลังๆไปหาท่าน ท่านพูดแต่เรื่องจิต

แต่ไหนแต่ไร ไปที่อื่นๆก็จะได้ยินครูบาอาจารย์พูดเรื่องกายเยอะ จนวันหนึ่งหลวงพ่อก็เข้าไปถามหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ครับผมควรจะกลับไปพิจารณากายมั้ย เพราะไปที่ไหนๆนะ มีแต่ได้ยินครูบาอาจารย์พูด พุทโธพิจารณากายอยู่ตลอด ส่วนมากก็สอนอย่างนี้

หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกว่า ที่เขาพิจารณากายก็เพื่อให้เข้าถึงจิต วัตถุประสงค์ของการพิจารณากาย ก็เพื่อให้เข้าถึงจิต ถ้าเข้าถึงจิตแล้วจะไปยุ่งอะไรกับกาย กายเป็นของทิ้ง จิตมันทิ้งไปเอง มันเห็นเลย กายนี้เป็นทุกข์ล้วน มันทิ้งของมันเอง นี่คือคำตอบ ที่หลวงปู่ดูลย์ท่านบอก

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
File 550106
ระหว่างนาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๓๔ ถึงนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๕๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เจริญวิปัสสนา เห็นจากของจริง

mp3 for download : เจริญวิปัสสนา เห็นจากของจริง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมย์ : เรามาเฝ้ารู้ความจริง ไม่ใช่มาหลอกตัวเอง ว่าจิตไม่เที่ยง แล้วก็ไม่ใช่หลอกตัวเองว่ากายไม่เที่ยง ถ้าเป็นพวกดูกายก็ไม่ใช่มาหลอกเอาเองคิดเอาเองว่ากายไม่เที่ยง ต้องดูของจริงว่ากายไม่เที่ยงจริงๆ รูปที่ยืนเดินนั่งนอนไม่เที่ยงจริงๆ รูปเหยียดรูปร้อนรูปอ่อนรูปแข็งไม่เที่ยงจริงๆ ดูจิตก็ดูให้เห็นของจริง

จิตรู้สึกตัวก็ไม่เที่ยงจิตไหลไปก็ไม่เที่ยง ดูของจริงจนกระทั่งจิตยอมรับความจริงว่าจิตทุกอย่างเกิดแล้วดับ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา” ถ้าเข้าใจอย่างนี้ได้เป็นพระโสดาบันนะ ถ้าคิดว่าจิตเที่ยงเป็นมิจฉาทิฎฐิ ไม่ได้เป็นโสดาบันหรอก

เพราะฉะนั้นเรามาฝึกกรรมฐาน มาเรียนรู้ของจริง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
File 550701
ระหว่างนาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๙ ถึงนาทีที่ ๓๐ วินาทีที่ ๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การรู้รูปปรมัตถธรรม ดูยาก ต้องทรงฌาน

mp3 for download : การรู้รูปปรมัตถธรรม ดูยาก ต้องทรงฌาน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมย์ : การรู้รูปธรรมนั้นยากมากนะ ถ้าจิตไม่ทรงสมาธิพอนะ จะเห็นธาตุไม่ได้ ไม่มีกำลังที่จะเห็นธาตุ สมาธิอ่อนไป ก็เลยต้องเลี่ยงๆ ไปดูรูปยืนรูปนั่งรูปนอน รูปหายใจออกรูปหายใจเข้า รูปพวกนี้ไม่ถือว่าเป็นรูปแท้ด้วยซ้ำไป สิ่งที่เป็นรูปแท้ๆคือ ธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม ถ้าสมาธิไม่พอ ดูยาก จะดูเข้าถึงปรมัตถธรรมแท้ๆเลย ที่ถึงของแท้ๆเลย ที่เป็นรูปธรรม ดูยากมาก

นามธรรมนั้นดูง่าย ความโกรธเนี่ยเป็นนามธรรมอยู่อย่างชัดเจนแล้ว ไม่มีอะไรเคลือบแฝง ไม่มีอะไรปิดบัง ความโลภความหลง ความสุขความทุกข์ เป็นนามธรรมแท้ๆเป็นปรมัตถธรรม คนไทยโกรธกับคนจีนโกรธ ความรู้สึกอย่างเดียวกัน แต่อาการที่แสดงออกอาจไม่เหมือนกัน หรือฝรั่งโกรธ ก็ความรู้สึกอย่างเดียวกันกับคนไทยโกรธนั่นแหละ ความรู้สึกเหมือนๆกัน เป็นสากล หมาโกรธก็ความรู้สึกอย่างเดียวกัน แมวโกรธก็ความรู้สึกอย่างเดียวกัน ยักษ์มารโกรธก็ความรู้สึกอย่างเดียวกัน นั่นล่ะมันเป็นของจริง เป็นปรมัตถธรรมที่มีอยู่จริงๆ เราเฝ้ารู้รูปธรรมจริงๆก็ได้ รู้นามธรรมก็ได้

นามธรรมนั้นดูง่าย ลูกเล็กเด็กแดงก็รู้ว่าโกรธเป็นอย่างไร ก็รู้ว่าอยากเป็นอย่างไร รู้ว่าอิจฉาเป็นอย่างไร ดีใจเสียใจ มีศัพท์ทั้งหมดนะ ราวๆสามร้อยกว่าคำที่สะท้อนถึงความรู้สึก สามร้อยกว่าคำ กังวล กังวลกับกลุ้มเหมือนกันมั้ย ไม่เหมือนใช่มั้ย มีความเหลื่อมกันอยู่ใช่มั้ย ท้อแท้กับเบื่อเหมือนกันมั้ย มันจะมีดีกรีที่ต่างกันนะ เด็กๆยังรู้เลย เด็กๆยังรู้เลย เพราะฉะนั้นการรู้นามธรรมเป็นเรื่องเบสิคมากเลยนะ เขาเรียกอะไร ชิลด์ๆนะ ง่ายมากเลยนะ เรื่องเด็กๆ

แต่รู้รูปที่แท้จริง รู้ยาก ยากที่เราจะเห็นรูปที่แท้จริง เห็นธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมไม่ใช่ง่ายนะ ในผม ๑ เส้น เนี่ย มีธาตุดินน้ำไฟลมครบเลย แถมยังตั้งอยู่ใน space ในอากาสธาตุ อากาสก็ไม่ใช่ air อากาสธาตุคือ space ช่องว่าง ที่บรรจุดินน้ำไฟลมเอาไว้ ดูยากนะถ้าสมาธิไม่พอ ในการที่จะดูกายจะทำได้ดีนั้น ต้องทำฌานเสียก่อน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
File 550701
ระหว่างนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๔๙ ถึงนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๒๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูกาย ดูว่าแปรปรวน จนเห็นว่ากายไม่ใช่เรา

mp3 for download : ดูกาย ดูว่าแปรปรวน จนเห็นว่ากายไม่ใช่เรา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมย์ : ทีนี้ถ้าเราค่อยๆดูไปนะ ตัวร่างกายเอง ธาตุก็แปรปรวน อิริยาบถก็แปรปรวน ดูธาตุดูยากที่สุด ก็ลดลงมาดูอิริยาบถ ดูการหายใจ ดูอะไรอย่างนี้ไป ก็เห็นเลยว่าร่างกายที่หายใจไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายที่ยืนเดินนั่งนอนไม่ใช่ตัวเรา มีแต่ของเปลี่ยนแปลง นั่นแหละ เฝ้ารู้ไป

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
File 550701
ระหว่างนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๕๓ ถึงนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๑๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เตรียมพร้อมจิตเพื่อเจริญวิปัสสนา

mp3 for download : เตรียมพร้อมจิตเพื่อเจริญวิปัสสนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : วันสุดท้ายแล้วของพวกเข้าคอร์ส รู้เรื่องบ้างมั้ย คนไหนติดสมาธินะ เราก็รู้ทันใจที่ติดสมาธิ ใจที่ติดสมาธินี้เป็นใจที่เราเข้าไปแทรกแซง เราเข้าไปควบคุม ยกตัวอย่างเรากลัวมันหลง เราพยายามไปเฝ้าเอาไว้ เรากลัวจะรู้ไม่ชัด เราก็ไปคอยจ้องคอยดูไม่ให้คลาดสายตา เราก็จะเกิดการเพ่งขึ้นมา บางคนก็มีทฤษฎีที่ผิดๆคิดว่าต้องเพ่งไว้ก่อน ถ้าไม่สงบแล้วเดินปัญญาไม่ได้

ที่คิดอย่างนั้น เพราะแยกไม่ออกว่าสมาธิมี ๒ ชนิด คือ สมาธิชนิดสงบกับสมาธิชนิดที่จิตตั้งมั่น ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการที่เราจะภาวนา เบื้องต้นน้อมใจให้ซึมให้นิ่งๆ แล้วคิดว่านี่คือความสงบเป็นสมาธิ จะได้เดินปัญญา สมาธิที่น้อมเข้าไปนิ่งไปซึมไปทื่ออยู่ ไม่ได้เอาไว้ใช้เดินปัญญาหรอก เอาไว้พักผ่อนเล่น สมาธิที่ใช้เดินปัญญานั้น จิตจะตั้งมั่น จิตจะถอนตัวออกจากโลกของความคิด มาเป็นผู้รู้ผู้ดู

สมัยก่อนหลวงพ่อไปเรียนกับครูบาอาจารย์ ท่านชอบพูดคำว่า “จิตผู้รู้” หลังๆเราลืมคำว่า “จิตผู้รู้” ไป เรามีแต่จิตผู้เพ่ง ถ้าไม่เป็นจิตผู้เพ่งก็เป็นจิตผู้คิด จิตผู้เพ่งนั้นมันสุดโต่งไปข้างบังคับตนเอง จิตผู้คิดก็สุดโต่งไปข้างฟุ้งซ่าน หลงไปอยู่ในโลกของความคิด จิตผู้รู้นั้นไม่ใช่จิตผู้คิดไม่ใช่จิตผู้เพ่ง เป็นจิตที่หลุดไปในโลกของความคิด และก็เห็นปรากฏการณ์ทั้งหลายเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง

เราจะไม่เพ่งไปที่ปรากฏการณ์ทั้งหลายที่จิตไปรู้เข้า แล้วเราก็ไม่เพ่งใส่ตัวผู้รู้ด้วย ถ้าเพ่งใส่ตัวผู้รู้ก็เป็นผู้เพ่งนะ ไปเพ่งใส่ปรากฏการณ์ รูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย รู้ลมหายใจก็ไปเพ่งอยู่ที่ลมหายใจ นี่ก็เป็นจิตผู้เพ่ง ไม่ใช่จิตผู้รู้

จิตผู้หลง จิตผู้หลงจิตผู้คิด มันถูกกิเลสยั่วก็เลยฟุ้งซ่านออกไป ไม่มีกระทั่งความสงบ ส่วนจิตผู้เพ่งมีความสงบนะแต่ไม่ตั้งมั่น เราจะต้องมาฝึกเป็นจิตผู้รู้ จิตผู้รู้เนี่ยไม่ฟุ้งซ่าน ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เพ่งเอาไว้ มันทรงตัวสบายของมัน เป็นผู้รู้ผู้ดูสบายๆ

วิธีที่เราจะพัฒนาจิตผู้รู้ขึ้นมาก็คือหัดรู้ คอยรู้ทัน หาอารมณ์กรรมฐานขึ้นมาสักอันหนึ่ง จะพุทโธก็ได้ จะรู้ลมหายใจก็ได้ แต่ไม่ใช่พุทโธเพื่อจะน้อมจิตให้นิ่ง ไม่ใช่หายใจเพื่อน้อมจิตให้นิ่ง เราพุทโธเพื่อจะรู้ทันจิต เราหายใจเพื่อจะรู้ทันจิต คนไหนไม่ถนัดพุทโธไม่ถนัดรู้ลมหายใจ จะดูท้องพองยุบหรือทำกรรมฐานอะไรก็ได้ ไม่เลือกกรรมฐานหรอก

ไม่ว่าจะทำกรรมฐานอะไร จะดูท้องพองยุบหรือขยับมือทำจังหวะหรือพุทโธหรือลมหายใจหรือรู้อิริยาบถ ๔ รู้เวทนา บางคนก็เริ่มด้วยการรู้จิตไปเลย สำหรับบางคนดูความเปลี่ยนแปลงของจิตไปเรื่อยๆ อะไรก็ได้นะ แต่ว่าไม่ว่าจะรู้อะไรก็รู้ทันจิต พุทโธแล้วจิตหนีไปคิดก็รู้ทัน พุทโธจิตหนีไปคิดแล้วก็รู้ทัน ฝึกอย่างนี้เรื่อย พุทโธแล้วไปเพ่งจิตให้นิ่งๆอยู่ก็รู้ทัน

ตรงที่พุทโธแล้วหนีไปคิดเนี่ย สุดโต่งไปข้างหลงข้างคิดข้างฟุ้งซ่าน พุทโธแล้วไปเพ่งจิตให้นิ่ง สุดโต่งไปข้างบังคับตนเองนะ เป็นความสุดโต่งสองฝั่ง ให้คอยรู้ทัน ถ้าเรารู้ทันเราก็จะไม่สุดโต่งไปสองข้าง ก็จะเข้าทางสายกลาง หรือลมหายใจก็ได้ รู้ลมหายใจแล้วก็รู้ทันจิต หายใจไปจิตหนีไปคิดแล้วก็รู้ หายใจแล้วจิตหนีไปคิดแล้วรู้ หรือหายใจไปแล้วจิตไหลไปเพ่งอยู่ที่ลมไหลไปรวมอยู่ที่ลมหายใจไหลไปลงอยู่ที่ท้อง รู้ทันว่าจิตมันเคลื่อนไป ใช้กรรมฐานอะไรก็ได้แล้วก็รู้ทันจิต บทเรียนอันนี้ชือว่า “จิตตสิกขา”

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๑
ไฟล์ 540710
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๐ ถึง นาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๓๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คู่มือการปฏิบัติธรรม (๒๓) ต้องเห็นจิตเป็นทุกข์ล้วนๆอีกที จึงจะพ้นทุกข์ไม่ต้องเกิดอีก

mp 3 (for download) : คู่มือการปฏิบัติธรรม (๒๓) ต้องเห็นจิตเป็นทุกข์ล้วนๆอีกที จึงจะพ้นทุกข์ไม่ต้องเกิดอีก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :ทั้งๆที่ว่าเราดูจิตๆ นะมันจะแจ้ง แจ้งที่กายนี้ มันแจ้งเองเลย สุดท้ายมันจะรู้เลย ว่ากายนี้ทุกข์ล้วนๆ กายนี้ไม่ใช่ว่าสุขบ้างทุกข์บ้าง เหมือนที่เคยเห็น เหมือนที่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเค้าเห็นกัน แต่ว่ามันคือทุกข์ล้วนๆ ถ้าเห็นอย่างนี้แล้วเนี่ย จิตจะหมดความยึดถือกาย ถ้าเห็นทุกข์นะ จิตจะพ้นความยึดถือเลย

ต่อไปเราก็มาดูจิตต่อ ตรงที่มันไม่ยึดถือกายแล้ว มันเป็นภูมิธรรมของพระอนาคามี มันจะย้อนมาที่จิต แล้วส่วนใหญ่จะมาเสร็จตรงนี้เลย ครูบาอาจารย์สอน หลวงปู่ดูลย์บอกเลย นักปฏิบัติที่ว่าดังๆมีชื่อเสียง ส่วนใหญ่มาตายอยู่ตรงพระอนาคามีนะ ไปไม่รอดหรอก เพราะยึดถือจิตไม่เลิก ต้องเห็นจิตเป็นตัวทุกข์อีกทีนะ ถึงจะปล่อย

เนี่ยหลวงพ่อเพิ่งขึ้นไปสุรินทร์มา หลวงพ่อก็ไปเยี่ยมครูบาอาจารย์องค์นึง แต่ท่านไม่เปิดเผยหรอก ท่านอยู่ของท่านเงียบๆไม่ยุ่งกับใคร ท่านก็เล่าให้ฟัง ว่าท่านก็บวชกับหลวงปู่ดูลย์ ตอนบวชกับหลวงปู่ดูลย์ได้สามพรรษา เข้าไปหาหลวงปู่ หลวงปู่ก็สอนท่าน บอกว่า ไอ้ที่จะปล่อยวางอะไรนะ ไม่ยึดถือ กาย ไม่ยึดถือใจ ไม่ยากหรอกนะ ถ้าเห็นทุกข์ ถ้าเห็นกายเป็นทุกข์ มันก็ปล่อย ถ้าเห็นจิตใจไปทุกข์ มันก็ปล่อย เนี่ยหลวงปู่บอกว่า มันไม่ยากหรอก ขอให้เห็นทุกข์เท่านั้นเอง

เพราะงั้นที่หลวงปู่ดูลย์สอนเนี่ย ตรงเป๊ะกับที่พระพุทธเจ้าสอนเลยนะ พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้ทุกข์ หลวงปู่ดูลย์ท่านก็สอนให้รู้ทุกข์นั่นเอง ทุกข์อยู่ที่กาย รู้ลงไปในกายบ่อยๆ ทุกข์อยู่ที่จิต รู้ลงในจิตบ่อยๆ ถ้าเห็นกายเป็นทุกข์ล้วนๆเมื่อไหร่นะ ก็ได้พระอนาคาฯ ถ้าเห็นจิตเป็นทุกข์ล้วนๆนะ ก็พ้นทุกข์พ้นร้อนนะ ไม่เกิดอีกแล้ว

เนี่ยฝึกทุกวันๆ ธรรมะมันจะมาลงกันหมดนะ ทั้งปริยัติทั้งปฏิบัติ ลงเป็นที่เดียวกันนั่นแหล่ะ ค่อยๆฝึกเอาไม่ยากอย่างที่คิดหรอก


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่บ้านจิตสบาย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD: บ้านจิตสบาย วันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕
File: 550805A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔๒ วินาทีที่ ๕๖ ถึง นาทีที่ ๔๔ วินาทีที่ ๕๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คู่มือการปฏิบัติธรรม (๒๒) เบื้องต้นจะเห็นก่อนว่ากายนี้ทุกข์ล้วนๆ

mp 3 (for download) : คู่มือการปฏิบัติธรรม (๒๒) เบื้องต้นจะเห็นก่อนว่ากายนี้ทุกข์ล้วนๆ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลังจากนั้นเราก็ภาวนาเหมือนเดิมแหล่ะ ดูกายดูใจไป ปัญญามันจะค่อยพอกพูนไป ถึงจุดนึงมันจะเห็นเลย กายนี้เป็นทุกข์ล้วนๆ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะภายนอก ตาหูจมูกลิ้นกายภายใน ล้วนแต่เป็นทุกข์ทั้งนั้นเลย

ถ้าดูจิตไปก็เห็นได้นะ ดูจิตไปก็เห็นได้ ดูกายก็เห็นได้ ที่จะเห็นว่ากายเป็นทุกข์ เพราะดูจิตก็เห็นกาย ดูกายเป็นก็เห็นจิต มันเนื่องกันไปเนื่องกันมา

งั้นเราหัดดูของเราเรื่อยไปนะ ถ้าถนัดดูจิตก็ดูจิตไป วันนึงมันก็ปิ๊งขึ้นมา กายนี้ทุกข์ล้วนๆเลย พวกเราที่ดูจิตน่ะ ใครไม่เห็นกายบ้าง มีไหม สังเกตไหม พวกเราดูจิตที่ชำนาญนะ นอนหลับอยู่ ร่างกายพลิกตัวยังรู้เลย ใช่ไหม แล้วจะมาบอกว่า ดูจิตแล้วไม่เห็นกาย อันนั้นเข้าใจผิดแล้วล่ะ เราเห็นกายอยู่ แทบทุกขณะจิตด้วยซ้ำไป ขยับเขยื้อนเนี่ย มันรู้สึกตลอดนะ ไม่มีหรอกนะ เผลอๆเดินสะเปะสะปะอะไร ไม่มีหรอก จะเหลียวซ้ายแลขวานะ มันมีแต่ความรู้สึกตัวนะ มันเป็นอัตโนมัติไปหมดเลย

แล้วมันจะเห็นเลย กายนี้มีแต่ทุกข์นะ ทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลาเลยนะ หายใจเข้าก็ทุกข์ หายใจออกก็ทุกข์ ยืนก็ทุกข์ เดินก็ทุกข์ นั่งก็ทุกข์ นอนก็ทุกข์ มีแต่ทุกข์ตลอดเวลา ทำไมต้องเปลี่ยนอิริยาบท เปลี่ยนอิริยาบทก็เพราะมันทุกข์ หนีทุกข์ ต้องเปลี่ยนอิริยาบท ทำไมคันแล้วต้องเกา มันทุกข์ ต้องเกา ทำไมต้องกินข้าว ก็เพราะมันทุกข์ ต้องกินข้าว ทำไมต้องขับถ่าย ก็เพราะมันทุกข์ (จึง)ต้องขับถ่าย ทำไมเหงื่อต้องออก เพราะมันร้อนนะ มันทุกข์นะ เหงื่อต้องออก เนี่ยมันจะเห็นเลย ในกายนี้นะ มีแต่ความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลาเลย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่บ้านจิตสบาย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD: บ้านจิตสบาย วันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕
File: 550805A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔๑ วินาทีที่ ๑๕ ถึง นาทีที่ ๔๒ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คู่มือการปฏิบัติธรรม (๑๔) เมื่อจิตตั้งมั่นถึงฐานแล้วจึงเจริญวิปัสสนาได้

mp 3 (for download) : คู่มือการปฏิบัติธรรม (๑๔) เมื่อจิตตั้งมั่นถึงฐานแล้วจึงเจริญวิปัสสนาได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : งั้นเราต้องมาฝึกนะ ให้จิตตั้งมั่นถึงฐานให้ได้ แล้วเราก็มาเจริญปัญญา มาทำวิปัสสนา

พอจิตตั้งมั่นแล้ว สติระลึกรู้ร่างกายที่เคลื่อนไหว มันจะเห็น ว่าร่างกายกับจิตเนี่ย เป็นคนละอันกัน เวลานี้คนที่ทำแบบนี้ได้ นับไม่ถ้วนแล้วนะ มีเยอะมากเลยนะ ที่ใจมันตั้งมั่นขึ้นมา มันเห็นร่างกาย ไม่ใช่ตัวเรา เป็นวัตถุธาตุที่เคลื่อนไหว

แต่มันยังเห็นได้เป็นขณะๆนะ บางทีก็เห็น บางทีก็ไปไหลไปรวมเป็นก้อนเดียวกัน ถ้าจิตกับกายไปรวมกัน จิตบวกกายจะได้อะไรรู้ไหม ได้กู จิตบวกกายจะกลายเป็นกู มันรวมกับขันธ์ มันรวมขึ้นเมื่อไหร่ มันจะเป็นตัวเราขึ้นมา ถ้าขันธ์มันแยกขึ้นมานะ ขันธ์ก็จะเป็นขันธ์เท่านั้นเอง กายก็ส่วนกาย แค่รูปธรรม เวทนา ความสุขทุกข์ กับกาย ก็คนละอันกัน เวทนากับจิต เวทนาคือความสุขความทุกข์ทั้งหลายเนี่ย กับกายก็เป็นคนละอัน กับจิตก็เป็นคนละอัน สัญญาคือความจำได้ ความหมายรู้ ไม่ใช่ร่างกาย ไม่ใช่ความสุขความทุกข์ ไม่ใช่จิตด้วย เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า สังขารคือความปรุงดีปรุงชั่ว เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่ใช่ร่างกาย ไม่ใช่ความสุขความทุกข์ ไม่ใช่ความจำ ไม่ใช่จิตด้วย “สภาวะธรรมแต่ละอันๆจะกระจายตัวออกไปนะ ถ้าจิตเราตั้งมั่นจริงๆ”

บางคนซึ่งเคยเจริญสติเจริญปัญญา มาดีแล้วในชาติก่อนนะ ทันทีที่จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานเนี่ย ขันธ์แตกตัวออกเลย จะเห็นว่ากายกับใจเป็นคนละอันเลย เห็นทันทีเลย แต่ถ้าบางคนถนัดดูจิต ก็จะเห็นว่า ความสุขความทุกข์กับจิต เป็นคนละอันกัน คนบางคนถนัดดูจิต เห็นว่ากุศลอกุศล เช่น ความโลภความโกรธความหลง กับจิต เป็นคนละอันกัน มันจะแยกกันนะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่บ้านจิตสบาย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD: บ้านจิตสบาย วันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕
File: 550805A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๑ ถึง นาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๕๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูกายดูปัจจุบันขณะ ดูจิตดูปัจจุบันสันตติ

mp 3 (for download) : ดูกายดูปัจจุบันขณะ ดูจิตดูปัจจุบันสันตติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ขณะต่อหน้าเรานี่แหล่ะสำคัญที่สุด ปัจจุบันก็คือขณะจิตต่อหน้านี้เอง แต่คำว่าปัจจุบันมีหลายอย่างนะ ปัจจุบันขณะหมายถึงสิ่งที่อยู่ต่อหน้าเรานี้ ปัจจุบันสันตติ หมายถึงสืบเนื่องกับปัจจุบันนี้

เวลาดูกายเราดูลงเป็นปัจจุบันขณะเลย

เวลาเราดูจิตใจนะเป็นปัจจุบันสันตติ หมายถึงเราตามดู ตามดูสิ่้งที่เพิ่งดับไปสดๆร้อนๆ ก็รู้ลงไปทีละขณะ

อย่าประมาทขณะเดียวนะ เวลาที่อริยมรรคเกิด เกิดขณะเดียว ไม่เกิดสองขณะเลย งั้นขณะเดียวนั่นแหล่ะคือปัจจุบัน รู้อยู่ต่อหน้า


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๑๑
File: 500520.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๕ วินาทีที่ ๑๒ ถึง นาทีที่ ๓๕ วินาทีที่ ๕๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สติปัฎฐานคืออะไร

mp 3 (for download) : สติปัฎฐานคืออะไร

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
ขอขอบคุณ ภาพจากงาน “ธรรมะกลางเมือง”

หลวงพ่อปราโมทย์ : พวกเราที่บอกว่าเป็นชาวพุทธๆ เราเคยได้ยินคำว่าสติปัฏฐานบ้างมั้ย ใครเคยรู้จักสติปัฏฐานยก(มือ)ซิ มีมั้ย มีคนบางส่วนไม่รู้จักนะ น่าเสียดายมากเลย

    สติปัฏฐานเนี่ยเป็นการที่เรามีสติ เรียนรู้ความจริงของกายของใจนั่นแหล่ะ สติปัฏฐานมี ๔ อย่าง

  • กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีสติเรียนรู้ความจริงของร่างกาย ของกาย
  • เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน มาเรียนรู้ความจริงของเวทนา คือความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ ทางกาย ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ ความรู้สึกเฉยๆ ทางใจ
  • จิตตานุปัสสนา มาเรียนรู้ความจริงของจิต ที่เป็นกุศลและอกุศล อย่างจิตโลภจิตโกรธจิตหลง จิตดีจิตร้ายอะไรพวกนี้ มาเรียนรู้ความจริงเหล่านี้
  • ธัมมานุปัสสนาเนี่ย เป็นการเรียนรู้ความจริง ของรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย ว่ามันมาได้ยังไง ทำไงมันไม่มาหรือทำไงมันจะมา อย่างนิวรณ์ทั้งหลายเนี่ย ทำไงมันจะไม่มา กิเลสทั้งหลายทำยังไงจะไม่มา กุศลอย่างโพชฌงค์ ๗ ทำยังไงจะเกิด อริยสัจทำยังไงจะรู้แจ้ง เป็นเรื่องของการเรียนรู้รูปธรรมนามธรรมทั้งหมดเลย เรียนรู้กายเรียนรู้ใจทั้งหมดในสติปัฏฐาน ๔ เนี่ย

การที่เราจะมาเรียนรู้สติปัฏฐาน ๔ นะ เราก็ต้องคอยรู้สึกตัวไว้ก่อน สติปัฏฐานเป็นเรื่องการเรียนรู้ความจริงของกาย เรียนรู้ความจริงของจิตใจ ถ้าเราลืมกายลืมใจ เราก็ไม่ได้เรียนรู้ความจริงของกายของใจ

เพราะนั้นก่อนที่เราจะมาเรียนรู้ความจริงของกายของใจได้ ต้องรู้สึกตัวให้เป็น ต้องให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวซะก่อน ถ้าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเรียกว่าขาดสมาธิ จิตไม่ตั้งมั่นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
เมื่อ วันพุธที่ ๒๘ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๕

CD: แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
File: 551128
ระหว่างนาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๐๐ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๔๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้ เพราะสุขและทุกข์ต่างก็แสดงไตรลักษณ์เหมือนๆ กัน

mp 3 (for download) : สุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้ เพราะสุขและทุกข์ต่างก็แสดงไตรลักษณ์เหมือนๆ กัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เอื้อเฟื้อภาพโดย ชมรมสารธรรมล้านนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : งั้นจะเป็นพระโสดาฯก็ดี เป็นพระอรหันต์ก็ดี อยู่ที่การเจริญปัญญา มาเรียนรู้สภาวะที่เกิดดับ จะเป็นสภาวะของรูปธรรมก็ได้ สภาวะของนามธรรมก็ได้ เพราะทั้งรูปธรรมและนามธรรมก็แสดงสิ่งเดียวกัน จะเป็นสภาวะของความสุขก็ได้ จะเป็นสภาวะของความทุกข์ก็ได้ เพราะความสุขและความทุกข์ก็แสดงลักษณะอันเดียวกัน คือ แสดงสามัญลักษณะเหมือนๆกัน จะเป็นกุศลก็ได้ จะเป็นอกุศลก็ได้ เพราะกุศลและอกุศลก็แสดงไตรลักษณ์เหมือนกัน สามัญลักษณะเหมือนกัน

ใจมันจะเกิดความเป็นกลางขึ้น มันจะเห็นเลย สุขก็เท่านั้นแหละ ทุกข์ก็เท่านั้นแหละ กุศลก็เท่านั้นแหละ อกุศลก็เท่านั้นแหละ ร่างกายนี้ก็เท่านั้นแหละ ใจจะหมดความยินดี หมดความยินร้าย ถ้าจิตเราไม่ได้ฝึกสติปัญญาให้พอนะ มีความสุขขึ้นมาก็ยินดี มีความทุกข์ขึ้นมาก็ยินร้าย มีกุศลขึ้นมาก็ยินดี มีอกุศลขึ้นมาก็ยินร้าย

แต่ถ้าเห็นว่าความสุขก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็หมดความยินดีในความสุข เห็นความทุกข์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็หมดความยินร้ายในความทุกข์ เห็นกุศลไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นะ ก็หมดความยินดีในกุศล เห็นอกุศลไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หมดความยินร้ายในอกุศล จิตเข้าไปสู่ความเป็นกลาง กลางระหว่างสุขกับทุกข์ กลางระหว่างกุศลกับอกุศล

แต่เราจะทำชั่วไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ บางคนได้ยินแค่นี้ก็คิดเอาเอง เมื่อมันเป็นกลางแล้วดีกับชั่วเท่าเทียมกัน ก็ทำชั่วได้ ที่จริงทำชั่วไม่ได้มาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะเราฝึกมา มีศีลมาก่อน เรามีศีลมาก่อนแล้ว เรามีสมาธิชนิดมีจิตตั้งมั่น แค่จิตมีสมาธิมันก็ข่มกิเลสยับเยินไปแล้ว นะ จนมาเห็น มีปัญญาแล้วเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไร้สาระ คนเรามีกิเลส กิเลสย้อมตัวเองได้ ฮึ..มันมีตัวมีตนนะ มันยึดถือในตัวในตน ตัวตนไม่มี กิเลสจะไปย้อมแมวที่ไหน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๒ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
File: 550212A
ระหว่างนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่  ๑๓ ถึง นาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 1 of 512345