Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

อริยผลมีอริยมรรคเป็นเหตุ เหตุของอริยมรรคคือ ศีล สมาธิ ปัญญา

mp3 for download : อริยผลมีอริยมรรคเป็นเหตุ เหตุของอริยมรรคคือ ศีล สมาธิ ปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล กับ คุณ ปราโมทย์ สันตยากร (ในสมัยนั้น)

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล กับ คุณ ปราโมทย์ สันตยากร (ในสมัยนั้น)

หลวงพ่อปราโมย์ :ความหมายของหลวงปู่ดูลย์นะ สิ่งที่ท่านพูดถึง “ว่าง สว่าง บริสุทธิ์ หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกริยาของจิต ไม่มีอะไรเลย ไม่เหลืออะไรสักอย่าง” อันนั้นเป็นอริยผล เป็นลักษณะของจิตที่เป็นผลแล้ว ไม่ใช่เหตุ สิ่งที่พวกเราต้องทำคือทำเหตุ ไม่ใช่ทำผล ผลเป็นเอง ทำเหตุให้ได้แล้วผลเป็นเอง ไม่ใครทำอริยผลให้เกิดได้นะ สิ่งที่ทำให้อริยผลเกิดขึ้นก็คืออริยมรรค เพราะฉะนั้นเราทำเหตุ

ถ้าทำเหตุได้ เราทำเหตุฝ่ายเกิด คือมีตัณหานะ แล้วก็มีตัวทุกข์ขึ้นมา เราทำเหตุฝ่ายดับ คือเจริญมรรค มีศีลสมาธิปัญญาขึ้นมา ก็มีผล เข้าไปสู่นิโรธ มีเหตุมีผลอยู่ ถ้าเข้าถึงนิโรธเต็มภูมินะ ก็จะไปสัมผัสพระนิพพานเต็มภูมิ สิ่งนี้ไม่มีเกิดไม่มีดับไม่มีตาย ไม่มีตั้งต้นไม่มีจุติ(ตาย-ผู้ถอด)ไม่มีอุบัติ(เกิด-ผู้ถอด) ไม่มีความเคลื่อนไหวไปมา ส่งไปส่งมา ไม่มีพระอาทิตย์พระจันทร์ ไม่มีฌานสมาบัติ ไม่มีอะไร แต่มีอยู่ มีความสงบ มีความสันติ มีความสุข เป็นบรมสุข เพราะไม่มีอะไรเสียดแทง (ความเสียดแทงคือความเป็นทุกข์ ความบีบคั้น คือทุกขตาในอริยสัจจ์ – ผู้ถอด) สิ่งเหล่านี้มีอยู่

ก็อยู่ที่เรา ทำเอาให้ได้นะ ทำ ถ้าทำบ้างไม่ทำบ้าง ไม่ได้กินหรอก ถ้าทำผิดก็ยิ่งไกลมันออกไปอีก ทำผิดแล้วเดินไปคนละทิศคนละทาง ยิ่งขยันยิ่งหลงไกล

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
File 550106
ระหว่างนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๕๗ ถึงนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๒๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ตราบใดที่ยังอยาก จะไม่เกิดมรรคผล

mp 3 (for download) : ตราบใดที่ยังอยาก จะไม่เกิดมรรคผล

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


ขอขอบคุณ บ้านจิตสบาย ที่เอื้อเฟื้อภาพ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

หลวงพ่อปราโมทย์ : พระพุทธเจ้าสอนอริยสัจนะ ง่ายๆเลย ทุกข์ให้รู้ ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือกายกับใจ หน้าที่ของเราก็คือรู้กายรู้ใจใช่มั้ย ง่ายๆ รู้ไปเรื่อยแล้ววันนึงละสมุทัยเอง ละความอยาก พอหมดความยึดในกายในใจ มันก็หมดความอยากที่จะให้กายให้ใจเป็นสุข หมดความอยากให้กายให้ใจพ้นทุกข์ เมื่อไรจิตหมดความอยากนะ จิตก็เห็นนิพพาน นิพพานคือสภาวะที่พ้นจากความอยาก ยังอยากอยู่นะไม่เห็นนิพพาน ยังอยากปฏิบัติยังไม่มีวันเห็นนิพพานหรอก อยากได้ผลนะ ยิ่งไม่มีทางเห็นใหญ่ งั้นตราบใดที่ความอยากยังครองหัวใจอยู่ ตราบนั้นยังไม่เกิดมรรคผลหรอก

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒ หลังฉันเช้า

สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
Track: ๕
File: 520426B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๔ ถึง นาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๔๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๗) ภาวนาสุดท้าย จิตเป็นหนึ่ง ธรรมเป็นหนึ่ง

mp 3 (for download) : ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๗) ภาวนาสุดท้าย จิตเป็นหนึ่ง ธรรมเป็นหนึ่ง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ทีนี้พอได้โสดาบันแล้ว การภาวนาก็ยังทำอย่างเก่านั้นแหละ นะ การทำภาวนาอย่างเก่า รู้กายไปรู้ใจไป มีสติ รู้กายรู้ใจลงเป็นปัจจุบัน ทีละขณะ ทีละขณะ คำว่าปัจจุบันก็คือ ๑ ขณะจิตต่อหน้าเรานี่แหละ รู้ลงทีละขณะ ทีละขณะ นิดเดียว เล็กนิดเดียว ๑ ขณะ สำคัญนะ ในทางศาสนาพุทธ อะไรหนึ่ง หนึ่ง เนี่ย สำคัญทั้งนั้นเลย นะ เราภาวนาไปจนถึงจุดสุดท้ายนะ จิตเป็นหนึ่งนะ จิตเป็นหนึ่ง อารมณ์ก็เป็นหนึ่ง ธรรมก็เป็นหนึ่ง ครูบาอาจารย์บางองค์เรียกว่า เอกจิต เอกธรรม หรือจิตหนึ่ง ธรรมหนึ่ง บางองค์เรียก ฐีติจิต ฐีติธรรม แล้วแต่จะเรียก เป็นหนึ่งทั้งหมดเลย หนึ่งเดียวรวด

เพราะฉะนั้นภาวนาอยู่กับหนึ่งขณะจิตต่อหน้านี้ ไม่มีตัวมีตน คอยรู้ไปๆนะ ถึงจุดหนึ่ง จิตของเราก็จะเป็นหนึ่งอยู่อย่างนั้น หมายถึง ไม่มีอะไรเข้ามาปรุงแต่งให้เป็นสองได้อีกแล้ว จิตที่มันเป็นสองได้ เป็นสามได้ เพราะว่ามันถูกปรุงแต่ง

เหมือนอย่างน้ำที่บริสุทธิ์นี้มีอยู่หนึ่งเดียว ใช่มั้ย น้ำเขียว น้ำแดง น้ำซ่าๆ น้ำเน่า น้ำเหม็น น้ำหอมอะไรนี่ เพราะมันมีของอื่นไปปรุงแต่งเอา พอมันกลั่นตัวของมันจนบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ก็เป็นสภาวะอันเดียวล้วนๆเลย ก็เป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ ของจิตของใจ เวลามีจิตใจเข้าถึงความบริสุทธิ์แล้ว มาดูโลก ดูสรรพสัตว์ ดูตัวเอง ดูอะไรต่ออะไรทั้งหมดเนี่ย ก็จะเห็นเป็นหนึ่งเหมือนกัน คือว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนเสมอกันหมดเลย

ภาวนานะ ถึงจุดสุดท้าย เข้าถึงจิตก็เป็นหนึ่ง ธรรมก็เป็นหนึ่ง อยู่กับความเป็นหนึ่งนั้นแหละยู่กับความไม่มี อยู่กับความไม่เป็นอะไร นี่ ฟังของหลวงพ่อคำเขียนท่านพูด ท่านอยู่กับความไม่มีไม่เป็นแล้วสะใจ ถ้าคนมาเล่าว่าเนี่ย จิตเป็นอย่างนี้ แล้วไปอยู่ตรงนี้นะ ฟังแล้วไม่สะใจ ฟังแล้วเอียนๆ นะ

ฝึกเอานะ ศาสนายังไม่ใช่สูญหายไป แต่เรียนให้ดี เรียนคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ดี อย่าเชื่ออาจารย์มากเกินไป สติปัฏฐานสำคัญนะ ต้องเรียน อริยสัจจ์ ๔ ต้องเรียน เรียนปริยัติไปก่อน ถ้าเราไม่รู้จักสติปัฏฐาน ไม่รู้จักอริยสัจจ์ ไม่รู้จักไตรลักษณ์ อะไรอย่างนี้นะ ไม่ไหว ภาวนาไม่ไหว พวกนี้เป็นความรู้พื้นฐาน เพราะฉะนั้นจะเรียนพวกนี้นะ หลวงพ่อเขียนไว้ให้อ่านแล้วนะ เยอะแยะเลย นะ ไปอ่านเอาเอง ช่วยตัวเอง หลวงพ่อช่วยไม่ไหวแล้ว นะ เรือหลวงพ่อลำเล็กนะ หลวงพ่อเป็นเรือบด ลำเล็กๆเอาตัวรอดเท่านั้นแหละ พายตุ๊บป่อง ตุ๊บป่อง ข้ามทะเลของหลวงพ่อเอาเอง พวกเราก็ต้องหาเรือของเราเองนะ สิ่งที่จะเป็นเรือให้กับพวกเราคือธรรมนั่นแหละ ทำอะไรบ้างล่ะ สติ สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ  สติ สัมมาสมาธิ ปัญญา หรือ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาทิฎฐิ สิ่งเหล่านี้ต้องพัฒนาขึ้นมา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
File: 500408B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๘ ถึง นาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๓๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๖) พระโสดาบันละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน

mp 3 (for download) : ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๖) พระโสดาบันละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ความเป็นตัวเราจริงๆไม่มี ความเป็นตัวเราเกิดจากความคิดล้วนๆเลย คิดเอาเองว่าเป็นเรา ถ้าไม่ไปหลงอยู่ในโลกของความคิดนะ กายนี้ใจนี้ก็ไม่ใช่ตัวเรา เนี่ย พอเราเห็นซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ นะ ถึงจุดหนึ่งจิตมันจะรวมเข้ามา มันจะเข้าสมาธิ รวมเอง ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป จิตมี ปีติ  สุข เอกัคคตา มีวิตกวิจารณ์คือการตรึกถึงอารมณ์ การตรองเคล้าเคลียอยู่ในอารมณ์นั้น อารมณ์อะไร อารมณ์นิพพาน จิตจะรวมเข้ามานะ ขั้นแรกพอรวมเข้ามาปั๊บ มันจะเห็นสภาวธรรม อะไรก็ไม่รู้ นะ ไม่รู้ว่าคืออะไร นะ ถ้ายังรู้ว่าคืออะไรนี่ยังเจือด้วยสมมุติบัญญัติ ไม่ใช่ของจริง จิตจะเห็นสภาวธรรมบางอย่าง เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ ขึ้นมา บางคนเห็นสองครั้ง บางคนเห็นสามครั้ง

เห็นสองทีเนี่ย จิตก็วางการรับรู้อารมณ์นั้นแล้วทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ ทวนกระแสเข้ากลับมาหาธาตุรู้ จากนั้นสิ่งที่ห่อหุ้มปิดบังธาตุรู้ไว้ จะถูกแหวกถูกทำลายออกชั่วขณะ จะแหวกออก จิตที่เป็นอิสระล้วนๆเลยที่สัมผัสกับธรรมะคือนิพพานล้วนๆเลยจะปรากฎขึ้นมา

เสร็จแล้วจิตจะถอยออกมานะ ตรงนี้ไม่มีคำพูดนะ แว้บเดียวเอง แต่มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา  พร้อมอยู่ตรงนี้เลย พอถอยออกมากลับมาสู่โลกภายนอก จิตจะทวนกลับเข้าไปพิจารณาใหม่ว่าเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น มันจะรู้เลยว่า อ้อ..เมื่อตะกี้นี้เกิดอริยมรรคขึ้นแล้ว สังโยชน์เบื้องต้นถูกละไปแล้ว ความเห็นผิดถูกละไปแล้ว กายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา ดูยังไงก็ไม่เป็นเราอีกต่อไปแล้ว จะละความเห็นผิดได้ จะหมดความลังเลสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า พวกเรายังลังเล รู้สึกมั้ย ฝึกๆไปช่วงหนึ่งก็รู้สึก เอ้อ.. จริง ไม่จริงว้า.. จริง ไม่จริงว้า.. อั้นนั้นเป็นธรรมชาตินะ ต้องมี ไม่ต้องแกล้งทำเป็นไม่มี

หรือเราเคยงมงาย เห็นว่าต้องปฎิบัติอย่างนี้แล้วจะดี ปฏิบัติแล้วจะดี ต้องทำอย่างนั้นดี ทำอย่างนี้ดี จะหมดความงมงายอย่างนี้เลย รู้แต่ว่ามีแต่การเจริญสติรู้กายรู้ใจทางสายเดียว ทางสายเอก มีอันนี้อันเดียว ไม่มีอันอื่นอีกแล้ว เนี่ย พระโสดาบันละสิ่งเหล่านี้ได้ ละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน ละความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยได้ ละการถือศีลบำเพ็ญพรตแบบงมงาย ลูบๆคลำๆ ว่าทำอย่างนั้นดี ทำอย่างนี้ดี รู้แล้วว่าไม่มีทางอื่นเลยนอกจากการมีสติรู้กายรู้ใจ หรือสติปัฏฐานนั่นเอง

เพราะฉะนั้นเวลาที่บรรลุพระโสดาบันไม่ใช่จิตดับนะ ทุกวันนี้มีคำสอนเรื่องจิตดับมากมาย คิดว่าภาวนาไปเรื่อย กำหนดไปเรื่อยนะ อย่างจะหยิบอะไรสักอันหนึ่ง กำหนดไปเรื่อยให้จิตมันแนบอยู่ที่มือเนี่ย เพ่งมากๆนะ จิตจะดับลงไป จิตดับแล้วสำคัญมั่นหมายว่าบรรลุธรรมแล้ว ดับ ๔ หน ก็เป็นพระอรหันต์นะ ออกมาจากพระอรหันต์ก็มาทะเลาะกับเมียเหมือนเดิมแหละ นะ ละกิเลสไม่ได้จริง

ในขณะที่บรรลุ มรรค ผล นิพพาน มีจิตนะ ไม่ใช่ไม่มีจิต ขณะที่บรรลุอริยมรรค นะ ก็มี มรรคจิต ขณะที่บรรลุอริยผล มีผลจิต มรรคจิตมี ๔ ดวง ผลจิตอีก ๔ ดวง นี่เรียก มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ คนโบราณชอบพูด

ถ้าพูดอย่างละเอียด ก็มี ๒๐ อย่างละ ๒๐ เพราะว่ามันเจือด้วยฌานเข้าไปในแต่ละชนิด ฌานมันไม่เท่ากัน มีฌาน ๕ อย่าง เพราะฉะนั้นจิตที่บรรลุมรรคผลเนี่ย รวมแล้วมีจิตตั้ง ๔๐ ดวงแหน่ะ ทีนี้พวกเรารุ่นหลังๆนะ เชื่อคำสอนของอาจารย์มากไป เลยคิดว่าเวลาบรรลุมรรคผลนิพพาน จิตดับวูบลงไปหมดสติ พอรู้สึกตัวขึ้นใหม่ บอกบรรลุไปแล้ว ตรงที่จิตดับลงไปนั้น คือ อสัญญสัตตาภูมิ คือ พรหมลูกฟักนะ

มีองค์หนึ่งท่านเล่น เมื่อไม่กี่วันมานี้ ท่านอนุสรณ์ เนี่ย ท่านลองเล่นๆของท่านนะ ดับปั๊บเลย และท่านรู้ว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ เพราะมันขาดสติ ออกมาแล้วไม่เห็นจะละกิเลสอะไรเลย ดับไปเฉยๆ ฝึกไม่กี่วันก็เป็นแล้ว นี่คือการเพ่งกาย เพ่งกายแล้วลืมจิต จนจิตดับลงไป เหลือแต่กายอันเดียวล้วนๆ

เพราะฉะนั้นเวลาบรรลุมรรคผลนิพพานมีจิต ไม่ใช่ไม่มี ถ้าไม่มีจิตแล้วใครจะรู้นิพพาน นิพพานเป็นอารมณ์นะ มีอารมณ์ต้องมีจิต เป็นกฎนะ กฏของธรรมะ ชื่อภาษาแขกเพราะๆเรียกว่า “ธรรมนิยาม” กฎของธรรมะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
File: 500408B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๗ ถึง นาทีที่ ๒๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์โดยตัวของมันเอง

mp 3 (for download) : ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์โดยตัวของมันเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ผู้ใดเข้าใจอริยสัจจ์ก็จะข้ามภพข้ามชาติ ใครไม่เข้าใจอริยสัจจ์ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด เข้าใจย้ากยาก ฟังเหมือนเข้าใจง่าย

ยกตัวอย่างบอกว่าขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ กายกับใจเป็นทุกข์ ฟังแล้วง่ายใช่มั้ย แต่กว่าจะรู้สึกว่ากายกับใจเป็นทุกข์นั้นยากที่สุดเลย เพราะเรารู้สึกว่ากายนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง จิตเป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง เราไม่ได้เห็นเลยว่ากายกับใจเป็นทุกข์ล้วนๆน่ะ เราไม่เห็นน่ะ เนี่ยเรียกว่าเราไม่รู้ทุกข์

หรือเราเห็นว่า ถ้ามีตัณหาแล้วจิตจะมีความทุกข์ คือมีความอยากขึ้นมานะ จิตดิ้นรนขึ้นมาแล้วจิตทุกข์ แต่กับคนทั่วไปอย่างนี้ก็ไม่เห็นนะ คนทั่วไปเห็นว่ามีความอยากยังไม่ทุกข์ ถ้าไม่สมอยากถึงจะทุกข์ แต่ถ้าสมอยากแล้วมีความสุข เนี่ย(ปัญญา-ผู้ถอด)ตื้นขนาดนี้

ผู้ปฏิบัติเห็นว่า ถ้ามีความอยากถึงจะมีความทุกข์ นี่ก็ยังตื้นนะ ยังไม่ใช่รู้ธรรมะแท้ๆ ถ้ารู้ธรรมะแท้ๆเราจะรู้เลย จะมีความอยากหรือไม่มีความอยาก ขันธ์ก็เป็นทุกข์ กายนี้ใจนี้ก็เป็นทุกข์ล้วนๆโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่ถ้ามีความอยากซ้ำขึ้นมา อยากให้ขันธ์มีความสุข อยากให้ขันธ์พ้นทุกข์ล่ะก็ จิตใจจะดิ้นรนและมีความทุกข์ซ้ำซ้อนขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งนะ เรียกว่าทุกข์ซ้อนทุกข์ ทุกข์แล้วทุกข์อีก ทุกข์ไม่เลิก

นิโรธ นิพพาน ก็ไม่เข้าใจ ตอนที่หลวงพ่อเรียนสมัยเด็กๆ กระทรวงศึกษาฯแต่งตำรา นิพพานแปลว่าตาย นิโรธก็คือนิพพาน เพราะฉะนั้นนิโรธคือตาย เราก็บอก เออ! ทุกข์ สมุทัย มรรค อะไรนี้นะ ไม่น่ารังเกียจนะ แต่นิโรธนี้น่ารังเกียจที่สุดเลย ขอไม่เอา ภาวนาขอไม่เอานิพพานนะ กลัวตาย

นิโรธนี้ก็ลึกซึ้งนะ นิโรธ พวกเราแปลตามตำราก็ว่า “ความดับทุกข์” แต่ในสภาวะ ถ้าเราภาวนาจนจิตหลุดพ้นแล้ว เราไม่รู้สึกว่าดับทุกข์หรอก แต่เรารู้สึกพ้นทุกข์ พระอรหันต์ที่ยังดำรงขันธ์อยู่เนี่ยนะ นิโรธเนี่ยคือความพ้นทุกข์ ไม่ใช่ความดับทุกข์ เพราะว่าอะไร เพราะว่าขันธ์ยังอยู่ ขันธ์เป็นตัวทุกข์ ขันธ์ของพระอรหันต์ก็ทุกข์เช่นเดียวกันกับขันธ์ของญาติโยมทั้งหลายนั่นเอง

เพราะฉะนั้นนิโรธไม่ใช่ความดับทุกข์ แต่เป็นความพ้นทุกข์ หมายถึงจิตมันพ้นออกจากขันธ์ จิตมันไม่ยึดถือขันธ์ เพราะฉะนั้นขันธ์จะแปรปรวนอย่างไร จิตไม่ทุกข์ด้วย

มรรคก็เหมือนกันนะ เข้าใจยาก มรรคของเรามี ๘ ถ้ามรรคมี ๘ ก็เรียกว่ามักมาก มรรคในความเป็นจริงมี ๑ มรรคมี ๑ แต่มีองค์ประกอบ ๘ คล้ายๆแมงมุม ๑ ตัว มีขา ๘ ขา ไม่ใช่ขา ๑ ขา คือแมงมุม ๑ ตัว ขา ๒ ขา คือแมงมุม ๑ ตัว ไม่ใช่ เนี่ยธรรมะนะลึก ลึกมาเลย ค่อยๆเรียนไป ค่อยๆเรียน

หรืออย่างนิโรธนะ นิโรธ นิโรธพอลึกซึ้งถึงที่สุดเนี่ย แปลว่าความไม่เกิดขึ้นของทุกข์ ความไม่เกิดขึ้นอีกของทุกข์ อันนั้นเป็นพระอรหันต์ที่นิพพาน(หมายถึง ดับขันธปรินิพพาน – ผู้ถอด)แล้ว ไม่มีความเกิดขึ้นอีกของทุกข์ เพราะฉะนั้นเราแปลว่าดับทุกข์ๆ เราก็คิดว่าเหมือนไฟไหม้นะ ไหม้ขึ้นมาแล้วหมดเชื้อแล้วมันก็ดับไป แต่โดยสภาวะแล้ว ถ้ายังดำรงขันธ์อยู่มันก็พ้นทุกข์ ถ้าสิ้นขันธ์ไปแล้วก็คือ ทุกข์ไม่เกิดอีก คือความไม่เกิดขึ้นของทุกข์


CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๑๕
File: 501118.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๔ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๒๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อุปาทานขันธ์

mp3 for download: อุปาทานขันธ์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : คนที่อยู่ไกลๆนะ เขาฟังซีดี หรือเขาดาวน์โหลดไฟล์เสียงไปฟัง เขาก็ภาวนาได้นะ จับหลักให้แม่นแล้วภาวนา ใช้ความสังเกตไม่เข้าข้างตัวเอง ใช้สังเกตใจของเราไปเรื่อย กิเลสก็หลอกไม่ได้ ดีกว่าเที่ยวไปฟังคนโน้นคนนี้นะ คนฟังหลวงพ่อแล้วภาวนาดีๆ เที่ยวไปถามคนโน้นคนนี้ เสียเลยก็มี พาออกนอกลู่นอกทางก็มี แต่ว่าอันนี้แล้วแต่บุญแต่กรรม สมาธิชนิดเพี้ยนๆมีเยอะ ทิ้งหลักที่พระพุทธเจ้าสอน

คือถ้าเราจะทำวิปัสสนานะ เราทิ้งการเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของรูปนามไม่ได้ ต้องรู้รูปนาม เพราะพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ทุกข์ให้รู้ สมุทัยให้ละ นิโรธทำให้แจ้ง มรรคทำให้เจริญ

ท่านนิยามคำว่าทุกข์เอาไว้ชัดเจน ว่าสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ก็คืออุปาทานขันธ์ สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธาทุกฺขา ว่าโดยสรุปอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์

คำว่าอุปาทานขันธ์นั้นเมื่อก่อนนี้หลวงพ่อก็แปลผิด ไปแปลว่าขันธ์นี้ไม่ทุกข์ ต่อเมื่อเราเข้าไปยึดถือถึงจะทุกข์ จึงเรียกว่าอุปาทานขันธ์ ความจริงไม่ใช่ ขันธ์ทั้งหมดนั้นแหละตัวทุกข์ แต่ว่าทำไมท่านแยก มีคำว่าอุปาทานขันธ์ เพราะขันธ์มี ๒ ชนิดน่ะ ขันธ์ที่เป็นอุปาทานขันธ์นั้นเป็นตัวทุกข์ทั้งหมดเลย ไม่ใช่ว่าจะต้องเข้าไปยึดถึงจะทุกข์ ขันธ์บางอย่างไม่ใช่อุปาทานขันธ์ มีจิตบางประเภท ไม่อยู่ในอุปาทานขันธ์ ยกตัวอย่าง มรรคจิต ผลจิต บรรดาโลกุตตรธรรมทั้งหลาย พ้นจากทุกข์ไป ไม่จัดอยู่ในกองทุกข์ แต่ยังเป็นขันธ์อยู่

เพราะฉะนั้นคำว่าอุปาทานขันธ์นั้นเป็นการพูดขึ้นมาเพื่อจำแนกประเภทของขันธ์ ไม่ใช่ว่าอุปาทานขันธ์ หมายถึงว่า ขันธ์นั้นไม่ทุกข์ เราเข้าไปยึดแล้วถึงจะทุกข์ เมื่อก่อนหลวงพ่อแปลผิดน่ะ ตอนนั้นยังเด็กๆ เป็นนักศึกษาไปบวชวัดชลประทาน สวดมนต์แปล สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธาทุกฺขา ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ เพราะนึกเอามักง่าย ถ้าไม่ยึดก็ไม่ทุกข์หรอก คิดอย่างนั้น พอภาวนาแล้วพบว่ามันไม่ใช่นะ จะยึดหรือว่าไม่ยึดก็ตามนะ ขันธ์ที่พวกเรารู้จักทั้งหลายนั้น เป็นทุกข์ทั้งนั้นเลย พวกเรายังไม่เห็นขันธ์ที่พ้นจากกองทุกข์ ต้องเป็นพระอริยะจึงจะเห็น


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
เมื่อวันเสาร์ที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD แผ่นที่ ๔๒
ลำดับที่ ๖
File 541008B.mp3

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อริยสัจจ์แห่งจิต

mp3 (for download) : อริยสัจจ์แห่งจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


หลวงพ่อปราโมทย์ : ธรรมชาติจิตส่งออกนอก หลวงปู่ดุลย์สอนอย่างนี้นะ ธรรมชาติของจิตย่อมส่งออกนอก แต่จิตส่งออกนอกแล้วกระเพื่อมหวั่นไหวไปตามอารมณ์นี่ เป็น”สมุทัย” มีผลเป็น”ทุกข์” จิตส่งออกนอกแล้วไม่กระเพื่อมหวั่นไหวน่ะไม่ทุกข์ ท่านว่าอย่างนี้นะ

พระอรหันต์มีจิตออกนอกมั้ย มีมั้ยเอ่ย? ไม่มี…เพราะไม่มีนอกมีใน มันเท่ากันหมดนะ เท่ากันหมด หลวงปู่ดุลย์เลยบอก พระอริยเจ้ามีจิตไม่ส่งออกนอก คำว่า พระอริยเจ้าของท่านคือพระอรหันต์ มีจิตไม่ส่งออกนอก จะออกทำไม จิตท่านเต็มโลกธาตุ เต็มจักรวาล ไม่เห็นต้องออกตรงไหนเลย รู้สึกตอนไหนก็ได้ ฉะนั้นพระอริยเจ้ามีจิตไม่ส่งออกนอก มีจิตไม่กระเพื่อมหวั่นไหว มีความสุข เดี๋ยววันหลังต้องเขียนป้าย หลวงปู่ดุลย์ข้างหน้าต้องเขียนให้ครบดีกว่า มันขาด นี่มันบทแรกเท่านั้นนะ มีอีก บทหลังก็มีอีก นี่ไม่ครบหรอก แต่คนรุ่นหลังลืมไปแล้ว

แต่ก่อนนี้ เวลาจะเขียนมันเยอะไป เขียนต้องเขียนรอบสี่ทิศเลยละมั้งกว่าจะครบ แต่ธรรมะของท่านดีมากนะ “จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย ผลที่จิตส่งออกนอกเป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค ผลที่จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ อนึ่งธรรมชาติของจิตย่อมส่งออกนอก เมื่อจิตส่งออกนอกแล้วกระเพื่อมหวั่นไหวนะในการสนองรับอารมณ์ เป็นสมุทัย ผลที่จิตส่งออกนอกแล้วกระเพื่อมหวั่นไหว เป็นทุกข์ จิตส่งออกนอกนะไม่กระเพื่อมหวั่นไหว มีความรู้สึกตัวอยู่เป็นวิหารธรรม ไม่ทุกข์หรอกนะ แต่เสร็จแล้วท่านตบท้าย พระอริยเจ้าทั้งหลาย พระอรหันต์ มีจิตไม่ออกนอก มีจิตไม่ปรุงแต่ง คำสอนท่านลึก คำว่าพระอริยเจ้าคือพระอรหันต์ คำว่าจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งหมายถึงอะไร เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของจิต จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เห็นว่าจิตเป็นไตรลักษณ์”

นี่เมื่อไม่นาน หลวงพ่อไปเทศน์​ที่วัดบูรพารามนะ เทศน์เรื่องการดูจิต บอกบางคนนะ เรียนหรืออ่านคำสอนหลวงปู่ดุลย์แล้วอ่านแล้วไม่เข้าใจ อย่างบางคนเนี่ยหลวงปู่ดุลย์สอนบอกว่า ประคองจิตให้นิ่งเลยนะ ความคิดนึกปรุงแต่งเกิดขึ้นให้ปัดทิ้งไป แล้วบอกว่าหลวงปู่ดุลย์สอนดูจิตแบบนี้ ท่านสอนแบบนี้เหมือนกัน “แต่นั่นเป็นการดูจิตในขั้นการทำสมถะ” หรือบางท่านก็บอก หลวงปู่ดุลย์สอนดูจิตบอกว่าง สว่าง บริสุทธ์ หยุดความปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาของจิต ไม่มีอะไรเลย ไม่เหลืออะไรซักอย่าง อันนี้บอกหลวงปู่ดุลย์สอน ก็ถูกอีกหลวงปู่ก็สอน “แต่นั่นเป็นผล เป็นผลที่พระอรหันต์ท่านเป็น ไม่ใช่อย่างพวกเราเป็น” จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค อันนี้ต้องเรียนให้มาก จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งไม่ใช่แปลว่าเห็นจิตชัดๆ ไม่คลาดสายตา จิตเห็นจิตแจ่มแจ้งที่จะเดินปัญญาก็คือ”เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของจิต”นั่นเอง ถ้าเห็นไตรลักษณ์ของจิตได้ ก็วาง ปล่อยวางได้ นี่ หลวงปู่มั่นสอนหลวงปู่ดุลย์นะ ให้ดูสังขาร ดูสัญญานะ มันปรุงแต่งจิตขึ้นมา หลวงปู่ดุลย์รู้ทันสัญญา รู้ทันสังขาร ก็เลยรู้แจ้งอริยสัจ

หลวงปู่มั่นไม่ได้สอนหลวงปู่ดุลย์ให้ดูจิตนิ่งๆว่างๆนะ แต่ให้เห็นสังขารคือความปรุงของจิต ให้เห็นสัญญาคือการหมายรู้ของจิต ทำงานควบกันอยู่ เพราะมันไปหมายเข้ามันก็เลยไปปรุง พอไปปรุงแล้วมันก็ไปหมาย อย่างพวกเราอยู่ๆนะ บางที ความจำมันเกิดขึ้น หน้าของคนนี้โผล่ขึ้นมา นี่สัญญามันผุดขึ้นมาก่อน สังขารก็ปรุงเลย นี่ผู้หญิงสวยคนนี้ แฟนเก่าเราชอบ รักมาก ความรัก ความรู้สึกรักเกิดขึ้น หรือความรู้สึกโกรธเกิดขึ้น กิเลสมาปรุงจิตแล้ว ก็ไปหมายผิดๆนะ พอปรุงนี่แฟนเรานะ ก็หมายผิดๆ ว่ามีตัวมีตนมีจริงๆนี่หมายผิดอีกแล้ว อาศัยสัญญาทำให้เกิดสังขาร อาศัยสังขารทำให้สัญญาทำงาน หมายไปผิดๆต่อไปอีก กระทบกันไปกระทบกันมา สังสารวัฏยืดเยื้อยาวนานเลย

ฉะนั้นเวลาเราฟังพระพุทธเจ้า ฟังธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนก็ดี ฟังที่หลวงพ่อสอนก็ดีนะ หรือฟังจากหลวงปู่ดุลย์สอน หรือ ครูบาอาจารย์องค์ไหนก็ดี ต้องแยกให้ออกว่า สิ่งที่ท่านสอนนั้นเป็นธรรมะระดับไหน สอนใคร ธรรมะแต่ละชั้น แต่ละชั้น ไม่เหมือนกัน อย่างดูจิตเพื่อให้เกิดศีล ดูจิตเพื่อให้เกิดสมาธิ ดูจิตเพื่อให้ตั้งมั่น ดูจิตเพื่อให้เกิดปัญญา คนละแบบกัน หรือ ดูจิตเป็นวิหารธรรมของพระอรหันต์ คนละแบบกัน อย่าไปมั่วนะ บอก หลวงปู่ดุลย์​บอกประคองจิตให้ว่าง โถ นั่นสอนพวกทำสมถะไม่เป็นให้ทำสมถะก่อนอะไรนี้นะ คนละเรื่องกันเลย หลวงพ่อเคยไปทำนะ ประคองไว้ โดนท่านจวกเอา ไม่ได้ดูจิต ดูจิตต้องปล่อยให้มันทำงาน ถึงเจริญปัญญา เห็นไตรลักษณ์ เห็นมันทำงานได้เองนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: ๔๑
File: 540730B
ระหว่างนาทีที่ ๔๖ วินาทีที่ ๔๘ ถึงนาทีที่ ๕๒ วินาทีที่ ๒๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้ทุกข์จะละสมุทัย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

Mp3 for download: 530726A_ruu tuk la samutai

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเรารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง มันจะละสมุทัยได้ ละความอยากได้ละได้อัตโนมัติ ละแล้วไม่เกิดอีกเลยนะ เรารู้ความจริงแล้วว่าขันธ์ห้าเป็นทุกข์ กายนี้ใจนี้เป็นตัวทุกข์ ไม่ใช่ตัวดีตัววิเศษ ความอยากจะให้กายให้ใจเป็นสุขจะไม่เกิดขึ้น ความอยากให้กายให้ใจพ้นทุกข์จะไม่เกิดขึ้น เห็นมั๊ยพอรู้ทุกข์แจ่มแจ้งแล้วจะละสมุทัยคือความอยากไม่เกิดขึ้นอีก

การละสมุทัยเพราะการรู้ทุกข์เนี่ยเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่สุดอีกเรื่องหนึ่งนะ ปกติเวลาความอยากใดๆเกิดขึ้นในใจเรามีสติรู้ทัน ความอยากนั้นจะดับไปรู้สึกมั๊ย หัดมาภาวนารู้สึกมั๊ย เวลาเช่นอยากจะจีบสาวนี่ สติรู้ทันปึ๊บ ความอยากก็หายไป เดี๋ยวอาจจะเกิดใหม่อีกแล้วนะ อยากจีบอีก เนี่ยมันดับไม่สนิท มันดับ ดับแล้วก็โผล่ขึ้นมาได้อีกนะ เหมือนตำรวจดับไฟนะแต่ดับแบบประมาท เอาน้ำไปฉีดๆ แล้วก็กลับไป ขับรถหวอกลับไปไม่นานไฟคุขึ้นมาอีกแล้วเพราะเชื้อยังอยู่ แต่ถ้าเราดับไฟด้วยการรู้ทุกข์นะ มันจะดับสนิทจริงๆ มันจะดับสนิท ดับแล้วไม่เกิดขึ้นอีก คือถ้าเมื่อไหร่เรารู้ความจริงว่าขันธ์ห้าเป็นทุกข์ รูปธรรมนามธรรมนี้เป็นทุกข์ ไม่ใช่ของดีไม่ใช่ของวิเศษเหมือนที่เคยคิดไว้ อันนั้นแหล่ะความอยากจะให้ขันธ์ห้าเป็นสุขจะไม่มีอีกแล้วเพราะรู้ว่ามันไม่มีจริง

ความอยากจะให้ขันธ์ห้าพ้นทุกข์จะไม่มีอีกแล้วเพราะรู้ว่าไม่มีจริง ขันธ์ห้าเป็นตัวทุกข์ยังไงก็พ้นทุกข์ไม่ได้ ขันธ์ห้าไม่ใช่ตัวสุขยังไงก็สุขไปไม่ได้ ความอยากที่ไร้เดียงสาจะไม่มีขึ้นมาอีก ถ้าเมื่อไหร่รู้ทุกข์แจ่มแจ้งจะละสมุทัยเด็ดขาด ละแล้วไม่เกิดขึ้นอีก เมื่อไรละสมุทัยได้เด็ดขาด เมื่อนั้นนิโรธคือนิพพานจะปรากฎขึ้นต่อหน้าต่อตา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๕
File: 530726A
ระหว่างนาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๔๙ ถึง นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๓๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ยิ่งดิ้นก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งดิ้น

mp 3 (for download) : ยิ่งดิ้นก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งดิ้น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งดิ้น ยิ่งดิ้นก็ยิ่งทุกข์

ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งดิ้น ยิ่งดิ้นก็ยิ่งทุกข์

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเมื่อไหร่เราแจ้งขึ้นมา แจ่มแจ้ง ปัญญาแจ่มแจ้ง ก็พ้นทุกข์ มันแจ่มแจ้งอริยสัจจ์ อย่างเดิมเราจะเห็นเลยว่า เพราะมีสมุทัยจึงเกิดทุกข์ พอเราแจ่มแจ้งเราจะรู้ว่า เพราะไม่รู้ทุกข์จึงเกิดสมุทัย เพราะมีสมุทัยก็เกิดทุกข์ เพราะไม่รู้ทุกข์ก็เกิดสมุทัย ทุกข์กับสมุทัยเป็นธรรมที่อิงอาศัยกัน เพราะฉะนั้นสังสารวัฏฏ์นี้ไม่มีที่สิ้นสุด พอมีความทุกข์ขึ้นมาเราก็อยากพ้นทุกข์ อยากพ้นทุกข์เราก็ยิ่งดิ้น ยิ่งดิ้นก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งดิ้น เพราะฉะนั้นดิ้นไปเรื่อยๆแหละ

แต่ถ้าเมื่อไหร่เรารู้ความจริง เรารู้แจ้งทุกข์ สมุทัยจะดับอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นเมื่อไรที่รู้ทุกข์แจ่มแจ้ง สมุทัยจะดับอัตโนมัติ แต่เดิมเราคิดว่า ถ้าดับสมุทัยได้จะดับทุกข์ได้ อันนี้มันถูกเหมือนกันแต่มันถูกครึ่งเดียว สมุทัยดับไป นิโรธก็จะแจ้ง แต่สมุทัยด้บได้ เพราะเรารู้ความจริงของทุกข์ คือรู้ความจริงของกายของใจ ว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเราแล้ว เราปล่อยวางกายปล่อยวางใจได้ ความดิ้นรนที่จะทำให้กายนี้ใจนี้เป็นสุขพ้นทุกข์ ก็จะหายไป หมดความดิ้นรน พอหมดความดิ้นรน ใจก็แจ้งนิโรธขึ้นมา แจ้งนิพพาน แจ้งสภาวะพ้นทุกข์ สังสารวัฏฏ์เนี่ยเป็นการอิงอาศัยกันระหว่างทุกข์กับสมุท้ย

ยิ่งดิ้นก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งดิ้น นี่แหละสังสารวัฏฏ์มีอยู่เท่านี้นะ ถ้าย่อๆลงมาเนี่ย สังเกตดูในใจเรามันเป็นอย่างนั้นมั้ย ยิ่งดิ้นยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งดิ้น เวียนอยู่เท่านี้ ตายแล้วตายอีก ก็วนอยู่เท่านี้แหละ หลายคนก็มองว่าถ้าดับตัณหาเสียได้ ก็จะได้พ้นทุกข์ มองได้ชั้นเดียว หลายคนพยายามดับตัณหาด้วยการทรมานตัวเอง

ยกตัวอย่างพวกนิครนถ์เขาก็รู้นะว่า ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ถ้าดับตัณหาได้ก็จะนิพพาน เขามองได้ชั้นหนึ่ง ฉลาดเหมือนกันมองไปได้ชั้นหนึ่ง เขาก็พยายามดับตัณหา เช่นมันอยากกินไม่กิน มันอยากนอนไม่นอน ฝืนมัน ลืมไปว่าตรงที่แกล้งมันทำนั้นน่ะ ทำด้วยตัณหาและทิฎฐิเหมือนกัน

พระพุทธเจ้าฉลาด แหลมคม เรียนลงมาว่า อะไรเป็นต้นตอของตัณหา ท่านพบว่าความไม่รู้ทุกข์นั้นแหละเป็นต้นตอของตัณหา ความไม่รู้ทุกข์นั้นล่ะ คืออวิชาล่ะ อวิชาคือความไม่รู้อริยสัจจ์ ไม่รู้ทุกข์นี้ตัวที่หนึ่งเลย เพราะฉะนั้นในอริยสัจจ์ ๔ แต่ก่อนหลวงพ่อเคยสงสัยนะ ว่าทำไมท่านเริ่มด้วยทุกข์ ทำไมท่านไม่เริ่มด้วยสมุทัย เพราะเวลาเราปฏิบัติเราเห็นสมุทัยก่อนใช่มั้ย มีความอยากแล้วก็มีความทุกข์ ทำไมท่านไม่เจาะจงสอนมาที่ความอยากนี้ ทำไมไปเริ่มต้นที่ทุกข์ เพราะเราเข้าใจธรรมะชั้นเดียว

แต่ถ้าเมื่อไรเราเข้าใจธรรมะนะว่า เพราะไม่รู้ทุกข์จึงเกิดสมุทัย เพราะฉะนั้นถ้ารู้ทุกข์นะ ก็ไม่มีสมุทัย ท่านถึงสอนเริ่มจากทุกข์ก่อน ทุกข์ก็คือกายกับใจนะ ให้เรารู้ทุกข์ ท่านบอกว่า “ทุกข์ให้รู้” เพราะฉะนั้นให้เรารู้ทุกข์ คือรู้กายรู้ใจของตัวเอง พอเข้าใจความเป็นจริงของกายของใจ สมุทัยจะดับทันที ทันทีที่สมุทัยดับ นิโรธจะแจ้งทันที อัตโนมัติหมดเลยนะ เพราะฉะนั้นมรรคก็คือคอยรู้ทุกข์เอาไว้นั่นแหละ รู้ทุกข์จนกระทั่งตัณหาดับ นิโรธแจ้ง ก็พ้นทุกข์ตรงนั้นแหละ คำสอนของท่านสมบูรณ์นะ

แต่ก่อนหลวงพ่อ ก่อนจะไปบวช ก่อนจะปฏิบัติใน(เพศพระ)นี้ เป็นนักวิเคราะห์นะ ชอบวิเคราะห์ ทำงานวิเคราะห์ วิเคราะห์นโยบาย วิเคราะห์แผน เราก็นึกว่าพระพุทธเจ้าสอนอริยสัจจ์ ๔ แบบนักวิเคราะห์ เริ่มต้นด้วยตัวปัญหา มีทุกข์ขึ้นมาก่อนแล้วมาวิเคราะห์หาสาเหตุ ความจริงไม่ใช่หรอก ท่านสอนมาตามลำดับของการปฏิบัติ เพราะธรรมะท่านสอนเอาไว้ให้ปฏิบัติ ไม่ใช่สอนเอาไว้ให้คิดเล่นๆ ท่านสอนทุกข์ก่อนนี้ถูกต้องแล้ว เพราะเราต้องรู้ทุกข์ ตัวนี้สำคัญมากนะ การรู้ทุกข์ จนกระทั่งละสมุทัย นิโรธแจ้ง มันคือการรู้แจ้งอริยสัจจ์

พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก อริยสัจจ์ ถ้าย่อๆลงมา ถ้าฝ่ายเกิดนะ ก็อย่างที่หลวงพ่อบอกนั้นแหละ ยิ่งดิ้นยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ยิ่งดิ้นนั่นแหละ พอย่อลงมาก็แค่นี้แหละ แต่ถ้าจะตัดสังสารวัฏฏ์ให้ขาด ธรรมะฝ่ายวิวัฏฏะ รู้ทุกข์ สมุทัยก็ถูกละ นิโรธก็แจ้ง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่ ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๙

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๓
File: 490716.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๖ วินาทีที่ ๓๗ ถึง นาทีที่ ๔๑ วินาทีที่ ๑๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

พระอรหันต์ ก็เป็นธรรมชาติ ธรรมดา

mp 3 (for download) : พระอรหันต์ ก็เป็นธรรมชาติ ธรรมดา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

พระอรหันต์ ก็เป็นธรรมชาติ ธรรมดา

พระอรหันต์ ก็เป็นธรรมชาติ ธรรมดา

หลวงพ่อปราโมทย์ : พวกเราชอบวาดภาพพระอรหันต์ คือคนที่ฝึกจิตที่ไม่เที่ยงให้เที่ยงได้ ทำจิตให้เที่ยง คือคนที่ฝึกจิตที่เป็นทุกข์ให้เป็นสุขได้ คือคนที่บังคับจิตซึ่งเป็นอนัตตาให้บังคับได้ แท้จริงไม่ใช่อย่างนั้น แท้จริงก็คือท่านคล้อยตามความเป็นจริง เรียกว่า มันมีญาณอยู่ตัวหนึ่ง เรียกว่า สัจจานุโลมิกญาณ ตอนที่ความรู้แจ้งอริยสัจจ์จะเกิดน่ะ จะมีญาณอยู่ตัวหนึ่งเรียกว่า สัจจานุโลมิกญาณ การคล้อยตามความจริง ความจริงของกายของใจ มันเป็นอย่างไร รู้แล้วยอมรับมัน รับสภาพความเป็นจริงของมันได้

ถ้ายอมรับได้นะใจหมดการดิ้นรน หมดตัณหาทันทีเลย ความดิ้นรนในใจจะหมด ทันทีที่ตัณหาดับลงเนี่ย นิโรธหรือนิพพานจะปรากฎขึ้นมาเลย มรรค ผล นิพพานปรากฎ เพราะฉะนั้นเราต้องการรู้ รู้แล้วต้องได้ผลตรงตามที่พระพุทธเจ้าบอก

ยกตัวอย่างการใช้ชีวิตของเราก็จะปกติ ก็จะไม่ได้เพี้ยนๆผิดปกตินะ เป็นปกติธรรมดาที่สุดเลย ยกตัวอย่างพระสารีบุตรนะ ชอบกระโดดโลดเต้น เผลอๆ ไม่ใช่ท่านเผลอนะ หมายถึงว่า เวลาจะข้ามท้องร่อง ข้ามอะไรอย่างนี้ ท่านกระโดดเอา หรือมีพระอยู่องค์หนึ่ง ท่านชอบเรียกคนอื่นว่าไอ้ถ่อยๆนะ เป็นพระอรหันต์ท่านก็ยังเรียกไอ้ถ่อยอยู่อย่างนั้นแหละ ท่านไม่ได้แกล้งทำขรึมนะ พระอรหันต์เหมือนคนพิการ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ฝึก วันๆไม่กระดุกกระดิก อย่างนั้นมันทำด้วยตัณหาและทิฎฐิ

จริงแล้วไม่ยากนะ ไม่ยากอะไร รู้ไปอย่างที่มันเป็น มีเท่านี้แหละธรรมะ พูดกี่วันก็คล้ายๆกันนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่ศาลา กาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๙

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๓
File: 490716.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๔ วินาทีที่ ๕๑ ถึง นาทีที่ ๓๖ วินาทีที่ ๓๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

มีปัญญารู้ทุกข์แจ่มแจ้งนั้นแหละอริยมรรค

mp3 (for download): มีปัญญารู้ทุกข์แจ่มแจ้งนั้นแหละอริยมรรค

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

มีปัญญารู้ทุกข์แจ่มแจ้งนั้นแหละอริยมรรค

มีปัญญารู้ทุกข์แจ่มแจ้งนั้นแหละอริยมรรค

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเรามีปัญญาเกิดขึ้นอย่างแท้จริงจะทำลายตัณหาไป ตัณหามันเกิดจากโง่ ตัณหามาไหน มาจากโง่ มาจากอวิชชานั่นเอง ตราบใดที่ยังมีอวิชชา มีความไม่รู้แจ้ง ไม่รู้แจ้งในอะไร อวิชชาไม่ใช่ไม่รู้แจ้ง ว่า กฟผ. อยู่ตรงไหน จะเลี้ยวรถยังไง นั่นไม่ใช่อวิชชา เป็นความไม่รู้ธรรมดา อวิชชาคือความไม่รู้อริยสัจ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้สมุทัย ไม่รู้นิโรธ ไม่รู้มรรค ไม่รู้ว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์ เราเห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวเรา เป็นของดีของวิเศษ เราไม่เคยเห็นขันธ์ 5 เป็นตัวทุกข์ ไม่รู้สมุทัย

ตัณหาเกิดขึ้นในใจ ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ใจเกิดความยากตลอดเวลาไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น อย่างเดี๋ยวก็อยากดู เดี๋ยวก็อยากฟัง อยากได้กลิ่น อยากลิ้มรส อยากกระทบสัมผัสทางกาย อยากคิด อยากนึก อยากปรุง อยากแต่งทางใจ ตัณหามี ๖ ช่องนะ ๖ ช่องทาง ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเรามันเกิดขึ้นมาเราก็ไม่รู้ไม่เห็น มันครอบงำใจของเรา ใจก็จะดิ้นรน ปรุงแต่ง ใจก็จะทุกข์ขึ้นมา นี่มีตัณหาก็มีทุกข์ขึ้นมา

จะล้างตัณหาได้ต้องให้เห็นความจริง รู้ทุกข์ให้แจ่มแจ้ง รู้ขันธ์ให้แจ่มแจ้ง คือมีปัญญานั่นเอง ถ้ามีปัญญารู้ทุกข์แจ่มแจ้งแล้ว ก็จะละสมุทัยอัตโนมัติ ถ้าละสมุทัยได้เมือไหร่ก็แจ้งนิโรธ คือแจ้งพระนิพพานเมื่อนั้นอัตโนมัติ เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน ในขณะจิตที่รู้ทุกข์แจ่มแจ้ง ขณะนั้นแหละคือขณะแห่งอริยมรรค ตอนที่รู้ทุกข์นั่นแหละเกิดอริยมรรค ตอนที่รู้ทุกข์นั่นแหละละสมุทัย ละความอยากเด็ดขาด ตอนที่ละสมุทัย ตอนที่รู้ทุกข์ละสมุทัยเกิดอริยมรรค ขณะนั้นแหละแจ้งนิโรธ คือ แจ้งพระนิพพาน นั่นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เวลาแจ้ง แจ้งในขณะจิตเดียว ไม่ใช่ว่าวันนี้รู้ทุกข์ พรุ่งนี้ไปละสมุทัย มะรืนไปแจ้งนิโรธ มะเรื่องไปเจริญมรรคนะ ไม่ใช่เวลาเกิดเกิดในขณะจิตเดียว เรียกว่า “มรรคสมังคี” รวมพลังลงมาในจุดเดียวกัน รวมลงที่จิตจุดเดียว ไม่ไปอยู่ที่อื่นหรอก

นี่เราต้องเจริญปัญญาให้มาก การที่เรามีสติ คอยระลึกรู้ความจริงของกายของใจเรื่อยไป ของรูปนามนั่นเอง มันจะทำลายความเห็นผิดเป็นลำดับ ลำดับไป ทำลายความโง่นั่นเอง หายโง่เมื่อไหร่ ตัณหาจะไม่เกิด

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย นนทบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันจันทร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมนอกสถานที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
File: 540530
ระหว่างนาทีที่  ๙ วินาทีที่ ๒๒ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๕๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วันใดที่เห็นว่ากายใจนี้เป็นตัวทุกข์ล้วนๆจะพ้นทุกข์

mp 3 (for download) : วันใดที่เห็นว่ากายใจนี้เป็นตัวทุกข์ล้วนๆจะพ้นทุกข์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

วันใดที่เห็นว่ากายใจนี้เป็นตัวทุกข์ล้วนๆจะพ้นทุกข์

วันใดที่เห็นว่ากายใจนี้เป็นตัวทุกข์ล้วนๆจะพ้นทุกข์

หลวงพ่อปราโมทย์: ต้องภาวนานะ ภาวนาแล้วจะเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อพูดเป็นลำดับ ๆ ไป ต้องดูกายต้องดูใจตัวเองเรื่อย ๆ แล้วถึงจะเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อบอกได้ ถ้าวันใดเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อบอกจนถึงจุดที่เห็นว่ากายนี้ใจนี้นี่เป็นตัวทุกข์ล้วนๆนะ จะเข้าใจธรรมะจริงๆ เลย จะพ้นทุกข์ได้จริงๆก็ตรงนี้แหละ ถ้ายังเห็นกายนี้ใจนี้เป็นตัวทุกข์บ้างสุขบ้าง ยังพ้นไม่ได้หรอก เรียกว่าเราไม่รู้ทุกข์

พระพุทธเจ้าสอนนะ ขันธ์ห้าเป็นทุกข์นะ ท่านไม่ได้สอนว่าขันธ์ห้าเป็นทุกข์บ้างสุขบ้าง เราเห็นยังไม่ถึงที่ท่านบอก ต้องอดทน ฟังแล้วฟังอีก ฟังแล้วก็ดูไปเรื่อย ฟังแล้วก็มาสังเกตกาย สังเกตใจไปเรื่อย ทุกวันๆ เราก็จะเขยิบใกล้ความจริงเข้าไปเรื่อยๆ ถึงจุดสุดท้าย เข้าถึงความจริงแท้ เข้าถึงอริยสัจจ์นั่นเอง รู้ขันธ์ห้าเป็นทุกข์ล้วนๆ

พอรู้ว่าขันธ์ห้าเป็นทุกข์ล้วนๆ ใจจะวาง ไม่ยึดถือ พอไม่ยึดถือขันธ์ห้าว่าเป็นตัวเราของเราแล้วเนี่ย ความอยากที่จะให้กายนี้ใจนี้เป็นสุข ความอยากที่จะให้กายนี้ใจนี้พ้นทุกข์ มันจะดับไปโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นรู้ทุกข์แจ่มแจ้งเมื่อไร สมุทัยจะถูกละโดยอัตโนมัติ พอทันทีที่สมุทัยถูกละ นิโรธคือนิพพานจะปรากฏต่อหน้าต่อตาเรานี่เอง

นิพพานไม่ได้อยู่ไกลๆนะ นิพพานไม่ใช่อยู่ไกลๆ นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตานี่เอง วันใดที่ใจเราสิ้นตัณหาอย่างแท้จริง เพราะมีปัญญารู้ทุกข์อย่างแท้จริง วางกายวางใจได้ รู้ทุกข์แล้ววางกายวางใจได้ ตัณหาจะสิ้นไป นิพพานจะปรากฏต่อหน้า ใจที่มันไม่ดิ้นมันจะเห็นธรรมะที่ไม่ดิ้น ใจที่มันไม่อยากมันก็เห็นธรรมะที่ไม่อยาก เห็นนิพพานนั่นเอง

มันจะมีแต่ความสุขล้วนๆ เลยถึงตรงจุดนี้ เพราะอะไรถึงมีความสุขล้วนๆ เพราะมันพ้นจากขันธ์แล้ว จิตมันพรากออกจากขันธ์นะ ขันธ์อยู่ส่วนขันธ์ จิตอยู่ส่วนจิต ไม่กระทบกันเลย โดยที่ไม่ต้องระวังรักษาอีกต่อไปแล้ว งั้นเมื่อมันพ้นขันธ์ได้ก็คือมันพ้นทุกข์นั่นเอง พระพุทธเจ้าสอนว่าขันธ์ห้าคือทุกข์ เมื่อไรมันพ้นขันธ์ก็คือพ้นทุกข์ ตัณหาก็ไม่มีนะ จิตใจมีแต่สันติสุข

คำว่า “สันติ” ก็เป็นชื่อของนิพพาน จิตใจที่เข้าถึงนิพพาน มีความสุขจนไม่รู้จะเทียบกับอะไร ความสุขอย่างโลก ๆ ความสุขเหมือนกับเด็กเล่นฝุ่นเล่นทรายเท่านั้นเอง ค่อยเรียนนะ ค่อยเรียน อดทนในการเรียน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๙ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๖
Track: ๕
File: 491105B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๕๔ วินาทีที่ ๑๔ ถึง นาทีที่ ๕๖ วินาทีที่ ๔๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อริยสัจจ์เป็นธรรมะที่สำคัญที่สุด

mp 3 (for download) : อริยสัจจ์เป็นธรรมะที่สำคัญที่สุด

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อริยสัจจ์เป็นธรรมะที่สำคัญที่สุด

อริยสัจจ์เป็นธรรมะที่สำคัญที่สุด

หลวงพ่อปราโมทย์: อริยสัจจ์น่ะสำคัญที่สุดเลย แต่ก่อนดูข้ามๆไปนะ รู้สึกตื้นๆ รู้สึกปฏิจจสมุปบาทอะไรเนี่ย แหมลึกซึ้ง ลึก น่าสนใจกว่าอริยสัจจ์ จริงๆถ้าไม่เห็นแจ้งอริยสัจจ์นะ ก็เกิดอีก สำคัญมากเลย

ถ้าเห็นอริยสัจจ์ เห็นปฏิจจสมุปบาทนี้เรียกว่าดวงตาเห็นธรรม เห็นในกระบวนการของปฏิจจสมุปบาทมันทำให้เราเห็นว่าไม่มีคน ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ธรรมทั้งหลายอาศัยกันเกิดขึ้นเป็นคราวๆ มันละสักกายทิฏฐิ

แต่ถ้ารู้แจ้งลงมาในรูปในนามได้นะ เรียกว่ารู้แจ้งอริยสัจจ์ ถึงจะพ้นได้ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ตรัสรู้ปฏิจจสมุปบาทไม่เท่ากัน บางองค์ท่านสาวไปแค่วิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป และก็วกกลับมานามรูปเป็นปัจจัยของวิญญาณ พระวิปัสสี  พระสิขี พระเวสภู  อะไรพวกนี้ท่านดูแค่นี้ พระพุทธเจ้าเราสาวไปถึงอวิชชา ความจริงปัจจัยของอวิชชามีอีกอันหนึ่ง คืออาสวะ นี้ท่านไปถึงอวิชชาท่านกลับมา

อริยสัจจ์นะ ยิ่งศึกษายิ่งสนุก ลึก ลึก จริงๆ ตอนเราเด็กๆ เราก็นึกว่าเข้าใจ อ่าน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ นึกว่าเข้าใจอริยสัจจ์แล้ว ตอนบวชอยู่วัดชลประทานนะไปสวดมนต์แปลบอก ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ ไม่ใช่ ไม่ใช่คนเกิดคนแก่หรอกเป็นทุกข์ กลายเป็นว่ารูปนามมันเป็นทุกข์ เราก็นึกว่าเข้าใจธรรมมากขึ้นแล้วนะ รูปนามเป็นทุกข์ ไม่ใช่เราเป็นทุกข์

เวลาภาวนาปฏิบัติไป ไม่ได้เห็นอย่างนั้นนะ เห็นว่ารูปนามเป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง ไม่ได้เห็นว่าเป็นทุกข์หรอก  ภาวนากันนาน ๆ เมื่อไรเห็นว่ารูปนามเป็นทุกข์ล้วนๆ ได้นะ มันบอกจะวางแล้ว วาง มันวางได้ด้วยปัญญาจริงๆ คำว่า“ปัญญา”ก็คือการที่เห็นรูปนามเป็นไตรลักษณ์นั่นแหละ

เราต้องพัฒนาสติ สมาธิ ปัญญาขึ้นมา มันเห็นเอง แกล้งทำให้เห็น ไม่เห็นหรอก ถ้าคิดจะทำให้เห็นนะ มันเจือด้วยความคิดแล้ว มันตกจากวิปัสสนาแล้ว

ช่วงที่เราภาวนาไป เราก็จะไม่รู้ว่าเราขาดอะไรมั่ง รู้สึกอย่างเดียวว่าความรู้ยังไม่พอ ยัง ลึกๆ จะรู้สึกตลอดเลยว่ายังรู้ไม่พอ ยังรู้ไม่พอ ถามว่าไม่รู้อะไรตอบไม่ถูก จนภาวนาไปถึงจุดหนึ่ง ถึงจะรู้ว่า อ้อ ไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์นั่นเอง ตราบใดที่ไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์นะ ข้ามภพ ข้ามชาติไม่ได้นะ

อริยสัจจ์ลึกที่สุดเลย อย่างเราไม่สามารถเห็นว่ารูปนามเป็นทุกข์ เราเห็นว่าเป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง ยังนึกว่ารู้อริยสัจจ์นะ ไม่รู้จริงหรอก หรือเราคิดว่ามีสมุทัย มีตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์  คนทั่วๆไปไม่ได้รู้สึกว่ามีตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่ได้มีความอยากแล้วทุกข์ไม่ใช่   คนทั่วๆไปรู้สึกแค่ว่าถ้าไม่สมอยากถึงจะทุกข์ ถ้าสมอยากแล้วไม่ทุกข์หรอก มีตัณหาแล้วสนองตัณหาได้ไม่ทุกข์ มันตื้นนะตื้นมากๆ

แต่ว่าพอเราลงมือภาวนาดูจิต ดูใจตนเองออก เราเห็นทันทีเลย ทันทีที่จิตเกิดตัณหาเกิดความอยาก เกิดความยึดถือขึ้นมา จิตมันจะหมุนติ้วๆนะ มันทำงาน จิตทำงานเรียกว่าภพ “ภพ” คำเต็มๆ ของภพคือ กรรมภพ นั่นเอง จิตมันทำงานขึ้นมา มันก็มีความทุกข์ขึ้นมา มันมีทุกข์เพราะมันมีภาระ ภาวนามากเข้าๆเลยถึงจะเห็น ถ้ามีความอยากก็จะมีความทุกข์นะ จะสมอยากหรือไม่สมอยากก็ทุกข์แล้ว จะเห็น

เราก็นึกว่าเข้าใจอริยสัจจ์แล้วนะ เพราะว่าท่านบอกสมุทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แต่ลึกๆ ก็ยังงงอยู่ว่าทำไมท่านเริ่มด้วยทุกข์ก่อน ท่านน่าจะสอนอริยสัจจ์ ๔ เริ่มด้วยสมุทัย และสมุทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ น่าจะสอนสมุทัยก่อนว่า ถ้ามีตัณหาแล้วจะทุกข์ ตัวทุกข์ก็ไม่พูดเรื่องตัณหา ตัวทุกข์ กลับไปพูดเรื่องขันธ์ งั้นอริยสัจจ์ไม่ใช่เรื่องเข้าใจได้ง่ายๆเลย

นี้พอเราภาวนามาถึงจุดที่เราเห็นว่าถ้ามีตัณหา มีสมุทัยก็มีทุกข์ เราก็นึกว่าเข้าใจที่จริงยังไม่เข้าใจ เราจะเข้าใจอริยสัจจ์ต่อเมื่อเราภาวนาไปถึงจุดที่ว่า ถ้าไม่รู้ทุกข์ถึงจะเกิดสมุทัย ถ้าไม่รู้ทุกข์นะถึงจะเกิดสมุทัย ของเราคิดว่าถ้ามีสมุทัยจึงเกิดทุกข์ มันตื้นอยู่อีกชั้นนึง งั้นท่านถึงเอาทุกข์ขึ้นก่อน บอกทุกข์ให้รู้ สมุทัยให้ละ เมื่อไรรู้ทุกข์แล้วเมื่อนั้นละสมุทัย เมื่อไรละสมุทัยเมื่อนั้นแจ้งนิโรธ

ธรรมท่านเรียงร้อยได้สวยงามตรงกับการปฏิบัติ ท่านไม่ได้สอนไว้เพื่อให้คิดแบบนักปรัชญา ถ้าสอนอย่างนักปรัชญาก็จะเริ่มจากสมุทัย ท่านสอนจากการปฏิบัติ ปฏิบัติให้รู้รูปนามให้รู้ทุกข์ งั้นจุดเริ่มต้นคือให้รู้ทุกข์ ถ้ารู้ทุกข์แจ้ง เห็นว่าขันธ์นี้ไม่ใช่เราแล้ว  คืนขันธ์ให้โลก  คืนขันธ์ให้ธรรมชาติไป  ตัณหาหรือสมุทัยจะดับอัตโนมัติ จะไม่เกิดแล้ว ถ้ายังไม่เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์ล้วนๆเนี่ย ตัณหาจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ มีอวิชชาอยู่ตัณหายังเกิดอีก มันเกิดเป็นระยะ ระยะไป

ตัณหาคืออะไร พูดง่าย ๆ เลยตัณหาก็คือความอยากให้ขันธ์นี้มีความสุข ความอยากจะให้ขันธ์นี้พ้นจากทุกข์ ทำไมมีความอยากอันนี้ขึ้นมา ก็เพราะมีความสำคัญมั่นหมายว่าขันธ์นี้คือเรา เราคือขันธ์ ฉะนั้นถ้าภาวนาจนเห็นว่า ขันธ์ไม่ใช่เราหรอก นี่กำลังเหยียบประตูไปสู่นิพพานแล้ว ได้โสดาบัน ดูต่อไปจนวางขันธ์ได้ พอวางขันธ์ได้แล้วสมุทัยหายไปเองนะ ไม่เกิดอีกว่าขันธ์ไม่ใช่เราแล้วจะไปอยากให้มันมีความสุขทำไม จะอยากให้มันพ้นทุกข์ทำไม ฉะนั้นเมื่อไรรู้ทุกข์แจ่มแจ้งเมื่อนั้นจะละสมุทัย

ทันทีที่ละสมุทัย จิตจะเข้าถึงธรรมอีกชนิดหนึ่งคือพอเราวางความยึดถือจิต สลัดจิตคืนเรียก ปฏินิสสัคคะ สลัดรูปนามคืนคืนเจ้าของเดิมคือ  คืนโลกไปพอสลัดคืนไปแล้วเนี่ย ภาระที่จะต้องทำงานให้รูปนามมีความสุข พ้นทุกข์ ไม่มีอีก จิตใจเลยเข้าถึงสันติสุข เข้าถึงสันติสุข สันติสุขนั่นแหละคือนิพพาน

นิพพานมันไม่ได้อยู่ไกลนะ นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา เมื่อไรจิตมันสิ้นตัณหา เพราะมันรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง คืนกาย คืนใจ คืนขันธ์ให้โลกไปแล้วเนี่ย เมื่อนั้นจะเห็นนิพพานต่อหน้าต่อตาไม่ได้ยากอะไร เราไปวาดภาพนิพพานเอาไว้ซะไกลเลย คิดว่าต้องภาวนาอีกแสนๆ ชาติถึงจะเจอ ถ้าอย่างนั้นอีกแสนชาติ ยังไม่เจอ ยังมีความเห็นผิดอยู่

นิพพานจริงๆ พูดให้ง่ายๆ นิพพานจริงๆ คือความสิ้นตัณหาหรือวิราคะ จิตของเรามีตัณหาย้อมอยู่ตลอดเวลานะ  เดี๋ยวอยากดู  เดี๋ยวอยากฟัง เดี๋ยวอยากได้กลิ่น เดี๋ยวอยากได้รส เดี๋ยวอยากได้โผฏฐัพพะที่ดีนี่  เดี๋ยวอยากได้ธรรมารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจอยากตลอดเวลา ความอยากนะหมุนอยู่ในอายตนะทั้ง ๖ ในเวลาเราภาวนานะ

แต่เดิมเราคิดว่าตัณหามี ๓ ตัว กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา พอลงมือภาวนาจริง ๆ เราเห็นตัณหา ๖ ตัว เรียกว่ารูปตัณหา ความอยากได้รูป สัททตัณหา อยากได้ยินเสียง อยากได้กลิ่น อยากได้รส อยากได้สัมผัสที่ดี อยากได้ธรรมารมณ์ที่ดี   อยากได้ธรรมารมณ์ที่ดีเรียกว่า “ธรรมตัณหา”  ชื่อเพราะนะธรรมตัณหา “อยาก”  เช่นอยากรู้เรื่อง ก็คิด ๆ คิดไปนี่เรียกว่ามีธรรมตัณหา

พอจิตมันมีตัณหาขึ้นมาในอายตนะ ๖ มันก็เกิดการทำงานขึ้นมาที่จิต จิตก็หมุนจี๋ๆๆ ขึ้นมานะ ทำงานเป็นทุกข์ขึ้นมา แต่ถ้าเราคอยรู้คอยดูนะ โอ้ วันหนึ่งละความยึดถือในกายในจิตได้ตัณหาจะไม่เกิดอีก ตัณหาไม่เกิดอีกนะ ภพก็ไม่เกิดขึ้น การทำงานทางใจไม่มีขึ้น ความจะไปหยิบฉวยเอารูปเอานามคือชาตินี้ขึ้นมาอีกก็ไม่มี ความทุกข์ไม่มี

ความทุกข์ไม่มีเพราะไม่มีขันธ์ ขันธ์นี้เป็นที่ตั้งของความทุกข์ด้วย เป็นตัวทุกข์ด้วยนะ ความทุกข์เมื่อจะตั้งก็ตั้งอยู่ในขันธ์ ตั้งอยู่ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง และตัวขันธ์ หรือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง ตัวมันก็เป็นตัวทุกข์นะ

งั้นธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนลึกนะ ลึกมาก แต่ว่ามีสติดูจิตลูกเดียวนั่นแหละจะเข้าใจได้ทั้งหมด 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
เมื่อวันจันทร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๖
Track: ๖
File: 491106.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๑ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๒๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

>> วันเพ็ญเดือนวิสาขะ มหัศจรรย์เหนือโลกธาตุ <<

ความหมาย คำว่า “วิสาขบูชา” หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 วิสาขบูชา ย่อมาจาก ” วิสา – ขบุรณมีบูชา ” แปลว่า ” การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ” ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน 7

ความสำคัญ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด ได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ ได้ปรินิพพาน คือ ดับ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง 3 คราวคือ

1. เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติ ที่พระราชอุทยานลุมพินีวัน ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับเทวทหะ เมื่อเช้าวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี

2. เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี หลังจากออกผนวชได้ 6 ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย

อริยสัจ หรือจตุราริยสัจ หรืออริยสัจ 4 เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ คือ

1. ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น กล่าวโดยย่อ ทุกข์ก็คืออุปาทานขันธ์ หรือขันธ์ 5

2. ทุกขสมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 คือ กามตัณหา-ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้ทางกามารมณ์, ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ และ วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ

3. ทุกขนิโรธ คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง 3 ได้อย่างสิ้นเชิง

4. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา คือ แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มรรคอันมีองค์ประกอบอยู่แปดประการ คือ 1. สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ 2. สัมมาสังกัปปะ-ความดำริชอบ 3. สัมมาวาจา-เจรจาชอบ 4. สัมมากัมมันตะ-ทำการงานชอบ 5. สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีพชอบ 6. สัมมาวายามะ-พยายามชอบ 7. สัมมาสติ-ระลึกชอบ และ 8. สัมมาสมาธิ-ตั้งใจชอบ ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” หรือทางสายกลาง

มรรคมีองค์แปดนี้สรุปลงในไตรสิกขา ได้ดังนี้ 1. อธิสีลสิกขา ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ 2. อธิจิตสิกขา ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ และ 3. อธิปัญญาสิกขา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ

อริยสัจ 4 นี้ เรียกสั้น ๆ ว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค

กิจในอริยสัจ 4

กิจในอริยสัจ คือสิ่งที่ต้องทำต่ออริยสัจ 4 แต่ละข้อ ได้แก่

  1. ปริญญา - ทุกข์ ควรรู้ คือการทำความเข้าใจปัญหาหรือสภาวะที่เป็นทุกข์อย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง เป็นการเผชิญหน้ากับปัญหา
  2. ปหานะ – สมุทัย ควรละ คือการกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เป็นการแก้ปัญหาที่เหตุต้นตอ
  3. สัจฉิกิริยา - นิโรธ ควรทำให้แจ้ง คือการเข้าถึงภาวะดับทุกข์ หมายถึงภาวะที่ไร้ปัญหาซึ่งเป็นจุดมุ่งหมาย
  4. ภาวนา – มรรค ควรเจริญ คือการฝึกอบรมปฏิบัติตามทางเพื่อให้ถึงความดับแห่งทุกข์ หมายถึงวิธีการหรือทางที่จะนำไปสู่จุดหมายที่ไร้ปัญหา

กิจทั้งสี่นี้จะต้องปฏิบัติให้ตรงกับมรรคแต่ละข้อให้ถูกต้อง การรู้จักกิจในอริยสัจนี้เรียกว่ากิจญาณ

กิจญาณเป็นส่วนหนึ่งของญาณ 3 หรือญาณทัสสนะ (สัจญาณ, กิจญาณ, กตญาณ) ซึ่งหมายถึงการหยั่งรู้ครบสามรอบ ญาณทั้งสามเมื่อเข้าคู่กับกิจในอริยสัจทั้งสี่จึงได้เป็นญาณทัสนะมีอาการ 12 ดังนี้

  1. สัจญาณ หยั่งรู้ความจริงสี่ประการว่า
    1. นี่คือทุกข์
    2. นี่คือเหตุแห่งทุกข์
    3. นี่คือความดับทุกข์
    4. นี่คือทางแห่งความดับทุกข์
  2. กิจญาณ หยั่งรู้หน้าที่ต่ออริยสัจว่า
    1. ทุกข์ควรรู้
    2. เหตุแห่งทุกข์ควรละ
    3. ความดับทุกข์ควรทำให้ประจักษ์แจ้ง
    4. ทางแห่งความดับทุกข์ควรฝึกหัดให้เจริญขึ้น
  3. กตญาณ หยั่งรู้ว่าได้ทำกิจที่ควรทำได้เสร็จสิ้นแล้ว
    1. ทุกข์ได้กำหนดรู้แล้ว
    2. เหตุแห่งทุกข์ได้ละแล้ว
    3. ความดับทุกข์ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว
    4. ทางแห่งความดับทุกข์ได้ปฏิบัติแล้ว

3. หลังจากตรัสรู้แล้ว ได้ประกาศพระศาสนา และโปรดเวไนยสัตว์ 45 ปี พระชนมายุได้ 80 พรรษา ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อวันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ณ สาลวโนทยาน ของมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ในเมือง กุสีนคระ) แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย

หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า
วะยะธัมมา สังขารา สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปัจฉิมาวาจา นี่เป็นพระวาจาครั้งสุดท้ายของเราตถาคต

ธรรมะเทศนาของหลวงพ่อปราโมทย์ ที่ขอแนะนำสำหรับ วันวิสาขะบูชา

>> อริยสัจจ์ ๔ ความจริงของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เริ่มด้วยการรู้ทุกข์ <<

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลักของการปฎิบัติ อันแรกสุดเลย ท่านบอกให้รู้ทุกขฺ์ หลักของอริยสัจจ์ ความจริงของพระอริยะทั้งหลาย ความจริงข้อที่ ๑ คือ ทุกข์ ทุกข์ให้ทำอะไร ให้รู้ อะไรคือทุกข์ ขันธ์ ๕ คือ ทุกข์ คือ กายกับใจเราเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นรู้ลงที่กายที่ใจนี้

รู้ไปเพื่ออะไร เพื่อวันหนึ่งเข้าใจความเป็นจริงของกายของใจ เรารู้เลยกายกับใจนี้จริงๆ เป็นของโลกนะ เป็นสมบัติของโลก ยกตัวอย่างร่างกายของเรานี้เป็นแค่วัตถุธาตุเท่านั้นเอง อาศัยธาตุของพ่อแม่เป็นจุดเริ่มต้น อาศัยอาหาร อาศัยน้ำ อาศัยอากาศ อะไรอย่างนี้ หล่อเลี้ยง ตัวโตขึ้นมา แต่ละวันก็มีธาตุไหลเข้าไหลออก กินอาหารแล้วขับถ่าย หายใจเข้าแล้วหายใจออก อะไรอย่างนี้ เฝ้ารู้เฝ้าดู

วันหนึ่งแจ่มแจ้ง ร่างกายของเรานี่กับวัตถุทั้งหลายนี่ อันเดียวกันนั่นแหละ ความไม่รู้มันทำให้เราแบ่งแยกเอา มาเป็นกายของเรา นี่เป็นใจของเรา มันมีตัวเราขึ้นมา มันก็อยากหาความสุขให้ตัวเรา อยากจะสุขถาวร อยากจะอย่างโน้น อยากอย่างนี้ เกิดการดิ้นรน เกิดการปรุงแต่งตั้งมากมาย เพื่อที่จะหาความสุขมาให้ต้วเรา

ถ้าเฝ้ารู้ ลงไปที่กาย เฝ้ารู้ลงไปที่ใจ วันหนึ่งเห็น ตัวเราไม่มี ตัวเราไม่มี การที่ ถ้ามันมีตัวเรานี่คือ ‘อวิชชา’ นั่นเอง ความไม่รู้ทุกข์ อวิชชาข้อที่ ๑ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้ว่า สิ่งที่เรียกว่าตัวเราจริงๆเป็นแค่ รูปนาม ขันธ์ ๕ เป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ หรือเป็นวิญญาณธาตุ เป็นธาตุรู้ เป็นของโลก ไม่ใช่ของเรา

เนี่ย เฝ้ารู้กาย เฝ้ารู้ใจ มันจะเห็นความจริงนะ มันจะสลัดคืนความยึดถือกาย ยึดถือใจ มันหวง มันรัก มันอยากให้ดี อยากให้สุขถาวร เฝ้ารู้ พอไม่ใช่ของเรา เห็น เบื้องต้นเห็นไม่ใช่ของเราก่อน ไม่ใช่ของเรานี้เรียกว่าพระโสดาบัน พระโสดาบันเห็น กายนี้ ใจนี้ ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง เป็นของโลก แต่ว่า คล้ายๆเป็นสมบัติคนอื่นนะ แต่งกนะ ไม่คืนหรอก

มาเฝ้ารู้เฝ้าดู เราคิดว่าเป็นของดีของวิเศษ กายนี้ ใจนี้ เป็นของดีของวิเศษ เฝ้ารู้เฝ้าดู นานไป นานไป ปัญญาแจ้งนะ มันไม่ใช่ของดีของวิเศษ มันเป็นตัวทุกข์ล้วนๆเลย กายนี้หาความสุขตรงไหนก็ไม่เจอ จิตนี้หาความเที่ยง หาการบังคับได้สักนิดหนึ่งก็ไม่มี มีแต่ทุกข์ล้วนๆเลย พอเห็นขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ล้วนๆเนี่ย เห็นตรงที่พระพุทธเจ้าบอกล่ะ เห็นทุกข์ละ ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์

พวกเราไม่มีทางเห็นขันธ์ ๕ เป็นทุกข์เลย เราเห็นว่ามันทุกข์บ้าง สุขบ้าง กายนี้ทุกข์บ้าง สุขบ้าง จิตนี้ทุกข์บ้าง สุขบ้าง ถ้าเจริญสติเข้มข้นขึ้นจริงๆ เห็นแต่ทุกข์ล้วนๆ แล้วมันจะสลัดคืน มันจะเห็นว่าไม่ใช่ของดี มันคล้ายๆเรา หยิบของมาอันหนึ่ง เรานึกว่านี่ของวิเศษเลย วันหนึ่งมาหัดสังเกตมัน อ้าว.. มันไม่ใช่ของดีหรอกนี่ นะ อาจจะเป็นจิ้งจก ตุ๊กแก อะไรนี่ มันเห็นว่าไม่ใช่ของดี มันจะสลัดทิ้ง

คำว่า ‘สลัดทิ้ง’ ภาษาบาลีเรียกว่า ‘ปฏินิสสัคคะ’ การสลัดคืน จะสลัด ใจเราจะหมดภาระทางใจนะ มันจะโล่งไปหมดเลย ความทุกข์มันจะเข้ามาไม่ถึงใจอีกแล้ว คือความอยาก การดิ้นรนทางใจทั้งหลายไปหมดเลย เป็นเพราะรู้ความจริงแล้ว กายนี้ใจนี้ไม่ใช่เราจริงๆนะ แบกเอาไว้ก็เป็นทุกข์ล้วนๆ

ท่านจึงสอนบอกว่า ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ คนทั้งหลายนี้แบกภาระ แบกทุกข์นี้ไปเรื่อยๆ คนยังต้องแบกของหนัก ไม่พ้นจากความทุกข์ แต่พระอริยะเจ้าทั้งหลายเนี่ย วางภาระ วางของหนักลงแล้ว คือวางความยึดถือกายยึดถือใจลงแล้ว แล้วไม่หยิบฉวยขึ้นมาอีก ความพ้นทุกข์ที่แท้จริงอยู่ที่ตรงนี้

เพราะฉะนั้นรู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้งนะ ก็จะละสมุทัยไปโดยอัตโนมัติ ที่ท่านสอนอริยสัจจ์ บอกว่า ให้รู้ทุกข์ ให้ละสมุทัย ถ้าเรารู้ทุกขฺ์แจ่มแจ้งเลย เห็นกายเห็นใจนี้ เป็นตัวทุกข์ล้วนๆ นะ มันปล่อยวาง พอปล่อยวาง ความดิ้นรน ความทะยานอยากของใจ ที่จะอยากให้จิตใจเรามีความสุข จิตใจเราดี อย่างโน้นอย่างนี้นะ ความดิ้นรน ความทะยานอยาก พวกนี้ถูกทำลายไปหมด จิตใจมันจะมีอิสรภาพ ทุกวันนี้เราตกเป็นทาสของความอยาก ความอยากเป็นเจ้านายตัวจริง สั่งให้เราทำอะไรต่ออะไรทั้งวันเลย เพื่อจะให้มันมีความสุข เพื่อจะหาความสุข

เฝ้ารู้ลงมาเห็นจริง จิตใจนี้ทุกข์ ไม่ใช่ตัวดี ปล่อยวางได้ ความอยากที่จะให้จิตใจนี้ดี อยากให้จิตใจนี้สุข ก็หมดไป สมุทัยเป็นอันถูกละไป การดิ้นรนต่างๆก็หมดไป ภาระทางใจ การงานทางใจ ก็หมดไปเลย จิตใจเข้าถึงภาวะที่พ้นจากความปรุงแต่ง พ้นจากภาระ ภาวะแห่งความพ้นความปรุงแต่งนั้นแหละเรียกว่านิโรธ นิโรธ หรือ นิพพาน

เพราะฉะนั้นรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง สมุทัยก็เป็นอันถูกละไป นิโรธก็แจ้งขึ้นตรงนั้นเลย เพราะฉะนั้นการรู้ทุกข์นี้แหละ คือการเจริญอริยมรรค นี่คืออริยสัจจ์ ๔ นะ อริยสัจจ์ ๔

รู้ทุกข์ รู้กาย รู้ใจ รู้จนเห็นความจริง กายนี้ ใจนี้ ไม่ใช่ตัวดี เป็นตัวทุกข์ ก็ปล่อยวาง พอปล่อยวาง ความอยากจะให้กายนี้ ใจนี้ มีความสุขถาวร ก็หมดไป หมดการดิ้นรน หมดความอยาก สมุทัยถูกละ จิตใจเข้าถึงความสงบสุข พ้นจากการดิ้นรน แผดเผา ของความอยาก พ้นจากการยึดถือทุกข์ เรียกว่า ‘นิโรธ’ หรือ ‘นิพพาน’

นิพพานมีหลายนัยยะ อันหนึ่งก็คือ ‘วิสังขาร’ พ้นการปรุงแต่ง พ้นจากรูปนาม พ้นจากตัวทุกข์ อีกอันหนึ่งคือ ‘วิราคะ’ พ้นจากความอยาก ก็คือ พ้นจากตัณหา พ้นจากตัวสมุทัย

เพราะฉะนั้น การรู้ทุกข์ สำคัญที่สุด ถ้าพวกเราละเลย เราไม่เรียน เรื่องการรู้ทุกข์ หรือ การรู้กาย รู้ใจ จะห่างไกลจากศาสนาพุทธมากเลยนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่ สวนโพธิญาณ
หนองตากยา ท่าม่วง กาญจนบุรี
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

CD สวนสันติธรรมแผ่นที่ ๙
ลำดับที่ ๑๕
File: 480821A
นาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๕๗ ถึงนาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๑๑

อ้างอิง : http://th.wikipedia.org/wiki/อริยสัจ_4

http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/poonsak/budda/theme_2.html

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน

mp 3 (for download) : ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน

หลวงพ่อปราโมทย์: เพราะฉะนั้นเราฝึกฝนตนเองนะ ฝึก เมื่อใดรู้ทุกข์แจ่มแจ้งเมื่อนั้นละสมุทัย เมื่อใดละสมุทัยเมื่อนั้นแจ้งนิโรธ เมื่อทั้ง ๓ นี้ เมื่อเดียวกันนะ เมื่อใดรู้ทุกข์เมื่อนั้นละสมุทัย เห็นมั้ย ขณะเดียวกัน เมื่อใดละสมุทัยเมื่อนั้นแจ้งนิโรธ ขณะเดียวกัน เมื่อใดรู้ทุกข์ละสมุทัยแจ้งนิโรธ เมื่อนั้นแหละ อริยมรรคล่ะ เพราะฉะนั้น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกิดขึ้นในขณะเดียวกันนั้นเอง ทำกิจของอริยสัจจ์ ๔ เสร็จในขณะเดียวกันนั้นแหละนะ ถ้าทำทีละตอนๆ วันนี้รู้ทุกข์ วันนี้ละสมุทัย วันนี้แจ้งนิโรธ ไม่จริงหรอก ของปลอมนะ

ครั้งหนึ่งนะ สมัยพุทธกาล มีพระสูตรอยู่สูตรหนึ่ง หลวงพ่อลืมชื่อไปแล้ว ลืมชื่อลืมเล่ม ใครอยากรู้เล่มไหนลองไป search ดู search คำว่า พระควัม พระควัมท่านชื่อจริงเต็มว่าอะไรนะ “พระควัมปติ” ครั้งหนึ่ง พระอรหันต์หลายองค์อยู่ด้วยกันนะ ไม่ได้อยู่กับพระพุทธเจ้า ท่านไปอยู่ด้วยกัน มีความสุขมาก พระอรหันต์ท่านอยู่ด้วยกันท่านมีความสุข เช้ามาท่านไปบิณฑบาต ในตำราไม่ได้บอกว่าไปบิณฑบาตด้วยกันหรือเปล่านะ เช้ามาท่านไปบิณฑบาต กลับมาฉันเรียบร้อย ตำราก็ไม่ได้บอกว่ามาฉันด้วยกันหรือเปล่า ท่านบอกว่า พอหลังฉันแล้วเนี่ย ท่านมานั่งคุยกัน ทำไมท่านไม่ไปนั่งสมาธิเดินจงกรม ท่านเสร็จธุระแล้วนะ พระอื่นยังเอาอย่างไม่ได้นะ ฉันเสร็จแล้วต้องไปเดินจงกรม ไปนอนไม่ได้นะ นั่งคุยไม่ได้นะ ท่านคุยกันแล้วก็มีองค์หนึ่งนะ ท่านก็ปรารภขึ้นมา เมื่อใดรู้ทุกข์ เมื่อนั้นละสมุทัย เมื่อใดละสมุทัย เมื่อนั้นแจ้งนิโรธ การรู้ทุกข์ ละสมุทัย แจ้งนิโรธ นั้นล่ะ มรรคล่ะ พระอรหันต์ที่เหลือ (กล่าว) สาธุ… ถูก แหมถูกอกถูกใจ

พระควัมปติท่านก็พูดขึ้นมา บอกว่า ผมเคยได้ยินพระพุทธเจ้าตรัสไว้นะ เมื่อใดรู้ทุกข์เป็นอันละสมุทัย แจ้งนิโรธ เจริญมรรค เมื่อไรละสมุทัยนะ ก็เป็นอันรู้ทุกข์ แจ้งนิโรธ เจริญมรรค เมื่อไรแจ้งนิโรธ ก็เป็นอันรู้ทุกข์ ละสมุทัย เจริญมรรค เมื่อไรมรรคเกิดขึ้น เจริญมรรคหมายถึงมรรคเกิดขึ้น เมื่อนั้นล่ะรู้ทุกข์ ละสมุทัย แจ้งนิโรธ เห็นมั้ยภูมิปัญญาต่างกันนะ ปัญญาของสาวกเห็นได้ด้านเดียวเอง ถ้ารู้ทุกข์ก็เป็นอันละสมุทัย แจ้งนิโรธ เกิดอริยมรรค ขึ้นมา พระพุทธเจ้ามองได้ ๔ มุม เลย เพราะว่า ๔ อันนี้เกิดด้วยกัน นี่ปัญญาตรัสรู้นะ ต่างกันมากนะ เทียบกันไม่ติดหรอก สาวกเห็นมุมเดียวก็วิเศษวิโสแล้วนะ

เพราะฉะนั้นพวกเราบุญนักหนานะ เกิดมาในแผ่นดินซึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้ายังดำรงอยู่นะ ต้องปฏิบัติธรรม ต้องศึกษาแล้วก็เอาไปปฏิบัติให้สมควรแก่ธรรม เราถึงจะได้ประโยชน์จากธรรมะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๓

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๖
Track: ๘
File: 530829B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๑๑ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ปุถุชนละตัณหาได้ ๓ แบบ แต่พระอรหันต์ละตัณหาได้เด็ดขาด

mp3 for download : ปุถุชนละตัณหาได้ ๓ แบบ แต่พระอรหันต์ละตัณหาได้เด็ดขาด

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ปุถุชนละตัณหาได้ ๓ แบบ แต่พระอรหันต์ละตัณหาได้เด็ดขาด

ปุถุชนละตัณหาได้ ๓ แบบ แต่พระอรหันต์ละตัณหาได้เด็ดขาด

หลวงพ่อปราโมทย์ : จะไม่เหมือนพวกเรานะ เวลาที่ตัณหาความอยากเกิดเนี่ย เราละตัณหาด้วยอะไรบ้าง คนทั่วๆไปละด้วยการสนองความอยาก อยากไปดูหนังก็ไปดูซะนะ เดี๋ยวก็เบื่อแล้วก็เลิกอยากไป อยากไปกินข้าว กินของอร่อย กินหลายๆทีแล้วก็เบื่อ ก็เลิกไป นี่สนองตัณหา เป็นวิธีละตัณหาอย่างหนึ่งเหมือนกัน สนองมันไปซะ อีกพวกหนึ่งก็ข่มเอาไว้ มีความอยากแล้ว อันนี้ไม่เอานะ ข่มใจเอาไว้ ก็ได้เหมือนกันนะ แต่ว่าได้แบบทรมาน อีกพวกหนึ่งใช้มีสติลงไป เจริญวิปัสสนา ใจมีความอยากขึ้นมา รู้ทันปั๊บ มันขาดไป เดี๋ยวมันอยากใหม่ รู้อีก มันก็ขาดอีก ก็ผลุบๆโผล่ๆอยู่อย่างนั้นนะ ไม่ขาดสมุจเฉท

แต่ถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้งนะ ตัณหาจะไม่เกิดอีก เรียกว่าละสมุทัยแบบสมุจเฉทปหาน คือไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว ใจก็จะเจอสภาวธรรมแจ่มแจ้ง คือแจ้งในนิโรธ แจ้งในนิพพาน นิพพานคือความสิ้นตัณหา จิตนี้ไม่มีความอยาก ไม่มีความดิ้นรน ไม่มีการปรุงแต่ง มีความสุขที่สุดเลย

ตรงที่สามารถรู้ทุกข์ จนละสมุทัย แจ้งนิพพาน แจ้งนิโรธ นี้แหละเรียกว่า “มรรค” เพราะฉะนั้นที่พวกเราบอกว่าเจริญมรรคอยู่ พวกเรายังไม่ได้เกิดมรรคเลย คนที่เกิดมรรคก็ต้องเป็นพระอริยบุคคล พวกเรายังไม่เคยเจอมรรคที่แท้จริง


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520425.mp3
ลำดับที่ ๓
ระหว่างนาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๒๘ ถึง นาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่