Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ทาน ศีล สมาธิ วิปัสสนา นิพพาน

mp3 for download : ทาน ศีล สมาธิ วิปัสสนา นิพพาน

หลวงพ่อปราโมทย์ : ขออนุญาตท่านอาจารย์ครับ หลวงพ่อจะมาเยี่ยมครูบาอาจารย์เฉยๆนะ มาเยี่ยมหลวงพ่อ.. กับหลวงพ่อคำเขียน ๒ องค์ ไม่ได้มาเทศน์หรอก เทศน์ไม่ได้ ผิดธรรมเนียม ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่กว่าอยู่ต้องนิมนต์ท่านเทศน์หรอก แต่นี่ท่านอนุญาตนะ ครูบาอาจารย์อนุญาตให้เราเทศน์ เราก็เทศน์ได้ แต่เทศน์แล้วต้องทำนะ จะให้หลวงพ่อเทศน์เปล่าๆ บาปนะ คือเราให้พระเหนื่อยฟรีๆแล้วขี้เกียจ

อย่าขี้เกียจนะ ความทุกข์มันบีบคั้นเราอยู่ทั้งวันทั้งคืน คนมีปัญญาถึงจะมองเห็น คนไม่มีปัญญาก็จะเห็นแต่มีความสุขนะ หลงระเริงไปเรื่อยๆ วนไปวันหนึ่งๆนะ เดี๋ยวก็เดือนเดี๋ยวก็ปี ไม่นานก็ตาย สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรติดเนื้อติดตัวไป น่าเสียดายที่สุดเลย

พวกเรามีบุญนะ พวกเราอุตส่าห์มาวัด มาหาครูบาอาจารย์ มาอะไรนี่ ได้รักษาศีล ได้ฟังธรรม ก็ต้องมาปฏิบัติ ธรรมะที่เราจะปฏิบัตินะ ก็มีทานมีศีลมีภาวนานะ ทำทานก็ไม่ใช่ว่าต้องเสียเงินเสียทองนะ ยกตัวอย่างเราโกรธคน คนเขาด่าเรา เราอภัยให้เขาอะไรอย่างนี้ ก็เป็นทานอย่างหนึ่ง คนเขาไม่มีความรู้ แล้วเราให้ความรู้เขา ก็เป็นทานอย่างหนึ่ง ทานก็มีหลายอย่าง ไม่ต้องเสียเงินเสียทองอะไร ให้ความรู้เขาให้ความเข้าใจนะ ได้บุญแรง

ต้องรักษาศีล ของเรามาอยู่วัด อุตส่าห์แต่งขาว เรามีสตินะ แต่งชุดขาวๆ ขาดสติเดี๋ยวก็เลอะแล้ว เพราะฉะนั้นท่านให้แต่งขาวๆไว้ก็ดี จะกระดุกกระดิก จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวนะ รู้สึก คอยรู้สึกไว้เรื่อยๆนะ เวลาโมโหใครขึ้นมา รู้ทันที่ใจเรา

มาอยู่วัดมาหาความสุขความสงบ หาความดีให้ตัวเอง ฝึกจิตฝึกใจของเราทุกวันๆนะ ภาวนาไปพุทโธๆไปก็ยังดี หายใจไปรู้สึกตัวไป มีสติ คอยรู้ทันใจตัวเองไว้เสมอๆ ถ้าเรามีสติรู้ทันใจของเราได้บ่อยๆนะ กิเลสอะไรเกิดขึ้นในใจเราคอยรู้ทัน ถ้าเรารู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้นในใจของเราได้นะ กิเลสจะครอบงำใจเราไม่ได้ ถ้ากิเลสมันครอบงำจิตใจของเราไม่ได้นะ เราจะไม่ผิดศีลหรอก คนมันทำผิดศีลนะเพราะมันถูกกิเลสหลอกเอาไป

ยกตัวอย่างมันไปฆ่าเขามันไปตีเขานะ เพราะโทสะมันครอบงำใจ คอยหลอกลวงเขาอะไรอย่างนี้ หรือไปเป็นชู้กับเขาอะไรอย่างนี้ ก็เพราะโลภะครอบงำใจ เพราะฉะนั้นมันมาจากกิเลสทั้งนั้นเลยนะ ทำให้เราทำผิดศีลผิดธรรมเพราะฉะนั้นเรารักษาศีลให้มั่นคงแข็งแรงนะ ทุกคนต้องมีศีล ถ้าเราไม่มีศีลนะ เราเสียความเป็นมนุษย์แล้ว เราจะไปอบาย

ทีนี้เรามีศีลเท่านั้นไม่พอนะ เราต้องมีฝึกใจของเราให้สงบบ้าง ใจของเราร่อนเร่หนีเที่ยวทั้งวันทั้งคืน ไม่เคยอยู่กับเนื้อกับตัวเลย เรามาฝึกให้จิตใจอยู่กับตัวเอง การฝึกให้ใจอยู่กับตัวเองนี้แหละที่เรียกว่าฝึกให้มีความสงบมีความตั้งมั่นมีสมาธิขึ้นมา เราก็เอาสตินี้แหละมารู้ทันใจ เป็นวิธีที่ง่ายๆนะ ถ้าใจเราแอบไปคิดเรารู้ทัน ใจเราแอบไปคิดเรารู้ทัน รู้อย่างนี้บ่อยๆนะ พอใจเราไหลไปแว้บมันจะรู้สึกขึ้นมา ใจมันจะตื่น มันจะตั้งมั่น จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว ได้สมาธิเบื้องต้น สมาธิที่เรามีสติรู้ทีละแว้บๆ เขาเรียกว่าขณิกสมาธินะ สมาธิชั่วขณะเท่านั้นแหละ ได้สมาธิชั่วขณะก็ดีกว่าไม่มีเลย

คนไหนมีบุญมีวาสนานะ ภาวนาทุกวัน รู้ลมหายใจเข้าหายใจออกนะ พุทโธไป ภาวนาไป จิตใจไม่หนีไปที่อื่น จิตสงบอยู่กับลมหายใจ นั่นแหละจะได้สมาธิที่ละเอียดที่ปราณีตขึ้นไป ได้อุปจารสมาธิ ได้อัปนาสมาธิ จิตใจจะตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ใจจะเป็นผู้รู้นะ ใจไม่ใช่ผู้หลงคิด ใจที่ไม่มีสมาธิจะเป็นใจผู้หลงคิด ใจที่มีสมาธิมีความตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัวจะเป็นจิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานนะ มันจะมีความสุขอยู่ในตัวเอง

เพราะฉะนั้นเราฝึกจิตฝึกใจของเรานะให้อยู่ในอารมณ์อันเดียว ฝึกไปเรื่อย จะอยู่กับพุทโธก็อยู่นะ จะอยู่ในลมหายใจก็อยู่ ถ้าทำได้ก็ดีจะได้ความสุขความสงบที่ปราณีต ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเสียใจ ให้อาศัยสติคอยรู้ทันจิตเป็นขณะๆไปก็ได้สมาธิเหมือนกัน แต่เป็นสมาธิแค่ขณิกสมาธิชั่วขณะ ดีกว่าไม่มีเลย ก็เหมือนกับคนยากคนจนนะ มีเงินร้อยบาท สองร้อยบาท สิบบาท ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย ไม่มีเงินล้านเงินแสนอย่างคืนอื่นก็ไม่เป็นไร เราไม่ได้มีฌานมากมายอย่างคนอื่นก็ไม่ต้องเสียใจ ได้ความสงบที่เป็นขณะๆอย่างนี้ก็พอที่จะไปมรรคผลนิพพานได้นะ

ทีนี้พอจิตใจเราอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ไม่ใจลอยล่องลอยหนีไปเรื่อยแล้วเนี่ย ให้มาคอยเจริญปัญญาต่อ เห็นมั้ยมามีศีลมีสมาธิแล้วมามีปัญญา มีศีลเพราะมีสติรู้ทันกิเลสนะ กิเลสครอบงำจิตไม่ได้ จิตก็มีศีลขึ้นมา มีสติที่รู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่านไป จิตก็สงบขึ้นมาได้สมาธิ ถัดจากนั้นพอจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วต้องเดินปัญญา ถ้าเราไม่ได้เจริญปัญญาเราจะไม่ได้คุณค่าของศาสนาพุทธหรอก เพราะการรักษาศีล การทำสมาธิเนี่ย ถึงไม่มีพระพุทธเจ้านะ นักปราชญ์ทั้งหลายเขาก็สอนกันได้

ต้องมาเจริญปัญญาให้ได้ มาทำวิปัสสนานะ ถึงจะเป็นชาวพุทธแท้ๆได้รับประโยชน์จากพระศาสนาอย่างแท้จริง การเจริญปัญญาคือการเรียนรู้ตัวเอง สิ่งที่เรียกว่าตัวเราเองก็คือกายกับใจนะ เพราะฉะนั้นเราคอยมีสติรู้อยู่ที่กายมีสติรู้อยู่ที่ใจ รู้ไปอย่างสบายๆ รู้ด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นจิตใจที่เป็นกลาง จิตใจที่มีสมาธิหนุนหลัง เพราะฉะนั้นจิตใจของเราต้องตั้งมั่นนะ สงบ ตั้งมั่น แล้วมาคอยรู้กายมาคอยรู้ใจ

เห็นกายทำงานเห็นใจทำงานไปเรื่อย ควรจะเห็นเหมือนเห็นคนอื่นนะ ร่างกายยืนเดินนั่งนอน เหมือนจะรู้สึกเหมือนกับว่าคนอื่นยืนเดินนั่งนอน ไม่ใช่ตัวเราแล้ว เห็นร่างกายหายใจออกร่างกายหายใจเข้า เนี่ยร่างกายมันหายใจไม่ใช่เราหายใจ จะไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวเราจะเห็นเป็นเพียงวัตถุเท่านั้น เป็นก้อนธาตุนะ มีธาตุไหลเข้ามีธาตุไหลออก หายใจเข้าหายใจออก ก็แค่วัตถุเท่านั้นเอง ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา

มาดูจิตดูใจนะ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เฝ้ารู้ไปเรื่อย พวกเราเป็น.. ส่วนใหญ่คนรุ่นนี้เป็นพวกคิดมาก จิตคิดทั้งวันนะ คิดไปแล้วเดียวก็สุข คิดไปแล้วเดี๋ยวก็ทุกข์ มีมั้ยคิดแล้วทุกข์ บางทีเขาด่าเรามาสิบปีแล้วนะมาคิดใหม่ทุกข์ใหม่ เออ.. เป็นมั้ย โกรธใหม่ก็ได้ เรื่องตั้งนานแล้วนะ คิดซ้ำก็เป็นอีกนะ เนี่ยใจของเราชอบหลง หลงๆไปนะ ให้เราคอยมีสติรู้ทันนะ รู้ทันใจ ใจหลงไปคิดเรื่องนี้-รู้ทัน คิดแล้วเกิดความสุขก็รู้ทันว่ามีความสุขแล้ว ความทุกข์เกิดขึ้นในใจเราก็รู้ทันนะ กุศล-อกุศล โลภโกรธหลงอะไรเกิดขึ้นในใจ คอยรู้ทัน รู้เฉยๆ

ในขั้นของการเดินปัญญา ไม่เหมือนในขั้นของการทำสมาธิ ขั้นการทำสมาธินี่นะ จิตไม่ดีทำให้ดี จิตไม่สุขทำให้สุข จิตไม่สงบทำให้สงบ แต่ในขั้นปัญญาเนี่ย จิตไม่ดีรู้ว่าไม่ดี จิตไม่สุขรู้ว่าไม่สุข จิตไม่สงบรู้ว่าไม่สงบ รู้ลูกเดียวเลย รู้อย่างที่มันเป็นนะ เราจะเห็นเลยความสุขที่เกิดขึ้นในใจเราก็อยู่ชั่วคราว ความทุกข์ก็ชั่วคราวนะ โลภโกรธหลงอะไรๆก็ชั่วคราว นี่หัดดูลงไปนะ ทุกอย่างในชีวิตนี้เป็นของชั่วคราว นี่ล่ะคือการการเดินปัญญานะ ดูลงไป ค้นคว้าพิจารณาลงไปนะ

ถ้าจิตมันไม่ยอมดูของมันเองก็ต้องช่วยมันคิดช่วยมันพิจารณาก่อนในเบื้องต้น ยกตัวอย่างพิจารณาร่างกายนะ เป็นปฏิกูล เป็นอสุภะ เป็นธาตุเป็นขันธ์ นี่คือช่วยมันคิดก่อน แต่ถ้าจิตมันมีปัญญามีกำลังพอนะ มันจะเห็นเอง ร่างกายที่หายใจอยู่ไม่ใช่เรา จิตใจที่สุขจิตใจที่ทุกข์นั้น ความสุขความทุกข์ นั้นก็ไม่ใช่เรา จิตเป็นธรรมชาติรู้ จิตรู้ว่ามีความสุข จิตรู้ว่ามีความทุกข์ ตัวที่รู้นี้ก็ไม่ใช่เรา ตัวเราไม่มี ฝึกไปเรื่อยๆนะแล้วเราจะเห็นความจริงว่าตัวเราไม่มีหรอก

ภาวนาจนล้างความเห็นผิดว่ามีตัวเรา มีตัวตน ถ้าตัวเราไม่มีแล้วใครจะทุกข์ล่ะ ก็ขันธ์ ๕ มันทุกข์นะ ไม่ใช่เราทุกข์อีกต่อไปแล้ว เนี่ยเฝ้ารู้เฝ้าดูต่อไปนะ สติปัญญาแก่รอบขึ้นไปเรื่อย มันจะเห็นเลยว่าขันธ์ ๕ มีแต่ทุกข์ล้วนๆ อย่างพวกเราตอนนี้ปัญญาเราไม่พอ ศีลสมาธิปัญญาต้องฝึกให้แก่รอบนะ วันหนึ่งถึงจะพอ ถ้าพอจริงจะเห็นเลย กายนี้ทุกข์ล้วนๆ จิตนี้ทุกข์ล้วนๆ

พวกเราไม่เห็นหรอก พวกเราเห็นว่าร่างกายนี้เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง ใช่ม้้ย เห็นมั้ยว่าจิตนี้เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง เห็นอย่างนี้ใช่มั้ย นี่เราไม่รู้จริงหรอก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ท่านไม่ได้บอกว่าทุกข์บ้างสุขบ้างนะ เพราะฉะนั้นเรายังไม่ได้เห็นอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนหรอก เพราะฉะนั้นเรายังไม่ได้พ้นทุกข์หรอกนะ เพราะฉะนั้นต้องรู้ลงไปในกายรู้ลงไปในใจบ่อยๆ อย่าใจลอยนะ รู้สึกอยู่ในกายรู้สึกอยู่ในใจบ่อยๆนะ วันหนึ่งเราจะเห็นได้ว่ากายนี้ทุกข์ล้วนๆเลย

ยกตัวอย่างนั่งอยู่ก็ทุกข์นะ เดินอยู่ก็ทุกข์ นอนอยู่ก็ทุกข์ หิวก็ทุกข์ อิ่มก็ทุกข์ ง่วงก็ทุกข์นะ เจ็บป่วยขึ้นมาก็ทุกข์ นั่งอยู่เฉยๆก็คัน มีมั้ยนั่งแล้วไม่คัน คันก็ทุกข์นะ ทีนี้พวกเราพอทุกข์นะ เราก็เปลี่ยนอิริยาบถปับเลย เรายังไม่ทันจะรู้สึกเลยว่าทุกข์ ยกตัวอย่างคันขึ้นมารีบเกาเลย ยังไม่ทันรู้ตัวเลยว่าคันนะ เกาไปก่อนแล้ว เราก็ไม่เห็นทุกข์ มันเมื่อยขึ้นมาเราก็ขยับซ้ายขยับขวานะ เรายังไม่ทันรู้สึกเลยว่าเมื่อยนะ ยังไม่ทันรู้เลยว่ากายนี้เป็นทุกข์ ขยับหนีความทุกข์ไปเสียก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นก่อนที่จะขยับตัวนะ รู้สึกตัวเสียก่อน ก็จะเห็นว่ามีแต่ทุกข์ล้วนๆเลยนะ

จิตใจนี้ก็เหมือนกันนะ คอยรู้ทันบ่อยๆจะเห็นว่ามีแต่ทุกข์ล้วนๆเลย ถ้าเห็นว่ามีแต่ทุกข์ล้วนๆเมื่อไหร่ก็ข้ามโลกได้แล้วนะ ถ้ายังเห็นว่าทุกข์บ้างสุขบ้างก็ไปไหนไม่รอดหรอก

ก็ฝึกเอานะ ขั้นแรกเลย รักษาศีล อุตส่าห์แต่งขาวๆน่ะ อย่าปากร้ายนะ ปากร้ายนี้มันมาจากใจร้ายก่อน ใช่ม้้ย แล้วมันลดลงมา เพราะฉะนั้นเรามีศีลไว้ก่อนนะ ต่อไปเราก็มาฝึกใจให้สงบ กายสงบวาจาสงบแล้วด้วยศีล ฝึกให้ใจสงบด้วยสมาธิ แล้วก็ขั้นสุดท้ายฝึกให้จิตเกิดปัญญาด้วยวิปัสสนา กิเลสมี ๓ ขั้นนะ กิเลสอย่างหยาบเนี่ยคือ โลภ โกรธ หลง ของหยาบที่สุด สู้ด้วยศีลนะ กิเลสอย่างกลางชื่อนิวรณ์ สู้ด้วยสมาธิ ใจอยู่กับเนื้อกับตัว ใจไม่ฟุ้งไป จิตมีสมาธิ นิวรณ์ครอบงำไม่ได้ กิเลสที่ละเอียดที่สุดนะ คือความเห็นผิด คืออวิชา ความเห็นผิด คือมิจฉาทิฎฐิ เราสู้ด้วยความเห็นถูก รู้ลงในกายรู้ลงในใจดูว่าจริงๆมันเป็นอย่างไร จริงๆมีแต่ทุกข์นะ ดูไป เอ้า..เท่านี้เนาะ เทศน์แค่นี้ก็ถึงนิพพานแล้วล่ะ เหลือแต่ทำเอา ก่อนจะถึงนิพพาน ศีล ๕ ก่อนเน่อ เดี๋ยวหลวงพ่อต้องไปแล้วล่ะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่เกาะสีชัง จ.ชลบุรี
เมื่อวันจันทร์ที่ ๘ เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓

File: 530308
Whole track

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การเดินปัญญาเหมือนการทำศึกในขั้นตะลุมบอน

mp3 for download : การเดินปัญญาเหมือนการทำศึกในขั้นตะลุมบอน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณภาพจาก บ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ :ทีนี้พวกเราบางคนที่อินทรีย์ยังอ่อนนะ ได้ยินว่าจะไม่มีตัวมีตัน ทนไม่ได้ เพราะฉะนั้นเวลาสอนธรรมะเนี่ย พระท่านก็เลยนิยมสอนมาตามลำดับ ให้ทำทานรักษาศีลอะไรอย่างนี้ เขยิบขึ้นมาให้ทำสมาธิ นั่งสมาธิทำยากกว่ารักษาศีลอีกนะ แล้วก็ทำทานทำง่่าย รักษาศีลทำยากกว่าทำทานอีก รู้สึกมั้ย

เจริญปัญญายากกว่านั่งสมาธิ ถ้านั่งสมาธินะ นั่งไปแล้วมันมีความสุข นั่งแล้วมันสบาย มันเพลิน เราไปติดใจ ไม่ทำอะไรแล้ววันๆหนึ่งเอาแต่นั่งสมาธิ ไม่เดินปัญญา เดินปัญญายากกว่ามากเลยนะ เดินปัญญาเนี่ยมันเป็นขั้นเข้ามาดูความจริง มันเหมือนทำศึกในขั้นตะลุมบอนเลยนะ ประชิดตัวแล้ว ทำสงครามแบบถึงเนื้อถึงตัวกันเลย จะสู้กิเลสได้หรือว่าแพ้กิเลสก็แตกหักกันตรงนี้แหละ ตรงที่มาเจริญปัญญานี่แหละ

นอกนั้นยังฉาบฉวยอยู่นะ ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะนะ รักษาศีลได้บ้าง ศีลขาดบ้าง อะไรอย่างนี้ ทำสมาธิได้บ้างขี้เกียจบ้าง สมาธิแตกไปหมดแล้วบ้าง อะไรอย่างนี้ ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะเรื่อยๆไป ทำทานได้บ้างตระหนี่ได้บ้างอะไรอย่างนี้ ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ

แต่ตรงขั้นเจริญปัญญาเนี่ย คล้ายศึกขั้นตะลุมบอนกันแล้ว จะชิงเมืองหลวงกันแล้วนะ ชิงเมืองหลวงก็คือ ชิงจิตชิงใจกันนี่แหละว่า จิตใจนี้จะให้ธรรมะครอบครองหรือว่าจะให้กิเลสครอบครอง ถึงขั้นแตกหักกันแล้ว

เนี่ยพวกเราก็ค่อยๆฝึกมาเป็นลำดับนะ ใจน่ะ ใจฝึกใจ อย่าเห็นแก่ตัว ฝึกไปเรื่อย…


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
วันจันทร์ที่ ๓๑ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า
File: 551231A
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๘
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๕๔ ถึงนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๓๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทำทาน รักษาศีล ก็เพื่อลดละความเห็นแก่ตัว

mp3 for download : ทำทาน รักษาศีล ก็เพื่อลดละความเห็นแก่ตัว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณภาพจาก บ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ :อดทน กล้า รักษาศีลนะ ยอมเสียชีวิตดีกว่าเสียศีลเนี่ย ความยึดถือความหวงแหนในรูปนามกายใจนี้ ต้องเบาบาง ถ้ายึดถือในอัตตาตัวตนแรงนะ ทำไม่ได้หรอก มันจะสละทุกอย่างนะ เพื่อผลประโยชน์ เพื่ออัตตาตัวตน

ถ้าใจเราเด็ดเดี่ยวในการพัฒนาตัวเอง ในการทำความดีทั้งหลายทั้งปวงเนี่ย จุดมุ่งหมายนั้นมุ่งหมายมาที่การลดละความยึดถือในตัวในตนนั่นแหละ ความดีขั้นสูงสุดคือขั้นเจริญปัญญา เห็นความจริงของตัวตนเลยว่า ไม่ใช่ของดีของวิเศษแล้ว ไม่ยึดถือเลย ขั้นรองลงมาจากนั้นก็เป็นขั้นทุเลาเอา ค่อยๆละค่อยๆละเอา ค่อยๆฝึก

ยกตัวอย่างบางคนไม่เคยถือศีล ๘ ลองถือศีล ๘ ดู ต้องต่อสู้มากมายเลยกว่าจะรักษาศีล ๘ ได้ ฆราวาสเนี่ยไม่ต้องรักษาศีล ๘ ทุกวันนะ ไม่จำเป็นขนาดนั้น ศีล ๕ เอาให้รอดก่อน ถ้าศีล ๕ รอดนะ โอกาสจะได้มรรคผลก็มีแล้วล่ะ แต่วันไหนมีความพร้อมก็ลองศีล ๘ ดูบ้าง เราจะพบว่า มันต้องต่อสู้มากเลย ต่อสู้กับการคิดถึงอาหารเย็น บางคนตอนเย็นปกติกินนิดเดียวอยู่แล้วนะ ไม่ค่อยกินอะไรโดยธรรมชาติของตนเอง แต่พอมาถือศีล ๘ เนี่ย เย็นๆจะคิดแต่เรื่องกินน่ะ ใจจะวกไปอยู่ในเรื่องนั้นเรื่อยๆ ต้องต่อสู้ ต้องฝึก

การทำทานนะ ก็เพื่อลดละความหวงแหนในตัวในตน อย่างอภัยได้นะ ใจต้องกว้าง ถ้าใจแคบก็อภัยคนอื่นไม่ได้ เป็นเรื่องที่ว่าจะต้องไม่เห็นแก่ตัว ค่อยๆฝึกไปทำทานการรักษาศีล ทำทานก็เพื่อไม่ให้เห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว สู้กับกิเลส

รักษาศีลก็เพื่อลดความเห็นแก่ตัว
ยกตัวอย่างยุงเข้ามา ถ้าเป็นหลวงพ่อมียุงเข้ากุฎินะ ถ้าเข้ามามากๆก็ใช้วิธี ตอนเย็นน่ะ เปิดหน้าต่างไว้ เราก็ไปอยู่ข้างนอกนะ ข้างใจปิดไฟไว้ เดี๋ยวยุงก็ต้องไปทำมาหากิน ยุงก็บินออก หรือถ้ามีไม่กี่ตัวนะ หลวงพ่อมีแก้วอยู่ใบหนึ่งนะ แก้วใสๆ ต้องเลือกด้วยนะ แก้วที่ยุงชอบต้องใสๆ ถ้าแก้วมีลวดลาย พอเข้าใกล้มันจะบินหนีแล้ว แก้วใส ครอบสบาย แล้วก็เอากระดาษเสียบ พาไปปล่อย เสียบหนึ่งตัว เปิดประตูไปปล่อย เข้ามาสามตัว อะไรอย่างนี้ก็มีนะ

ถ้าเราเห็นแก่ตัว ไม่ต้องทำอะไรมากมายนักน่ะ ตีทีเดียวก็ตายแล้ว นี่เห็นแก่ตัวแล้ว เอาแต่ประโยชน์ของตนเอง ทำลายคนอื่น กระทั่งรักษาศีลนะ ต้องไม่เห็นแก่ตัว


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
วันจันทร์ที่ ๓๑ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า
File: 551231A
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๘
ระหว่างนาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๒๔ ถึงนาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๔๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ชาวพุทธต้องพัฒนาคุณงามความดีของตนเองให้ยิ่งขึ้นไป

mp3 for download : ชาวพุทธต้องพัฒนาคุณงามความดีของตนเองให้ยิ่งขึ้นไป

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณภาพจาก บ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : วันที่ ๓๑ แล้ว ยังแก่ไปได้อีกปีหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็มีบุญหล่อเลี้ยงแล้ว มีชีวิตรอดมาปีหนึ่ง ไม่มีบุญหล่อเลี้ยงอยู่ไม่ได้นะ เพราะขันธ์ ๕ ร่างกาย อะไรอย่างนี้ เป็นวิบาก เป็นผลของกรรมทั้งหมดเลย ตัวขันธ์ ๕ ยกเว้นพวกกิเลส เป็นของผลิตใหม่

เรามีบุญ เราได้ร่างกาย ได้จิตใจสมประกอบ มีตา มีหู มีใจ เป็นปกติ เรียกว่าเรามีต้นทุนที่ดีแล้ว กรรมเก่าส่งผลมาดี หน้าที่ก็คือ ต้องพัฒนา ทำกรรมใหม่ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เราจะมาหยุดอยู่กับที่ พอใจในสิ่งที่เรามีเราเป็นอยู่ตอนนี้ เราไม่พัฒนาคุณภาพจิตใจขึ้นไปนะ เรียกว่าเราประมาทไป

พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญความดีที่อยู่กับที่ ท่านส่งเสริมบอกว่า ต้องดีขึ้นไปอีก เรามาพัฒนาคุณงามความดีของเรา ไม่มีทานก็ทำทาน ทานไม่ใช่ต้องเสียเงินนะ ทานมีตั้งเยอะแยะ ยกตัวอย่างคนที่เขาไม่มีความรู้ เราให้ความรู้เขา ก็เป็นทาน ให้คำแนะนำที่ดีอะไรอย่างนี้ ก็เป็นทานทั้งหมดเลย ให้อภัยก็เป็นทาน ใช่ว่าจะต้องเสียสตางค์ คนจน ถ้าทานผูกกับเงิน คนจนก็ไม่ได้ทำทาน ไม่ใช่

ถ้าคนไหนศีลด่างพร้อยในรอบปีที่ผ่านมา ก็พยายามพัฒนา ปีต่อไปนี้รักษาศีลให้เข้มงวดขึ้น ศีลจำเป็นมากนะ เคยมีนักปฏิบัติคนหนึ่ง ชาติก่อนๆนะ รักษาศีล ยอมตายรักษาศีล ชาตินี้เขาภาวนาง่าย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
วันจันทร์ที่ ๓๑ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า
File: 551231A
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๘
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๒ ถึงนาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ชาวพุทธที่แท้จริง ต้องเจริญปัญญา

mp3 (for download): ชาวพุทธที่แท้จริง ต้องเจริญปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ชาวพุทธที่แท้จริง ต้องเจริญปัญญา

ชาวพุทธที่แท้จริง ต้องเจริญปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ : เราบางคนก็คิดว่าศาสนาพุทธเป็นเรื่องแค่ทำทาน ถือศีล อะไรอย่างนี้

ทำทานมันก็ดี แต่ว่ามันไม่พ้นทุกข์น่ะ ถือศีลมันก็ดี แต่ก็ยังไม่พ้นทุกข์หรอก ทำสมาธิก็ดี แต่ก็ยังไม่พ้นทุกข์หรอก ในศาสนาอื่นเขาก็มี การทำทาน การรักษาศีล การทำสมาธิ มีทุกศาสนานะ มีอยู่ทุกๆศาสนา

สิ่งที่จะได้มา จากการทำทาน รักษาศีล การทำสมาธิ คือการไปเกิดในภพภูมิที่ดี หรือมีความสุขอยู่ในปัจจุบันนี้ ชั่วครั้งชั่วคราว เวลาที่เราทำทานนั้นอิ่มเอิบ แป๊บเดียวเราก็โลภ พอความโลภเกิดขึ้นมา ความอิ่มเอิบเบิกบานจากการทำทานก็หายไป เรารักษาศีล ตั้งใจรักษา แป๊บเดียวศีลขาดแล้ว นึกถึงศีลทีไรแทนที่จะสดชื่นนะกลับเศร้าหมอง เมื่อเราไม่มีปัญญาจะรักษา ทำสมาธิได้ก็สงบได้ชั่วครั้งชั่วคราว ออกจากสมาธิฟุ้งซ่าน บางคนฟุ้งยิ่งกว่าเก่าอีก

คนที่ติดสมาธินะ ติดสมถะน่ะ หลวงพ่อก็เคยเห็น แต่ก่อนตามวัดตามวานั้นมีเยอะ นั่งสมาธิกันมากเลย ไม่รู้ว่านั่งสมาธิเพื่ออะไร ความจริงนั่งสมาธินั้นเป็นการเตรียมจิตให้พร้อมสำหรับการเจริญปัญญา ไม่ใช่นั่งสมาธิเพื่อจะทำสมาธิ พอนั่งสมาธิก็สงบ น้อมใจให้นิ่งๆไป ออกจากสมาธินะ อารมณ์ร้ายกว่าเก่าอีก เพราะตอนทำสมาธิมันเก็บกดน่ะ ข่มกิเลสเอาไว้ เรียบๆ กิเลสไม่ทำงานขึ้นมา

เพราะฉะนั้นการที่จะทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ ก็ดีนะ แต่ไม่พ้นทุกข์หรอก แต่จำเป็น มันเป็นพื้นฐานในการที่จะลดละความเห็นแก่ตัวลง ทำทานได้ก็ลดละความเห็นแก่ตัว ยกตัวอย่างเราให้วัตถุทาน ก็ลดละความเห็นแก่ตัวลง เราให้อภัยทานก็ลดละความเห็นแก่ตัวลง เราให้ธรรมทาน ให้ความรู้ความเข้าใจกับคน ยกตัวอย่างคนทำมาหากินไม่เป็น เราสอนวิธี.. เมื่อก่อนมี ใครนะ ชื่ออะไร.. ลุงขาว ไขอาชีพ สอนทอดปาท่องโก๋ ก็เป็นธรรมทานนะ ให้ความรู้ความเข้าใจให้คน อย่างนั้นมันก็ดี ก็ลดละความเห็นแกตัวไป

ถือศีลก็ต้องละความเห็นแก่ตัว ถือศีลแล้วเห็นแก่ตัวมากนะ ก็ถือยาก ทำสมาธินะ ก็ตัดความวุ่นวายจากโลกภายนอกออกไป มาสงบอยู่กับตัวเอง ค่อยๆมาเรียนรู้ตัวเอง ก็ดีเหมือนกัน

ก็ไม่ใช่ว่า หลวงพ่อบอกว่าไม่ควรทำนะ มีโอากาสทำก็ทำ ทำทานรักษาศีลทำจิตให้สงบ เราต้องฝึกตัวเองทุกวันๆ แต่ถัดจากนั้นมาต้องเจริญปัญญาให้เป็น ถ้าเจริญปัญญาไม่เป็น ยังไม่ใช่ชาวพุทธที่แท้จริงหรอก เพราะชาวพุทธนะ คำสอนของพระพุทธเจ้าถึงขั้นเจริญปัญญา ไม่ใช่ให้เชื่อ ไม่ใช่ให้ศรัทธา ไม่ใช่มีแค่ศรัทธา เชื่อเอา ไม่ใช่แค่ทำทาน แค่รักษาศีล แค่ทำสมาธิ ต้องเจริญปัญญา เพราะอะไร เพราะบุคคลถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่การไฟฟ้าผ่านผลิตแห่งประเทศไทย
ตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย นนทบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันจันทร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมนอกสถานที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
File: 540530
ระหว่างนาทีที่  ๕ วินาทีที่ ๕๓ ถึง นาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๒๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่