MP3 (for download): จากอวิชาสู่สติปัฎฐานและอริยะสัจจ์
Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.
หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าไม่ล้างอวิชชาไม่สามารถปล่อยวางได้จริง เพราะอวิชชามีอยู่คือความไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์ คือไม่รู้ทุกข์นั่นแหละ ไม่รู้กายรู้ใจแจ่มแจ้งจนหมดความยึดถือกายยึดถือใจ ความปรุงแต่งมันจึงเกิดขึ้น ความปรุงแต่งเกิดได้ ๓ แบบ
(๑.) อปุญญาภิสังขาร ความปรุงแต่งฝ่ายชั่ว การที่เราหลงตามกิเลสไป เพราะว่ามีอวิชชาไม่รู้แจ้งตัวเราไม่มีมันรักตัวเอง อยากให้ตัวเองมีความสุขมันก็ดิ้นรนไปแสวงหาความสุขทางหูตาจมูกลิ้นกายฟุ้งซ่านออกไปข้างนอก แย่งชิงผลประโยชน์ แย่งชิงชื่อเสียงอะไรต่ออะไรมา คิดว่าได้มาแล้วจะดีแย่งชิงชื่อเสียงอะไรต่ออะไรมาายวไป ผิดศีลผิดธรรมะไปุกข์นั่นแหละก็ปรุงแต่งฝ่ายชั่วไป ทำผิดศีลผิดธรรมะไป (๒)อีกพวกหนึ่ง เพราะว่าอวิชามีอยู่จึงปรุงแต่งฝ่ายดี พวกนักปฏิบัติทั้งหลายนี่แหละ ปรุงแต่งฝ่ายดีคือทำอย่างไรจึงจะดี อยากดี พอคิดจะทำนะสิ่งเกิดขึ้นคือการบังคับกายบังคับใจตัวเอง ปรุงแต่งฝ่ายดีมันโน้มไป อัตตกิลมถานุโยค ทางบังคับตัวเอง ปรุงแต่งฝ่ายชั่วก็โน้มไปกามสุขัลลิกานุโยค ตามใจกิเลสไป (๓)มีบางคนว่าอย่าปรุงแต่งอะไรเลย ไปนั่งสมาธิ ไปเดินจงกรม เป็นการปรุงแต่งฝ่ายดี ไม่ดีไม่ต้องทำ ไม่ต้องทำอะไรเลยไม่เอาอะไรเลยไม่เอาอะไรเลยสักอย่าง การปรุงแต่งแบบไม่เอาอะไรเลยสักอย่างเป็นการปรุงแต่งชนิดที่ ๓ ที่อวิชชาพาทำ ชื่อว่าอเนญชาภิสังขาร ปรุงแต่งแบบว่างๆไม่มีอะไรเลยสบาย ว่างๆอันนั้นยังเป็นว่างที่ปรุงขึ้นมา ไม่ใช่ว่างที่เกิดจากจิตที่เห็นความจริงของรูปนามของทุกข์จนปล่อยวาง
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราปรุงแต่งนะ แต่สอนให้เรารู้ อวิชชาก็คือความไม่รู้ สิ่งที่ตรงข้ามกับอวิชชาคือรู้ อวิชชาไม่รู้อะไร อวิชชาไม่รู้อริยสัจจ์ ไม่รู้ทุกข์ไม่รู้สมุทัยไม่รู้นิโรธไม่รู้มรรค วิชชาคืออะไรคือ รู้ทุกข์รู้สมุทัยรู้นิโรธรู้มรรค รู้ทุกข์คือรู้อะไร รู้กายรู้ใจ
กายกับใจมีอยู่เป็นสภาวะธรรม แต่ไม่ใช่ตัวเรา ถ้ายังไม่เห็นความจริงว่า กายกับใจเป็นแค่สภาวธรรมไม่ใช่ตัวเรามันก็ยังยึดว่าเป็นเราอยู่ พอมันเป็นเราขึ้นมาก็อยากมีความสุข อยากจะดี อยากจะอยากโน้นอยากจะอยากนี้ เพราะว่าอยากให้ตัวเราดีมีความสุขจึงเกิดการปรุงแต่งทั้งสามอย่างนี้ขึ้น
คนโง่ก็ปรุงแต่งอปุญญาภิสังขาร ปรุงแต่งกามสุขัลลิกานุโยค คนดีคนฉลาดก็ปรุงแต่งการบังคับตัวเอง ปรุงแต่งอัตตกิลมถานุโยค ปรุงแต่งปุญญาภิสังขาร พวกที่ปัญญาล้ำหน้าไปก็ปรุงแต่งความว่าง ปรุงแต่งอเนญชาภิสังขาร ไม่ต้องรับรู้ไม่ต้องอะไร ว่างๆโล่งๆ ทำไมต้องเอาว่าง?เพราะมีเรา เราอยู่ในความว่างแล้วเรามีความสุข เราไม่ยึดอะไรเลยเราสบาย สุดท้ายก็มีเราจนได้ มันจะเลิกไม่ให้มีเรามันทำไม่ได้ จนกว่าปัญญาจะเห็นแจ้งลงในรูปนามในกายในใจว่าไม่มีเราจริงๆ
พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า สติปัฏฐาน เป็นทางสายเอกเป็นทางสายเดียวเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น สติปัฏฐานไม่ใช่แค่ปุญญาภิสังขารเพียงอย่างเดียว สติปัฏฐานไม่ใช่อปุญญาภิสังขารแน่นอนไม่ใช่ความปรุงแต่งฝ่ายชั่วแน่นอน สติปัฏฐานไม่ใช่อเนญชาภิสังขาร ไม่ใช่ปรุงว่างๆขึ้นมา การเจริญสติปัฏฐานเป็นปุญญาภิสังขาร เป็นการปรุงแต่งฝ่ายดีอยู่ แต่เบื้องต้นอาศัยการปรุงแต่งนี้แหละค่อยๆพัฒนา ศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งหลายมันไม่เกิดขึ้นลอยๆในอากาศแต่มันเกิดขึ้นในภพ มีภพเพื่อวันหนึ่งจะหลุดจากภพ มีภพเพื่อที่จะเรียนรู้ภพ มีภพเพื่อที่จะรู้ว่าทั้งหลายนั้นเป็นทุกข์ทั้งหมดเลย มีกายมีใจเกิดการดิ้นรนการทำงานของจิตขึ้นมา ไม่ใช่อยู่ๆไม่เอาอะไรเลย ไม่เอาอะไรเลยก็ไม่ได้ จิตมันจะต้องเอาเพราะจิตยังมีอวิชชา
อยากจะล้างอวิชชาก็ฝึกให้มีสติ ฝึกให้มีสติเป็นภพไหมเป็น ?เป็น เป็นภพที่ดี
แต่ภพที่ดีมี ๒ ระดับ (๑)ภพที่ดีที่จะติดข้องอยู่ในโลก (๒)ภพที่ดีภพที่จะข้ามโลก เราก็ต้องเป็นภพที่ดีที่อยู่ในโลกด้วย เพราะเรายังอยู่ในโลก เรียกว่า โลกียธรรม ในขณะเดียวกันเราก็ต้องหัดเจริญสติ จนกระทั่งสามารถมีสติ รู้รูปรู้นามรู้กายรู้ใจ ด้วยจิตที่มีสัมมาสมาธิ คือ มีความตั้งมั่นเป็นกลาง แล้วปัญญาจะเกิด ตัวปัญญาหรือตัววิชชาจะเกิด จะเห็นความจริง ทั้งรูปทั้งนามทั้งกายทั้งใจ ไม่ใช่ตัวเรา ได้พระโสดาบัน ต่อมาภาวนาไปอีก รู้กายรู้ใจไปเรื่อยๆ ถ้าจิตตั้งมั่นอยู่จะไม่ทุกข์ แต่ถ้าไหลไปมันส่งออกไปจิตไปยึดโน่นยึดนี่จิตจะทุกข์ ในที่สุดจิตจะไม่ไปไหนเลยมันทรงตัวเด่นอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน นี่คือภูมิของพระอนาคามี ยังปรุงแต่งอยู่ ตามรู้กายรู้ใจต่อไปอีก จนเห็นความจริง กระทั่งตัวธาตุรู้ผู้รู้ก็ยังทุกข์อีก ก็จะปล่อยวางจิต คราวนี้จะเรียกว่ารู้จริงแล้ว มีวิชชา เห็นความจริงคือเห็นทุกข์แจ่มแจ้ง คือเห็นว่าทั้งกายทั้งจิตเป็นตัวทุกข์ ทั้งรูปทั้งนามนี้เป็นตัวทุกข์ ความรักในกายในใจจะหมดไป ความยึดถือในกายในใจจะหมดไป ความอยากที่จะให้กายให้ใจเป็นสุข ความอยากที่จะให้กายให้ใจพ้นทุกข์จะไม่เกิดขึ้นอีก อันนี้เรียกว่ารู้ทุกข์แจ่มแจ้งแล้วละสมุทัย ละแบบเด็ดขาดเลยละถาวรเป็นสมุเฉท ไม่ใช่รู้ทันเป็นขณะๆ ดับทันเป็นขณะๆ
ถ้ารู้แจ้งอริยสัจจ์เกิดวิชชาขึ้นมาจะละตัณหาถาวร ตัณหาจะไม่มีขึ้นอีกเลย ตัณหาจะมีขึ้นได้เพราะรักตัวเอง มันรักกายรักใจมันรักตัวเองได้เพราะมันยังไม่เข้าใจความเป็นจริง ว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่เราเราเป็นตัวทุกข์ คิดว่าเป็นดีตัววิเศษตัวเราเป็นตัวเรา มันเลยรัก มันเลยอยาก อยากให้มันดี อยากให้มันสุข อยากมันสงบ อยากให้มันไม่ทุกข์ อยากให้มันไม่ชั่ว ตัวสมุทัยมันเกิดขึ้นมาเพราะไม่รู้ทุกข์
เมื่อสมุทัยทุกข์ละจิตจะหมดความดิ้นรน จิตจะแจ่มแจ้งจะสดชื่นเบิกบานในตัวเอง จิตเข้าถึงความไม่ปรุงแต่ง ความไม่ปรุงแต่งนั่นแหละคือนิพพาน เห็นอสังขตธรรมความไม่ปรุงแต่ง เป็นวิสังขารธรรมพ้นจากความปรุงแต่ง เป็นวิมุตติคือหลุดออกจากขันธ์ เป็นอนารโย อนารยะไม่ผูกพันธ์พัวพันอยู่ในความปรุงแต่งในสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายในภพทั้งหลาย เป็นวิราคะคือดับราคะสนิทไม่มีความอยากอีก นิพพานมีชื่อเยอะแยะ ภาวะที่จิตมันพ้น
ไม่ใช่ตัวจิตนะจิตไม่ใช่นิพพาน นิพพานเป็นสภาะที่พ้นจากความปรุงแต่ง จิตที่พ้นจากความปรุงแต่งจะไปพ้นนิพพาน นี่เรียกว่านิโรธ การไปเห็นนิพพานเรียกว่าทำให้แจ้ง การทำให้แจ้งนิโรธ ท่านถึงบอกว่านิโรธต้องทำให้แจ้ง สัจฉิกริยา
ทุกข์ให้รู้นะ สมุทัยให้ละ นิโรธคือนิพพานทำให้แจ้ง
ถ้าเมื่อไรตัณหาถูกละ นิโรธจะแจ้งเมื่อนั้น สมุทัยดับนิโรธจะปรากฏขึ้นตรงนั้น ตรงที่เราคอยรู้ทุกข์จนละสมุทัยแจ้งนิโรธตรงนั้นคือมรรค เวลามรรคเกิด เกิดเพียงขณะเดียว แว้บเดียวรู้ทุกข์แจ่มแจ้งละสมุทัยในขณะนั้นเห็นนิพพานขณะนั้นเลย ทางที่พระพุทธเจ้าสอนเดินแบบนี้ เจริญสติหรือทำวิปัสสนากรรมฐาน มีสติรู้กายรู้ใจด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลาง ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย ไม่ทำอะไรเลยแล้วบรรลุเอง ไม่งั้นหมาก็บรรลุแล้ว ไม่ทำอะไรเลยไม่บรรลุนะ ต้องเจริญสติปัฏฐานเป็นทางเดียวสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้น
เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓
ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่
สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่
ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่
คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่