Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

คนใจร้อน ให้ดูจิตที่เคลื่อนไหว

mp 3 (for download) : คนใจร้อน ให้ดูจิตที่เคลื่อนไหว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : จะขอคำแนะนำพระอาจารย์ว่าดูสภาวะจิตนะค่่ะ แล้วอีกคำถามก็คือว่าอยากขอคำแนะนำที่เหมาะสมในเรื่องของวิหารธรรมที่เหมาะสมกับตัวหนูค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เราเป็นคนใจร้อนนะ เพราะงั้นเราดูจิตดูใจที่มันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเนี่ยมันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเลย รู้สึกมั้ยอารมณ์ของเรามันเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงไปเรื่อยๆนะ นั่นแหล่ะดูไป เห็นแต่อารมณ์เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์นะ เดี๋ยวก็หงุดหงิดอะไรงี้ ไหลมาไหลไปเดี๋ยวก็หงุดหงิดอีก พอมีสติรู้ความหงุดหงิดหายไปอีกซักพักก็มาอีกอะไรงี้ เฝ้ารู้อยู่อย่างนี้บ่อยๆ

ในที่สุดปัญญามันเกิดมันจะเห็นเลยทุกอย่างผ่านมาแล้วผ่านไป ทุกอย่างเป็นของถูกรู้ถูกดู ทุกอย่างไม่ใช่ตัวเราหรอก ของคุณทำในรูปแบบด้วยนะ พยายามไป อดทน เดินจงกรม เห็นร่างกายมันเดินไป ถึงวันหนึ่งใจมันมีเรี่ยวแรงขึ้นมา

มีผู้หญิงคนหนึ่งนะ ไปเรียนกับหลวงพ่อ เมื่อหลายเดือนแล้ว มาเดือนพฤศจิกายนไปเรียนแล้วถามหลวงพ่อว่าที่ภาวนาอยู่เป็นยังไง หลวงพ่อก็บอกว่า ภาวนาก็รู้หลักอยู่แล้ว ภาวนาก็ใช้ได้อยู่แล้ว แล้วก็เงียบๆนะไม่พูดต่อแล้ว เขาก็ถามหลวงพ่อว่าเขาขาดวินัยในการปฏิบัติใช่ไหม บอกว่า ใช่ ตั้งแต่นั้นนะ เดินจงกรมทุกวันเลย คนนี้งานเยอะนะ ดูแลบ้านดูแลครอบครัวดูแลลูกดูแลสามี งานเยอะมากเลย พอดูแลเสร็จแล้วก็ไปทำงาน ดูแลบริษัทอีก ๕ บริษัท กลับมาถึงบ้านนะ กว่าจะมีเวลาส่วนตัวเนี่ย ๕ ทุ่มแล้ว ๕ ทุมถ้าเป็นพวกเราทำงานมาตึ้งแต่เช้ามืดยัน ๕ ทุ่ม เราก็มีข้ออ้างแล้วใช่ไหม ขอนอน นี่ คนนี้ฮึดสู้นะ ลุกขึ้ันเดินจงกรม ยังไม่นอนนะ เดินจงกรมไปชั่วโมงกว่า เที่ยงคืนหมดเรี่ยวหมดแรงไปนอน นอนไปตี่นหนึ่งนะ ก็ลุกขึ้นมาเดินอีก เขาฝึกของเขามาอย่างนี้ด้วยความยากลำบากนะ แต่ว่าไม่ท้อถอยเลย เขาฝึกจนกระทั่งวันหนึ่งใจมันเป็นกลางกับทุกสิ่งทุกอย่าง ใจมันถอดถอนตัวเองออกมา เราค่อยฝึกเอา ใช้เวลาราวๆ ๗ เดือนเอง ของเราอย่าขึ้เกียจนะ แล้วเราอย่าอ้างว่างานเยอะ งานทั้งหลายที่เราทำอยู่ทุกวันนี้เพื่อจะอาศัยอยู่ในโลกชั่วครั้งชั่วคราว งานในธรรมะนะข้ามภพข้ามชาติ

ดูเด็กนี่ เห็นไหม เด็กนี่เห็นรูปตั้งแต่เล็กๆ ยังไม่เคยฟังธรรมก็รู้จักรูปแล้ว แต่ว่าไม่รู้ชื่อมันเท่านั้นเอง คนที่เคยทำนะ มันทำง่าย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา
ชลบุรี

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๓๑
File: 520719.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔๑ วินาทีที่ ๕๒ ถึง นาทีที่ ๔๔ วินาทีที่ ๒๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

แม้มีภาระทางโลกมาก ก็ภาวนาได้ (และได้ดีด้วย)

mp 3 (for download) : แม้มีภาระทางโลกมาก ก็ภาวนาได้ (และได้ดีด้วย)

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

แม้มีภาระทางโลกมาก ก็ภาวนาได้ (และได้ดีด้วย)

แม้มีภาระทางโลกมาก ก็ภาวนาได้ (และได้ดีด้วย)

โยม : กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ โยมเคยฟังซีดีอยู่เจ้าค่ะ โยมมีอาชีพค้าขายแล้วกลับบ้านก็ต้องดูแลลูก อันนี้โยมอยากจะได้กรรมฐานจากหลวงพ่อไปใช้ในชีวิตประจำวันน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ดูใจของเราไปเลยนะ อย่างเราค้าขายอยู่วันนี้ไม่มีลูกค้ามาเนี่ยเราไม่สบายใจ วันนี้เห็นลูกค้ามาเราพอใจ เห็นลูกค้าคนนี้หน้าตากวนมากเลยชักเกลียดมันแล้วแต่ต้องแกล้งยิ้มไว้อะไรงี้ เราก็รู้ทันว่าเกลียดเค้า

กลับมาบ้านลูกซนลูกร้องเสียงดังบ้านวุ่นวาย ใจเราไม่มีความสุขรู้ว่าไม่มีความสุข รู้ทุกอย่างไป จำไว้เรื่องนึงนะคนเราจะสุขจะทุกข์เนี่ย ถ้าเรายอมรับสิ่งที่เกิดกับตัวเราเองได้นะ ใจเรายอมรับได้นะ เราจะทุกข์น้อย ถ้าใจเรายอมรับไม่ได้ใจจะทุกข์เยอะ

เช่นเรากลับมาบ้านแล้วบ้านเราวุ่นวายเลยเรารู้สึกเบื๊อเบื่อใจเรายอมรับไม่ได้ ใจมันจะยิ่งมีความทุกข์มากขึ้น เราดูลงไปเลยใจมันเบื่อขึ้นมาแล้วรู้ทัน ใจมันรำคาญแล้วรู้ทันนะ

หลวงพ่อก็เห็นใจนะงานหนัก (โยม : ขอบพระคุณเจ้าค่ะ) มีคุณมาลีเนี่ยนะก็ดูแลบ้านเองนะแล้วก็ทำงานด้วย งานหนัก ดูแลบริษัทอยู่คนเดียวเนี่ย ๕ แห่งนะ เพราะงั้นเหนื่อยมากเลยแต่ละวันแต่ละวันแต่เค้าก็ภาวนา ดูแลบ้านเสร็จให้สามีนอนให้ลูกนอนแล้วตัวเองยังมาเดินจงกรมอยู่เลยนะพากเพียรต่อสู้ เพราะอะไร เพราะว่าชีวิตเนี่ยเห็นเลยมันไม่มีสาระแก่นสาร เอาอะไรเป็นที่พึ่งไม่ได้เลย มีเงินเยอะๆก็ไม่ใช่จะเป็นที่พึ่งให้พ้นทุกข์นะ อย่าไปนึกว่าถ้าเรารวยรวยแล้วเราจะไม่ทุกข์ ไม่จริงหรอก คนรวยนี่ทุกข์เยอะเลย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๒

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๓๓
File: 520920.mp3
ระหว่างชั่วโมงที่ ๑ นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๕๑ ถึง ชั่วโมงที่ ๑ นาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๓๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สติทางโลก สติทางธรรม

mp3 (for download) : สติทางโลก สติทางธรรม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สติทางโลก สติทางธรรม

สติทางโลก สติทางธรรม

โยม : ผมได้มีโอกาสได้สอนแฟนครับ เรื่องมีสติครับ แต่ว่าผมยังสอนเค้าไม่เข้าใจครับ ว่าสติแบบทางธรรม กับสติแบบทางโลกว่าเป็นยังไง ขอโอกาสหลวงพ่อครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : คือสตินะ สติแปลว่าความระลึก ความระลึกได้ เป็นตัวที่คอยรู้ทันว่ามีอะไรเกิดขึ้นในกายในใจของเรา อันนี้เป็นสติในการปฏิบัติธรรม สติอย่างโลกๆนะ คือเมื่อไรที่จิตเป็นกุศลนะ เมื่อนั้นมีสติอยู่แล้ว แต่เป็นสติโลกๆ แต่ถ้าเมื่อไรจิตเป็นอกุศล เมื่อนั้นไม่มีสติ เราสนใจ ถ้าสอนเพื่อนนะ สอนให้มาทำสติปัฏฐานไว้ สติรู้กาย สติรู้ใจสอนตัวนี้บ่อยๆ แล้วสติโลกๆ ก็จะดีขึ้นเองแหละ เราเอาสติชั้นยอดก่อน เดี๋ยวสติชั้นรองมันก็ได้เองแหละ ส่วนที่คนในโลกพูดเรื่องคำว่าสติ มันยืมคำว่าสติของพระพุทธเจ้าไปใช้ คนในโลกไม่มีสติ ขาดสติเป็นส่วนใหญ่ อย่างเมาเหล้า เมาเหล้าขับรถให้มีสติอะไรแบบนี้ ไม่มีหรอก เค้าแค่บอกว่า อะไรนะ อย่าใจลอย อย่าลืมตัว จริงๆ คนเราใจลอยตลอดเวลาไม่เห็นหรอก ในโลกนะหาคนมีสตินะหายากจริงๆ จิตหนีไปคิดหรือยัง

โยม : หนีไปคิดแล้วครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เอ่อขาดสติแหละ ให้รู้แบบนี้บ่อยๆ นะ ถ้าไปสอนเพื่อนนะ เวลาเพื่อนหนีไปคิดนะ ถ้าเค้ารู้ตรงนี้ได้ เค้าก็จะมีสติขึ้นมา จิตหนีไปคิดแล้วรู้บ่อยๆ จะมีทั้งสติ มีทั้งสมาธิเลย ไปสอนกรรมฐานนะ สอนเบื้องต้นเลยนะ ง่ายที่สุดเลย บอกให้รักษาศีล 5 ไว้ก่อน ถัดจากนั้นนะถ้าจิตหนีไปคิดแล้วคอยรู้ไว้ ตัวนี้จะได้ทั้งสติ จะได้ทั้งสมาธิเลย ถ้าเมื่อไรเค้ารู้ทัน ว่าจิตหนีไปคิดนะ ตรงที่รู้ทันนั้นมีสติ ทันทีที่รู้ทันนะ จิตก็จะตั้งมั่น มีสมาธิขึ้นมา พอจิตเค้าตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูได้แล้ว ถ้ดจากนั้นก็สอนให้เค้าเดินวิปัสสนาต่อ ให้เค้ารู้กายรู้ใจไป ดูกายดูใจมันทำงาน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หลังฉันเช้า
CD: ๔๑
File: 540730B
ระหว่างนาทีที่ ๔๒ วินาทีที่ ๑๓ ถึงนาทีที่ ๔๔ วินาทีที่ ๔๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

งานทางโลกและงานทางธรรม คือ งานเดียวกัน

mp3 (for download): งานทางโลกและงานทางธรรม คืองานเดียวกัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

งานทางโลกและงานทางธรรม คืองานเดียวกัน

งานทางโลกและงานทางธรรม คืองานเดียวกัน

โยม : กราบเรียนถามหลวงพ่อนะครับ คือ สมมุติว่ามี ๒ เส้นทางนะครับ สำหรับการดำเนินชีวิตของเรา เส้นทางแรกคือเส้นทางทางโลกน่ะครับ เป้าหมายก็คือ การงานอาชีพ กับอีกเส้นทางหนึ่งก็คือ เส้นทางทางธรรมนะครับ ซึ่งเป้าหมายก็คือนิพพาน คือทั้งสองเส้นนี้จะมีทางมาบรรจบกันหรือมีทางขนาน..

หลวงพ่อปราโมทย์ : มันต้องไปด้วยกันนะ ต้องไปด้วยกันนั้นแหละ ไม่ใช่ต้องเลือกหรอก ตอนนี้เรามีฐานะเป็นฆราวาส เราก็ทำงานทำหน้าที่ไป เพื่อเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว ทำตามหน้าที่ของเรา ไม่ทิ้งหน้าที่นะนักปฏิบัติ อย่างเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ เลี้ยงครอบครัว อะไรอย่างนี้ ต้องทำตามหน้าที่

ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครห้ามเราถือศีล ไม่มีใครเขาห้ามเราเจริญสมาธิ ไม่มีใครเขาห้ามเรามีสติรู้กายรู้ใจ เจริญปัญญา เราก็ทำควบไปได้ เพราะฉะนั้นเมื่อถึงจุดหนึ่ง.. ตอนนี้เราก็ทำมาหากินไป มีเวลาเราก็ภาวนาไป ทำไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งซึ่งภาระทางโลกเราหมดแล้ว เราอยากจะไปให้เร็วกว่านั้นเราก็ไปภาวนาเอา ไปมุ่งภาระทางธรรมเป็นหลัก แต่ไม่ใช่อยู่ๆก็ทิ้งภาระทางโลกนะ ทิ้งพ่อทิ้งแม่ ไปบวช ไม่ใช่หรอก

โยม : ตัวเวลานี่น่ะครับ ตัวสำคัญ..

หลวงพ่อปราโมทย์ : หือ.. ถ้าเข้าใจการปฏิบัตินี่นะ จะพบว่าการปฏิบัติธรรมไม่เบียดบังเวลาทำมาหากินนะ คือเราอย่าไปวาดภาพการปฏิบัตินะ เป็นแบบฤๅษีชีไพรอย่างเดียว ต้องนั่งสมาธิเป็นวันๆนะ นั่งไปจนกระทั่งหนวดยาวนะ นกกระจอกมาทำรังได้ อย่างนั้นถึงจะเก่ง ไม่ใช่

เมื่อใดมีสติ เมื่อนั้นมีการปฏิบัติ เมื่อไรขาดสติเมื่อนั้นขาดการปฏิบัติ เพราะฉะนั้นเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ในทาง โลกนี่นะ สมมุติว่าเรารับเงินอยู่นะ แค่มองเห็นหน้าลูกค้า เราก็เกิดความชอบบ้าง ความไม่ชอบบ้าง ใจเราไม่เท่ากันแล้ว นี่นะให้เรารู้ทัน บางคนจะจ่ายค่าผ่านทางนิดเดียว เอาแบงก์พันมาให้อะไรอย่างนี้นะ เราหงุดหงิดมั้ย หรือปลื้มวันนี้ได้จับแบงก์พัน มันไม่ใช่แบงก์ของเรามันไม่ปลื้มหรอก เนี่ย ให้ดูใจของเรา มันไม่ได้เบียดบังเวลาทำมาหากินของเรานะ

การปฏิบัติธรรมเนี่ย ไม่ได้เบียดบังเวลาทำมาหากิน ยกเว้นการทำมาหากิน การทำงาน ที่ใช้ความคิดเท่านั้น ถ้าไม่ต้องใช้ความคิดมากๆเนี่ย เราเจริญสติรู้กายรู้ใจได้ตลอดเลย ยกตัวอย่างงานแม่บ้านนะ กวาดบ้านไป กวาดบ้านไปด้วยความรู้สึกตัว เนี่ยไม่ได้เบียดบังเวลาปฏิบัติเลยนะ ไม่ได้เบียดบังเวลาทำงานด้วย ทำไปด้วยกันได้

หัดมีสติให้มากไว้ แล้วจะเข้าใจแก่นของการปฏิบัติ ไม่ยากเท่าที่คิดหรอก ไม่ใช่ว่าเราต้องแบ่งเวลานี้เป็นเวลาทำงาน หมดเวลาทำงานแล้วถึงจะเป็นเวลาภาวนา ถ้าเรายังแบ่งชีวิตเราเป็นสองส่วน มรรคผลยังอยู่ห่าง แต่ถ้าเมื่อไรเรารู้เลยว่าชีวิตนี้เรามีแต่งานหลักกับงานรอง ไม่ใช่งานสองอย่างนะ มีงานหลักกับงานรอง

งานหลักของเราแต่ละคนก็คือ เราจะต้องยกระดับจิตวิญญาณของเราให้สูงขึ้นไป ให้พ้นความทุกข์ออกไปเรื่อยๆ นี่งานหลักของชีวิต งานรองคือการทำมาหากินตามหน้าที่ เพื่อจะเลี้ยงชีวิตอยู่กับโลกเท่านั้นเอง อยู่ไปได้ไม่นานใช่มั้ย เดี๋ยว ๖๐ เขาก็ไม่ให้ทำแล้วอะไรอย่างนี้ แต่งานหลักของเรายังมีอยู่

ที่นี้เราไม่ให้งานรองเบียดบังงานหลักของเรานะ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราทำงานทางโลกนี่นะ เราคอยมีสติเอาไว้ กิเลสเกิดเราคอยรู้ไว้ เราได้ปฏิบัติธรรมทั้งวัน หลวงพ่อปฏิบัติตอนทำงานนะ ตอนแรกอยู่สภาความมั่นคง งานหนักนะ คิดหนักทั้งวันเลย วิเคราะห์วิจัยอะไรอย่างนี้นะ หนัก ก็คอยดูเอา นั่งทำงานนะหัวหมุนเลย คิดมาก ไม่สามารถดูจิตได้หรอก เวลาเดินไปห้องน้ำนี่นะ เห็นร่างกายเดินไปห้องน้ำ ดูกายเลย ไปห้องน้ำเสร็จนะ ก็เดินกลับมานะ ใจสบายขึ้นละ ดูจิตที่สบายออกมา ไม่ได้ทิ้งการปฏิบัติเลย จะกินข้าวก็ปฏิบัติ จะอาบน้ำก็ปฏิบัติ จะขึ้นรถก็ปฏิบัติ ทำอะไรๆก็ปฏิบัติ ไม่ได้แยกชีวิตออกเป็นสองส่วนหรอก

เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่า เวลานี้เป็นเวลาปฏิบัติ เวลานี้ไม่ต้องปฏิบัติ เวลาของชีวิตนี้ทั้งหมดนั้นแหละคือเวลาของการปฏิบัติ งานหลักของเราคือการปฏิบัติธรรม ยกระดับจิตวิญญาณของเราให้สูงขึ้นไป จนพ้นจากความทุกข์ การทำมาหากินนั้นเป็นงานสนับสนุน ทำให้เราพออยู่กับโลกได้ ไม่ใช่สองงานที่เท่าๆกัน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมนอกสถานที่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
File: 540216
ระหว่างนาทีที่  ๓๕ วินาทีที่ ๓๗ ถึง นาทีที่ ๔๐ วินาทีที่ ๒๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่